วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ระเด่นลันได

                                                             

โดย พระมหามนตรี (ทรัพย์)






ประวัติ

                วรรณคดีเรื่องนี้น่าจะเป็นบทละคร เพราะมีคำนำ เมื่อนั้น บัดนั้น แต่ไม่มีหน้าพาทย์ หรือเพลง กำกับให้ครบตามแบบละครทั้งปวง 
                บทละครเรื่อง ระเด่นลันได” นี้ เป็นวรรณคดีสำคัญในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีเค้าโครงเรื่องมาจากชีวิตจริงของแขกขอทานชื่อ ลันได อาศัยอยู่ใกล้โบสถ์พราหมณ์ บริเวณหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม ต่อมาแขกขอทานเกิดวิวาทกับแขกเลี้ยงวัวด้วยเรื่องแย่งหญิงสาว ผู้คนต่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน พระมหามนตรี (ทรัพย์) ทราบเรื่องจึงนำมาแต่งเป็นกลอนบทละคร โดยใช้ถ้อยคำสำนวนล้อเลียนบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื่องจากปรากฏคำว่า ระเด่น” “วงศ์อสัญแดหวา” “ตุนาหงัน” ตลอดจนการใช้คำราชาศัพท์อื่นๆ ทั้งที่ตัวละครในเรื่องเป็นเพียงสามัญชน นับเป็นเรื่องแปลกกว่าวรรณคดีเรื่องอื่นๆ ในยุคสมัยเดียวกัน และมีผู้นิยมอ่านแพร่หลายตลอดมา
                บทละครเรื่อง ละเด่นลันได นั้นมีลักษณะพิเศษตรงที่ การสร้างตัวละครและสำนวนโวหารต่างๆนั้นถูกแต่งขึ้นเพื่อล้อเลียนวรรณกรรมชั้นสูงอย่าง อิเหนา ซึ่งเป็นวรรณคดีบทละครเรื่องเอกของไทย
                ในอิเหนา นั้นตัวละครจะมาจากพวกราชวงศ์ ดังนั้นท่วงทำนองการแต่งและฉากต่างๆก็จะไพเราะหรูหราตามฐานะของตัวละคร ดังนั้นพระมหามนตรี จึงได้ล้อเลียนอิเหนาโดยกำหนดตัวละครและฉากต่างๆให้ตรงกันข้าม เป็นเนื้อเรื่องง่ายๆเกี่ยวกับแขกขอทานที่ไปเป็นชู้กับภรรยาของแขกอีกคนที่เป็นคนเลี้ยงวัว

ผู้แต่ง คือ พระมหามนตรี(ทรัพย์)

ลักษณะการแต่ง     เป็นกลอนบทละครบทละครเรื่อง
                ละเด่นลันได นั้นมีลักษณะพิเศษตรงที่ การสร้างตัวละครและสำนวนโวหารต่างๆนั้นถูกแต่งขึ้นเพื่อล้อเลียนวรรณกรรมชั้นสูงอย่าง อิเหนา ซึ่งเป็นวรรณคดีบทละครเรื่องเอกของไทย

ตัวละคร

                -ระเด่นลันได ขอทานยากจน มีอาชีพสีซอ เจ้าชู้  มีคำพูดวาจาที่อ่อนหวานพูดดีให้ตัวเอง
คล้ายเป็นคนช่างน่าสงสาร ทำให้ผู้อื่นคล้อยตามหลงชอบและหลงรักในตัว
                -นางประแดะ  เป็นคนใจอ่อน และ ขี้สงสาร ภรรยาของเท้าประดู่
                -ท้าวประดู่  มีนิสัยขี้หึง และ รักศักดิ์ศรี  สามีของนางประแดะ

จุดมุ่งหมายในการแต่ง

                1. ต้องการอวดฝีมือที่สร้างงานชิ้นใหญ่นอกเหนือไปจากกลอนกลบท กบเต้นสามตอน และโคลงฤๅษีดัดตน

                2. เพื่อล้อเรื่องอิเหนา


เรื่องย่อ


                ระเด่นลันไดเที่ยวสีซอขอข้าวกินตามตลาดเสาชิงช้า หน้าโบสถ์พราหมณ์ มีทหารหมาคอยเห่าหอนเฝ้ายามให้ พอโพล้เพล้ใกล้ค่ำก็สุมควันไล่ยุงแล้วนอนสูบกัญชาบนเสื่อลำแพนจนเมาพับ พอตะวันโด่งก็ตื่นขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าทาดินสอพอง สวมกางเกงขาดๆ สวมประคำดีควายสะพายยาม ถือกระบองกันหมาแล้วเที่ยวสีซอไปตามทางเหมือนอย่างเคยจนมาถึงเมืองหนึ่งซึ่งใหญ่กว้าง มีเล้าหมูอยู่ใต้ถุน มีคอกโคอยู่ข้างกำแพงวัง พอระเด่นลันไดเดินเข้าไป หมาก็พากันล้อมเห่ากันเสียงดัง
                ฝ่ายนางประแดะซึ่งพอตอนเช้าท้าวประดูผู้สามีออกไปเลี้ยงวัว นางอยู่ในห้อง คอยหั่นกัญชาไว้รอท่า ก็ได้ยินเสียงหมาเห่า นึกว่าวัวหลุดเข้าไปในสวนกล้วย เลยโผล่ออกมาดูตรงหน้าต่างและตวาดหมา พอเห็นระเด่นลันไดก็ชอบใจ ตอนนั้นเองระเด่นลันไดพอหันมาพบสบตานางประแดะ เห็นรูปร่างของนางก็นึกพอใจเช่นกัน แล้วก็สีซอขึ้น และทำท่าทางให้นางประแดะหัวเราะ เพื่อเกี้ยวนาง หลังจากที่นางประแดะได้ฟังลีลาการสีซอของระเด่น ก็รู้สึกจับใจความไพเราะ ก็เกิดความรักอันร้อนแรงลืมแม้กระทั่งผัวของตัวเอง นึกอยากจะได้ระเด่นลันไดมาเป็นคู่ชู้สักวัน จึงรีบจัดแจงตักข้าวกล้อง ปลาสลิดมาหวังให้ทานแก่ระเด่นลันได
                ฝ่ายระเด่นลันไดก็พูดจาลดเลี้ยวเกี่ยวพานต่างๆ แต่นางประแดะก็ทำเป็นเล่นตัวบ่ายเบี่ยงแต่ก็ยังบอกชื่อตัวเองและชื่อผัวให้ระเด่นรู้ ระเด่นก็บอกว่าคืนนี้พี่จะลอดช่องแมวขึ้นไปหาให้เปิดประตูไว้รอรับ แล้วก็จากไปทั้งที่สมอารมณ์หมายและอาลัยอาวร
                ด้านท้าวประดู่ที่เลี้ยงวัวอยู่ วันที่จะเกิดเหตุก็มีลางให้กระตุกนัยน์ตาทั้งสองข้าง ตุ๊กแกลงตงมาตรงหน้าคลานไปมาแล้วก็ตาย เห็นแม่โคผลัดขึ้นสัดโคผู้ ก็หวั่นใจว่าจะมีเหตุอะไรสักอย่างแน่ จึงรีบไล่โคกลับมาเมือง (บ้าน)
                มาถึงบ้าน ก็เห็นข้าวพร่องไป ปลาสลิดก็หายหมด พอเข้าในห้องจึงเรียกนางประแดะมาว่า มีใครไปมาบ้านเราบ้างหรือเปล่า นางประแดะก็ตอบกระอึกกระอักว่าไม่มีใครหรอก น้องก็นอนอยู่ในบ้าน ไม่เห็นมีใครเลย ท้าวประดู่ยังแคลงใจอยู่จึงบอกว่า ข้าวปลาอาหารหายไปหมดแล้วจะไม่มีใครมาได้อย่างไร บอกมาอย่าโกหก สุดท้ายนางประแดะกลัวสามีจึงบอกว่า วันนี้มีหน่อเนื้อกษัตรามาสีซอขอข้าวสาร น้องจึงให้ทานพอพ้นๆ ไป พอท้าวประดู่ได้ฟังก็พอเดาได้ว่าคงเป็นไอ้ระเด่นลันไดคิดอ่านมาตัดเสบียงเป็นแน่ จึงชี้หน้าตานางประแดะแล้วฉวยดาบออกมาด้วยความโกรธ นางประแดะรีบกอดเอวสามีไว้เพราะหวาดกลัว บอกให้พี่ฟังน้องก่อน พี่เข้าใจผิดแล้ว ท้าวประดู่ตอนนี้อารมณ์เดือดมากไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ชักดาบออกมาแกว่งและบอกว่า นึกว่ากูไม่รู้หรืออย่างไร ด่าสารพัดและถีบถูกสะโพกนางประแดะกระเด็น นางประแดะเจ็บมากวิ่งกระเผลก เข้าครัวแล้วก็พูดจาประชดชีวิต พอท้าวประดู่ได้ฟังก็โกรธหนัก ดุด่าพลางผลักประตูจะตามนางเข้าไปในห้องครัว แต่นางลั่นกลอนไว้แล้ว ยักเย่ยักยันกันอยู่จนสุดท้ายท้าวประดูก็เข้าไปได้ เอาไม้กวาดไล่ตีนางประแดะ วิ่งกันไปมาอยู่ในครัว สุดท้ายก็ไล่นางประแดะออกจากบ้าน
นางประแดะข่มกลั้นน้ำตาเก็บข้าวของออกจากบ้าน เวลานั้นเป็นคืนเดือนมืดฝนตกพรำๆ นางก็หยุดยืนร้องไห้อยู่ร้านค้า
                ฝ่ายระเด่นลันได พอตกดึกก็ย่องเข้าหานางประแดะ เพราะคิดว่าท้าวประดู่นอนเฝ้าวัวอยู่ข้างล่าง ท้าวประดู่ที่นอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงกึกกักก็นึกว่านางประแดะกลับมาหาเลยทำเป็นไม่สนใจแล้วหลับไป ฝ่ายระเด่นลันไดพอเข้ามาในห้องได้เข้าใจว่าคนที่นอนอยู่เป็นนางประแดะก็ขึ้นทับแล้วกอดจูบลูบคลำทันที
ท้าวประดู่ก็ตกใจลุกขึ้นปลุกปล้ำนึกว่าอีอำต่างคลำกันวุ่นวายเมื่อเห็นว่าอีกคนหนึ่งไม่ใช่นางประแดะ นึกว่าผีอำ พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องโวยวายขึ้น ฝ่ายระเด่นลันไดก็กระโดดหนีไปอย่างทุลักทุเล ระหว่างที่วิ่งหนีมาก็ได้ยินเสียงครางอยู่ในร้านข้างทาง พอเข้าไปดูก็เห็นว่าเป็นนางประแดะนั่งคลุมหัวร้องไห้อยู่ พอพบหน้ากันแล้วต่างก็ดีใจ ระเด่นจึงพานางเข้าบ้าน พอถึงบ้านระเด่นก็ชวนนางประแดะเข้ามุ้ง สุดท้ายทั้งสองก็ได้เสียกัน
                กล่าวถึงนางกระแอแม่ค้าหาบเร่ขายขนมอยู่แถวนั้น ซึ่งเป็นชู้เดิมเที่ยวไปมาหาสู่กันไม่ได้ขาด วันหนึ่งนางก็คิดถึงระเด่นลันไดพอตลาดวายก็แวะมาที่บ้านระเด่นลันได พอมาถึงนอกชานเห็นประตูปิดอยู่ก็แอบมองลอดช่องเข้าไป เห็นนางประแดะกับระเด่นคลีผ้าหาเล็นกันง่วนอยู่ก็ให้รู้สึกทั้งโมโหทั้งเสียใจ แต่ไม่รู้จะอาละวาดอย่างไรจึงแกล้งเรียกทวงหนี้ข้าวเหนียวที่ค้างไว้ พอระเด่นบอกว่าจ่ายไปแล้วไม่มีติดค้าง นางก็ทำโมโหหาว่าเบี้ยว ฝ่ายระเด่นลันไดขี้เกียจเถียงกับนางกระแอ จึงพูดจาออดอ้อนแล้วเรียกให้เข้ามาคุยกันดีๆ บนเรือน ฯ

บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได

 ช้าปี่
  มาจะกล่าวบทไปถึงระเด่นลันไดอนาถา
เสวยราชย์องค์เดียวเที่ยวรำภาตามตลาดเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์
อยู่ปราสาทเสาคอดยอดด้วนกำแพงแก้วแล้วล้วนด้วยเรียวหนาม
มีทหารหอนเห่าเฝ้าโมงยามคอยปราบปรามประจามิตรที่คิดร้าย
ฯ ๔ คำ ฯ
  เที่ยวสีซอขอข้าวสารทุกบ้านช่องเป็นเสบียงเลี้ยงท้องของถวาย
ไม่มีใครชังชิงทั้งหญิงชายต่างฝากกายฝากตัวกลัวบารมี
พอโพล้เพล้เวลาจะสายัณห์ยุงชุมสุมควันแล้วเข้าที่
บรรทมเหนือเสื่อลำแพนแท่นมณีภูมีซบเซาเมากัญชา
ฯ ๔ คำ ฯ
 ร่าย
  ครั้นรุ่งแสงสุริยันตะวันโด่งโก้งโค้งลงในอ่างแล้วล้างหน้า
เสร็จเสวยข้าวตังกับหนังปลาลงสระสรงคงคาในท้องคลอง
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 ชมตลาด
  กระโดดดำสามทีสีเหื่อไคลแล้วย่างขึ้นบันไดเข้าในห้อง
ทรงสุคนธ์ปนละลายดินสอพองชโลมสองแก้มคางอย่างแมวคราว
นุ่งกางเกงเข็มหลงอลงกรณ์ผ้าทิพย์อาภรณ์พื้นขาว
เจียระบาดเสมียนละว้ามาแต่ลาวดูราวกับหนังแขกเมื่อแรกมี
สวมประคำดีควายตะพายย่ามหมดจดงดงามกว่าปันหยี
กุมตระบองกันหมาจะราวีถือซอจรลีมาตามทาง
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
 ร่าย
  มาเอยมาถึงเมืองหนึ่งสร้างใหม่ดูใหญ่กว้าง
ปราสาทเสาเล้าหมูอยู่กลางมีคอกโคอยู่ข้างกำแพงวัง
พระเยื้องย่างเข้าทางทวาราหมู่หมาแห่ห้อมล้อมหน้าหลัง
แกว่งตระบองป้องปัดอยู่เก้กังพระทรงศักดิ์หยักรั้งคอยราญรอน
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  เมื่อนั้นนางประแดะหูกลวงดวงสมร
ครั้นรุ่งเช้าท้าวประดู่ภูธรเสด็จจรจากเวียงไปเลี้ยงวัว
โฉมเฉลาเนาในที่ไสยาบรรจงหั่นกัญชาไว้ท่าผัว
แล้วอาบน้ำทาแป้งแต่งตัวหวีหัวหาเหาเกล้าผมมวย
ได้ยินแว่วสำเนียงเสียงหมาเห่าคิดว่าวัวเข้าในสวนกล้วย
จึงออกมาเผยแกลอยู่แร่รวยตวาดด้วยสุรเสียงสำเนียงนาง
พอเหลือบเห็นระเด่นลันไดอรไทผินผันหันข้าง
ชม้อยชม้ายชายเนตรดูพลางชะน้อยฤๅรูปร่างราวกับกลึง
งามกว่าภัสดาสามีทั้งเมืองตานีไม่มีถึง
เกิดกำหนัดกลัดกลุ้มรุมรึงนางตะลึงแลดูพระภูมี
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นพระสุวรรณลันไดเรืองศรี
เหลียวพบสบเนตรนางตานีภูมีพิศพักตร์ลักขณา
ฯ ๒ คำ ฯ
 ชมโฉม
  สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูดงามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตาทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้ายจมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียวโคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อมมันน่าเชยน่าชมนางเทวี
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  นี่จะเป็นลูกสาวท้าวพระยาฤๅว่าเป็นพระมเหสี
อกใจทึกทักรักเต็มทีก็ทรงสีซอสุวรรณขึ้นทันใด
ฯ ๒ คำ ฯ
 พัดชา
  ยักย้ายร่ายร้องเป็นลำนำมีอยู่สองสามคำจำไว้ได้
สุวรรณหงษ์ถูกหอกอย่าบอกใครถูกแล้วกลับไปได้เท่านั้น
ฯ ๒ คำ ฯ
 ร่าย
  แล้วซ้ำสีอิกกระดิกนิ้วทำยักคิ้วแลบลิ้นเล่นขบขัน
เห็นโฉมยงหัวร่ออยู่งองันพระทรงธรรม์ทำหนักชักเฉื่อยไป
ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี
  เมื่อนั้นนางประแดะตานีศรีใส
สดับเสียงสีซอพอฤทัยให้วาบวับจับใจผูกพัน
ยิ่งคิดพิศวงพระทรงศักดิ์ลืมรักท้าวประดู่ผู้ผัวขวัญ
ทำไฉนจะได้พระทรงธรรม์มาเคียงพักตร์สักวันด้วยรักแรง
คิดพลางทางเข้าไปในห้องแล้วตักเอาข้าวกล้องมาสองแล่ง
ค่อยประจงลงใส่กระบะแดงกับปลาสลิดแห้งห้าหกตัว
แล้วลงจากบันไดมิได้ช้าเข้ามานอบนบจบเหนือหัว
เอาปลาใส่ย่ามด้วยความกลัวแล้วยอบตัวลงบังคมก้มพักตรา
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดให้แสนเสนหา
อะรามรักยักคิ้วหลิ่วตาพูดจาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้โลม
  งามเอยงามปลอดชีวิตพี่นี้รอดด้วยข้าวสาร
เป็นกุศลดลใจเจ้าให้ทานเยาวมาลย์แม่มีพระคุณนัก
พี่ขอถามนามท้าวเจ้ากรุงไกรชื่อเรียงเสียงไรไม่รู้จัก
เจ้าเป็นพระมเหสีที่รักฤๅนงลักษณ์เป็นราชธิดา
รูปร่างอย่างว่ากะลาสีพี่ให้มีใจรักเจ้าหนักหนา
ว่าพลางเข้าใกล้กัลยาพระราชาฉวยฉุดยุดมือไว้
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  ทรงเอยทรงกระสอบทำเล่นเห็นชอบฤๅไฉน
ไม่รู้จักมักจี่นี่อะไรมาเลี้ยวไล่ฉวยฉุดยุดข้อมือ
ยิ่งว่าก็ไม่วางทำอย่างนี้พระจะมีเงินช่วยข้าด้วยฤๅ
อวดว่ากล้าแข็งเข้าแย่งยื้อลวนลามถามชื่อน้องทำไม
น้องมิใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือยหยาบเหมือนขี้เลื่อยเมื่อหัวไหล่
ลูกเขาเมียเขาไม่เข้าใจบาปกรรมอย่างไรก็ไม่รู้
ฯ ๖ คำ ฯ
 ชาตรี
  ดวงเอยดวงไต้สบถได้เจ็ดวัดทัดสองหู
ความจริงพี่มิเล่นเป็นเช่นชู้จะร่วมเรียงเคียงคู่กันโดยดี
ถึงมิใช่ตัวเปล่าเจ้ามีผัวพี่ไม่กลัวบาปดอกนะโฉมศรี
อันนรกตกใจไปใยมียมพระบาลกับพี่เป็นเกลอกัน
เพียงจับมือถือแขนอย่าแค้นเคืองจะให้น้องสองเฟื้องอย่าหุนหัน
แล้วแก้เงินในไถ้ออกให้พลันนี่แลขันหมากหมั้นกัลยา
พอดึกดึกสักหน่อยนะน้องแก้วพี่จะลอดล่องแมวขึ้นไปหา
โฉมเฉลาเจ้าจงได้เมตตาเปิดประตูไว้ท่าอย่าหลับนอน
ฯ ๘ คำ ฯ
 ร่าย
  ทรงเอยทรงกระโถนอย่ามาพักปลอบโยนให้โอนอ่อน
ไม่อยากได้เงินทองของภูธรนางเคืองค้อนคืนให้ไม่อินัง
ช่างอวดอ้างว่านรกไม่ตกใจคนอะไรอย่างนี้ก็มีมั่ง
เชิญเสด็จรีบออกไปนอกวังอย่ามานั่งวิงวอนทำค่อนแคะ
เพียงแต่รู้จักกันกระนั้นพลางพอเป็นทางไมตรีกระนี้แหละ
เมื่อพระอดข้าวปลาจึงมาแวะน้องฤๅชื่อประแดะดวงใจ
ท่านท้าวประดู่ผู้เป็นผัวยังไปเลี้ยงวัวหากลับไม่
แม้นชักช้าชีวันจะบรรลัยเร่งไปเสียเถิดพระราชา
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดยิ้มเยาะหัวเราะร่า
เราไม่เกรงกลัวอิทธิ์ฤทธาท้าวประดู่จะมาทำไมใคร
พี่ก็ทรงศักดากล้าหาญแต่ข้าวสารเต็มกระบุงยังแบกไหว
ปลาแห้งพี่เอาเข้าเผาไฟประเดี๋ยวใจเคี้ยวเล่นออกเป็นจุณ
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะเห็นความจะวามวุ่น
จึงนบนอบยอบตัวทำกลัวบุญไม่รู้เลยพ่อคุณนี้มีฤทธิ์
กระนั้นสิเมื่อพระเสด็จมาหมูหมาย่นย่อไม่รอติด
ขอพระองค์จงฟังยั้งหยุดคิดอย่าให้มีความผิดติดตัวน้อง
ท้าวประดู่ภูธรเธอขี้หึงถ้ารู้ถึงท้าวเธอจะทุบถอง
จงไปเสียก่อนเถิดพ่อรูปทองอย่าให้น้องชั่วช้าเป็นราคี
ว่าพลางทางสลัดปัดกรควักค้อนยักหน้าตาหยิบหยี
นาดกรอ่อนคอจรลีเดินหนีมิให้มาใกล้กราย
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดไม่สมอารมณ์หมาย
เห็นนางหน่ายหนีลี้กายโฉมฉายสลัดพลัดมือไป
มันให้ขัดสนยืนบ่นออดเจ้ามาทอดทิ้งพี่หนีไปได้
ตัวกูจะอยู่ไปทำไมก็ยกย่ามขึ้นไหล่ไปทั้งรัก
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
 ช้า
  เมื่อนั้นท้าวประดู่สุริวงศ์ทรงกระฏัก
เที่ยวเลี้ยงวัวล้าเลื่อยเหนื่อยนักเข้าหยุดยั้งนั่งพักในศาลา
วันเมื่อมเหสีจะมีเหตุให้กระตุกนัยเนตรทั้งซ้ายขวา
ตุ๊กแกตกลงตรงพักตราคลานไปคลานมาก็สิ้นใจ
แม่โคขึ้นสัดผลัดโคตัวผู้พิเคราะห์ดูหลากจิตคิดสงสัย
จะมีเหตุแม่นมั่นพรั่นพระทัยก็เลี้ยวไล่โคกลับเขาพารา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
 ร่าย
  ครั้นถึงขอบรั้วริมหัวป้อมพระวิ่งอ้อมเลี้ยวลัดสกัดหน้า
ไล่เข้าคอกพลันมิทันช้าเอาขี้หญ้าสุมควันกันริ้นยุง
ยืนลูบเนื้อตัวที่หัวบันไดแล้วเข้าในปรางค์รัตน์ผลัดผ้านุ่ง
ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างมุ้งเห็นกระบุงข้าวกล้องนั้นพร่องไป
ปลาสลิดในกระบายก็หายหมดพระทรงยศแสนเสียดายน้ำลายไหล
กำลังหิวข้าวเศร้าเสียใจก็เอนองค์ลงในที่ไสยา
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกมเหสีเข้ามานี่พุ่มพวงดวงยี่หวา
วันนี้มีใครไปมายังพาราเราบ้างฤๅอย่างไร
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะฟังความที่ถามไถ่
กราบทูลเยื้องยักกระอักกระไอร้อนตัวกลัวภัยพระภูมี
ตั้งแต่พระเสด็จไปเลี้ยงวัวน้องก็นอนซ่อนตัวอยู่ในที่
ไม่เห็นใครไปมายังธานีจงทราบใต้เกษีพระราชา
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดูได้ฟังให้กังขา
จึงซักไซ้ไล่เลียงกัลยาว่าไม่มีใครมาน่าแคลงใจ
ทั้งข้าวทั้งปลาของข้าหายเอายักย้ายขายซื้อฤๅไฉน
ฤๅลอบลักตักให้แก่ผู้ใดจงบอกไปนะนางอย่าพรางกัน
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะตกใจอยู่ไหวหวั่น
ด้วยแรกเริ่มเดิมทูลพระทรงธรรม์ว่าใครนั้นมิได้จะไปมา
ครั้นจะไม่ทูลความไปตามจริงก็เกรงกริ่งด้วยพิรุธมุสา
สารภาพกราบลงกับบาทาวอนว่าอย่าโกรธจงโปรดปราน
วันนี้มีหน่อกระษัตราเที่ยวมาสีซอขอข้าวสาร
น้องเสียมิได้ก็ให้ทานสิ้นคำให้การแล้วผ่านฟ้า
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ได้ฟังนึกกังขา
ใครหนอหน่อเนื้อกระษัตราเที่ยวมาสีซอขอทาน
เห็นจะเป็นอ้ายระเด่นลันไดที่ครอบครองกรุงใกล้เทวฐาน
มันเสแสร้งแกล้งทำมาขอทานจะคิดอ่านตัดเสบียงเอาเวียงชัย
จึงชี้หน้าว่าเหม่มเหสีมึงนี้เหมือนหนอนที่บ่อนไส้
ขนเอาปลาข้าวให้เขาไปวันนี้จะได้อะไรกิน
ถ้ามั่งมีศรีสุขก็ไม่ว่านี่สำเภาเลากาก็แตกสิ้น
แล้วมิหนำซ้ำตัวเป็นมลทินจะอยู่กินต่อไปให้คลางแคลง
เจ้าศรัทธาอาศัยอย่างไรกันฤๅกระนี้กระนั้นก็ไม่แจ้ง
จะเลี้ยงไว้ไยเล่าเมื่อข้าวแพงฉวยชักพระแสงออกแกว่งไกว
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะเลี้ยวลอดกอดเอวได้
เหมือนเล่นงูกินหางไม่ห่างไกลนึกประหวั่นพรั่นใจอยู่รัวรัว
โปรดก่อนผ่อนถามเอาความจริงเมื่อชั่วแล้วแทงทิ้งเถิดทูลหัว
อันพระสามีเป็นที่กลัวจะทำนอกใจผัวอย่าพึงคิด
พระหึงหวงมิได้ล่วงพระอาญาที่ให้ข้าวให้ปลานั้นข้าผิด
น้องนี้ทำชั่วเพราะมัวมิดทำไมกับชีวิตไม่เอื้อเฟื้อ
น้องมิได้ศรัทธาอาศัยจะลุยน้ำดำไฟเสียให้เชื่อ
ไม่มีอาลัยแก่เลือดเนื้อแต่เงื้อเงื้อไว้เถิดอย่าเพ่อแทง
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดูเดือดนักชักพระแสง
ถ้าบอกจริงให้กูอีหูแหว่งจะงดไว้ไม่แทงอย่าแย่งยุด
กูก็เคยเกี้ยวชู้รู้มารยามิใช่มึงโสดามหาอุด
มันเป็นถึงเพียงนี้ก็พิรุธถึงดำน้ำร้อยผุดไม่เชื่อใจ
ยังจะท้าพิสูจน์รูดลองพ่อจะถองให้ยับจนตับไหล
เห็นว่ากูหลงรักแล้วหนักไปเอออะไรนี่หวาน้ำหน้ามึง
หาเอาใหม่ให้ดีกว่านี้อีกผิดก็เสียเงินปลีกสองสลึง
กำลังกริ้วโกรธาหน้าตึงถีบผึงถูกตะโพกโขยกไป
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 โอ้
  เมื่อนั้นนางประแดะเจ็บจุกลุกไม่ไหว
ค่อยยืนยันกะเผลกเขยกไปเข้ายังครัวไฟร้องไห้โฮ
ร้อนดิ้นเร่าเร่าพ่อเจ้าเอ๋ยลูกไม่เคยโกหกพกโมโห
เสียแรงได้เป็นข้ามาแต่โซกลับพาลโกรธาด่าตี
น้องก็ไร้ญาติวงศ์พงศาหมายพึ่งบาทาพระโฉมศรี
โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่มีอยู่ถึงเมืองตานีเขาตีมา
ตะโพกโดกโดยเมียแทบคลาดถีบด้วยพระบาทดังชาติข้า
จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้ายาตายโหงตายห่าก็ตายไป
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 ร่าย
  เมื่อนั้นท้าวประดูได้ฟังดังเพลิงไหม้
ดูดู๋อีประแดะค่อนแคะได้กลับมาด่าได้อีใจเพชร
เอาแต่คารมเข้าข่มกลบกูจะจิกหัวตบเสียให้เข็ด
ชะช่างโศกาน้ำตาเล็ดกูรู้เช่นเห็นเท็จทุกสิ่งอัน
ฯ ๔ คำ ฯ
  ว่าพลางทางคว้าได้พร้าโต้ดุด่าตาโตเท่ากำปั้น
ผลักประตูครัวไฟเข้าไปพลันนางประแดะยืนยันลันกลอนไว้
ผลักมาผลักไปอยู่เป็นครู่จะเข้าไปในประตูให้จงได้
กระทืบฟากโครมครามความแค้นใจอึกกระทึกทั่วไปในพารา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  บัดนั้นพวกหัวไม้กระดูกผีขี้ข้า
บ่อนเลิกกินเหล้าเมากลับมาได้ยินเสียงเถียงด่ากันอื้ออึง
จึงหยุดนั่งข้างนอกริมคอกวัวว่าเมียผัวคู่นี้มันขี้หึง
พอพลบค่ำราตรีตีตะบึงอึงคงนักหนาน่าขัดใจ
แล้วคว้าก้อนอิฐปาเข้าฝาโผงตกถูกโอ่งปาล้อแลหม้อไห
พลางตบมือร้องเย้ยเผยไยไยแล้ววิ่งไปทางตะพานบ้านตะนาว
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ตาพองร้องบอกกล่าว
หยิบงอบครอบหัวตัวสั่นท้าวอ้ายพ่อจ้าวชาวบ้านวานช่วยกัน
วัวน้ำวัวหลวงกูได้เลี้ยงอิฐมาเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่น
สาเหตุมีมาแต่กลางวันคงได้เล่นเห็นกันอ้ายลันได
ทั้งนี้เพราะอีมะเหเสือจะกินเลือดกินเนื้อกูให้ได้
ขว้างวังครั้งนี้ไม่มีใครชู้มึงฤๅมิใช่อีมารยา
พระฉวยได้ไม้ยุงปัดกวัดแกว่งสำคัญว่าพระแสงขึ้นเงื้อง่า
เลี้ยวไล่ฟาดฟันกัลยาวิ่งมาวิ่งไปอยู่ในครัว
ฯ ๘ คำ ฯ
 สับไทย
  เหม่เหม่ดูดู๋อีประแดะที่นี้แหละเห็นประจักษ์ว่ารักผัว
หากกูรู้ตัวหัวไม่แตกแตน
ขว้างแล้วหนีไปมิได้ตอบแทน
ยิ่งคิดยิ่งแค้นเลี้ยวแล่นไล่ตี
ฯ ๔ คำ ฯ
 รื้อ
  ทรงเอยทรงกระบอกน้องไม่เห็นด้วยดอกพระโฉมศรี
ปาวังครั้งนี้มิใช่ชู้น้อง
สืบสมดังว่าสัญญาให้ถอง
วิ่งพลางทางร้องตีน้องทำไม
ฯ ๔ คำ ฯ
  เหลือเอยเหลือเถนขัดเขมนขบฟันมันไส้
ปรานีมึงไยใครใช้มีชู้
ไม่เลี้ยงเป็นเมียไปเสียอย่าอยู่
รั้ววังของกูปิดประตูตีแมว
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  เมื่อนั้นนางประแดะเหนื่อยอ่อนลงนอนแส้ว
ยกมือท่วมหัวลูกกลัวแล้วกอดก้นผัวแก้วเข้าคร่ำครวญ
ฯ ๒ คำฯ
 โอ้
  โอ้พระยอดตองของน้อยเอ๋ยกระไรเลยช่างสลัดตัดเด็ดด้วน
แม้นชั่วช้าจริงจังก็บังควรพ่อมาด่วนมุทะลุดุดันไป
จงตีแต่พอหลาบปราบพอจำจะเฝ้าเวียนเฆี่ยนซ้ำไปถึงไหน
งดโทษโปรดเถิดพระภูวไนยน้องยังไม่เคยไกลพระบาทา
ถึงไม่เลี้ยงเป็นพระมเหสีจะขอพึ่งบารมีเป็นขี้ข้า
ไม่ถือว่าเป็นผัวเพราะชั่วช้าจะก้มหน้าเป็นทาสกวาดขี้วัว
สิบคนเข้าไม่เท่าคนหนึ่งออกอยู่กับคอกช่วยใช้พ่อทูลหัว
ร่ำพลางทางทุ่มทอดตัวตีอกชกหัวแล้วโศกา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 ร่าย
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ได้ฟังนางร่ำว่า
ให้นึกสมเพชเวทนาน้ำตาไหลนองสักสองครุ
หวนรำลึกนึกถึงอ้ายลันไดกลับเจ็บใจไม่เหือดเดือดดุ
โมโหมืดหน้าบ้ามุทะลุกระดูกผุเมื่อไรก็ไม่ลืม
กูไม่อยากเอาไว้ใช้สอยนึกว่าปล่อยสิงห์สัตว์วัดสามปลื้ม
แต่ชั้นทอผ้ายังคาฟืมดีแต่ยืมเขากินอีสิ้นอาย
แม่เรือนเช่นนี้มิเป็นผลมันจะลวงล้วงก้นจนฉิบหาย
ไปเสียมึงไปไม่เสียดายกูจะเป็นพ่อหม้ายสบายใจ
สาวสาวชาววังก็ยังถมไม่ปรารมภ์ปรารี้จะมีใหม่
เก็บเงินค่านมผสมไว้หาไหนหาได้ไม่ทุกข์ร้อน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะหูกลวงดวงสมร
สุดที่จะพรากจากจรบังอรข้อนทรวงเข้าร่ำไร
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้
  โอ้พ่อใจบุญของเมียเอ๋ยแปดค่ำพ่อเคยเชือดคอไก่
ต้มปลาร้าตั้งหม้อกับหน่อไม้เมียยังอาลัยได้อยู่กิน
พราะเคยรีดนมวัวให้เมียขายแม้สายที่ยังไม่หมดสิ้น
เหลือติดก้นกระบอกเอาจอกรินให้เมียกินวันละนิดคิดทุกวัน
แต่พอพลบรบเมียเข้ากระท่อมพ่อนั่งกล่อมจนหลับแล้วรับขวัญ
ในมุ้งยุงชุมพ่อสุมควันสารพันทรงศักดิ์จะรักเมีย
จะกินอยู่พูวายสบายใจพ่อมอบไว้ให้วันละสิบเบี้ย
อกน้องดังไฟไหม้ลามเลียจะทิ้งเมียเสียได้ไม่ไยดี
เที่ยงนางกลางคืนพ่อทูลหัวจะให้ออกนอกรั้วลูกกลัวผี
ก้นไต้ก้นไฟก็ไม่มีผลัดรุ่งพรุ่งนี้เถิดพ่อคุณ
ถึงจะไม่ได้อยู่บนตำหนักขอพึ่งพักอาศัยเพียงใต้ถุน
ยกโทษโปรดเถิดพ่อใจบุญเสียแรงได้เลี้ยงขุนมีคุณมา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ได้ฟังชังน้ำหน้า
น้อยฤๅอีขี้เค้าเจ้าน้ำตายังจะร่ำไรว่ากวนใจกู
เมินเสียเถิดหวาอีหน้ารุ้งอย่าพูดอยู่ข้างมุ้งรำคาญหู
ไสหัวมึงออกนอกประตูขืนอยู่ช้าไปได้เล่นกัน
ว่าพลางปิดบานทวารโผงเข้าในห้องท้องพระโรงขมีขมัน
ยกหม้อตุ้งก่าออกมาพลันพระทรงศักดิ์ชักควันโขมงไป
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่
แล้วข่มขืนกลืนกลั้นชลนัยน์จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้าการ
แต่ทุบตีมิหนำแล้วซ้ำขับให้อายอับเพื่อนรั้วหัวบ้าน
เช้าค่ำร่ำว่าด่าประจานใครจะทานทนได้ในฝีมือ
กูจะหาผัวใหม่ให้ได้ดีเอาโยคีกินไฟไม่ได้ฤๅ
ไหนไหนชาวเมืองก็เลื่องฦๅอึงอื้ออับอายขายพักตรา
คว้าถุงเบี้ยได้ใส่กระจาดฉวยผ้าแพรขาดขึ้นพาดบ่า
ลงจากบันไดไคลคลาน้ำตาคลอคลอจรลี
ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย
 โอ้ร่าย
  ครั้นมาพ้นคอกวัวรั้วตรางเหลียวหลังดูปรางค์ปราสาทศรี
เคยได้ค้างกายมาหลายปีครั้งนี้ตกยากจะจากไป
หยุดยืนสะอื้นอยู่อืดอืดเดือนก็มืดเต็มทีไม่มีไต้
ฝนตกพรำพรำทำอย่างไรก็หยุดยืนร้องไห้อยู่ที่ร้าน
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
 ช้า
  เมื่อนั้นโฉมระเด่นลันไดใจหาญ
ครั้นพลบค่ำเข็นบันไดไว้นอกชานยกเชิงกรานสุมไฟใส่ฟืนตอง
แล้วเอนองค์ลงเหนือเสื่อกระจูดนอนนิ่งกลิ้งทูดอยู่ในห้อง
เสนาะเสียงสำเนียงพิราบร้องครางกระหึมครึ้มก้องบนกบทู
แว่วแว่วเค้าแมวในกลีบเมฆดูวิเวกลงหลังคาเที่ยวหาหนู
พระเผยบัญชรแลชะแง้ดูดาวเดือนรุบรู่ไม่เห็นตัว
พระพายชายพัดอุตพิดพระทรงฤทธิ์เต็มกลั้นจนสั่นหัว
หอมชื่นดอกอัญชันที่คันรั้วฟุ้งตระหลบอบทั่วทั้งวังใน
ฯ ๘ คำ ฯ
 ร่าย
  หวนรำลึกนึกถึงนางประแดะที่นัดแนะแต่เย็นเป็นไฉน
ดึกแล้วแก้วตาเห็นช้าไปจะร้องไห้รำพึงถึงพี่ชาย
จำจะไปให้ทันดังสัญญาได้ย่องเบาเข้าหานางโฉมฉาย
จึงอาบน้ำทาแป้งแต่งกายสวมประคำดีควายสำหรับตัว
แหงนดูฤกษ์บนฝนพยับเดือนดับลับเมฆขมุกขมัว
ลงบันไดเดินออกมานอกรั้วโพกหัวกลัวอิฐคิดระอา
หลายครั้งตั้งแต่มันทิ้งกูพระโฉมตรูเหลือบซ้ายแลขวา
แล้วผาดแผลงสำแดงเดชาเดินมาตามตรอกซอกกำแพง
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
  ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงคอกโคขังจะเข้าได้ดอกกระมังยังไม่แจ้ง
เห็นกองไฟใส่สุมอยู่แดงแดงแอบแฝงฟังอยู่ดูท่าทาง
เห็นทีท้าวประดู่ผู้ผัวจะนอนเฝ้าวัวอยู่ข้างล่าง
แต่โฉมศรีนิฤมลอยู่บนปรางค์กูจะขึ้นหานางทางล่องแมว
จึงกลิ้งครกที่ใต้ถุนเข้าหนุนตีนพระโฉมฉายป่ายปีนอยู่แด่วแด่ว
อกใจไม้ครูดขูดเป็นแนวจะเห็นรักบ้างแล้วฤๅแก้วตา
พระประหวั่นพรั่นตัวกลัวจะตกทำหนูกกเจาะเจาะเกาะข้างฝา
ไฉนไม่คอยกันดังสัญญาอนิจจานอนได้ไม่คอยรับ
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดู่สุริวงศ์โก้งโค้งหลับ
พอปราสาทสะเทือนไหวตกใจวับลุกขยับนิ่งฟังนั่งหลับตา
คิดว่ามเหสีที่ถูกถองแสบท้องหายโกรธเข้ามาหา
ให้นึกสมเพชเวทนาสู้ทนทานด้านหน้ามาง้องอน
จะขับหนีตีไล่ไม่ไปจากอีร่วมเรือนเพื่อนยากมาแต่ก่อน
แล้วคลี่ผ้าคลุมหัวล้มตัวนอนพระภูธรทำเฉยเลยหลับไป
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดล้วงสลักชักกลอนได้
เปิดประตูเยื้องย่องเข้าห้องในเข้านั่งใกล้ในจิตคิดว่านาง
สมพาสยักษ์ลักหลับขึ้นทับบนท้าวประดู่เต็มทนอยู่ข้างล่าง
พระสร้วมสอดกอดไว้มิได้วางช้อนคางพลางจูบแล้วลูบคลำ
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ผุดลุกขึ้นปลุกปล้ำ
ตกใจเต็มทีว่าผีอำต่างคนต่างคลำกันวุ่นไป
เอ๊ะจริตผิดแล้วมิใช่ผีจะว่าพระมเหสีก็มิใช่
ขนอกรกหนักทักว่าใครตกใจฉวยตระบองร้องว่าคน
ลันไดโดดโผนโดนประตูท้าวประดู่ร้องโวยขโมยปล้น
ตะโกนเรียกเสนาสามนต์มันไม่มีสักคนก็จนใจ
ระเด่นโดดโลดออกมานอกรั้วผิดตัวแล้วกูอยู่ไม่ได้
ก็ผาดแผลงสำแดงฤทธิไกรวิ่งไปตามกำลังไม่รั้งรอ
ฯ ๘ คำ ฯ
  หมาหมูกรูไล่ไม่มีขวัญปล่อยชันสามขาเหมือนม้าห้อ
เต็มประดาหน้ามืดหืดขึ้นคอต้องหยุดยั้งรั้งรอมาตามทาง
ถึงโดยจะไล่ก็ไม่ทันผิดนักสู้มันแต่ห่างห่าง
พอแว่วสำเนียงเหมือนเสียงครางอยู่ในร้านริมข้างหนทางจร
เอ๊ะผีฤๅคนขนลุกซ่าพระหัตถ์คว้าฉวยอิฐได้สองก้อน
หยักรั้งตั้งท่าจะราญรอนนี่หลอกหลอนเล่นข้าฤๅว่าไร
ครั้นได้ยินเสียงชัดเป็นสัตรีจะลองฤทธิ์สักทีหาหนีไม่
กำหมัดเยื้องย่องมองเข้าไปแก่สาวคราวไหนจะใคร่รู้
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะนั่งซุ่มคลุมหัวอยู่
สาระวนโศกาน้ำตาพรูเห็นคนย่องมองดูก็ตกใจ
พอฟ้าแลบแปลบช่วงดวงพักตร์เห็นระเด่นรู้จักก็จำได้
ทั้งสองข้างถ้อยทีดีใจทรามวัยกราบก้มบังคมคัล
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นระเด่นเห็นนางพลางรับขวัญ
นั่งลงซักไซ้ไล่เลียงกันไฉนนั่นกัลยามาโศกี
พี่หลงขึ้นไปหานิจจาเอ๋ยไม่รู้เลยน้องแก้วแคล้วกับพี่
พี่ไปพบท้าวประดู่ผู้สามีเกิดอึงมี่ตึงตังทั้งพารา
มันจะกลับจับพี่เป็นผู้ร้ายจะฆ่าเสียให้ตายก็ขายหน้า
เขาจะค่อนติฉินนินทาอดสูเทวาสุราลัย
จะเอาเมียแล้วมิหนำซ้ำฆ่าผัวคิดกลัวบาปกรรมไม่ทำได้
พี่ขอถามสาวน้อยกลอยใจเป็นไฉนกัลยามาโศกี
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะดวงยี่หวามารศรี
สะอื้นพลางทางทูลไปทันทีทั้งนี้เพราะกรรมได้ทำไว้
ครั้งนี้มิชั่วก็เหมือนชั่วนางตีอกชกหัวแล้วร้องไห้
ยังจะกลับมาเยาะนี่เพราะใครดูแต่หลังไหล่เถิดพ่อคุณ
เขาขับหนีตีไล่ไสหัวส่งเพราะพระองค์ทำความจึงวามวุ่น
แต่รอดมาได้เห็นก็เป็นบุญอย่าอยู่เลยพ่อคุณเขาตีตาย
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดได้ฟังนางโฉมฉาย
เขม้นมองดูหลังยังไม่ลายพระจูบซ้ายจูบขวาห้าหกที
เอาพระหัตถ์ช้อนคางแล้วพลางปลอบอย่าพะอืดพะออบเลยโฉมศรี
จะละห้อยน้อยใจไปไยมีบุญพี่กับนางได้สร้างมา
อันระตูฤๅจะคู่กับนางอนงค์มิใช่วงศ์อสัญแดหวา
โฉมเฉลาเจ้าเหมือนบุษบาจรกาฤๅจะควรกับนวลน้อง
ถ้าเป็นระเด่นเหมือนเช่นพี่จึงควรที่ร่วมภิรมย์ประสมสอง
ตรัสพลางทางชวนนวลละอองเยื้องย่องนำหน้าพานางเดิน
ฯ ๘ คำ ฯ
  ครั้นถึงจึงขึ้นบนตำหนักตงหักกลัวจะตกงกเงิ่น
ค่อยพยุงจูงนางย่างดำเนินชวนเชิญโฉมเฉลาเข้าที่นอน
ลดองค์ลงเหลือที่ไสยาสน์พระยี่ภู่ปูลาดขาดสองท่อน
แล้วจึงมีมธุรสสุนทรอ้อนวอนโฉมเฉลาให้เข้ามุ้ง
ฯ ๔ คำ ฯ
 โอ้โลม
  โฉมเอยโฉมเฉิดเอนหลังบ้างเถิดจวนจะรุ่ง
เสียแรงพี่รักเจ้าเท่ากระบุงจะไปนั่งทนยุงอยู่ทำไม
เชิญมาร่วมเรียงเคียงเขนยอย่าทุกข์เลยที่จะหามาเลี้ยงให้
เรามั่งมีศรีสุขทุกข์อะไรเงินทองถมไปที่ในคลัง
แต่ข้าวสารให้ทานพี่นี้ฤๅไม่พักซื้อได้ขายเสียหลายถัง
ทั้งปลาแห้งปลาทูปูลังเสบียงกรังมีมากไม่ยากจน
ขี้คร้านขายนมวัวเหมือนผัวเจ้าพี่ได้เปล่าสารพัดไม่ขัดสน
จงนั่งกินนอนกินสิ้นกังวลพี่จะขวนขวายหาเอามาเลี้ยง
ว่าพลางทางตระโบมโลมเล้าอะไรเล่าฮึดฮัดเฝ้าวัดเหวี่ยง
อุแม่เอ๋ยมิให้เข้าใกล้เคียงจะตกเตียงลงไปแล้วแก้วกลอยใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้นนางประแดะคลุ้มคลั่งผินหลังให้
ถอยถดขยดหนีภูวไนยนี่อะไรน่าเกลียดเบียดคะยิก
ลูกผัวหัวท้ายเขาไม่ขาดทำประมาทเปล่าเปล่าเฝ้าหยุกหยิก
ปัดกรค้อนควักผลักพลิกอย่าจุกจิกกวนใจไม่สบาย
อย่าพักอวดสมบัติพัสถานไม่ต้องการดอกจะสู้อยู่เป็นหม้าย
หนีศึกปะเสือเบื่อจะตายเฝ้ากอดก่ายไปได้ไม่ละวาง
ฯ ๖ คำ ฯ
 ชาตรี
  สุดเอยสุดลิ่มเชิญผินหน้ามายิ้มกับพี่บ้าง
เฝ้าถือโทษโกรธเกรี้ยวไปเจียวนางไม่เห็นอกพี่บ้างที่อย่างนั้น
เหมือนน้ำอ้อยใกล้มดใครอดได้พี่ก็ไม่มีคู่ตุนาหงัน
ตั้งแต่นวดปวดท้องมาสองวันใครจะกลั้นอดทนพ้นกำลัง
ทำไมกับลูกผัวกลัวมันไยผิดก็เสียสินไหมให้ห้าชั่ง
จูบเชื่อเสียก็ได้แล้วไม่ฟังลูบหน้าลูบหลังนั่งแอบอิง
น้อยฤๅนมแต่ละข้างช่างครัดเคร่งปลั่งเปล่งใจหายคล้ายกล้วยปิ้ง
อุ้มขึ้นใส่ตักรักจริงจริงอย่าสะบิ้งสะบัดตัดไมตรี
ยิ่งดิ้นยิ่งกอดสอดสัมผัสอุยหน่าอ่ากัดพระหัตถ์พี่
ปัดป้องว่องไวอยู่ในทีจนล้มกลิ้งลงบนที่บรรทมใน
อัศจรรย์ลั่นพิลึกกึกก้องฟ้าร้องครั่นครื้นดังปืนใหญ่
เกิดพายุโยนยวบสวบสาบไปหลังคาพาไลแทบเปิดเปิง
ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง
คางคกขึ้นกระโดดโลดลองเชิงอึ่งอ่างเริงร่าร้องแล้วพองคอ
นกกระจอกออกจากวิมานมะพร้าวต้องฝนทนหนาวอยู่งอนหง่อ
ขนคางหางปีกเปียกจนมอซอฝนก็พอขาดเม็ดเสร็จบันดาล
ฯ ๑๖ คำ ฯ โลม
 ช้า
  เมื่อนั้นนางประแดะหูกลวงห่วงสงสาร
ได้ร่วมรักชักเชยก็ชื่นบานเยาวมาลย์หมอบเมียงเคียงกาย
แล้วเชิญหม้อตุ้งก่าออกมาตั้งนางนั่งเป่าชุดจุดถวาย
ทรงศักดิ์ชักพลางทางยิ้มพรายโฉมฉายขวั้นอ้อยคอยแก้คอ
ถูกเข้าสามจะหลิ่มยิ้มแหยะนางประแดะสรวลสันต์กลั้นหัวร่อ
พระโฉมยงทรงขับรับเพลงซอฉลองหอทรงธรรม์แล้วบรรทม
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
 ช้า
  มาจะกล่าวบทไปถึงนางกระแอทวายขายขนม
เจ้าเงินโปรดปรานพานอุดมนุ่งห่มผืนผ้าค่าบาทเฟื้อง
ผูกดอกออกจากฟากเรือนนายลดเลี้ยวเที่ยวขายข้าวเหนียวเหลือง
ตามตลาดเสาชิงช้ามาเนืองเนืองปลดเปลื้องเฟื้องไพได้ทุกวัน
กับโฉมยงองค์ระเด่นลันไดรักใคร่กันอยู่ก่อนเคยผ่อนผัน
เชื่อถือซื้อขายเป็นนิรันดร์เว้นวันสองวันหมั่นไปมา
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  วันเอยวันหนึ่งคิดถึงลันไดจะไปหา
นึ่งข้าวเหนียวใส่กระจาดยาตราตรงมาหาชู้คู่ชมเชย
เที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร้องแล้วท่องเที่ยวซื้อข้าวเหนียวหน้ากุ้งกินแม่เอ๋ย
ที่รู้จักทักถามกันตามเคยบ้างเยาะเย้ยหยอกยื้อซื้อหากัน
พอเวลาตลาดวายสายแสงกระเดียดตะแกรงกรีดกรายผายผัน
ทอดกรอ่อนคอจรจรัลมาปราสาทสุวรรณเจ้าลันได
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
  ครั้นถึงจึงขึ้นบนนอกชานเห็นทวารบานปิดคิดสงสัย
ทั้งเสียงคนพูดกันอยู่ชั้นในทรามวัยแหวกช่องมองดู
เห็นโฉมยงองค์ประแดะกับระเด่นคลี่ผ้าหาเล็นกันง่วนอยู่
โมโหมืดหน้าน้ำตาพรูดังหัวหูจะแยกแตกทำลาย
นี่เมียอ้ายประดู่อยู่หัวป้อมไยจึงมายินยอมกันง่ายง่าย
ทั้งสี่จักรยักหล่มถ่มร้ายมันจะให้ฉิบหายขายตน
ชิชะเจ้าระเด่นพึ่งเห็นฤทธิ์แต่ผ้านุ่งยังไม่มิดจะปิดก้น
จองหองสองเมียจะเสียคนคิดว่ายากจนเฝ้าปรนปรือ
จึงแกล้งเรียกพลันเจ้าลันไดค่าข้าวเหนียวสองไพไม่ให้ฤๅ
ผ่อนผัดนัดหมายมาหลายมื้อแม่จะยื้อให้อายขายหน้าเมีย
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นโฉมระเด่นลันไดแรกได้เสีย
กำลังนั่งเคล้าเฝ้าคลอเคลียชมโฉมโลมเมียอยู่ริมมุ้ง
ยกบาทพาดเพลาเกาสีข้างสัพยอกหยอกนางอย่างลิงถุง
แล้วยื่นมือมาจี้เข้าที่พุงนางสะดุ้งดุกดิกพลิกตะแคง
เขาจะนอนดีดีเฝ้าจี้ไชช่างกระไรหน้าเป็นเอ็นแข็ง
จะนิ่งอยู่สักประเดี๋ยวทำเรี่ยวแรงมาแหย่แย่งกวนใจไปทีเดียว
พอระเด่นได้ยินเสียงเรียกหาก็รู้ว่าชู้เก่าเจ้าข้าวเหนียว
จึงร้องว่าใครนั่นขันจริงเจียวจะมาเที่ยวจัณฑาลพาลเอาความ
ค่าข้าวเหนียวสองไพข้าให้แล้วมาทำเสียงแจ้วแจ้วไม่เกรงขาม
ไม่ได้ติดค้างมาอย่าวู่วามลุกลามสิ้นทีมีแต่อึง
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
  เมื่อนั้นนางทวายยิ่งพิโรธโกรธขึ้ง
ยืนกระทืบนอกชานอยู่ตึงตึงหวงหึงด่าว่าท้ายทาย
นี่แน่อ้ายสำเร็จเจ็ดตะคุกมาลืมคุณข้าวสุกเสียง่ายง่าย
กูเชื่อหน้าคิดว่าลูกผู้ชายจึงสู้ขายติดค้างยังไม่รับ
ช่างโกหกพกลมประสมประสานจะประจานเสียให้สมที่สับปลับ
แต่เบี้ยติดสองไพยังไม่รับกูสิ้นนับถือแล้วอ้ายลันได
ฯ ๖ คำฯ
  เมื่อนั้นระเด่นตอบตามอัชฌาสัย
เขาขี้คร้านพูดจาอย่าหนักไปข้ารู้ใจเจ้าดอกกัลยา
เจ้าพิโรธโกรธขึ้งเพราะหึงหวงจึงจาบจ้วงล่วงเกินเป็นหนักหนา
ข้าผิดแล้วกลอยใจได้เมตตาเชิญเข้าเคหาปรึกษากัน
ฯ ๔ คำ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เนื้อเพลง