วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สุภาษิตสอนหญิง ฉบับสุนทรภู่



๏ ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร
ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน
จำนงเนียรนบบาทพระศาสดา
อันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีป      
ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา
ก็ล่วงลับดับไกลนัยนา      
สู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์

ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง      
ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผม
ให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม      
โดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย ฯ

๏ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน      
ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย
อันความชั่วอย่าให้มัวมีระคาย      
จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคล

ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์      
บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล
สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล      
จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา

เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด      
ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า
แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา      
จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง

อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง      
ดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหาง
ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง      
ให้ต้องอย่างกริยาเป็นนารี ฯ

๏ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน      
ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์      
ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน

จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์      
บำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขิน
เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญ      
คงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรง

ใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาด      
ว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์
ถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์      
ไม่รู้จักแต่งองค์ก็เสียงาม ฯ

๏ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด      
ค่อยเยื้องยาตรยกย่องไปกลางสนาม
อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม      
เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที

อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม      
อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี
อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี      
เหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือ

ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ      
ผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือ
อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดือ      
เขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควร

อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต      
ระวังปิดปกป้องของสงวน
เป็นนารีที่ละอายหลายกระบวน      
จงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย

อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก      
จงรู้จักอาการประมาณหมาย
แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชาย      
อย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแล

อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง      
เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส
จริงมิจริงเขาเอาไปเล่าแช      
คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม ฯ

๏ อันที่จริงหญิงชายย่อมหมายรัก      
มิใช่จักตัดทางที่สร้างสม
แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์      
อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี

ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก      
เขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่
จงยับยั้งช่างใจเสียให้ดี      
เหมือนจามรีรู้จักรักษากาย

อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ      
พึงประเวศผุดพ้นชลสาย
หอมผกาเกสรขจรขจาย      
มิได้วายภุมรินถวิลปอง

ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาส      
ก็นิราศแรมจรัลผันผยอง
ไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง      
ดูทำนองใจชายก็คล้ายกัน

แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรัก      
ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น
อันความรักของชายนี้หลายชั้น      
เขาว่ารักรักนั้นประการใด

จงพินิจพิศดูให้รู้แน่      
อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล
เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจ      
มันมักไพล่เพลงขุมเป็นหลุมพลาง

อันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด      
สารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่าง
แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง      
มาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัย

อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า      
จะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหน
เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล      
อย่าควรให้ตามคำเขารำพัน

ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร      
สุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์
เขาจะนำไปตายก็ตายพลัน      
คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกง

อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ      
ใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผง
อย่าเชื่อนักมักตับก็คับโครง      
มันชักโยงอยากกินแต่สินบน

อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด      
ต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหน
จงฟังหูไว้หูกับผู้คน      
สืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป ฯ

๏ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก      
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงใหล
คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร      
แม้หญิงใดร่วมห้องจะต้องจน

มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย      
เหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผล
ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน      
แล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราว

ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้      
ให้พอใจชกตีเขาหมี่ฉาว
ท่านจับได้ใส่ตรวจพรวดคอยาว      
แล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยา

เขาเป็นผัวตัวเมียเสียไม่ได้      
มีหาไม่เงินทองก็ต้องหา
ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา      
ค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลง

เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก      
แสนลำบากบอบนักอย่ามักหลง
บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทนง      
หน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไป

มีข้าวของเคยผูกให้ลูกเต้า      
ก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่
ลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ      
อย่าไปไขว้เล่นไปจนโซโทรม

ยังแต่เมียเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ      
คอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉม
ครั้นรักผัวก็อย่ามัวด้วยลมโลม      
ต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัว

จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่      
ต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัว
ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว      
จะยังชั่วด้วยไม่เฉยซะเลยใจ

จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง      
จงระวังชั่วช้าอัชฌาสัย
ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไป      
ใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมือง

แต่ใจคนมักรนไปหาผิด      
ครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลือง
ต้องเดือดดิ้นกินน้ำตาอยู่นองเนือง      
สุดจะเปลื้องราคินจนสิ้นคาว ฯ

๏ เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว      
จะดีชั่วก็ยังกำลังสาว
ลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาว      
จะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรอง

ถ้าคนดีมิได้ช้ำระยำยับ      
ถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมอง
คงมีผู้ชูช่วยประคับประคอง      
เปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามี

ถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว      
จะปัดแผ้วถางฝืนไม่คืนที่
เหมือนทองแดงแฝงเฝ้าเป็นราคี      
ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงใน

จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมอง      
ถือทำนองแบบโบราณท่านขานไข
อย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ      
จงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์

แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง      
จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์
จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง      
อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาล

อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า      
เขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวาน
จงระวังตั้งมั่นในสันดาน      
อย่าลนลานหลงละเลิงด้วยเชิงชาย

เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่      
อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย
เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย      
ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน

ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ      
จะจองจำตีโบยออกโหยหน
ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน      
ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว

ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย      
กลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัว
แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว      
เราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเอง

จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก      
เพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหม็ง
ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง      
ใจตัวเองพาหลงไปลงตม

ท่านเลี้ยงมาจะให้เป็นหอห้อง      
หมายจะกองทุนสินกินขนม
ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์      
จึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจ

แม้นลูกดีก็จะมีศรีสง่า      
ญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใส
ถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล      
ก็มีใจสรรเสริญเจริญพร ฯ

๏ จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้      
อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอน
คิดถึงหน้าบิดาและมารดร      
อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี

เมื่อสุกงอมหอมหวานจึงควรหล่น      
อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่
อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี      
เมื่อบุญมีคงจะมาอย่างปรารมภ์

อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้      
อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสม
อย่าเกียจคร้านงานสตรีจงนิยม      
จะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจน

ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ตลอด      
อย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่ได้ผล
เขม้นขะมักรักงานการของตน      
อย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแช

เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน      
อย่าเที่ยวพล่านพูดผลอประจ๋อประแจ๋
อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล      
ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกัน

ระวังดูเรือนเหย้าแลข้าวของ      
จะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่น
เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน      
จงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลง

มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท      
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง      
อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน

ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ      
ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล      
จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ

ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ      
ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่
อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร      
หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง

ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์      
กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง
จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง      
กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน

เทพไทในห้องสิบหกชั้น      
จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร
ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล      
ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี ฯ

๏ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต      
มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศี
เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ใยดี      
ดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์

เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่      
ท่านพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถม
ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม      
ไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชา

คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์      
คงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลา
ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทรา      
ทรมาน์หมกไหม้ในไฟฟอน

ถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า      
เทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์
ให้ยากยับอัปราอนาทร      
ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจ

แม้จะมีเงินทองของทั้งหลาย      
คงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัย
จะเกิดโจรราวีอัคคีภัย      
เพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณ

หญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก      
จะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุล
แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ      
เนรคุณมิได้คิดอนิจจัง

ซึ่งสตรีที่ดีอย่าดูเยี่ยง      
จงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถัง
แม้นร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง      
ดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม ฯ

๏ จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาว      
ให้พ้นคาวข่าวชั่วมามั่วสุม
ให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุม      
จงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบาง

อย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษ      
ตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมาง
ถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง      
จะไว้วางกริยาให้น่าดู

จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น      
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู      
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ

แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย      
อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย
จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร      
ด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอา

เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก      
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา      
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ

ถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยว      
อย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยาม
เมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตาม      
มันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็น

ถึงจะไปในพิภพให้จบทั่ว      
แต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็น
จงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น      
จึงจะเป็นคนดีมีปัญญา

เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง      
จงระวังในจิตขนิษฐา
อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอาฌา      
แม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคน

เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น      
อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน
ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล      
นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง

แม้นสมรจะไปนอนที่เรือนไหน      
อย่าหลับไหลลืมกายจนสายสาง
ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง      
ความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัว

ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า      
ไม่อาฌาเขาจะพากันยิ้มหัว
ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว      
แม้นจะหัวหัวร่อพอสบาย

เมื่อยามยิ้มก็ยิ้มไว้แต่ในพักตร์      
อย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลาย
อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย      
อย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริง

จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่ง      
อย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิง
ใช่บ้านนอกขอกนามาแต่เยิง      
ทำเซาะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป ฯ

๏ เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง      
แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่
ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป      
อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปี

เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง      
แต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวี
ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี      
จะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยา

อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด      
ให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสา
เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา      
จะได้หาเลี้ยงกันจนวันตาย

รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา      
จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย
มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย      
ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง

การวิชาหาประดับสำหรับร่าง      
อย่าเอาอย่างหญิงโกงมันโฉงเฉง
การมิดีมีชั่วมันกลัวเกรง      
อย่าครื้นเครงขับร้องคะนองใจ

คิดแต่ยากแต่จนเร่งขวนขวาย      
อย่าให้กายตกยากลำบากได้
พออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไร      
อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกิน

ค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน      
ค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญ
อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน      
ละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอาย

อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก      
ทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย
ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย      
อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ

เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่ง      
อย่าทำแข่งวาสนากระยาหงัน
ของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน      
เหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไร

จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิม      
อย่ากระหยิ่มยศถาอัชฌาสัย
อย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป      
ตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร ฯ

๏ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่ว      
ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวน
สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวล      
เป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กล

พอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศี   
ให้เวียนหวีได้วันละพันหน
ตรงการงานขี้คร้านเป็นกังวล      
แต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลา

ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู      
ยังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหา
วันนี้มีละครใครที่ไหนมา      
แม้นรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไป

นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลง      
ดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหล
บ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป      
ช่างกระไรหนอขนิษฐ์ไม่คิดอาย

บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้น      
เที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงาย
ห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกาย      
พวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริง

ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก      
ปะแตกปลอกต้ำผางวางจนเหลิง
ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิง      
จะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียว

ใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง      
ทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยว
ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว      
ประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตรา

พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนัก      
เห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉา
เที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอา      
นั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดน

ที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น      
สู้ปิดปากยกตนนี่สุดแสน
ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน      
ก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบาย

หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว      
ให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหาย
ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย      
ไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บ

มือก็ไวใจก็กล้าหน้าก็ด้าน      
จะเอาขวานไปถากไม่อยากเจ็บ
แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ      
ขี้เกียจเก็บพลัดวางได้กลางเรือน

อันการเหย้าไม่เอาเป็นธุระ      
คิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อน
คบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน      
จะคบคนพลเรือนก็เต็มที

ชั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ      
ด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่
ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี      
ข้าวของมีให้ไปไม่ได้คืน

แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า      
จนชั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืน
มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน      
ใครจะชื่นชมชิดไปคิดคบ

หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก      
จำจะบวกบอกใส่เสียให้จบ
ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ      
หล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล ฯ

๏ หญิงพวกหนึ่งนั้นขันทำปั้นเจ๋อ      
เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐาน
ไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดาน      
เห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามา

ล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง      
เที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนา
พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา      
เป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริง

ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น      
เป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิง
ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง      
เขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอย

ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่น      
เขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอย
ถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย      
ไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดี

อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์      
เขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผี
เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี      
มันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาว

ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์      
ถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาว
อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว      
ไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชน

ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย      
เห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสน
ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน      
ลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดี

สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้      
ว่าผู้ใดงามพักตร์สมศักดิ์ศรี
ถึงเป็นองค์สุริย์วงศ์พระจักรี      
แม้นไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไป

ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า      
อย่าถือว่าตนงามตามวิสัย
ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร      
เขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ ฯ

๏ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์      
แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐาน
ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาลย์      
แลละลานล้วนสุวรรณอันลออ

เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง      
เอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอ
แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ      
ลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบาย

หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง      
ต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหาย
แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย      
สายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้อง

แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ      
ผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลือง
ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง      
จนทองเหลืองไม่ละจะกละงาม

ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์      
ทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสาม
ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม      
ไม่มีความอายจิตสักนิดเดียว

เขาจึงว่าหน้าสดปรากฎอยู่      
สมกับผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียว
เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว      
ไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มไปจมแปลง

เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่      
จะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็ง
เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง      
เขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ

๏ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง      
เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนด
เที่ยวยักย้ายร่ายชมภิรมย์รส      
ใครมาจดโผจับรับตะกาง

จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น      
เล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้าง
ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคาง      
ก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟัน

เพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย      
ทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสัน
เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์      
ยื่นพระขรรค์ผัวให้กับไอ้โจร

โอ้ใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง      
จนลือดังข่าวก้องดังกลองโขน
เพราะนิสัยใจขนิษฐ์เล่นปลิดโยน      
จนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชย

ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ      
ต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉย
อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย      
ด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล ฯ

๏ บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด      
ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์
ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน      
เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การ

บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของ      
ให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสาน
ครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ      
บอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความ

ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น      
ชวนกันเดินหลีกออกนอกสนาม
ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม      
จนเลยลามลืมบ้านสถานตน

ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก      
เป็นโรครักเกิดมารศีรษะขน
ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน      
หมายประจญจะให้ดับที่อับอาย

รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด      
จะปกปิดเปลวไฟไม่เห็นหาย
เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย      
คงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตรา

ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ      
ก็อาดูรพูนเกิดสหัสสา
ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา      
เป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทา

ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข      
เอาลูกไปมุ่งหมกยกให้เขา
แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา      
พอปัดเป่าความอายให้หายแคลง

ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ      
มันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนง
ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลง      
มาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือ

ไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย      
เหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือ
ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิ์เฝ้าชิดเชื้อ      
นึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มี

เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก      
มันขายพักตร์สารพัดจะบัดสี
ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี      
แต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียง

เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง      
ไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียง
เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียง      
เป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย

ท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์      
ไม่พอที่เสียนวลไม่ควรเสีย
เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย      
ย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนาง

ที่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า      
จะเกิดมาทำไมให้หมองหมาง
เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง      
จะเอาอย่างนางโมราหรือว่าไป

เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม      
คนจึงลามเลยลวนมากวนได้
แม้นรู้จักรักษาถือตราไว้      
จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัว

อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด      
จับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัว
จึงนับว่าคนดีไม่มีมัว      
ถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชาย

เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศ      
สุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลาย
ถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย      
ก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม ฯ

๏ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น      
ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม
ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ      
จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเอง

ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ      
เขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหง
พลอยประจบหลบความไปตามเพลง      
เพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

ทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่      
เขาจับได้ชายชู้ดูน่าขัน
ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์      
ต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวน

เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม      
ไปนอนทิมกรากกรำเฝ้ากำสรวล
เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล      
แลแต่ล้วนลูกความออกหลามไป

ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น      
ก็ไม่ชื่นชมชิดพิศมัย
จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ      
จะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตน

ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว      
ข้างตัวกลัวก็บอกออกนุสนธิ์
เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน      
แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอาย

ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด      
จึงจำกัดศักดินาราคาขาย
ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชาย      
มันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืน

ก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว      
อยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่น
ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืน      
ต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอน

ที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก      
มีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอน
ก็เพราะเหตุตัวชั่วลือขจร      
ที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดี

ครั้นลำบากยากจิตสิได้คิด      
แต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสี
ใช่ไม่รู้เขาห้ามความถ้อยมี      
ชั่วหรือดีได้ยินสิ้นทุกคน

เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย      
มันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝน
ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน      
ทำซุกซนจนได้ยากลำบากกาย

มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์      
จะลงรักทองปิดไม่มิดหาย
อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย      
เปรียบเหมือนกายกามีราคีคาว

ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต      
คงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาว
ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว      
ไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารี

ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า      
ถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่
ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี      
ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร

แม้นชั่วช้าใครว่าแล้วโกรธเขา      
เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข
จะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไป      
ถึงตกใต้เทวทัตเพราะขัดเคือง

แม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธ      
เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง
ให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง      
อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย ฯ

๏ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์      
จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่
อันความดีมีอยู่ดูจำไว้      
อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอม

จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ      
จงซื่อสัตย์สุจริตคิดถนอม
อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอม      
มโนน้อมเสน่หาต่อสามี

อย่าคบชู้สู่สมนิยมหวัง      
ไม่จีรังกาลดอกบอกโฉมศรี
เขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้      
ถ้าแม้นมีข้าวของต้องบำเรอ

ธุระอะไรจะให้มันเสียของ      
อันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอ
เพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอ      
ควรบำเรอลูกผัวของตัวตน

จะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน      
เพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผล
แม้นนอกจิตคิดร้ายหมายประจญ      
จะพาตนยากยับอัประมาณ

จงกันภัยในเล่ห์เสน่หา      
อย่าให้มาปนปะจงประหาร
เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณ      
ถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไร

จงซื่อต่อภัสดาสวามี      
จนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัย
อย่าให้มีราคินที่กินใจ      
อุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดา

ถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้      
ด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์
หญิงเดี๋ยวนี้แม้นมีสัตยา      
ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน ฯ

๏ แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต      
เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์
คำนับนอบสามีทุกวี่วัน      
อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอน

ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน      
จุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อน
ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน      
ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง

ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์      
จงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลง
เขาเหนื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวงทรง      
ช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา

ประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ      
อย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขา
นอนให้ดีมีสติสิริเรา      
อย่าซมเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับ

จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา      
น้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพ
จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ      
จัดประดับเทียมทำให้น้ำนวล

ทั้งกระโถนคนทีขัดสีไว้      
ให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วน
อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน      
จงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการ

แม้นรู้ว่าสามีจะไปไหน      
แต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถาน
ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน      
ให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนา

จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้      
เผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหา
อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทะนา      
จงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวัง

อยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว      
นางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลัง
อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง      
เขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี ฯ

๏ ถ้าผัวทำราชการพระผ่านเกล้า      
เคยเข้าเฝ้าสู่วังนรังศรี
ทั้งล่วมปัดจัดแจงแต่งให้ดี      
หมากบุหรี่หาใส่ให้ไปกิน

อุตส่าห์ทำบำเรอเสนอสนอง      
ตามทำนองมิ่งมิตรเป็นนิจสิน
ปรนนิบัติภัสดาอย่าราคิน      
จึงจะภิญโญยศปรากฎไป ฯ

๏ เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง      
อย่าทอดทิ้งกริยาอัชฌาสัย
เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ      
ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์

แม้นผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้  
อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสม
เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำค่อยพรำพรม      
แม้นระดมขึ้นทั้งคู่จะวู่วาม

อันโมโหโทโสไม่อดได้      
ความในใจก็จะดังออกกลางสนาม
ที่ชาวบ้านท่านไม่รู้จะรู้ความ      
อย่าทำตามใจนักมักจะเคย

เอาใจผัวผัวจะรักเจ้าหนักหนา      
หมั่นนำพาการเรือนอย่าเชือนเฉย
แม้นผัวทุกข์ขุกไข้ไม่เสบย      
อย่าวายเวยลามลวนให้กวนใจ

จงแย้มสรวลชวนปลอบให้ชอบชื่น      
เห็นเริงรื่นหัทยาจึงปราศรัย
ค่อยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฤทัย      
แม้นสิ่งไรเขาไม่ชื่นอย่าขืนทำ

จะพูดจาสารพัดประหยัดปาก      
อย่าพูดมากเติมต่อซึ่งข้อขำ
ความสิ่งไรในจิตจงปิดงำ      
อย่าควรนำแนะออกไปนอกเรือน

การสิ่งไรที่ชั่วผัวเขาห้าม      
ประพฤติตามแบบแผนให้แม้นเหมือน
อย่าดึงดื้อถือตนเป็นคนเชือน      
จะเอ่ยเอื้อนโอภาให้น่าฟัง ฯ

๏ แม้นพิโรธโกรธขึ้งกับภัสดา      
อย่านินทาว่าผัวตัวลับหลัง
พึ่งข่มขืนกลืนไว้ในอุรัง      
อุตส่าห์บังกลบเกลื่อนที่เงื่อนเงา

จึงจะว่านารีมีความคิด      
รู้ปกปิดมิดโทษไม่โฉดเขลา
ถึงใครรู้อยู่ว่าคมต้องชมเรา      
หนึ่งผัวเขาเล่าก็เห็นว่าเป็นดี

การนินทาด่าผัวนั้นชั่วถ่อย      
เป็นคนน้อยปัญญาเสียราศี
ถึงร้างหย่าหาใหม่วิสัยมี      
ชายที่ดีรู้กำพืดก็จืดไป

บ้างทำกลัวตัวสั่นแต่ต่อหน้า      
ถึงตีด่าก็นิ่งไม่ติงไหว
ครั้นผัวเดินเกินเลยเฉยเฉียดไป      
ก็ด่าให้ไม่ดังตั้งกระซิบ

ทำเสงี่ยมเจียมตัวผัวไม่เห็น      
ดูเหมือนเช่นปากว่าตาขยิบ
ครั้นว่าเขาเข้าใจรู้ไหวพริบ      
ก็ต้องริบต้องร้างระคางแคลง ฯ

๏ บางนารีที่เป็นนางใจร้ายกาจ      
หมิ่นประมาททุ่มเถียงส่งเสียงแข็ง
สำรากก้องร้องแทรกแหกกระแซง      
ตะคอกแกล้งข่มขี่ให้ผัวกลัว

ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด      
ให้สามีอัปยศลงหดหัว
ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว      
มัดมือผัวผูกแขนแค่นเฆี่ยนตี

ทรมานภัสดาน่าสังเวช      
ดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสี
ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี      
ที่ไม่มีภัสดาให้มาดู

ข้างฝ่ายผัวใจดีมิได้ว่า      
นิ่งให้เมียเฆี่ยนด่าน่าอดสู
ดูเหมือนแม่กับลูกผูกขึ้นชู      
มิได้สู้รบรับสัประยุทธ์

ช่างกระไรใจคอมันอดได้      
ดูเหมือนไม่มีจิตผิดบุรุษ
จึงยอมตัวกลัวเมียจนหัวมุด      
น้อยมนุษย์ที่จะเป็นได้เช่นนั้น

เหมือนเช่นเราแล้วไม่ต้องให้ตีตบ      
คงสู้รบโต้เต็มให้เข้มขัน
จะถีบถองเสียให้ยับไล่ขับกัน      
ร้างหย่ามันเสียให้ค้างอยู่กลางคัน ฯ

๏ สุภาษิตซึ่งประดิษฐ์มาไว้นี้      
ล้วนแต่มีเยี่ยงอย่างดังเสกสรร
ใช่จะแกล้งแต่งคำมารำพัน      
คนทุกวันอย่างนี้มีอาเกียรณ์

จะร่ำไปสักเท่าไรก็ไม่หมด      
ขี้เกียจจดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยมือเขียน
อุตส่าห์ตรองตริตรึกนึกจำเนียร      
ตั้งความเพียรผูกข้อต่อเรื่องราว

พอเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์โทษ      
เป็นประโยชน์แก่สตรีที่สวยสาว
เป็นตำหรับแบบฉบับไปยืดยาว      
ในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความ

ข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปขืนทำ      
จงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยาม
เก็บประกอบเอาแต่ชอบในเรื่องความ      
ประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดี

อย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะ      
จงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรี
ไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี      
กันบัดสีคำค่อนคนนินทา

ให้สุขีศรีเมืองเลื่องลือฟุ้ง      
หอมจรุงกลิ่นกลั้วทั่วทิศา
เป็นที่ชื่นเช่นอย่างนางสีดา      
ในใต้หล้าหมายประคองตัวน้องเอย ฯ


- จบสุภาษิตสอนหญิง -


สุภาษิตสอนหญิง
ผู้แต่ง : สุนทรภู่

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2564

แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์

 วัดสระเกศมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร

วัดสระเกศเป็นวัดโบราณในสมัยกรุงศรี อยุธยา เดิมชื่อวัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งแปลว่าชำระพระเกศา เนื่องจากเคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน เมื่อทรงกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ.2325

มูลเหตุที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงให้เปลี่ยนชื่อวัดสะแก เป็นวัดสระเกศนี้ มีหลักฐานที่ควรอ้างถึงคือ พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีข้อ 11 ว่า

"รับสั่งพระโองการ ตรัสวัดสะแกเรียกวัดสระเกศแล้วบูรณปฏิสังขรณ์ เห็นควร ที่ต้นทางเสด็จพระนคร"

ทรงพระราชวิจารณ์ไว้ว่า"ปฏิสังขรณ์วัดสะแกและเปลี่ยน ชื่อเป็น วัดสระเกศเอามากล่าวปนกับวัดโพธิ์เพราะเป็นต้นทางที่เสด็จเข้ามาพระนครมีคำเล่าๆ กันว่า เสด็จเข้าโขลนทวารสรงพระมุธาภิเษกตามประเพณีกลับจากทางไกลที่ วัดสะแก จึงเปลี่ยนนามว่า 'วัดสระเกศ'"

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะและสร้างพระบรมบรรพตหรือภูเขาทอง ทรงกำหนดให้เป็นพระปรางค์มีฐานย่อมุมไม้สิบสอง แต่สร้างไม่สำเร็จในรัชกาล เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้เปลี่ยนแบบเป็นภูเขาก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ การก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดสระเกศยังเป็นที่รู้จักในภาพอันน่าสะพรึงกลัว นั่นคือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ.2363 เกิดโรคห่าระบาดอย่างหนักในกรุงเทพมหานคร

ขณะนั้นยังไม่มีวิธีรักษา ไม่รู้จักการป้องกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงใช้วิธีพระราชทานกำลังพระราชหฤทัย โปรดฯ ให้ตั้งพิธีขับไล่โรคนี้ขึ้น เรียกว่า "พิธีอาพาธพินาศ" โดยจัดขึ้นที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีการยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืน อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมสารีริกธาตุออกแห่ มีพระราชาคณะโปรยพระพุทธมนต์ตลอดทาง

ทรงทำบุญเลี้ยงพระ โปรดให้ปล่อยปลาปล่อยสัตว์ และประกาศไม่ให้ประชาชนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อยู่กันแต่ในบ้าน



กระนั้นก็ยังมีคนตายเพราะอหิวาตกโรคประมาณ 3 หมื่นคน ศพกองอยู่ตามวัดเป็นภูเขาเลากา เพราะฝังและเผาไม่ทัน

บ้างก็แอบเอาศพทิ้งลงในแม่น้ำลำคลองในเวลากลางคืน จึงมีศพลอยเกลื่อนกลาดไปหมด ประชาชนต่างอพยพหนีออกไปจากเมืองด้วยความกลัว พระสงฆ์ทิ้งวัด งานของราชการและธุรกิจทั้งหลายต้องหยุดชะงัก เพราะผู้คนถ้าไม่หนีไปก็มีภาระในการดูแลคนป่วยและจัดการกับศพของญาติมิตร

ในเวลานั้นวัดสระเกศเป็นศูนย์รวมของแร้งจำนวนนับพัน อหิวาตกโรคเวียนมาในทุกฤดูแล้งและหายไปในฤดูฝนเช่นนี้ทุกปี จนในปี พ.ศ.2392 อหิวาต์ก็ระบาดหนักอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ปีนังก่อน แล้วแพร่ระบาดมาจนถึงกรุงเทพฯ

เรียกกันว่าห่าลงปีระกา ในระยะเวลาช่วง 1 เดือนที่เริ่มระบาดมีผู้เสียชีวิตถึง 15,000-20,000 คน  และตลอดฤดูตายถึง 40,000 คน

เจ้าฟ้ามงกุฎฯ คือรัชกาลที่ 4 ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงเพศบรรพชิตเป็นพระราชาคณะ ได้ทรงบัญชาให้วัดสามวัด คือ วัดสระเกศ วัดบางลำพู (วัดสังเวชวิศยาราม) และวัดตีนเลน (วัดเชิงเลน หรือวัดบพิตรพิมุข) เป็นสถานที่สำหรับเผาศพ

มีศพที่นำมาเผาสูงสุดถึงวันละ 696 ศพ แต่กระนั้นศพที่เผาไม่ทันก็ถูกกองสุมกันอยู่ตามวัด โดยเฉพาะวัดสระเกศมีศพส่งไปไว้มากที่สุด ทำให้ฝูงแร้งแห่ไปลงทึ้งกินซากศพ ตามลานวัด บนต้นไม้ บนกำแพง และหลังคากุฏิเต็มไปด้วยแร้ง

แม้เจ้าหน้าที่จะถือไม้คอยไล่ก็ไม่อาจกั้นฝูงแร้งที่จ้องเข้ามารุมทึ้งซากศพอย่างหิวกระหายได้ และจิกกินซากศพจนเห็นกระดูกขาวโพลน พฤติกรรมของ "แร้งวัดสระเกศ" ที่น่าสยดสยองจึงเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว

แร้งวัดสระเกศจึงเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมา เมื่อฝูงแร้งมากมายขนาดที่เรียกได้ว่ามืดฟ้ามัวดิน แห่ลงกินซากศพที่กองอยู่เป็นภูเขาเลากาข้างภูเขาทอง นับเป็นภาพที่อุจาดต่อสายตาและน่าสยดสยองอย่างมากต่อผู้พบเห็น ซากศพคนตายเหล่านั้นตายด้วยอหิวาตกโรค ทิ้งเกลื่อนกลาดที่วัดสระเกศ มีแร้งจิกกินจนกระดูกขาวโพลน

มีเรื่องเล่ากันว่า มีชายคนหนึ่งคิดพิเรนทร์จับแร้งตัวหนึ่งใส่กระสอบ แล้วแบกไปที่บ้านฝรั่งตอนก่อนถึงวันคริสต์มาส 4-5 วัน แล้วบอกว่ามีไก่งวงมาขายในราคาถูก เป็นไก่งวงที่เลี้ยงไว้ในทุ่งจึงเปรียวมาก ต้องใส่กระสอบไว้ ฝรั่งชะโงกหน้าลงมาดู ชายคนนั้นก็เผยอปากถุงให้เห็นหัวแดง ตัวใหญ่เท่าไก่งวง ดิ้นขลุกขลักอยู่ในกระสอบ จึงรับซื้อไว้ในราคา 4 บาท

รุ่งขึ้นฝรั่งสั่งให้พ่อครัวเอาไก่งวงออกมายืดเส้นยืดสายก่อนที่จะตายในกระสอบ แต่พอเปิดกระสอบปล่อยออกมาแร้งก็วิ่งอ้าวแล้วบินหนีไป เรื่องนี้จึงเป็นที่เล่ากันอย่างสนุกสนานต่อๆ มา คำว่า "ไก่งวงวัดสระเกศ" จึงเป็นคำฮิตของบางกอกในสมัยนั้นไปด้วย

จนกระทั่งในปี พ.ศ.2457 ได้มีการผลิตน้ำประปาขึ้นในกรุงเทพฯ อหิวาต์จึงบรรเทาเบาบางลงมาก แต่ก็ยังไม่ขาดหายไป แม้ในทุกวันนี้ก็ยังมีอหิวาต์เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนเมษายน แต่ความรู้ และสุขาภิบาลในสมัยนี้ทำให้โรคไม่สามารถระบาดได้รุนแรง คร่าชีวิตผู้คนมากมายได้อย่างในสมัยก่อน



ส่วนแร้งปัจจุบันหาได้ยากแล้ว กลายเป็นสัตว์เกือบสูญพันธุ์ โดยเฉพาะแร้งเทาหลังขาวซึ่ง

ลงมาจิกกินซากศพที่วัดสระเกศ ปัจจุบันถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า  พุทธศักราช 2535

ที่จริงสมัยก่อนเมื่อพูดถึงแร้งวัดสระเกศต้องกล่าวถึงเปรตวัดสุทัศน์ด้วย ซึ่งเปรตเป็นมนุษย์ที่ทำบาปกรรมแบบขั้นสุด เมื่อตายไปแล้วจะเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์ ปากเท่ารูเข็ม มือใหญ่เท่าใบลาน มักปรากฏตัวตอนกลางคืน

สมัยก่อนบรรยากาศแถววัดสุทัศน์นั้นน่ากลัว มักมีคนเล่าว่าพบเห็นผีเปรตอยู่เสมอ แต่บ้างก็บอกว่านั่นคือเงาจากเสาชิงช้า ความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตแห่งวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ที่เล่ากันว่าที่วัดแห่งนี้มักมีเปรตปรากฏกายในเวลากลางคืนเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

ประกอบกับอหิวาตกโรคที่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในสมัยรัชกาลที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ นั่นเอง.


เปรต 

เป็นผีจำพวกหนึ่ง ซึ่งได้เคยสร้างบาปกรรมอย่างหนักไว้ในอดีต พอสิ้นชีวิตลงก็ต้องมารับกรรมกลายเป็นเปรตตามแต่ผลของกรรมจะบันดาล ทำให้เปรตต้องมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากแร้นแค้น ชอบส่งเสียงร้องหรือขึ้นมาขอส่วนบุญจากมนุษย์

ตามความเชื่อของคนไทย เปรต เป็นผี มีรูปร่างสูงเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ผิวดำ ท้องโต มือเท่าใบตาล แต่มีปากเท่ารูเข็ม และเปรตจะหิวอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกินอะไรไม่ได้ จึงชอบมาขอส่วนบุญในงานบุญต่างๆ ซึ่งเมื่อสะสมบุญได้แล้วเกิดใหม่ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ 

โดยเปรตนั้นแบ่งได้เป็น 12 ตระกูล ตามคัมภีร์เปรตวัตถุหรือนิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องของเปรต คือ

1. วันตาสาเปรต คือ เปรตที่กินน้ำลาย น้ำมูก อาเจียนเป็นอาหาร

2. กูณปราทเปรต คือ เปรตที่กินซากศพคนและสัตว์เป็นอาหาร

3. คูถขาทเปรต คือ เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร

4. อัคคิชาลมุขเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ

5. สุจิมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม

6. ตัณหาชิตาเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ

7. นิชฌาบกเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้เผา

8. สัตตังคาเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือ เล็บเท้ายาว และคมเหมือนมีด

9. ปัพพตังคาเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา

10. อังครังคาเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม

11. เวมานิกเปรต คือ เปรตที่เสวยทุกข์ในกลางคืน และไปเสวยสุขในวิมานบนสวรรค์ตอนกลางวัน

12. มหิทธิกาเปรต คือ เปรตที่มีฤทธิ์มากและเป็นเจ้าแห่งเปรตทั้งหลาย

สุดท้ายฝากข้อคิดเตือนใจไว้สักนิด การที่เราจะตายไปแล้วเกิดเป็นเปรต ก็ขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่ได้กระทำไว้บนโลกมนุษย์ เช่น ผู้ที่ชอบดุด่าตบตีผู้มีพระคุณหรือบุพการี พ่อแม่ ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต


 

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2564

บทอาขยาน กาดำ

กาดำ



บทอาขยาน ฝนตกแดดออก

ฝนตกแดดออก 

      

บทอาขยาน แมวเหมียว

 


แมวเหมียว 

 แมวเอ๋ยแมวเหมียว
               รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา 
                     ร้องเรียกเหมียวเหมียวเดี๋ยวก็มา 
            เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู 
   รู้จักเอารักเข้าต่อตั้ง 
  ค่ําค่ําซ้ํานั่งระวังหนู
ควรนับว่ามันกตัญํู
       พอดูอย่างไว้ใส่ใจเอย 

    นายทัด เปรียญ


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

พระอภัยมณี

 


             

          พระอภัยมณีและศรีสุวรรณเป็นโอรสของท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสรผู้ครองกรุงรัตนา เมื่อพระอภัยมณีและศรีสุวรรณเจริญวัยขึ้น ท้าวสุทัศน์ให้ทั้งสองพระองค์ไปแสวงหาวิชาความรู้ตามแบบอย่างของกษัตริย์ทั้งหลาย พระอภัยมณีและศรีสุวรรณเดินทางแสวงหาความรู้ไปจนถึงหมู่บ้านจันตคาม ได้พบทิศาปาโมกข์ ๒ คน คนหนึ่งชำนาญในทางปี่ คนหนึ่งชำนาญในทางกระบอง พระอภัยมณีเลื่อมใสในทางปี่ ส่วนศรีสุวรรณเลือกศึกษาทางกระบอง โดยทิศาปาโมกข์คิดค่าเรียนไว้เป็นทองแสนตำลึง ทั้งสองพระองค์ใช้แหวนทองตีราคาเป็นค่าเรียนและได้เป็นศิษย์ศึกษาวิชาอยู่ในสำนักนั้น เมื่อเรียนสำเร็จแล้วพระอภัยมณีและศรีสุวรรณก็ลาทิศาปาโมกข์กลับเมือง ทิศาปาโมกข์มอบปี่ให้แก่พระอภัยมณีและมอบกระบองให้แก่ศรีสุวรรณ

            ท้าวสุทัศน์ทรงทราบวิชาที่ทั้งสองร่ำเรียนมาก็กริ้วว่า เลือกเรียนวิชาชั้นต่ำไม่สมกับที่เป็นโอรสกษัตริย์ จึงขับไล่ออกจากบ้านเมือง โอรสทั้งสองจึงต้องเดินทางระหกระเหินไปในป่าได้รับความลำบากยิ่ง จนมาถึงชายทะเลแห่งหนึ่ง ได้พบกับพราหมณ์สามคน ชื่อวิเชียร โมรา และสานน พราหมณ์วิเชียรมีความสามารถยิงธนูได้ทีละเจ็ดดอก พราหมณ์โมรา มีความสามารถผูกหญ้าเป็นสำเภายนต์ ส่วนพราหมณ์สานนมีความสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ทั้งห้าต่างแสดงวิชาให้กันและกันชม พระอภัยมณีแสดงวิชาเป่าปี่ให้สามพราหมณ์ฟัง เสียงปี่ทำให้ศรีสุวรรณและสามพราหมณ์นอนหลับหมดในเวลาไม่นาน ในเวลานั้นนางผีเสื้อสมุทรตนหนึ่งออกหากิน ได้ยินเสียงเพลงปี่ของพระอภัยมณีก็เกิดความรู้สึกปั่นป่วนใจ จึงตามหาต้นตอของเสียงปี่ เมื่อได้เห็นพระอภัยมณีก็เกิดความรัก จึงอุ้มพระอภัยมณีไปไว้ในถ้ำของตนเอง แล้วแปลงกายเป็นหญิงงาม พระอภัยมณีรู้ว่านางเป็นยักษ์ แต่ต้องจำใจอยู่กินกับนางผีเสื้อสมุทรถึงแปดปีจนเกิดโอรสคนหนึ่ง ชื่อ สินสมุทร สินสมุทรเป็นเด็กที่แข็งแรงมาก วันหนึ่งขณะที่นางผีเสื้อสมุทรออกไปหากิน สินสมุทรผลักก้อนหินปากถ้ำที่นางผีเสื้อปิดไว้เพื่อขังพระอภัยมณีและสินสมุทรให้อยู่ในถ้ำออก แล้วหนีไปเที่ยว พบเงือกชราตัวหนึ่งไม่รู้จักว่าเป็นตัวอะไร จึงจับมาให้พระอภัยมณีดู เงือกชราอ้อนวอนขอให้พระอภัยมณีสั่งในสินสมุทรปล่อยตัวไป โดยให้สัญญาว่าจะพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรไปยังเกาะแก้วพิสดาร โดยขอให้พระอภัยมณีทำอุบายให้นางผีเสื้อสมุทรออกจากถ้ำไปที่อื่นสามวัน พระอภัยมณีเห็นว่าเป็นช่องทางที่จะหนีจากนางผีเสื้อสมุทรได้ประกอบกับความสงสารเงือกชราที่ถูกสินสมุทรทรมานจึงขอให้สินสมุทรปล่อยเงือกชราไปและห้ามเล่าเรื่องนี้ให้นางผีเสื้อสมุทรฟัง ต่อมานางผีเสื้อสมุทรฝันว่าเทวดาที่เกาะมาควักดวงตาทั้งสองข้างเหาะหนีไป นางตกใจตื่นจึงเล่าความฝันให้พระอภัยมณีฟัง พระอภัยมณีได้โอกาสจึงทำนายฝันว่านางผีเสื้อสมุทรกำลังมีเคราะห์จะต้องไปถือศีลสะเดาะเคราะห์ ห้ามกินเนื้อสัตว์ และไปถือศีลอยู่บนเขาสามคืน นางผีเสื้อสมุทรเชื่อจึงออกไปถือศีลอดอาหารอยู่บนเขา

            พระอภัยมณีจึงเรียกให้เงือกชราพาหนีโดยมีเมียและลูกสาวเงือกชราติดตามมาด้วย ครั้นครบกำหนดสามวัน นางผีเสื้อสมุทรเลิกถือศีลกลับมายังถ้ำ ไม่เห็นพระอภัยมณีและสินสมุทร ก็รู้ว่ามีคนพาหนีจึงออกติดตามด้วยความโกรธ เมื่อติดตามมาใกล้จะทัน เงือกชราผัวเมียออกอุบายให้พระอภัยมณีไปกับลูกสาว ส่วนตนเองและสินสมุทรจะหลอกล่อถ่วงเวลาไว้ เมื่อนางผีเสื้อตามทันเงือกชราผัวเมีย นางจึงฆ่าเสียแล้วติดตามลูกสาวเงือกที่พาพระอภัยมณีหนีต่อไปยังเกาะแก้วพิสดาร พอดีโยคีช่วยไว้ทัน พระอภัยมณี สินสมุทร และนางเงือกจึงอาศัยอยู่กับพระโยคีที่เกาะแก้วพิสดารนั้น ส่วนนางผีเสื้อสมุทรเข้าไปบนเกาะไม่ได้ จึงวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้น

           พระอภัยมณีและสินสมุทรได้เรียนภาษาต่าง ๆ จากผู้คนหลายชาติหลายภาษาบนเกาะจนเชี่ยวชาญ ต่อมาพระอภัยมณีได้นางเงือกเป็นชายา และภายหลังได้บวชเป็นฤาษีพร้อมกับสินสมุทร ฝ่ายศรีสุวรรณและพราหมณ์ทั้งสามคน เมื่อตื่นขึ้นมาไม่พบพระอภัยมณีก็โศกเศร้า และออกติดตามหาพระอภัยมณีมาถึงเมืองรมจักรซึ่งมีท้าวทศวงศ์เป็นเจ้าเมือง และมีพระธิดาชื่อ เกษรา เป็นหญิงที่สวยงาม มีเจ้าเมืองแขกชวาชื่อท้าว อุเทนมาสู่ขอ แต่ท้าวทศวงศ์ไม่ยกให้ ท้าวอุเทนจึงยกทัพมาตีเมืองรมจักร ศรีสุวรรณและพราหมณ์ทั้งสามได้อาสาออกรบได้ชัยชนะ ท้าวทศวงศ์จึงจัดงานอภิเษกศรีสุวรรณกับพระธิดาเกษรา ทั้งสองพระองค์มีพระธิดาชื่ออรุณรัศมี กล่าวถึงท้าวสิลราช เจ้าเมืองผลึก มีพระธิดาชื่อสุวรรณมาลีได้หมั้นหมายกับโอรสเจ้าเมืองลังกาชื่อ อุศเรน เมื่อใกล้กำหนดวันอภิเษก นางสุวรรณมาลีฝันว่าได้ไปเที่ยวทะเล เห็นดวงแก้วอยู่กลางเกาะ นางเหาะไปหยิบได้ โหรทายว่าจะมีเคราะห์ แต่จะได้คู่ครองที่เหมาะสม นางรู้สึกไม่สบายใจ ท้าวสิลราชจึงพาเที่ยวทะเลมาถึงเกาะแก้วพิสดาร พระอภัยมณีและสินสมุทรขออาศัยเรือไปด้วย เมื่อนางผีเสื้อรู้เข้าก็ทำลายเรือจนเรือแตก ท้าวสิลราชสิ้นพระชนม์ในทะเล พระอภัยมณีว่ายน้ำหนีไปบนเกาะแห่งหนึ่ง นางผีเสื้อสมุทรติดตามพระอภัยมณีไปถึงเกาะ แต่ไม่สามารถขึ้นเกาะได้เพราะมนต์วิเศษของโยคีที่ให้พระอภัยมณีไว้ป้องกันตัว นางผีเสื้อสมุทรขอร้องให้พระอภัยมณีกลับไปอยู่ด้วย แต่พระอภัยมณีไม่ยอม นางผีเสื้อจึงร่ายเวทย์ให้ฝนตก พระอภัยมณีหนาวสั่นจึงตัดสินใจเป่าปี่สังหารนางผีเสื้อ เมื่อนางผีเสื้อตาย พระอภัยมณีรู้สึกสงสารจึงคิดจะปลงศพให้ แต่ชีปะขาวมาห้ามไว้ พระอภัยมณีจึงปล่อยนางให้เป็นหินอยู่ที่เชิงเขานั้น ฝ่ายอุศเรนคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี เมื่อทราบว่าคู่หมั้นของตนหายไปก็นำเรือออกค้นหา มาพบพระอภัยมณีที่เกาะกลางทะเล จึงรับพระอภัยมณีมาด้วย

             ส่วนสุวรรณมาลี เมื่อเรือแตกแล้ว สินสมุทรได้ช่วยเหลือนางและพาว่ายน้ำมาขึ้นที่เกาะแห่งหนึ่ง พบเรือของโจรสุหรั่งจึงได้ขออาศัยเดินทางกลับเมืองผลึกระหว่างทางโจรสุหรั่งพยายามเกี้ยวนางสุวรรณมาลี สินสมุทรโกรธจึงฆ่าโจรสุหรั่งแล้วนำเรือออกค้นหาพระอภัยมณีมาถึงเมืองรมจักร สินสมุทรรบกับศรีสุวรรณเพราะเข้าใจผิด สินสมุทรจับศรีสุวรรณได้ แต่ภายหลังได้รู้ว่าเป็นอาหลานกัน ศรีสุวรรณ สินสมุทร สุวรรณมาลี และอรุณรัศมี จึงออกติดตามพระอภัยมณีจนพบเรือของอุศเรน อุศเรนขอสุวรรณมาลีคืนจากสินสมุทร สินสมุทรไม่ยอม เพราะรักนางสุวรรณมาลีเหมือนแม่ พระอภัยมณีขอร้องให้สินสมุทรคืนนางสุวรรณมาลีให้อุศเรนด้วยสำนึกบุญคุณที่อุศเรนให้อาศัยเรือมา แต่สินสมุทรก็ไม่ยอม การกระทำของพระอภัยมณีในครั้งนี้ทำให้นางสุวรรณมาลีโกรธมากในที่สุดสินสมุทรจึงรบกับอุศเรน สินสมุทรจับอุศเรนได้ พระอภัยมณีขอให้ปล่อยอุศเรนไป เมื่ออุศเรนได้รับอิสรภาพกลับยกทัพมาต่อสู้อีกจนได้รับบาดเจ็บกลับลังกาไป

           จากนั้นพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ       สุวรรณมาลี สินสมุทร และอรุณรัศมีก็เดินทางไปเมืองผลึก มเหสีท้าวสิลราชทราบว่าพระสวามีจมหายไปในทะเลก็คิดจะอภิเษกพระอภัยมณีกับสุวรรณมาลีเพื่อให้ครองเมืองต่อไป แต่สุวรรณมาลีน้อยใจพระอภัยมณีอยู่ จึงหนีไปบวชชี ต่อมามีหญิงชื่อวาลี เป็นเชื้อพราหมณ์มีความรู้ไตรเพทและมีความเฉลียวฉลาด แต่รูปชั่วตัวดำ ได้อาสาเข้ารับราชการเป็นสนมพระอภัยมณีและออกอุบายให้พระอภัยมณีได้อภิเษกกับสุวรรณมาลี หลังจากนั้นศรีสุวรรณ สินสมุทร และอรุณรัศมีลาพระอภัยมณีและสุวรรณมาลีไปกรุงรัตนาเพื่อพบท้าวสุทัศน์และนางปทุมเกสร แล้วจึงกลับเมืองรมจักร

            ส่วนพระอภัยมณีก็ได้พระธิดาฝาแฝดกับนางสุวรรณมาลีชื่อสร้อยสุวรรณและจันทร์สุดา

            ส่วนทางเกาะแก้วพิสดาร นางเงือกคลอดพระโอรส โยคีตั้งชื่อให้ว่า สุดสาคร เมื่อเติบโตขึ้นมาได้ร่ำเรียนวิชากับโยคี จนเก่งกล้าได้ม้านิลมังกรเป็นพาหนะและมีอาวุธคู่กายคือไม้เท้าวิเศษที่โยคีมอบให้ เมื่อสุดสาครเจริญวัยรู้สึกคิดถึงพระบิดา จึงลาพระโยคีออกตามหาพระอภัยมณีระหว่างทางพบอันตรายต่างๆ ต้องต่อสู้กับผีดิบ และถูกชีเปลือยซึ่งต้องการม้านิลมังกรและไม้เท้าวิเศษหลอกผลักตกลงไปในเหว ชีเปลือยได้ม้านิลมังกรกับไม้เท้าแล้วก็เดินทางเข้าเมืองการเวก พระโยคีมาช่วยสุดสาครไว้แล้วบอกให้เดินทางติดตามชีเปลือยไปเอาของคืน เมื่อได้ของคืนแล้วสุดสาครได้พบกับท้าวสุริโยทัยเจ้าเมืองการเวก ทรงรักสุดสาครมากตั้งให้เป็นโอรสโดยมีพระธิดาเสาวคนธ์เป็นเพื่อนเล่น

             ฝ่ายอุศเรน เมื่อกลับมาถึงลังกาก็จัดทัพเพื่อตีเมืองผลึกด้วยความแค้น โดยมีพระบิดาเป็นทัพหลวง ส่วนตนเองเป็นทัพหน้า การศึกครั้งนี้พระอภัยมณีได้นางวาลีเป็นกำลังสำคัญในการวางแผน กรุงผลึกจึงรบได้ชัยชนะ พระอภัยมณีจับอุศเรนได้ คิดจะปล่อยไป แต่นางวาลีเห็นว่าหากปล่อยไปภายหลังจะมารบอีก จึงใช้วาจายั่วจนอุศเรนกระอักเลือดอกแตกตาย ส่วนนางวาลีก็ถูกวิญญาณของอุศเรนสิงตายตามไป ส่วนเจ้าลังกาถูกธนูยิงหนีไปรวมไพร่พล เมื่อพระอภัยมณีส่งศพอุศเรนมาให้ ก็โศกเศร้าจนตายไปอีกคน ทหารจึงนำพระศพกลับไปลังกา ฝ่ายละเวงวัณฬาพระธิดาเจ้าเมืองลังกา เมื่อทำพิธีศพเสร็จก็ขึ้นครองเมือง มีสังฆราชเป็นที่ปรึกษา ช่วยกันวางแผนแก้แค้นเมืองผลึกโดยวาดรูปนางละเวงส่งไปให้เจ้าเมืองต่างๆ เพื่อขอให้มาช่วยรบ โดยมีนางละเวงเป็นรางวัลหากรบชนะ สังฆราชสอนวิธีทำเสน่ห์ยาแฝดให้นางละเวง และให้สร้างเมืองใหม่ใกล้ทะเล มีป้อมปราการมั่นคง ในบรรดาเจ้าเมืองที่มาอาสาช่วยนางละเวงรบ มีเจ้าละมานเจ้าเมืองทมิฬรวมอยู่ด้วย เจ้าละมานเห็นรูปนางละเวงก็หลงใหล จึงจัดทัพไปรบที่เมืองผลึก

              ฝ่ายพระอภัยมณีได้รู้กิตติศัพท์ของทัพเจ้าละมานว่ามีความเข้มแข็งกว่ามนุษย์ทั่วไปจึงใช้ปี่เป่าเป็นเพลงสะกดทัพเจ้าละมานให้หลับแล้วจับตัวขังกรงไว้ เจ้าละมานเมื่อแพ้ศึก ก็พร่ำเพ้อถึงแต่นางละเวง นำรูปขึ้นมากอดจูบ ผู้คนจึงนำรูปนางละเวงไปให้พระอภัยมณี เมื่อพระอภัยมณีเห็นก็หลงรัก พระอภัยมณีให้นำทหารทัพเจ้าละมานไปปล่อยเกาะเพื่อมิให้กลับมาทำสงครามได้อีก เจ้าละมานเสียใจมากที่พ่ายแพ้และเสียดายรูปนางละเวงจนตาย วิญญาณจึงเข้าสิงรูป ทำให้พระอภัยมณีหลงรูปนางละเวงจนเสียจริต สุวรรณมาลีพยายามทำลายรูป แต่รูปนั้นมีวิญญาณสิงอยู่ทำให้ทำลายรูปไม่ได้

            สุดสาครพักอยู่ที่เมืองการเวกเป็นเวลานานก็รู้สึกคิดถึงบิดาจึงทูลลาท้าวสุริโยทัยเจ้าเมืองการเวกออกตามหาพระอภัยมณี การเดินทางครั้งนี้มีเสาวคนธ์และหัสไชย ธิดาและโอรสของท้าวสุริโยทัยตามไปด้วย ระหว่างทางผ่านเกาะกาวิน ผีเสื้อยักษ์โฉบเสาวคนธ์และหัสไชยไป สุดสาครฆ่าผีเสื้อยักษ์ได้แก้วตาวิเศษสองดวง มอบให้น้องคนละดวงเพื่อป้องกันตัว จากนั้นเดินทางมาถึงเมืองผลึก เป็นเวลาเดียวกับที่พระอภัยมณีกำลังหลงรูปนางละเวง และมีทัพหลายทัพที่อาสานางละเวงมาตีเมืองผลึกล้อมเมืองอยู่ สุดสาครได้ช่วยสุวรรณมาลีรบ และได้พบศรีสุวรรณและสินสมุทรซึ่งเดินทางมาช่วยรบและได้แก้ไขพระอภัยมณีจนพ้นจากอาการคลุ้มคลั่งหลงรูปวาด จากนั้นทั้งหมดก็ได้ช่วยรบกับกองทัพอาสาของนางละเวงถึงเก้าทัพคือ ทัพวิลยา ชวา ฉวี ละเมด มลิกัน สำปันหนา กะวิน จีนตั๋ง และอังกุลา จนได้ชัยชนะ หลังเสร็จศึก สุดสาครทูลลาพระอภัยมณีกลับเมืองการเวก 

             ส่วนพระอภัยมณียกทัพไปตีเมืองลังกาเป็นการตอบแทน นางละเวงให้เจ้าเซ็นระด่ำและเจ้ามะหุดออกมารบ แต่ถูกทัพผลึกตีพ่ายไปสินสมุทรถูกปืนข้าศึกยิงตกน้ำ ครั้นน้ำขึ้นร่างกายถูกพัดไปเกยหาดเมื่อถูกแดดก็ฟื้น และลอบเข้าไปในเมืองใหม่ เห็นนางละเวงก็เข้าจับแต่จับไม่ได้ เพราะนางละเวงมีตราพระราหูคุ้มครอง นางละเวงหนีกลับเมืองและตั้งค่ายกลตามตำราที่พระสังฆราชสอนไว้ และทำรถกลมีรูปนางละเวงนั่ง ศรีสุวรรณและสินสมุทรออกรบติดค่ายกลของนางละเวง พระอภัยมณีเห็นเสียทีจึงเป่าปี่ห้ามทัพ ทหารในกองทัพทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงปี่ก็หลับหมด นางละเวงมีตราราหูคุ้มกันไว้จึงไม่หลับขี่ม้าออกรบกับพระอภัยมณี พระอภัยมณีเห็นนางละเวงก็เกิดความรักจึงเป่าปี่เกี้ยวนางละเวง นางละเวงได้ฟังเสียงปี่ก็หลงรักพระอภัยมณีแต่ก็หักใจควบม้าหนี ระหว่างทางได้ดินถนันที่เรียกว่า นมพระธรณี ซึ่งเป็นของวิเศษหากกินเข้าไปก็จะมีผิวพรรณผ่องใส และได้พบบาทหลวงปีโปแห่งบ้านสิกคารนำ นางละเวงขอยุพาผกาและสุลาลีวันซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่บาทหลวงปีโปเลี้ยงไว้ นำกลับไปเป็นลูกที่ลังกา และเมื่อเดินทางมาถึงป่ากาลวัน นางละเวงก็ได้อ้ายย่องตอดผีดิบมาเป็นทหารรับใช้ด้วย

            ส่วนพระอภัยมณีหลังจากนางละเวงหนีไปแล้วก็ยึดเมืองใหม่ของลังกาได้ จากนั้นยกทัพเข้าตีด่านดงตาล นายด่านเสียชีวิตรำภาสะหรีลูกสาวนายด่านหนีไปเฝ้านางละเวงที่ลังกา นางละเวงให้ยุภาผกาและสุลาลีวัน ยกทัพไปรักษาด่านเจ้าเขาประจัน ได้สู้รบกับเมืองผลึกอย่างเป็นสามารถแต่ไม่อาจเอาชนะได้ นางละเวงคิดจะหย่าศึก ปรึกษาสังฆราช สังฆราชออกอุบายให้นางละเวงลวงพระอภัยมณีให้เป่าปี่แล้วเผากองทัพเมืองผลึกเสีย แต่นางละเวงนั้นรักพระอภัยมณีจึงปรึกษายุภาผกา ยุภาผกาเปิดสารที่บาทหลวงปีโปให้ไว้ออกดู ก็รู้ว่าเป็นชะตากรรม นางละเวงจึงออกอุบายให้ยุภาผกายกทัพออกไปหาพระอภัยมณี ให้พระอภัยมณีเป่าปี่เพื่อสะกดทัพแล้วพาพระอภัยมณีไปหานางละเวง พระอภัยมณีจึงเป่าปี่ ทำให้ทัพทั้งหมดหลับไปแล้วพระองค์กับยุภาผกาขึ้นรถนางละเวงไปเมืองลังกา ส่วนนางรำภาสะหรีก็ตัดหัวทหารที่มีหน้าตาคล้ายพระอภัยมณีส่งไปให้สังฆราช สังฆราชคิดว่าพระอภัยมณีตายก็เก็บศพไว้ แล้วส่งสารไปยังศรีสุวรรณว่าจับพระอภัยมณีได้แล้ว ให้เมืองผลึกเลิกทัพกลับไปแล้วจะปล่อยพระอภัยมณี

        ส่วนศรีสุวรรณเมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นพี่ ก็ให้คนไปสืบและลอบเข้าไปนำศีรษะที่สังฆราชเก็บไว้ออกมาได้ คิดว่าเป็นพระอภัยมณีก็เสียใจ พอดีกับที่ทูตนำหนังสือจากสังฆราชมาให้ จึงจับทูตขังไว้แล้วให้สินสมุทรปลอมตัวเป็นทูตเข้าด่าน สินสมุทรจุดไฟเผาด่านและเปิดประตูรับกองทัพเมืองผลึก กองทัพลังกาแตกพ่าย สังฆราชหนีไป ศรีสุวรรณค้นหาศพที่สังฆราชเก็บไว้จนพบ ก็รู้ว่าไม่ใช่พระอภัยมณี จึงยกทัพล้อมลังกาไว้ นางละเวงต้องการให้เลิกศึกจึงให้พระอภัยมณี ส่งสารไปถึงศรีสุวรรณว่าจะอยู่ลังกา ขอให้ศรีสุวรรณนำทัพกลับเมืองผลึกไป ศรีสุวรรณกับสินสมุทรจึงออกอุบายว่าพ่อแม่ส่งสารมาถึงและขอเฝ้าพระอภัยมณี ต่อมาศรีสุวรรณและสินสมุทรได้เข้าเฝ้าพระอภัยมณีที่ลังกานางละเวงเห็นว่าทั้งสองเป็นผู้นำทัพ หากได้ตัวไว้ศึกก็จะสงบ จึงให้รำภาสะหรีและยุภาผกาทำเสน่ห์ไว้ไม่ให้กลับออกไปพราหมณ์ทั้งสามไม่เห็นศรีสุวรรณและสินสมุทรออกมาจึงส่งสารไปถึงนางสุวรรณมาลีให้ส่งคนมาช่วยนางสุวรรณมาลีส่งสารไปถึงนางเกษราและสุดสาครแล้วนางก็พาลูกเดินทางไปลังกาสุดสาครเมื่อได้รับสารก็รีบยกทัพไปช่วยพร้อมกับหัสไชย สุวรรณมาลีส่งสารไปถึงพระอภัยมณี นางละเวง ศรีสุวรรณ และสินสมุทร ฝ่ายนางละเวงได้รับสารก็มีสารโต้ตอบกลับมา สุวรรณมาลีได้รับสารตอบก็แค้นใจจะยกทัพเข้าลังกา แต่สุดสาครห้ามไว้และอาสาเข้าไปแก้เสน่ห์ในวัง แต่กลับถูกเสน่ห์ของนางสุลาลีวันเข้าอีกคน สุวรรณมาลีจึงส่งสารไปเมืองการเวกและเมืองรมจักร ท้าวทศวงศ์แห่งเมืองรมจักรยกทัพมากับนางอรุณรัศมี ส่วนท้าวสุริโยทัยเจ้าเมืองการเวกยกทัพมาพร้อมกับเสาวคนธ์และพราหมณ์ทิศาปาโมกข์โลกเชษฐ์ พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ให้หัสไชยนำธงยันต์ไปแก้เสน่ห์ พาสินสมุทร และสุดสาครออกมาได้ แต่ยุภาผกาและสุลาลีวันให้สังฆราชช่วยแก้ให้และให้ย่องตอดสะกดทัพลักพาสินสมุทร และสุดสาครกลับไป แล้วเขียนสารปลอมของสุดสาครตัดรักนางเสาวคนธ์ ทำให้นางเสาวคนธ์โกรธมากปลอมตัวเป็นชาวสิงหลไปหน้าป้อม ยิงแก้มสุลาลีวันด้วยธนู นางละเวงเห็นสุลาลีวันบาดเจ็บก็โกรธมากสั่งยกทัพออกตีค่ายนางสุวรรณมาลีกลางดึก ทัพเมืองการเวกเข้าช่วยสุวรรณมาลี ตีทัพเมืองลังกาแตกพ่าย พระอภัยมณีเป่าปี่เรียกนางละเวงแล้วคบคิดกับนางละเวงตีทัพเมืองผลึก โดยจะเป่าปี่ให้ทัพเมืองผลึกหลับแล้วเผา แต่เมื่อทัพลังกายกออกมา ทิศาปาโมกข์ให้ทหารเอาขี้ผึ้งอุดหู แล้วทำพิธีอันเชิญโยคีจากเกาะแก้วพิสดารมาช่วย และในขณะที่ทหารทั้งสองฝ่ายกำลังรบกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น พระโยคีก็มาเทศนาให้สงบศึก ทุกฝ่ายสำนึกในความผิดของตน และให้สัตย์ว่าจะรักกัน นางละเวงพาทุกคนไปเที่ยวชมเขาโคตรเพชร นางเสาวคนธ์ขอโคตรเพชรจากนางละเวง นางละเวงก็ประทานให้ ขณะที่กำลังขุดโคตรเพชร แผ่นดินเมืองลังกาก็ไหวเพราะโคตรเพชรเป็นของดีประจำเมือง เมื่อเสร็จศึกพระอภัยมณีกลับเมืองผลึก แล้วอภิเษกสินสมุทรกับอรุณรัศมี แต่อรุณรัศมีได้ให้สัตย์ด้วยความโกรธสินสมุทรไว้ว่าจะไม่แต่งงาน นางจึงไม่ยอมเข้าหอ ทำให้สินสมุทรป่วยเป็นไข้ใจ ท้าวทศวงศ์จึงให้อรุณรัศมีไปพยาบาล ส่วนเสาวคนธ์เมื่อรู้ว่าจะต้องอภิเษกกับสุดสาครก็ปลอมตัวเป็นฤาษีชื่อพระอัคนี หนีไปจนถึงเมืองวาหุโลม ได้ต่อสู้กับเจ้าเมืองและตีเมืองได้ สุดสาครติดตามเสาวคนธ์ไปถึงเมืองวาหุโลม และได้นางเสาวคนธ์เป็นชายา ที่เมืองลังกา

            เมื่อพระอภัยมณีเสด็จกลับไปแล้ว นางละเวงมีโอรสชื่อมังคลา รำภาสะหรีมีโอรสชื่อวลายุดา ยุภาผกามีโอรสชื่อว่าวายุพัฒน์ และสุลาลีวันมีโอรสชื่อว่าหัสกัน นางละเวงมอบให้มังคลาครองเมือง สังฆราชยุให้มังคลาไปชิงโคตรเพชรคืนจากนางเสาวคนธ์ มังคลาจึงให้หัสกันและวายุพัฒน์ยกทัพไปตีเมืองการเวก และได้ชิงโคตรเพชรคืนไปลังกา ท้าวสุริโยทัยจึงส่งสารไปแจ้งข่าวที่เมือง ผลึกขณะนั้นพระอภัยมณีไปงานศพท้าวสุทัศน์ที่เมืองรัตนา หัสไชยซึ่งพักอยู่ที่เมืองผลึกจึงรีบกลับเมืองการเวก สุวรรณมาลีส่งสารไปถึงไปถึงนางละเวง แต่สารถูกมังคลาชิงไป มังคลาให้วายุพัฒน์และหัสกันยกทัพไปตีเมืองผลึก ทัพลังกายกมาตีเมืองผลึกและจับสุวรรณมาลี สร้อยสุวรรณ และจันทร์สุดา ไปกักขังไว้ที่ด่านดงตาล จากนั้นมังคลาให้วลายุดายกทัพไปตีเมืองรมจักร พระกฤษณาโอรสของศรีสุวรรณกับนางศรีสุดา ยุขันธ์บุตรพราหมณ์สานน มะหุดบุตรพราหมณ์วิเชียรและมังกรบุตร

             พราหมณ์โมรา ยกทัพต่อสู้แต่วลายุดาก็สามารถหลบหนี นำท้าวทศวงศ์และมเหสีไปขังไว้ที่ด่านดงตาลได้ สุดสาครและเสาวคนธ์ทราบข่าวลังกายกทัพมาเผาเมืองการเวก จึงยกทัพไปเมืองลังกา เช่นเดียวกับหัสไชยที่ทราบว่าสุวรรณมาลีและสร้อยสุวรรณ จันทร์สุดาถูกจับก็ยกทัพไปลังกา รบกับวายุพัฒน์และหัสกันตั้งแต่เช้าจนค่ำไม่มีใครแพ้ชนะ ทัพลังกาจึงกลับเข้าเมืองพอตกดึกหัสไชยยกพลมาตีทัพลังกาขณะกำลังหลับ รบกันถึงรุ่งเช้าพอดีสุดสาครยกทัพมาถึงจึงช่วยหัสไชยรบมังคลารบแพ้หนีไปอยู่ที่ด่านเขาเจ้าประจัน นางละเวงเมื่อทราบข่าวศึกก็โกรธลูกมาก จึงรีบออกไปช่วยสุวรรณมาลี สร้อยสุวรรณ จันทร์สุดา ท้าวทศวงศ์ และมเหสี ที่ถูกขังอยู่ แล้วเชิญไปอยู่ที่ลังกา

           พระอภัยมณีและศรีสุวรรณเมื่อเสร็จงานศพท้าวสุทัศน์ทราบข่าวการศึกจึงยกทัพไปเมืองลังกาและส่งสารขอให้มังคลายอมแพ้แต่โดยดี แต่มังคลาไม่ยอมจึงรบกัน สังฆราชเห็นว่ามังคลาคงจะแพ้ศึก จึงเผาเมืองลังกา แล้วออกไปพบมังคลา จากนั้นจึงวางกลหุ่นพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร สุดสาคร และเสาวคนธ์ ผูกติดไม้กางเขนเพื่อห้ามทัพนางละเวง นางละเวงจึงถอยทัพกลับ ต่อมาวางกลหุ่นสุวรรณมาลี สร้อยสุวรรณ จันทร์สุดา และหัสไชย เพื่อห้ามทัพพระอภัยมณี พระอภัยมณีจึงเป่าปี่เพื่อจับมังคลาและพรรคพวกมังคลามีตราราหูจึงหนีไปสังฆราช ส่วนวลายุดา วายุพัฒน์ และหัสกันถูกจับ แต่ภายหลังพระอาจารย์ของแต่ละคนช่วยให้หลบหนีไปได้ พระอภัยมณีเข้าเมืองลังกา อภิเษกสุดสาครกับนางเสาวคนธ์และหัสไชยกับสร้อยสุวรรณ จันทร์สุดา

          หลังงานอภิเษกศรีสุวรรณพาท้าวทศวงศ์กลับเมืองรมจักร หัสไชยพาสร้อยสุวรรณ จันทร์สุดากลับเมืองการเวก สินสมุทรได้ครองเมืองผลึก สุดสาครได้ครองเมืองลังกา ส่วนพระอภัยมณีน้อยใจสุวรรณมาลีและนางละเวงจึงตัดกิเลสทางโลก ออกบวชเป็นฤาษี โดยมีนางสุวรรณมาลีและนางละเวงร่วมบวชเป็นชีรับใช้พระอภัยมณีอยู่ที่เขาสิงคุตร

เนื้อเพลง