กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ. นครแก้วนพรัตน์ เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งซึ่งปกครองโดยท้าวกาลศึกและพระมเหสีประไพลักษณา ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสรูปงาม พระนามว่า พระวิจิตรจินดา ครั้นพระวิจิตรจินดาเจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่นได้ขออนุญาตพระบิดาและพระมารดาไปประพาสป่า
พระวิจิตรจินดาชมนกชมไม้ จนกระทั่งเดินมาถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง จึงสั่งให้เสนาอำมาตย์และทหารหยุดพัก ส่วนพระองค์ไปนั่งพักบนแท่นศิลาใต้ต้นไทร ทันใดนั้นพระองค์ก็ล้มลงและสิ้นพระชนม์ทันที
เหล่าทหารต่างตกใจรีบพากันเข้าไปช่วยนวดเฟ้นแต่ก็ไม่สามารถทำให้พระวิจิตรจินดารู้สึกพระองค์เสนาอำมาตย์จึงสั่งให้ทหารกลับไปแจ้งข่าวร้ายให้พระราชาและพระมเหสีทราบ ทั้งสองพระองค์ฟังเรื่องราวด้วยความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
ท้าวกาลศึกสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่จัดขบวนไปอัญเชิญพระศพกลับพระนคร เมื่อมาถึง ท้าวกาลศึกเห็นพระศพและแปลกใจที่พระโอรสสิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุ จึงให้โหรหลวงทำนายดวงชะตาของพระโอรส
โหรหลวงกราบทูลว่า เมื่อชาติปางก่อน พระโอรสเคยฆ่าพญานาคตาย พญานาคคิดอาฆาตพยาบาท จึงมาคายพิษไว้บนแท่งศิลาเพื่อรอเวลาแก้แค้น เมื่อพระโอรสประทับบนแท่นศิลาจึกถูกพิษร้ายของพญานาค ทำให้สิ้นพระชนม์ ซึ่งถือเป็นการชดใช้หนี้กรรมเก่าที่พระองค์ได้กระทำไว้
โหรหลวงกราบทูบต่อว่าพระโอรสมีโอกาสฟื้นโดยจากนี้ไปอีกเจ็ดปี จะมีพระธิดาจากต่างเมืองมาช่วยชุบชีวิต กษัตริย์ทั้งสองจึงนำพระศพของพระโอรสตั้งไว้บนพลับพลาในพระราชอุทยานเพื่อรอคอยพระธิดาจากต่างเมืองมาช่วย
กล่าวถึงนครโรมวิสัย มีพระราชาปกครองนคร พระนามว่า ท้าวหัสวิชัยและพระมเหสีคู่พระทัยพระนามว่า เกศิณี ต่อมานางได้ให้กำเนิดพระธิดาพร้อมมีเรือนไม้โสนติดมาด้วย ท้าวหัสวิชัยจึงประทานนามให้ว่า โสนน้อยเรือนงาม
ต่อมาเมื่อพระธิดาโสนน้อยเจริญวัยได้สิบห้าปีบ้านเมืองเกิดข้าวยากหมากแพง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ท้าวหัสวิชัยให้โหรหลวงทำนาย พบว่าบัดนี้ดวงชะตาพระธิดาเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมืองหากให้อยู่ในพระนครต่อไปราษฎรจะได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส กษัตริษย์ทั้งสองตกใจมากแต่ไม่มีทางเลือกอื่นใด เพื่อหพระธิดาโสนน้อยเห็นแก่บ้านเมืองและราษฎร จึงให้ออกจากพระนครไปก่อน
พระธิดาโสนน้อยแต่งเป็นหญิงชาวบ้านพร้อมนำเครื่องทรงห่อผ้าออกเดินทางเข้าป่าเพียงลำพัง กล่าวถึงพระอินทร์บนสวรรค์ เห็นว่าพระธิดาโสนน้อยกำลังตกระกำลำบาก จึงแปลงกายเป็นชีปะขาวลงมาช่วยและมอบยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟี้นขึ้นมาได้
ระหว่างทาง พระธิดาโสนน้อยได้พบหญิงชาวป่าคนหนึ่งถูกงูกัดนอนตายอยู่ พระธิดาเกิดความสงสารจำนำยาวิเศษชโลมที่บาดแผลทำให้หญิงสาวฟื้นขึ้นมา นางขอบใจพระธิดาโสนน้อยที่ช่วยชีวิตตนไว้และขอติดตามเป็นทาสรับใช้และแนะนำตนเองว่าชื่อ กุลา
แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางจนกระทั่งถึงเมืองแก้วนพรัตน์และได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระวิจิตรจินดา พระธิดาโสนน้อยจึงขออาสารักษาพระโอรส ทหารจึงพาหญิงสาวทั้งสองเข้าเฝ้าพระราชและพระมเหสี พระธิดาโสนน้อยกราบทูลว่านางเป็นธิดากษัตริย์แห่งนครโรมวิสัยชื่อโสนน้อยเรือนงามและกุลาเป็นสาวใช้ผู้ติดตาม
ก่อนเริ่มพิธี พระธิดาโสนน้อยนำเครื่องทรงมาสวมใส่แล้วนำยาวิเศษไปชโลมตัวพระวิจิตรจินดาเมื่อยาออกฤทธิ์ พิษของพญานาคก็เป็นไอออกมา พระธิดาโสนน้อยรู้สึกร้อนไปทั่วกายจึกถอดเครื่องทรงและฝากผอบยาไว้กับกุลาแล้วออกไปอาบน้ำ
ฝ่านกุลาเห็นพระวิจิตรจินดารูปงามก็เกิดหลงรักจึงคิดแผนร้ายปลอมเป็นพระธิดาโสนน้อย เมื่อพระธิดาโสนน้อยชำระร่างกายเสร็จแล้วกลับเข้าไปเห็นกุลาแต่งเครื่องทรง จึงถามกุลาว่าทำไมเอาเปาเสื้อผ้าของนางมาใส่ กุลากลัวพระวิจตรจินดารู้ความจริง จึงด่าว่าพระธิดาโสนน้อยว่านางเป็นเพียงททาวรับใช้ชื่อกุลา พระธิดารู้สึกเสียทีกุลาแล้วจำต้องนิ่งเงียบ
พระวิจิตรจินดาและพระบิดาและพระมารดาก็ยังมีความสงสัยในนางกุลา จึงให้นางเย็บกระทงใบตองถวาย นางกุลาทำไม่ได้โยนใบตองทิ้งไป โสนน้อยเรือนงามเก็บใบตองมาเย็บเป็นกระทงสวยงาม นางกุลาก็แย้งไปถวายพระราชบิดามารดาของพระวิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษกกับนางกุลาจึงขอลาพระบิดาพระมารดาไปเที่ยวทางทะเล พระบิดาพระมารดาให้นางกุลาย้อมผ้าผูกเรือ นางกุลาก็ทำไม่เป็น โยนผ้าและสีทิ้ง โสนน้อยเรือนงามเก็บผ้าและสีไปย้อมได้สีงดงาม นางกุลาก็แย้งนำไปถวายพระบิดาพระมารดาอีก
เมื่อพระวิจิตรจินดาจะออกเรือก็ปรากฎว่าเรือไม่เคลื่อนที่พระวิจิตรจินดาทรงคิดว่าคงมีผู้มีบุญในวังต้องการฝากซื้อของ เรือจึงไม่เคลื่อนที่จึงให้ทหารมาถามรายการของที่คนในวังจะฝากซื้อ ทุกคนก็ได้มีโอกาสฝากซื้อ แต่โสนน้อยเรือนงามอยู่ใต้ถุนถึงไม่มีใครไปถาม เรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารกลับไปค้นหาคนในวังที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของ ทหารจึงได้ไปค้นหานางโสนน้อยเรือนงามได้ นางจึงฝากซื้อ " โสนน้อยเรือนงาม " เมือพระวิจิตรจินดาเดินทางไป ลมก็บันดาลให้พัดไปยังเมืองโรมวิสัยของพระบิดาของโสนน้อยเรือนงาม พระวิจิตรจินดาซื้อของฝากได้จนครบทุกคน ยกเว้นโสนน้อยเรื่อนงาม พระวิจิตรจินดาจึงสอบถามจากชาวเมือง ชาวเมืองบอกว่าโสนน้อยเรือนงามมีอยู่แต่ในวังเท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงเข้าไปในวังและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงามไปให้นางข้าทาส พระบิดาของโสนน้อยเรือนงามทรงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาส ก็ทรงทราบว่าเป็นพระธิดา จึงมอบโสนน้อนเรือนงามให้พระวิจิตรจินดาและให้ทหารตามมาสองคน.
เมื่อพระวิจิตรจินดากลับถึงบ้านเมือง ทหารสองคนก็ไปทำความเคารพนางโสนน้อยเรือนงาม และเรือนวิเศษก็ขยายเป็นเรือนใหญ่มีข้าวของเครื่องใช้พระธิดาครบถ้วน โสนน้อยเรือนงามก็เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น พระวิจิตรจินดาจึงแน่ใจว่าโสนน้อยเรือนงามเป็นพระราชธิดาที่รักษาตน จึงจะฆ่านางกุลาแต่โสนน้อยเรือนงามขอชีวิตไว้ พระวิจิตรจินดาก็ได้อภิเษกกับนางโสนน้อยเรือนงาม ชาวเมืองทุกคนต่างร่วมแสดงความยินดีกับทั้งสองพระองค์
หลายเดือนผ่านไป พระวิจิตรจินดาพาพระธิดาโสนน้อยกลับไปเยี่ยมพระบิดาและพระมารดาที่นครโรมวิสัยโดยทางเรือ ระหว่างทางเกิดพายุอย่างแรงทำให้เรือถล่ม พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยถูกกระแสน้ำพัดไปคนละทิศละทาง พระธิดาโสนน้อยถูกพัดขึ้นชายฝั่งเขตชาตแดนเมืองยักษ์ที่มีท้าวจตุรพักตร์และพระมเหสีสร้องทองปกครอง นางออกตามหาพระสวามีจนเจอกับเงาะหญิงที่กำลังร่ำไห้กับศพของเงาะชายผู้เป็นสามี จึงเข้ามาช่วยชุบชีวิตเงาะชายให้ฟื้นเงาะทั้งสองดีใจมากขอเป็นทาสรับใช้และช่วยตามหาพระวิจิตรจินดา
วันหนึ่ง ท้าวจตุรพักตร์ออกมาหาอาหารจได้เจอพระธิดาโสนน้อยและเงาะทั้งสอง จึงจับทั้งสามไปขังไว้ ท้าวจตุรพักตร์เห็นความงามของพระธิดาโสนน้อยก็เกิดหลงรัก จึงจับนางไปขังไว้ในปราสาท ขณะที่ท้าวจตุรพักตร์พูดหว่านล้อมให้พระธิดาโสนน้อยยอมเป็นพระชายา และหมายจะแตะเนื้อต้องตัวพระธิดา แต่พระธิดาโสนน้อยไม่ยอมจึงทำให้ท้าวจตุรพักตร์โกรธมากที่ทำอะไรไม่ได้ จึงสั่งทหารให้นำเอาพระธิดาโสนน้อย ไปขังไว้บนหอคอย
กล่าวถึงพระวิจิตรจินดา ซึ่งถูกพัดไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ขณะที่ออกตามหาพระธิดาโสนน้อยได้เจอกับพระฤๅษี พระฤๅษีทราบเรื่องทั้งหมดด้วยญาณวิเศษ จึงบอกให้พระวิจิตรจินดารีบไปช่วยพระธิดาโสนน้อยซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายที่เมืองจตุรพักตร์แล้วพระฤๅษีก็ช่วยชี้ทางไปเมืองยักษ์ พระวิจิตรจินดาเดินทางมาถึงเมืองจตุรพักตร์เกิดการต่อสู้กับเหล่าทหารยักษ์ ซึ่งสู่พระวิจิตจินดาไม่ได้ ล้มตายเป็นจำนวนมาก หนึ่งในทหารหนีรอดไปรายงานท้าวจุตรพักตร์ ท้าวจุตรพักตร์โกรธมาก จึงออกมาสู้กับพระวิจิตรจินดา แต่พลาดท่าเสียทีถูกพระวิจิตรจินดาใช้พระขรรค์แทงตาย
หลังจากนั้น พระวิจิตรจินดาเข้าไปช่วยพระธิดาโสนน้อยและเงาะทั้งสอง ก่อนออกเดินทางพระธิดาโสนน้อยได้ใช้ยาวิเศษช่วยชุบชีวิตของท้าวจตุรพักตร์ให้ฟื้นขึ้นมา พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยก็ออกเดินทางไปยังนครโรมวิสัย ส่วนเงาะทั้งสองก็แยกกลับเข้าไปอยู่ในป่าพระวิจิตรจินดาพาพระธิดาโสนน้อยมาถึงเมืองโรมวิสัยและพักผ่อนได้ระยะหนึ่ง ทั้งสองก็ทูลลากลับนครแก้วนพรัตน์
พระวิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยครองรักกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งวันหนึ่ง กลาได้คิดแผนให่พระวิจิตรจินดาเข้าใจพระธิดาโสนน้อยผิด จึงจับงูพิษมาใส่กล่องไม้จันทน์หอมแล้วนำเอามาให้พระธิดาโสนน้อยพร้อมบอกว่ากล่องนี้มีของวิเศษ ให้นำถวายพระวิจิตรจินดา พระธิดาโสนน้อยหลงเชื่อกุลา เมื่อถึงเวลาเข้าบรรทม จึงมอบกล่องเห็นเป็นงูพิษคิดว่านางต้องการฆ่าตน จึงเนรเทศพระธิดาโสนน้อยและกุลาให้ออกจากพระนคร แม้ว่านางว่าอธิบายความจริงให้ฟังอย่างไร พระองค์ก็ไม่เชื่อ
พระธิดาโสนน้อยจำต้องออกจากพระนครพร้อมลูกในครรภ์โดนมีกุลาติดตามไปด้วย ทั้งสองเดินทางมาจนพบพระฤๅษีปู่เจ้า จึงขอนั่งพักเหนื่อยระหว่างนั้น กุลาเดินไปพบบ่อน้ำสองบ่อ ซึ่งเป็นน้ำสีเหลืองและสีดำ นางสงสัยเลยเอานิ้วจุ่มลงในบ่ปรากฎว่าเอามือจุ่มลงน้ำสีดำเกิดเป็นแผลออกร้อน ต่อมานางเอามือไปจุ่มลงน้ำสีเหลืองนิ้วนางกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
ขณะนั้นความคิดชั่วร้ายก็เกิดขึ้น กุลาจึงไปเรียกพระธิดาโสนน้อยมาดูบ่อน้ำวิเศษ เมื่อกุลากระโดดลงไปบ่อน้ำสีทองพอกลับขึ้นมาด้วยหน้าตาที่สวยงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นจากนั้นกุลาเดินไปใกล้ๆ พระธิดาโสนน้อยที่ยืนอยู่ปากบ่อน้ำสีดำ เมื่อนางเผลอกุลาจึงผลักตกลงในบ่อน้ำสีดำพระธิดาโสนน้อยกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ มีแผลเต็มตัว เช้าวันต่อมา ทั้งสองกราบลาพระฤๅษีปู่เจ้าแล้วออกเดินทางมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชายแดนเมืองโรมวิสัย ทั้งสองได้พักอาศัยบ้านสองตายายคู่หนึ่ง พระธิดาโสนน้อยช่วยสองตายายทำงานแต่กุลาไม่ช่วยอะไรเลยเที่ยวอวดความงามของตน
วันหนึ่ง กุลาได้เจอกับลูกเศรษฐีรูปหล่อประจำหมู่บ้านชื่อวิไล ทั้งสองต่างถูกใจกัน วิไลชวนกุลาไปอยู่ด้วย กุลานึกถึงแก้วแหวนเงินทองและความสุขสบายจึงตกลงไปอยู่ด้วยพร้อมเอาพระธิดาโสนน้อยไปเป็นทาสรับใช้ หลายเดือนพาไปครรภ์ของพระธิดาโสนน้อยใหญ่ขึ้น กุลาคิดที่จะกำจัดลูกของนาง เมื่อครบกำหนดครอด พระธิดาโสนน้อยให้กำเนิดบุตรชายและสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย หมอตำแยนำผ้ามาห่อพระกุมารแล้วส่งให้บ่าวรับใช้ใส่ตะกร้านำพระกุมารไปโยนทิ้งลงแม่น้ำ กล่าวถึงพระกุมาร ด้วยความเป็นผู้มีบุญญาธิการเกิดปาฏิหาริย์ ตะกร้าไม่จมน้ำแต่ลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่งและได้รับการช่วยเหลือจากพระฤๅษีจึงนำพระกุมารมาเลี้ยงและตั้งชื่อว่า ไพรวัลย์ พระฤๅษีเลี้งดูไพรวัลย์จนเติบใหญ่พร้อมสอนวิชาป้องกันตัวให้กับไพรวัลย์
พระวิจิตรจินดารอนแรมตามหาพระธิดาโสนน้อยด้วยความมุ่งมั่น จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้เจอกับไพรวัลย์ที่กำลังเล่ากวางป่า จึงถามว่าเป็นลูกใคร ไพรวัลย์จึงบอกว่าตนเองอาศัยอยู่กับพระฤๅษี พระวิจิตรจินดาแปลกใจและหลุดพูดออกมาว่า พระฤๅษีมีลูกได้อย่างไรคำพูดของพระวิจิตรจินดาสร้างความไม่พอใจให้กับไพรวัลย์ เพราะคิดว่าพระวิจิตรจินดาพูดจาลบหลู่พระฤๅษีไพรวัลย์จึงแผลงศรไปยังพระวิจิตรจินดาแต่ศรกลายเป็นดอกไม้ร่วงหล่นลงตรงหน้าพระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์จึงลองแผลงศรอีกครั้ง ปรากฏว่าเปลี่ยนทิศเหินขึ้นฟ้า พระฤๅษีจึงรีบออกมาห้ามและบอกไพรวัลย์ว่าชายผู้นี้เป็นพ่อของไพรวัลย์ ชื่อว่า วิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดากราบขอบพระคุณพระฤๅษีที่ได้ช่วยชีวิตไพรวัลย์และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
พระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์ และทหารเดินทางจนเข้าเขตเมืองโรมวิสัย พระวิจิตรจินดาสังให้ทหารไปสืบหาพระธิดาโสนน้อย แต่กลับเจอแต่พระธิดาโสนน้อยที่แสนจะอัปลักษณ์และกุลาแสนสวย หนึ่งในทหารจำได้ว่าหญิงอัปลักษณ์ก็คือพระธิดาโสนน้อยพระวิจิตรจินดาจึให้นำนางมาเข้าเฝ้านางเล่าเรื่องราวในอดีตตั่งแต่เคยช่วยพระองค์จนถึงเรื่องที่พระวิจิตรจินดาเข้าใจผิดเรื่องงูพิษได้อย่างถูกต้อง
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยแล้วพระวิจิตรดาพาพระธิดาโสนน้อยไปหาพระฤๅษีปู่เจ้าเพื่อให้ท่านช่วย พระฤๅษีได้ให้พระธิดาโสนน้อยลงไปชุบตัวในบ่อน้ำสีเหลือง นางก็กลับมางดงามเหมือนเดิมทางไปยังนครโรมวิสัย รัลไพรวัลย์เดินทางไปยังนครแก้วนพรัตน์และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น