รำพันพิลาป เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ เป็นนิราศเชิงกำสรวลที่พรรณนาถึงชีวิตของตัวเอง สุนทรภู่ระบุไว้ในงานประพันธ์ว่าได้เขียนงานชิ้นนี้ขึ้นในปี พ.ศ. 2385 ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม เนื่องจากเกิดนิมิตเป็นฝันร้ายว่าจะต้องสิ้นชีวิต สุนทรภู่ตกใจตื่นจึงแต่งนิราศบรรยายความฝัน และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของตนไว้ หลังจากนั้นก็ลาสิกขาบท
เนื้อหาในนิราศทำให้ผู้อ่านได้ทราบเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของสุนทรภู่ซึ่งไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน ทำให้ทราบด้วยว่าสุนทรภู่เคยธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ มากมาย เช่น พิษณุโลก และได้แต่งนิราศเอาไว้ด้วย แต่งานเขียนของท่านถูกปลวกขึ้นกุฏิ จึงสูญสลายไปหมด สุนทรภู่รำพันความเสียดายหนังสือของตนไว้ในเนื้อเรื่องด้วยว่า "เสียดายสุดแสนรักเรื่องอักษร"
| ๏ สุนทร[๑]ทำคำประดิษฐ์นิมิตฝัน | |
| พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์ | จึ่งจดวันเวลาด้วยอาวรณ์ |
| แต่งไว้เหมือนเตือนใจจะได้คิด | ในนิมิตเมื่อภวังค์วิสังหรณ์ |
| เดือนแปดวันจันทวา[๒]เวลานอน | เจริญพรภาวนาตามบาลี |
| ระลึกคุณบุญบวชตรวจกสิณ | ให้สุขสิ้นดินฟ้าทุกราศี |
| เงียบสงัดวัดวาในราตรี | เสียงเป็ดผีหวีหวีดจังหรีดเรียง |
| หริ่งหริ่งเรื่อยเฉื่อยชื่นสะอื้นอก | สำเนียงนกแสกแถกแสกแสกเสียง |
| เสียงแมงมุมอุ้มไข่มาใต้เตียง | ตีอกเพียงผึงผึงตะลึงฟัง |
| ฝ่ายฝูงหนูมูสิกกิกกิกร้อง | เสียวสยองยามยินถวิลหวัง |
| อนึ่งผึ้งซึ่งมาทำประจำรัง | ริมบานบังบินร้องสยองเย็น |
| ยิ่งเยือกทรวงง่วงเหงาซบเซาโศก | ยามวิโยคยากแค้นสุดแสนเข็ญ |
| ไม่เทียมเพื่อนเหมือนจะพาเลือดตากระเด็น | เที่ยวซ่อนเร้นไร้ญาติหวาดวิญญาณ์ ฯ |
| [ระลึกความหลัง] | |
| ๏ แต่ปีวอก[๓]ออกขาดราชกิจ | บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา |
| เหมือนลอยล่องท้องชะเลอยู่เอกา | เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล |
| ดูฟากฝั่งหวังจะหยุดก็สุดเนตร | แสนเทวษเวียนว่ายสายกระแส |
| เหมือนทรวงเปลี่ยวเที่ยวแสวงทุกแขวงแคว | ได้เห็นแต่ศิษย์หาพยาบาล |
| ทางบกเรือเหนือใต้เที่ยวไปทั่ว | จังหวัดหัวเมืองสิ้นทุกถิ่นฐาน |
| เมืองพริบพรี[๔]ที่เขาทำรองน้ำตาล | รับประทานหวานเย็นก็เป็นลม |
| ไปราชพรี[๕]มีแต่พาลจังทานพระ | เหมือนไปปะบระเพ็ดเหลือเข็ดขม |
| ไปขึ้นเขาเล่าก็ตกอกระบม | ทุกข์ระทมแทบจะตายเสียหลายคราว ฯ |
| ๏ ครั้งไปด่านกาญจน์บุรีที่กะเหรี่ยง | ฟังแต่เสียงเสือสีห์ชะนีหนาว |
| นอนน้ำค้างพร่างพนมพรอยพรมพราว | เพราะเชื่อลาวลวงว่าแร่แปรเป็นทอง |
| ทั้งฝ่ายลูกถูกปอบมันลอบใช้ | หากแก้ได้ให้ไปเข้ากินเจ้าของ |
| เข้าวัสสามาอยู่ที่สองพี่น้อง[๖] | ยามขัดข้องขาดมุ้งริ้นยุงชุม |
| ทุกเช้าค่ำลำบากแสนยากยิ่ง | เหลือทนจริงเจ็บแสบใส่แกลบสุม |
| เสียงฉู่ฉู่หวู่ว่อนเวียนร่อนรุม | เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกัดนั่งปัดยุง |
| โอ้ยามยากอยากใคร่ได้เหล็กไหลเล่น | ทำทองเป็นปั้นเตาเผาถลุง |
| ลองตำราอาจารย์ทองบ้านจุง | จดเกลือหุงหายสูญสิ้นทุนรอน ฯ |
| ๏ คราวไปคิดปริศนาตามตาเถร | เขากาเพน[๗]พบมหิงส์ริมสิงขร |
| มันตามติดขวิดคร่อมอ้อมอุทร | หากมีขอนขวางควายไม่วายชนม์ |
| เดชะบุญคุณพระอนิสงส์ | ช่วยดำรงรอดตายมาหลายหน |
| เหตุด้วยเคราะห์เพราะว่าไว้วางใจคน | จึ่งจำจนใจเปล่าเปลืองเข้าเกลือ ฯ |
| ๏ โอ้ยามอยู่สุพรรณกินมันเผือก | เคี้ยวแต่เปลือกไม้หมากเปรี้ยวปากเหลือ |
| จนแรงโรยโหยหิวผอมผิวเนื้อ | พริกกับเกลือกลักใหญ่ยังไม่พอ |
| ทั้งผ้าพาดบาตรเหล็กของเล็กน้อย | ขโมยถอยไปทั้งเรือไม่เหลือหลอ |
| เหลือแต่ผ้าอาศัยเสียใจคอ | ชาวบ้านทอถวายแทนแสนศรัทธา ฯ |
| ๏ คิดถึงคราวเจ้านิพพาน[๘]สงสารโศก | ไปพิศีโลก[๙]ลายแทงแสวงหา |
| ลงหนองน้ำปล้ำตะเข้หากเทวดา | ช่วยรักษาจึ่งได้รอดไม่วอดวาย |
| วันไปอยู่ภูผาเขาม้าวิ่ง[๑๐] | เหนื่อยนอนพิงเพิงไศลหลับใจหาย |
| ครั้นดึกดูงูเหลือมเลื้อยเลื่อมลาย | ล้อมรอบกายเกี้ยวตัวกันผัวเมีย |
| หนีไม่พ้นจนใจได้สติ | สมาธิถอดชีวิตอุทิศเสีย |
| เสียงฟู่ฟู่ขู่ฟ่อเคล้าคลอเคลีย | แลบลิ้นเลียแล้วเลื้อยแลเฟื้อยยาว |
| ดูใหญ่เท่าเสากระโดงผีโป่งสิง | เป็นรูปหญิงยืนหลอกผมหงอกขาว |
| คิดจะตีหนีไปกลัวไม้ท้าว | โอ้เคราะห์คราวขึ้นไปเหนือเหมือนเหลือตาย ฯ |
| ๏ เมื่อขาล่องต้องตอเรือหล่อล่ม | เจียนจะจมน้ำม้วยระหวยระหาย |
| ปะหาดตื้นขึ้นรอดไม่วอดวาย | แต่ปะตายหลายหนหากทนทาน |
| แล้วมิหนำซ้ำบุตรสุดที่รัก | ขโมยลักหลายหนผจญผลาญ |
| ต้องต่ำต้อยย่อยยับอัประมาณ | มาอยู่วิหารวัดเลียบยิ่งเยียบเย็น |
| โอ้ยามจนล้นเหลือสิ้นเสื่อหมอน | สู้ซุ่มซ่อนเสียมิให้ใครใครเห็น |
| ราหูทับยับเยินเผอิญเป็น | เปรียบเหมือนเช่นพราหมณ์ชีมณีจันท์[๑๑] ฯ |
| ๏ จะสึกหาลาพระอธิฐาน | โดยกันดารเดือดร้อนสุดผ่อนผัน |
| พอพวกพระอภัยมณีศรีสุวรรณ | เธอช่วยกันแก้ร้อนค่อยหย่อนเย็น |
| อยู่มาพระสิงหะไตรภพโลก[๑๒] | เห็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ |
| ทุกค่ำคืนฝืนหน้าน้ำตากระเด็น | พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งนึก |
| ดังไข้หนักรักษาวางยาทิพย์ | ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก[๑๓] |
| ค่อยฝ่าฝืนชื่นฉ่ำดั่งอำมฤก | แต่ตกลึกเหลือที่จะได้สบาย ฯ |
| ๏ ค่อยเบาบางสร่างโศกเหมือนโรคฟื้น | จะเดินยืนยังไม่ได้ยังไม่หาย |
| ได้ห่มสีมีหมอนเสื่ออ่อนลาย | ค่อยคลายอายอุตส่าห์ครองฉลองคุณ |
| เหมือนพบปะพระสิทธาที่ปรารภ | ชุบบุตรลพเลี้ยงเหลือช่วยเกื้อหนุน |
| สนอมพักตร์รักษาด้วยการุญ | ทรงสร้างบุญคุณศีลเพิ่มภิญโญ |
| ถึงยากไร้ได้พึ่งหมือนหนึ่งแก้ว | พาผ่องแผ้วผิวพักตร์ขึ้นอักโข |
| พระฤๅษีที่ท่านช่วยชุบเสือโค[๑๔] | ให้เรืองฤทธิ์อิสโรเดโชชัย |
| แล้วไม่เลี้ยงเพียงแต่ชุบช่วยอุปถัมภ์ | พระคุณล้ำโลกาจะหาไหน |
| ช่วยชี้ทางกลางป่าให้คลาไคล | หลวิชัยคาวีจำลีลา |
| แต่ละองค์ทรงพรตพระยศยิ่ง | เป็นยอดมิ่งเมืองมนุษย์นี้สุดหา |
| จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา | พระชันษาสืบยืนอยู่หมื่นปี ฯ |
| ๏ เป็นคราวเคราะห์ก็ต้องพรากจากวิหาร | กลัวพวกพาลผู้ร้ายจำย้ายหนี |
| อยู่วัดเทพธิดา[๑๕]ด้วยบารมี | ได้ผ้าปีปัจจัยไทยทาน |
| ถึงยามเคราะห์ก็เผอิญให้เหินห่าง | ไม่เหมือนอย่างอยู่ที่พระวิหาร[๑๖] |
| โอ้ใจหายกลายกลับอัประมาณ | โดยกันดารเดือดร้อนไม่หย่อนเย็น |
| ได้พึ่งพระปะแพรพอแก้หน้า | สองวัสสาสิ้นงามถึงยามเข็ญ |
| คิดขัดขวางอย่างจะพาเลือดตากระเด็น | บันดาลเป็นปลวกปล่องขึ้นห้องนอน |
| กัดเสื่อสาดขาดปรุทะลุสมุด | เสียดายสุดแสนรักเรื่องอักษร |
| เสียแพรผ้าอาศัยไตรจีวร | ดูพรุนพลอนพลอยพาน้ำตาคลอ |
| ถึงคราวคลายปลายอ้อยบุญน้อยแล้ว | ไม่ผ่องแผ้วพักตราวาสนาหนอ |
| นับปีเดือนเหมือนจะหักทั้งหลักตอ | แต่รั้งรอร้อนรนกระวนกระวาย ฯ |
| ๏ ถึงเดือนยี่มีเทศน์สมเพชพักตร์ | เหมือนลงรักรู้ว่าบุญสิ้นสูญหาย |
| สู้ซ่อนหน้าฝ่าฝืนสะอื้นอาย | จนถึงปลายปีฉลู[๑๗]มีธุระ |
| ไปทางเรือเหลือสลดด้วยปลดเปลื้อง | ระคางเคืองข้องขัดสลัดสละ |
| ลืมวันเดือนเชือนเฉยแกล้งเลยละ | เห็นแต่พระอภัยพระทัยดี |
| ช่วยแจวเรือเกื้อหนุนทำบุญด้วย | เหมือนโปรดช่วยชูหน้าเป็นราศี |
| กลับมาถึงผึ้งมาจับอยู่กับกระฎี | ทำรังที่ทิศประจิมริมประตู |
| ต้องขัดเคืองเรื่องราวด้วยคราวเคราะห์ | จวบจำเพาะสุริยาถึงราหู |
| ทั้งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู | แม้นขืนอยู่ยากเย็นจะเห็นใคร |
| เครื่องกระฎีที่ยังเหลือแต่เสื่อขาด | เข้าไสยาศยุงกัดปัดไม่ไหว |
| เคยสว่างกลางคืนขาดฟืนไฟ | จะโทษใครเคราะห์กรรมจึ่งจำทน ฯ |
| ๏ โอ้อายเพื่อนเหมือนเขาว่ากิ่งกาฝาก | มิใช่รากรักเร่ระเหระหน |
| ที่ทุกข์สุขขุกเข็ญเกิดเป็นคน | ต้องคิดขวนขวายหารักษากาย |
| ได้พึ่งบ้างอย่างนี้เป็นที่ยิ่ง | สัจจังจริงจงรักสมัครหมาย |
| ไม่ลืมคุณพูนสวัสดิ์ถึงพลัดพราย | มิได้วายเวลาคิดอาลัย ฯ |
| ๏ จะลับวัดพลัดที่กระฎีตึก | สุดแต่นึกน้ำตามาแต่ไหน |
| เฝ้านองเนตรเช็ดพักตร์สักเท่าไร | ขืนหลั่งไหลรินร่ำน่ารำคาญ |
| คิดอายเพื่อนเหมือนเขาเล่าแม่เจ้านี่ | เร่ไปปีละร้อยเรือนเดือนละร้อยบ้าน |
| เพราะบุญน้อยย่อยยับอัประมาณ | เหลือที่ท่านอุปถัมภ์ช่วยบำรุง |
| ต่อเมื่อไรไปทำทองสำเร็จ | แก้ปูนเพชพบทองสักสองถุง |
| จะผาสุกทุกสิ่งนอนกลิ้งพุง | กินหมูกุ้งไก่เป็ดจนเข็ดฟัน |
| ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ | ซึ่งรูปทรงสัจศีลถวิลสวรรค์ |
| จะเที่ยวรอบขอบประเทศทุกเขตคัน | ขอความฝันวันนี้บอกดีร้าย ฯ |
| [หลับฝัน] | |
| ๏ แล้วร่ำภาวนาในพระไตรลักษณ์ | ประหารรักหนักหน่วงตัดห่วงหาย |
| หอมกลิ่นธูปงูบระงับหลับสบาย | ฝันว่าว่ายสายชะเลอยู่เอกา |
| สิ้นกำลังยังมีนารีรุ่น | รูปเหมือนหุ่นเหาะเร่ร่อนเวหา |
| ช่วยจูงไปไว้ที่วัดได้ทัศนา | พระศิลาขาวล้ำดั่งสำลี |
| ทั้งพระทองสององค์ล้วนทรงเครื่อง[๑๘] | แลเลื่อมเหลืองเรืองจำรัสรัศมี |
| พอเสียงแซ่แลหาเห็นนารี | ล้วนสอดสีสาวน้อยนับร้อยพัน |
| ล้วนใส่ช้องป้องพักตร์ดูลักขณะ | เหมือนนางสะสวยสมล้วนคมสัน |
| ที่เอกองค์ทรงศรีฉวีวรรณ[๑๙] | ดั่งดวงจันทร์แจ่มฟ้าไม่ราคี |
| ทั้งคมขำล้ำนางสำอางสะอาด | โอษฐ์เหมือนชาดจิ้มเจิมเฉลิมศรี |
| ใส่เครื่องทรงมงกุฎดั่งบุตรี | แก้วมณีเนาวรัตน์จำรัสเรือง |
| รูปจริตพิศไหนวิไลเลิศ | เหมือนหุ่นเชิดโฉมแช่มแฉล้มเหลือง |
| พอแลสบหลบชะม้ายชายชำเลือง | ดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม |
| ลำพระกรอ่อนชดประณตน้อม | แลละม่อมเหมือนหนึ่งเขียนวิเชียรโฉม |
| หรือชาวสวรรค์ชั้นฟ้านภาโพยม | มาประโลมโลกาให้อาวรณ์ |
| แปลกมนุษย์ผุดผ่องละอองพักตร์ | วิไลลักษณ์ล้ำเลิศประเสริฐสมร |
| ครั้นปราศรัยไถ่ถามนามกร | ก็เคืองค้อนขามเขินสะเทิ้นที |
| ขืนถามอีกหลีกเลี่ยงหลบเมียงม่าย | เหมือนอายชายเฉยเมินดำเนินหนี |
| นางน้อยน้อยพลอยตามงามงามดี | เก็บมาลีเลือกถวายไว้หลายพรรณ |
| แล้วชวนว่าอย่าอยู่ชมพูทวีป | นิมนต์รีบไปสำราญวิมานสวรรค์ |
| แล้วทรงรถกลดกั้งนางทั้งนั้น | นั่งที่ชั้นลดล้อมน้อมคำนับ |
| ที่นั่งทิพย์ลิบเลื่อนคล้อยเคลื่อนคล้าย | พรรณรายพรายเรืองเครื่องประดับ |
| ประเดี๋ยวเดียวเฉียวฉิบแลลิบลับ | จนลมจับวับใจอาลัยลาน ฯ |
| ๏ ซึ่งสั่งให้ไปสวรรค์ฤๅชันษา | จะมรณาในปีนี้เป็นปีขาล[๒๐] |
| แม้นเหมือนปากอยากใคร่ตายหมายวิมาน | ขอพบพานภัคินีของพี่ยา |
| ยังนึกเห็นเช่นโฉมประโลมโลก | ยิ่งเศร้าโศกแสนสวาทปรารถนา |
| ได้แนบชมสมคะเนสักเวลา | ถึงชีวาม้วยไม่อาลัยเลย |
| อยู่หลัดหลัดพลัดพรากไปฟากฟ้า | ให้ดิ้นโดยโหยหานิจจาเอ๋ย |
| ถึงชาตินี้พี่มิได้บุญไม่เคย | ขอชื่นเชยชาติหน้าด้วยอาวรณ์ |
| แม้นรู้เหาะก็จะได้ตามไปด้วย | สู้มอดม้วยมิได้ทิ้งมิ่งสมร |
| เสมอเนตรเชษฐาเวลานอน | จะกล่าวกลอนกล่อมประทับไว้กับทรวง |
| สายสุดใจไม่หลับจะรับขวัญ | ร้องโอดพันพัดชาช้าลูกหลวง[๒๑] |
| ประโลมแก้วแววตาสุดาดวง | ให้อุ่นทรวงไสยาศไม่คลาดคลาย |
| ยามกลางวันบรรทมจะชมโฉม | ขับประโลมข้างที่พัดวีถวาย |
| แม้นไม่ยิ้มหงิมเหงาจะเล่านิยาย | เรื่องกระต่ายตื่นตูมเหลือมูมมาม |
| ไม่รู้เหาะก็มิได้ขึ้นไปเห็น | แม้นเหมือนเช่นชาวสุธาภาษาสยาม |
| ถ้ารับรักจักอุตส่าห์พยายาม | ไปตามความคิดคงได้ปลงทอง ฯ |
| ๏ นี่จนใจไม่รู้จักที่หลักแหล่ง | สุดแสวงสวาทหมายไม่วายหมอง |
| เมื่อยามฝันนั้นว่านึกนั่งตรึกตรอง | เดือนหงายส่องแสงสว่างดั่งกลางวัน |
| เห็นโฉมยงองค์เอกเมขลา | ชูจินดาดวงสว่างมากลางสวรรค์ |
| รัศมีสีเปล่งดังเพ็งจันทร์ | พระรำพันกรุณาด้วยปรานี |
| ว่านวลระหงองค์นี้อยู่ชั้นฟ้า | ชื่อโฉมเทพธิดามิ่งมารศรี[๒๒] |
| วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้ | เหมือนหนึ่งพี่น้องสนิทร่วมจิตใจ |
| จะให้แก้วแล้วก็ว่าไปหาเถิด | มิให้เกิดการระแวงแหนงไฉน |
| ที่ขัดข้องหมองหมางเป็นอย่างไร | จะผันแปรแก้ไขด้วยใกล้เคียง ฯ |
| ๏ สดับคำฉ่ำชื่นจะยื่นแก้ว | แล้วคลาดแคล้วคลับคล้ายเคลิ้มหายเสียง |
| ทรงปักษาการเวกแฝงเมฆเมียง | จึ่งหมายเสี่ยงวาสนาอุตส่าห์คอย |
| เหมือนบุปผาปารึกชาติชื่น | สุดจะยื่นหยิบได้มีไม้สอย |
| ด้วยเดชะพระกุศลให้หล่นลอย | ลงมาหน่อยหนึ่งเถิดนะจะประคอง |
| มิให้เคืองเปลื้องปลดเสียยศศักดิ์ | สนอมรักร้อยปีไม่มีหมอง |
| แม้นมั่งมีพี่จะจ้างพวกช่างทอง | หล่อจำลองรูปวางไว้ข้างเคียง ฯ |
| [ตื่นนึกถึงความฝัน] | |
| ๏ คิดจนตื่นฟื้นฟังระฆังฆ้อง | กลองหอกลองทึ้มทึ้มกระหึ่มเสียง |
| โกกิลากาแกแซ่สำเนียง | โอ้นึกเพียงขวัญหายไม่วายวัน |
| วิสัยเราเล่าก็ไม่สู้ใฝ่สูง | นางฟ้าฝูงไหนเล่ามาเข้าฝัน |
| ให้เฟือนจิตกิจกรมพรหมจรรย์ | ฤๅสาวสวรรค์นั้นจะใคร่ลองใจเรา |
| ให้รักรูปซูบผอมตรมตรอมจิต | เสียจริตคิดขยิ่มง่วงหงิมเหงา |
| จะได้หัวเราะเยาะเล่นทุกเย็นเช้า | จึงแกล้งเข้าฝันเห็นเหมือนเช่นนี้ |
| แม้นนางอื่นหมื่นแสนแดนมนุษย์ | นึกกลัวสุดแสนกลัวเอาตัวหนี |
| สู้นิ่งนั่งตั้งมั่นถือขันตี | อยู่กระฎีดั่งสันดานนิพพานพรหม |
| รักษาพรตปลดปละสละรัก | เพราะน้ำผักต้มหวานน้ำตาลขม |
| คิดรังเกียจเกลียดรักหักอารมณ์ | ไม่นิยมสมสวาทเป็นขาดรอน ฯ |
| ๏ แต่ครั้งนี้วิปริตนิมิตฝัน | เฝ้าผูกพันมั่นหมายสายสมร |
| สาวสวรรค์ชั้นฟ้าจงถาวร | เจริญพรพูนสวัสดิ์กำจัดภัย |
| ซึ่งผูกจิตพิศวาสหมายมาดมุ่ง | มักนอนสะดุ้งด้วยพระขวัญจะหวั่นไหว |
| เสวยสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย | ช่วยเลื่อมใสโสมนัสสวัสดี ฯ |
| ๏ ขอเดชะพระอุมารักษาสวาท | ให้ผุดผาดเพียงพักตร์พระลักษมี |
| วิมานแก้วแววฟ้าฝูงนารี | คอยพัดวีแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง ฯ |
| ๏ ขอเดชะพระอินทร์ดีดพิณแก้ว | ให้เจื้อยแจ้วจับใจแจ่มใสเสียง |
| สาวสุรางค์นางรำระบำเรียง | คอยขับกล่อมพร้อมเพรียงเคียงประคอง |
| ขอพระจันทร์กรุณารักษาศรี | ให้เหมือนมณีนพเก้าอย่าเศร้าหมอง |
| เหมือนหุ่นเชิดเลิศล้วนนวลละออง | ให้ผุดผ่องผิวพรรณเพียงจันทรา ฯ |
| ๏ ขอพระพายชายเชยรำเพยพัด | ให้ศรีสวัสดิ์สว่างจิตกนิษฐา |
| หอมดอกไม้ในทวีปกลีบผกา | ให้หอมชื่นรื่นวิญญาณ์นิทรารมณ์ ฯ |
| ๏ ขอเดชะพระคงคารักษาสนอม | อย่าให้มอมมีระคายเท่าปลายผม |
| ให้เย็นเรื่อยเฉื่อยฉ่ำเช่นน้ำลม | กล่อมประทมโสมนัสสวัสดี ฯ |
| ๏ ด้วยเดิมฝันฉันได้ยลวิมลพักตร์[๒๓] | สุดแสนรักลักประโลมโฉมฉวี |
| ถวิลหวังตั้งแต่นั้นจนวันนี้ | ขออย่ามีโทษโปรดยกโทษกรณ์ |
| ด้วยเกิดเป็นเช่นมนุษย์บุรุษราช | มาหมายมาดนางสวรรค์ร่วมบรรจถรณ์ |
| ขอษมาการุญพระสุนทร[๒๔] | ให้ถาพรภิญโญเดโชชัย ฯ |
| ๏ อนึ่งโยมโฉมยงพระองค์เอก | มณีเมขลามาโปรดปราศรัย |
| จะให้แก้วแล้วอย่าลืมที่ปลื้มใจ | ขอให้ได้ดั่งประโยชน์โพธิญาณ |
| จะพ้นทุกข์สุขสิ้นมลทินโทษ | เพราะพระโปรดโปรยปรายสายสนาน |
| ให้หน้าชื่นรื่นรสพจมาน | เหมือนนิพพานพ้นทุกข์เป็นสุขสบาย |
| บวชตะบึงถึงตะบันน้ำฉันชื่น | ยามดึกดื่นได้สังวรอวยพรถวาย |
| เหมือนพระจันทร์กรุณาให้ตายาย | กับกระต่ายแต้มสว่างอยู่กลางวง |
| เหมือนวอนเจ้าสาวสวรรค์กระสันสวาท | ให้ผุดผาดเพิ่มผลาอานิสงส์ |
| ได้สมบูรณ์พูนเกิดประเสริฐทรง | ศีลดำรงร่วมสร้างพุทธางกูร |
| อันโลกีย์วิสัยที่ในโลก | ความสุขโศกสิ้นกายก็หายสูญ |
| เป็นมนุษย์สุดแต่ขอให้บริบูรณ์ | ได้เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย |
| ขอบุญพระจะให้อยู่ชมพูทวีป | ช่วยชุบชีพชูเชิดให้เฉิดฉาย |
| ไม่ชื่นเหมือนเพื่อนมนุษย์ก็สุดอาย | สู้ไปตายตีนเขาลำเนาเนิน ฯ |
| ๏ โอ้ปีนี้ปีขาล[๒๕]บันดาลฝัน | ที่หมายมั่นเหมือนจะหมางระคางเขิน |
| ก็คิดเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ | ให้ห่างเหินโหยหวนรำจวนใจ |
| จึงแต่งตามความฝันรำพันพิลาป | ให้ศิษย์ทราบสุนทราอัชฌาสัย |
| จะสั่งสาวชาวบางกอกข้างนอกใน | ก็กลัวภัยให้ขยาดพระอาชญา[๒๖] |
| จึ่งเอื้อมอ้างนางสวรรค์ตามฝันเห็น | ให้อ่านเล่นเป็นเล่ห์เสน่หา |
| ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา | รักแต่เทพธิดาสุราลัย[๒๗] ฯ |
| ๏ ได้ครวญคร่ำร่ำเรื่องเป็นเครื่องสูง | พอพะยุงยกย่องให้ผ่องใส |
| ทั้งสาวแก่แม่ลูกอ่อนลาวมอญไทย | เด็กผู้ใหญ่อย่าเฉลียวว่าเกี้ยวพาน |
| พระภู่[๒๘]แต่งแกล้งกล่าวสาวสาวเอ๋ย | อย่าถือเลยเคยเจนเหมือนเหลนหลาน |
| นักเลงกลอนนอนฝันเป็นสันดาน | เคยเขียนอ่านอดใจมิใคร่ฟัง |
| จะฝากดีฝีปากจะฝากรัก | ด้วยจวนจักจากถิ่นถวิลหวัง |
| ไว้อาลัยให้ละห้อยจะคอยฟัง | จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา ฯ |
| [รำพันถึงวัตถุสถานในวัด] | |
| ๏ โอ้ยามนี้ปีขาล[๒๙]สงสารวัด | เคยโสมนัสในอารามสามวัสสา[๓๐] |
| สิ้นกุศลผลบุญการุณา | จะจำลาเลยลับไปนับนาน |
| เคยเดินเล่นเย็นลมเลียบชมรอบ | ริมแขวงขอบเขตที่เจดียฐาน |
| พระปรางค์มีสี่ทิศพิสดาร[๓๑] | โบสถ์วิหารการเปรียญล้วนเขียนทอง |
| ที่หน้าบันปั้นอย่างเมืองกวางตุ้ง | ดูเรืองรุ่งรูปนกผกผยอง |
| กระเบื้องเคลือบเหลือบสลับเหลี่ยมรับรอง | ศาลาสองหน้ารอบขอบกำแพง[๓๒] |
| สิงโตจีนตีนตัวหน้ากลัวกลอก[๓๓] | ขยับขยอกแยกเขี้ยวเสียวแสยง |
| ที่ตึกก่อช่อฟ้าใบระกาแดง | ริมกำแพงตะพานขวางเคียงข้างคลอง |
| เป็นพลับพลาพาไลข้างในเสด็จ | เดือนสิบเบ็ดเคยประทานงานฉลอง |
| เล่นโขนหนังฟังปี่พาทย์ระนาดฆ้อง | ละคอนร้องเรื่องแขกฟังแปลกไทย |
| ประทานรางวัลนั้นไม่ขาดคนดาษดื่น | ทั้งวันคืนครื้นครั่นเสียงหวั่นไหว |
| จะวายเห็นเย็นเยียบเหงาเงียบใจ | โอ้อาลัยแลเหลียวเปลี่ยววิญญาณ์ ฯ |
| ๏ เคยอยู่กินถิ่นที่กระฎีก่อ | เป็นตึกต่อต่างกำแพงฝากแฝงฝา[๓๔] |
| เป็นสองฝ่ายท้ายวัดวิปัสสนา | ข้างโบสถ์บาเรียนเรียงเคียงเคียงกัน |
| เป็นสี่แถวแนวทางเดินหว่างกุฎิ์ | มีสระขุดเขื่อนลงพระสงฆ์ฉัน |
| ข้างทิศใต้ในจงกรมพรหมจรรย์ | มีพระคันธกุฎีที่บำเพ็ง[๓๕] |
| ศาลากลางทางเดินแลเพลินจิต | ประดับประดิษฐ์ดูดีเป็นที่เก๋ง[๓๖] |
| จะเริดร้างห่างแหสุดแลเล็ง | ยิ่งพิศเพ่งพาสลดกำสรดทรวง ฯ |
| ๏ หอระฆังดั่งทำนองหอกลองใหญ่ | ทั้งหอไตรแตรทอง[๓๗]เป็นของหลวง |
| ปลูกไม้รอบขอบนอกเป็นดอกดวง | บ้างโรยร่วงรสรื่นทุกคืนวัน |
| ชมพู่แลแต่ละต้นมีผลลูก | ดูดั่งผูกพวงระย้านึกน่าฉัน |
| ทรงบาดาลบานดอกรีบออกทัน[๓๘] | เก็บทุกวันเช้าเย็นไม่เว้นวาย ฯ |
| ๏ เห็นทับทิมริมกระฎีดอกยี่โถ | สะอื้นโอ้อาลัยจิตใจหาย |
| เห็นต้นชาหน้ากระไดใจเสียดาย | เคยแก้อายหลายครั้งประทังทน |
| ได้เก็บฉันวันละน้อยอร่อยรส | ด้วยยามอดอัตคัดแสนขัดสน |
| จะซื้อหาชาจีนทรัพย์สินจน | จะจากต้นชาให้อาลัยชา ฯ |
| ๏ โอ้ชาตินี้มีกรรมเหลือลำบาก | เหมือนนกพรากพลัดรังไร้ฝั่งฝา |
| โอ้กระฎีที่จะจากฝากน้ำตา | ไว้คอยลาเหล่านักเลงฟังเพลงยาว |
| เคยเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าเมื่อเราอยู่ | มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว |
| ยืมหนังสือลือเลื่องถามเรื่องราว | โอ้เป็นคราวเคราะห์แล้วจำแคล้วกัน[๓๙] ฯ |
| [รำพันถึงเครื่องไทยทาน] | |
| ๏ ระดูร้อนก่อนเก่าทำเข้าแช่ | น่าชมแต่เครื่องกับสำรับฉัน |
| ช่างทำเป็นเช่นดอกจอกเป็นดอกจันทน์ | งามจนชั้นกระชายทำเหมือนจำปา |
| มะม่วงดิบหยิบดูจึ่งรู้จัก | ทำน่ารักรูปสัตว์เหมือนมัจฉา |
| จะแลลับกลับกลายสุดสายตา | เคยไปมามิได้เห็นจะเว้นวาย ฯ |
| ๏ ตรุษสงกรานต์ท่านแต่งเครื่องแป้งสด | ระรื่นรสราเชนพุมเสนกระสาย |
| น้ำกุหลาบอาบอุระแสนสบาย | ถึงเคราะห์ร้ายหายหอมให้ตรอมทรวง |
| เหมือนแสนโง่โอ้เสียแรงแต่งหนังสือ | จนมีชื่อลือเลื่องทั้งเมืองหลวง |
| มามืดเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มดวง | ต้องเหงาง่วงทรวงเศร้าเปลี่ยวเปล่าใจ |
| จำจากเพื่อนเหมือนจะพาน้ำตาตก | ต้องระหกระเหินหาที่อาศัย |
| โอ้แสนอายปลายอ้อยเลื่อนลอยไป | เจ็บเจ็บใจไม่รู้หายซังตายทน ฯ |
| ๏ ที่อารีมีคุณการุญรัก | ได้เห็นพักตร์พบปะปีละหน |
| เข้าวัสสามาทั่วทุกตัวตน | ถวายต้นไม้กระถางต่างต่างกัน |
| ดูกิ่งใบไม้แซมติดแต้มแต่ง | ลูกดอกแฝงแกล้งประดิษฐ์ความคิดขยัน |
| พุ่มสีผึ้งถึงดีลิ้นจี่จันทน์ | ต้นแก้วกรรณิการ์มีสารพัด |
| ทำรูปพราหมณ์งามพริ้มแย้มยิ้มเยื้อน | กินนรเหมือนนางกินนรแขนอ่อนหยัด |
| ดูนางนั่งปลั่งเปล่งดูเคร่งครัด | หน้าเหมือนผัดผ่องผิวกรีดนิ้วนาง |
| รูปนกหกผกผินกินลูกไม้ | บ้างจับไซ้ขนพลิกพลิ้วปีกหาง |
| นกยางเจ่าเซาจกเหมือนนกยาง | รูปเสือกวางกบกระต่ายมีหลายพัน |
| ทำแปลกแปลกแขกฝาหรั่งทั้งเจ้าเงาะ | หน้าหวัวเราะรูปร่างคิ้วคางขัน |
| สุกรแกะแพะโผนเผ่นโดนกัน | ล้วนรูปปั้นต่างต่างเหมือนอย่างเป็น |
| จะแลลับนับปีครั้งนี้หนอ | ที่ชอบพอเพื่อนสำราญจะนานเห็น |
| ด้วยโศกสุมรุมร้อนไม่หย่อนเย็น | จงอยู่เป็นสุขสุขทุกทุกคน |
| ขอแบ่งบุญสุนทรถาวรสวัสดิ์ | ให้บริบูรณ์พูนสมบัติพิพัฒน์ผล |
| เกิดกองทองกองนากอย่ายากจน | เจริญพ้นภัยพานสำราญเริง ฯ |
| ๏ โอ้สงสารหลานสาวเหล่าข้าหลวง | เคยมาลวงหลงเชื่อจนเหลือเหลิง |
| ไม่รู้เท่าเจ้าทั้งนั้นเสียชั้นเชิง | เชิญบันเทิงเถิดนะหลานปากหวานดี |
| ได้ฉันลมชมลิ้นเสียสิ้นแล้ว | ล้วนหลานแก้วหลอกน้าต้องล่าหนี |
| จะนับเดือนเลือนลับไปนับปี | อยู่จงดีได้เป็นหม่อมให้พร้อมเพรียง[๔๐] ฯ |
| ๏ โอ้เดือนอ้ายไม่ขาดกระจาดหลวง | ใส่เรือพ่วงพวกแห่เซ็งแซ่เสียง |
| อึกกระทึกครึกโครมคบโคมเคียง | เรือรายเรียงร้องขับตีทับโทน |
| บ้างเขียนหน้าทาดำยืนรำเต้น | ลางลำเล่นงิ้วหนังมีทั้งโขน |
| พวกขี้เมาเหล่าประสกตลกโลน | ร้องโย้นโหยนโย้นฉับรับชาตรี |
| ล้วนเรือใหญ่ใส่กระจาดย่ามบาตรพร้อม | ของคุณหม่อมจอมมารดาเจ้าภาษี[๔๑] |
| ทั้งขุนนางต่างมาด้วยบารมี | ปี่พาทย์ตีเต้นรำทุกลำเรือ |
| ของขนมส้มสูกทั้งลูกไม้ | หมูเป็ดไก่กุ้งแห้งแตงมะเขือ |
| พร้าวอ่อนด้วยกล้วยอ้อยนับร้อยเครือ | จนล้นเหลือเกลือปลาร้าสารพัน |
| แล้วเราได้ไตรดีแพรสีแสด | สบงแปดคืบจัดเป็นสัตตขันธ์ |
| โอ้แต่นี้มิได้เห็นเหมือนเช่นนั้น | นับคืนวันปีเดือนจะเลื่อนลอย |
| เหลืออาลัยใจเอ่ยจะเลยลับ | เหลืออาภัพพูดยากเหมือนปากหอย |
| ให้เขินขวยด้วยว่าวาสนาน้อย | ต้องหน้าจ๋อยน้อยหน้าระอาอาย |
| ออกวัสสาผ้าสบงกระทงเข้า | พระองค์เจ้าจบพระหัตถ์จัดถวาย |
| ไม่แหงนเงยเลยกลัวเจ้าขรัวนาย | สำรวมกายก้มหน้าเกรงบารมี |
| สวดมนต์จบหลบออกข้างนอกเล่า | ปะแต่เหล่าสาวแซ่ห่มแพรสี |
| สู้หลับตามาจนสุดถึงกุฎี | เหมือนไม่มีตาตัวด้วยกลัวตาย ฯ |
| ๏ ตั้งแต่นี้มิได้หลบไม่พบแล้ว | จงผ่องแผ้วพักตร์เหมือนดั่งเดือนหงาย |
| จะเงียบเหงาเช้าเย็นจะเว้นวาย | โอ้ใจหายหมายมาดเคลื่อนคลาดคลา |
| เหมือนใบศรีมีงานท่านสนอม | เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทน์ให้หรรษา |
| พอเสร็จการท่านเอาลงทิ้งคงคา | ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง |
| เหมือนตัวเราเล่าก็พลอยเลื่อนลอยลับ | มิได้รับไทยทานดูงานฉลอง |
| โอ้ทองหยิบลิบลอยทั้งฝอยทอง | มิได้ครองไตรแพรเหมือนแต่เดิม ฯ |
| ๏ พระสิงหะพระอภัย[๔๒]พระทัยจืด | ไม่ยาวยืดยกยอชะลอเฉลิม |
| เมื่อกระนั้นจันทน์และกระแจะเจิม | ได้พูนเพิ่มเหิมฮึกอยู่ตึกราม |
| ครั้นเหินห่างร้างเริดก็เกิดทุกข์ | ไพรีรุกบุกเบียฬเป็นเสี้ยนหนาม |
| สู้ต่ำต้อยน้อยตัวเกรงกลัวความ | ด้วยเป็นยามยากจนจำทนทาน ฯ |
| ๏ ขอเดชะพระสยมบรมนาถ | เจ้าไกรลาสโลกามหาสถาน |
| ทรงงัวเผือกเงือกหงอนสังวรสังวาล | ถือพัดตาลตาไฟประลัยกัลป์ |
| ประกาศิตอิทธิเวทวิเศษประเสริฐ | ให้ตายเกิดสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ |
| ตรัสอย่างไรไปเป็นเหมือนเช่นนั้น | พระโปรดฉันเชิญช่วยอำนวยพร |
| เผื่อว่าจักรักใคร่ที่ไหนมั่ง | ให้สมหวังดังจำนงประสงค์สมร |
| ทรงเวทมนตร์ดลประสิทธิ์ฤทธิรอน | เจริญพรภิญโญเดโชชัย |
| ที่หวังชื่นกลืนกลั้นกระสันสวาท | อย่าแคล้วคลาดเคลือบแคลงแหนงไฉน |
| มิตรจิตขอให้มิตรใจไป | ที่มืดไม่เห็นห้องช่วยส่องเทียน ฯ |
| ๏ ขอเดชะพระนารายณ์อยู่สายสมุทร | พระโพกภุชงค์เฉลิมเสริมพระเศียร |
| มังกรกอดสอดประสานสังวาลเวียน | สถิตเสถียรแท่นมหาวาสุกรี |
| ทรงจักรสังข์ทั้งคทาเทพาวุธ | เหยียบบ่าครุฑเที่ยวทวาทศราศี |
| ขอมหาอานุภาพปราบไพรี | อย่าให้มีมารขวางระคางระคาย |
| ที่คนคิดริษยานินทาโทษ | พระเปลื้องโปรดปราบประยูรให้สูญหาย |
| ศัตรูเงียบเรียบร้อยจะลอยชาย | ไปเชยสายสุดสวาทไม่ขาดวัน ฯ |
| ๏ ขอเดชะพระมหาวายุพัด | พิมานอัศวราชเผ่นผาดผัน |
| ทรงสีเหลืองเครื่องไฟประลัยกัลป์ | กุมพระขรรค์กรดกระหวัดพัดโพยม |
| ขอเดชาวายุเวกจะเศกเวท | พอหลับเนตรพริบหนึ่งไปถึงโฉม |
| จะสอพลอฉอเลาะปะเหลาะประโลม | เหมือนกินโสมโศกสร่างสว่างทรวง |
| สุมามาลย์บานแบ่งแมลงภู่ | ขอสิงสู่สมสงวนไม่ควรหวง |
| จะเหือดสิ้นกลิ่นอายเสียดายดวง | จะหล่นร่วงโรยรสต้องอดออม ฯ |
| ๏ โอ้อกเอ๋ยเชยอื่นไม่ชื่นแช่ม | เชยที่แย้มยิ้มพรายไม่หายหอม |
| แต่หัสนัยน์ตรัยตรึงส์ท่านถึงจอม | ยังแปลงปลอมเปลื้องปลิดไพจิตรา |
| ได้บุตรีที่รักยักษ์อสูร | สืบประยูรอยู่ถึงดาวดึงสา |
| เราเป็นมนุษย์สุดรักต้องลักพา | เหมือนอินทราตรึงส์ตรัยเป็นไรมี ฯ |
| [รำพึงฝัน] | |
| ๏ อย่าประมาทชาติหมู่แมงภู่ผึ้ง | ประสงค์ซึ่งเสน่หาสร้อยสาหรี |
| ดูดอกไม้ในจังหวัดปัฐพี | ดวงใดดีมีกลิ่นรวยรินรส |
| พอบานกลีบรีบถึงลงคลึงเคล้า | ฟุบแฝงเฝ้าเฟ้นฟอนเกสรสด |
| สัจจังจริงมิ่งขวัญอย่ารันทด | ถ้ากลิ่นใกล้ได้รสเหลืออดออม |
| อันโกสุมพุ่มพวงดอกดวงนี้ | สร้อยสาหรีรำเพยระเหยหอม |
| ภมรมาดปรารถนาจึ่งมาตอม | ต้องอดออมอกตรมระทมทวี |
| แม้นรับรักหักว่าเมตตาตอบ | เมื่อผิดชอบผ่ายหน้าจะพาหนี |
| เหมือนอิเหนาเขาก็รู้ไม่สู้ดี | แต่เพียงพี่นี้ก็ได้ด้วยง่ายดาย |
| อย่าหลบหลู่ดูถูกแต่ลูกยักษ์ | เขายังลักไปเสียได้ดั่งใจหมาย |
| เหมือนตัวพี่นี้ก็ลือว่าชื่อชาย | รู้จักฝ่ายฟ้าดินชินชำนาญ |
| ถึงนัทีสีขเรศขอบเขตแขวง | ป้อมกำแพงแหล่งล้อมพร้อมทหาร |
| เดชะฤทธิ์วิทยาปรีชาชาญ | ช่วยบันดาลได้สมอารมณ์ปอง ฯ |
| ๏ จริงจริงนะจะไปอุ้มเนื้อนุ่มน่วม | ลงนั่งร่วมเรือกลพยนต์ผยอง |
| อยู่ท้ายพระจะได้เรียงเคียงประคอง | ครรไลล่องลอยชะเลเหมือนเภตรา |
| พอลมดีพี่จะให้ใช้ใบแล่น | ไปตามแผนที่ประเทศเพศภาษา |
| แสนสบายสายสมุทรสุดสายตา | เห็นแต่ฟ้าน้ำเขียวเปล่าเปลี่ยวทรวง |
| ในสาชลวนลึกโครมครึกคลื่น | สุดจะฝืนฝ่าชะเลหลวง[๔๓] |
| เห็นฝูงปลานาคินสิ้นทั้งปวง | เกิดในห้วงห้องมหาคงคาเค็ม |
| แขกฝาหรั่งมังค่าพวกพาณิช | สังเกตทิศถิ่นทางต้องวางเข็ม |
| เข้าประเทศเขตแดนเลียบแล่นเล็ม | เขาไปเต็มไปตามทางกลางนัที |
| ถ้าแม้นว่าปลาวาฬผุดผ่านหน้า | เรือไม่กล้าใกล้เคียงหลีกเลี่ยงหนี |
| แนวชลาน่าชมแม้นลมดี | ดูเร็วรี่เรือเรื่อยไม่เหนื่อยแรง |
| เย็นระรื่นคลื่นเรียบเงียบสงบ | มหรณพพลิบเนตรในเขตแขวง |
| แม้นควันคลุ้มกลุ่มกลมเป็นลมแดง | เป็นสายแสงเสียงลั่นสนั่นดัง |
| บัดเดี๋ยวคลื่นครื้นครึกสะทึกโถม | ขึ้นสาดโทรมดาดฟ้าคงคาขัง |
| เสียงฮือฮืออื้ออึงตูมตึงตัง | ด้วยกำลังลมกล้าสลาตัน ฯ |
| ๏ แต่เรือเราเบาฟ่องถึงต้องคลื่น | ก็ฝ่าฝืนฟูสบายแล่นผายผัน |
| แม่เห็นคลื่นครื้นเครงจะเกรงครัน | จะรับขวัญอุ้มน้องประคองเคียง |
| จะเขียนธงลงยันต์ปักกันคลื่น | ให้หายรื่นราบเรียบเงียบเซียบเสียง |
| จะแย้มสรวลชวนนั่งที่ตั่งเตียง | ให้เอนเอียงแอบอุ่นละมุนทรวง |
| จะแสนชื่นรื่นรสแป้งสดหอม | เห็นจะยอมหย่อนตามไม่ห้ามหวง |
| เหมือนได้แก้วแววฟ้าจินดาดวง | ไว้แนบทรวงสมคะเนทุกเวลา ฯ |
| ๏ ออกลึกซึ้งถึงที่ชื่อสะดือสมุทร | เห็นน้ำสุดสูงฟูมดั่งภูมผา |
| ดูพลุ่งพลุ่งวุ้งวงหว่างคงคา | สูดนาวาเวียนวนไม่พ้นไป |
| เรือลูกค้าพาณิชไม่ชิดเฉียด | แล่นก้าวเสียดหลีกลำตามน้ำไหล |
| แลชะเลเภตราบ้างมาไป | เห็นไรไรริ้วริ้วเท่านิ้วมือ |
| แม้นพรายน้ำทำฤทธิ์นิมิตรูป | สว่างวูบวงแดงดั่งแสงกระสือ |
| ต้องสุมไฟใส่ประโคมให้โหมฮือ | พัดกระพือเผาหนังแก้รังควาน ฯ |
| ๏ แต่ตัวพี่มีอุบายแก้พรายผุด | เศกเพลิงชุดเช่นกับไฟประลัยผลาญ |
| ทิ้งพรายน้ำทำลายวอดวายปราณ | มิให้พานพักตร์น้องอย่าหมองมัว |
| ดูปลาใหญ่ในสมุทรผุดพ่นน้ำ | มืดเหมือนคล้ำคลุ้มบดสลดสลัว |
| พุ่งทะลึ่งถึงฟ้าดูน่ากลัว | แต่ละตัวแต่ละโขดนับโยชน์ยาว |
| จะหยอกเย้าเฝ้ายั่วให้หวัวเราะ | ชวนชมเกาะกะเปาะกลมชื่อนมสาว |
| สาคเรศเขตแคว้นทุกแดนดาว | ดูเรือชาวเมืองใช้ใบไปมา |
| เรือสลัดตัดระกำร้อยลำหวาย | ทำเรือค่ายรายแล่นล้วนแน่นหนา |
| น้าวกระเชียงเสียงเฮสุเรสุรา | ใส่เสื้อผ้าโพกนั้นลงยันต์ราย |
| เหมือนเรือเปล่าเสากระโดงลดลงซ่อน | ปลอมเรือจรจับบรรดาลูกค้าขาย |
| ตัวคนได้ไม่ล้างให้วางวาย | เจาะตีนหวายร้อยส้นทุกคนไป ฯ |
| ๏ โดยหากว่าถ้าไปปะเรือสลัด | ศรีสวัสดิ์แววจะพรั่นประหวั่นไหว |
| จะอุ้มวางกลางตักสะพักไว้ | โบกธงชัยให้จังงังกำบังตา |
| แล้วจะใช้ใบเยื้องไปเมืองเทศ | ชมประเภทพวกแขกแปลกภาษา |
| ทั้งหนุ่มสาวเกล้ามวยสวยโสภา | แต่งกายาอย่างพราหมณ์งามงามดี |
| ล้วนนุ่งห่มโขมพัสตร์ถือสัจศิล | ใส่เพชรนิลแนมประดับสลับสี |
| แลพิลึกตึกตั้งล้วนมั่งมี | ชาวบุรีขี่รถบทจร ฯ |
| ๏ จะเชิญแก้วแววเนตรขึ้นเขตแคว้น | จัดซื้อแหวนเพชรรัตน์ประภัสสร |
| ให้สร่างทรวงดวงสุดาสถาวร | สว่างร้อนรับขวัญทุกวันคืน |
| จะระวังนั่งประคองเคียงน้องน้อย | ให้ใช้สอยสารพัดไม่ขัดขืน |
| กลืนไว้ได้ในอุระก็จะกลืน | ให้แช่มชื่นชมชะเลทุกเวลา ฯ |
| ๏ แล้วจะชวนนวลละอองตระกองอุ้ม | ให้ชมเพลินเนินมะงุมมะงาหรา |
| ไปเกาะที่อิเหนาชาวชะวา | วงศ์อสัญแดหวาน่าหวัวเราะ |
| จมูกโด่งโง้งงุ้มทั้งหนุ่มสาว[๔๔] | ไม่เหมือนกล่าวราวเรื่องหูเหืองเจาะ |
| ไม่เพริศพริ้งหญิงชายคล้ายคล้ายเงาะ | ไม่มีเหมาะหมดจดไม่งดงาม |
| ไม่แง่งอนอ้อนแอ้นแขนไม่อ่อน | ไม่เหมือนสมรเสมอภาษาสยาม[๔๕] |
| รูปก็งามนามก็เพราะเสนาะนาม | จะพาข้ามเข้าละเมาะเกาะมาลากา |
| เดิมของแขกแตกฝาหรั่งไปตั้งตึก | แลพิลึกครึกครื้นขายปืนผา |
| เมื่อครั้งนั้นปันหยีอุ้มวียะดา | ชี้ชมสัตว์มัจฉาในสาคร ฯ |
| ๏ แม้นเหมือนหมายสายสุดใจไปด้วยพี่ | จะช่วยชี้ชมตลิ่งเหล่าสิงขร |
| ประคองเคียงเอียงเอกเขนกนอน | ร้องละคอนอิเหนาเข้ามาลากา |
| แล้วจะใช้ใบบากออกจากฝั่ง | ไปชมละเมาะเกาะวังกัลพังหา |
| เกิดในน้ำดำนิลดั่งศิลา | เหมือนรุกขาขึ้นสล้างหว่างคีริน |
| ชะเลรอบขอบเขาเป็นเงาง้ำ | เวลาน้ำขึ้นกระเพื่อมถึงเงื้อมหิน |
| เห็นหุบห้องปล่องชลาฝูงนาคิน | ขึ้นมากินเกยนอนชะอ้อนเนิน |
| ภูเขานั้นวันหนึ่งแล่นจึ่งรอบ | เป็นเขตขอบเทพเจ้าจอมเขาเขิน |
| จะชื่นชวนนวลละอองประคองเดิน | เลียบเหลี่ยมเนินเพลินชมพนมนิล |
| จริงนะจ๊ะจะเก็บทั้งกัลพังหา | เม็ดมุกดาคลื่นสาดกลางหาดหิน |
| เบี้ยอี้แก้[๔๖]แลรอบขอบคีริน | ระรื่นกลิ่นไม้หอมมีพร้อมเพรียง |
| สะพรั่งต้นผลดอกออกไม่ขาด | ศิลาลาดลดหลั่นชั้นเฉลียง |
| จะค่อยเลียบเหยียบย่องประคองเคียง | เป็นพี่เลี้ยงเพียงพี่ร่วมชีวา |
| จำปาดะองุ่นหอมกรุ่นกลิ่น | ก้าแฝ่ฝิ่นสินธุต้นบุหงา |
| ด้วยเกาะนี้ที่ทำเลเทวดา | แต่นกกาก็มิได้ไปใกล้กราย ฯ |
| ๏ แล้วจะใช้ใบไปดูเมืองสุหรัด[๔๗] | ท่าคลื่นซัดซึ้งวนชลสาย |
| ตั้งตึกรามตามตลิ่งแขกหญิงชาย | แต้มผ้าลายกะลาสีพวกตีพิมพ์ |
| พื้นม่วงตองทองช้ำย่ำมะหวาด | ฉีกวิลาศลายลำยองเขียนทองจิ้ม |
| ทำที่อยู่ดูพิลึกล้วนตึกทิม | เรียบเรียงริมฝั่งสมุทรแลสุดตา |
| จะตามใจให้เพลินเจริญเนตร | ชมประเภทพราหมณ์แขกแปลกภาษา |
| ได้แย้มสรวลชวนใช้ใบลีลา | ไปมังกล่า[๔๘]ฝาหรั่งระวังตระเวน |
| กำปั่นไฟใหญ่น้อยออกลอยเที่ยว | ตลบเลี้ยวแลวิ่งดั่งจิ้งเหลน |
| ถ้วนเดือนหนึ่งจึงจะผลัดพวกหัศเกน | เวียนตระเวนไปมาทั้งตาปี ฯ |
| ๏ เมืองมังกล่าฝาหรั่งอยู่ทั้งแขก | พวกเจ๊กแทรกแปลกหน้าทำภาษี |
| แลพิลึกตึกรามงามงามดี | ตึกเศรษฐีมีทรัพย์ประดับประดา |
| ดูวาวแววแก้วกระหนกกระจกกระจ่าง | ประตูหน้าต่างติดเครื่องรอบเฝืองฝา |
| ล้วนขายเพชรเจ็ดสีมีราคา | วางไว้หน้าตึกร้านใส่จานราย |
| แล้วตัวไปไม่นั่งระวังของ | คนซื้อร้องเรียกหาจึ่งมาขาย |
| ด้วยไม่มีตีโบยขโมยขมาย | ทั้งหญิงชายเช้าค่ำเขาสำราญ |
| นอกกำแพงแขวงเขตประเทศถิ่น | เป็นสวนอินทผาลัมทับน้ำหวาน |
| รองอ่างไว้ใช้ทำแทนน้ำตาล | ต้องแต่งงานขันหมากเหลือหลากจริง |
| ถึงขวบปีมีจั่นทำขวัญต้น | แต่งเหมือนคนขอสู่นางผู้หญิง |
| แม้นถึงปีมีลูกใครปลูกทิ้ง | ไม่ออกจริงจั่นหล่นลำต้นตาย |
| บ้านตลาดกวาดเลี่ยนเตียนตะล่ง | ถึงของหลงลืมไว้ก็ไม่หาย |
| ไปชมเล่นเช่นฉันว่าประสาสบาย | บ้านเมืองรายหลายประเทศต่างเพศพันธุ์ ฯ |
| ๏ จะพาไปให้สร้างทางกุศล | ขึ้นสิงหล[๔๙]เห็นจะได้ไปสวรรค์ |
| ไหว้เจดีย์ที่ทำเลเวฬุวัน | พระรากขวัญอันเป็นยิ่งเขาสิงคุดร์ ฯ |
| ๏ คิดจะใช้ใบข้ามไปตามเข็ม | เขียนมาเต็มเล่มแล้วจะสิ้นสมุด |
| เหมือนหมายทางต่างทวีปเรือรีบรุด | พอสิ้นสุดสายมหาอารณพ |
| เหมือนเรื่องรักจักประเวศประเทศถิ่น | มิทันสิ้นสุดคำก็จำจบ |
| แม้นขืนเคืองเปลื้องปลิดไม่คิดคบ | จะเศร้าซบโศกสะอื้นทุกคืนวัน |
| เหมือนยักษีที่สิงขรต้องศรกก[๕๐] | ปักตรึงอกอานุภาพซ้ำสาปสรร |
| อยู่นพบุรี[๕๑]ที่ตรงหว่างเขานางประจัน | เสียงไก่ขันขึ้นนนทรีคอยตีซ้ำ |
| แสนวิตกอกพญาอุณาราช | สุดหมายมาดไม่มีที่อุปถัมภ์ |
| ศรสะเทือนเหมือนอุระจะระยำ | ต้องตีซ้ำช้ำในฤๅทัยระทม ฯ |
| ๏ ถึงกระไรได้อุตส่าห์อาสาสมัคร | ขอเห็นรักสักเท่าซีกกระผีกผม |
| พอชื่นใจได้สว่างสร่างอารมณ์ | เหมือนนิยมสมคะเนเถิดเทวัญ |
| ถวิลหวังสังวาสสวาทแสวง | ให้แจ่มแจ้งแต่งตามเรื่องความฝัน |
| ฝากฝีปากฝากคำที่สำคัญ | ชื่อรำพันพิลาปล้ำกาพย์กลอน |
| เปรียบเหมือนกับขับกล่อมสนอมเสน่ห์ | สำเนียงเห่เทวัญริมบรรจถรณ์ |
| เสวยสวัสดิ์วัฒนาสถาวร | วานฟังกลอนกลอยแก่[๕๒]เถิดแม่เอย ฯ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น