วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นิราศภูเขาทอง ฉบับเต็ม

  

นิราศภูเขาทอง เป็นบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบทประพันธ์หนึ่งของสุนทรภู่ แต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2373 โดยเป็นการบรรยายสภาพบ้านเมืองนับตั้งแต่วัดราชบุรณะ ไปจนถึงพระเจดีย์ภูเขาทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นิราศภูเขาทองถูกแต่งขึ้นขณะที่สุนทรภู่ยังบวชอยู่ ขณะเดินทางไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทอง หลังจากที่ออกพรรษาแล้ว โดยแต่งเป็นคำกลอนแปดขนาด 89 คำกลอน

เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา 
รับกฐินภิญโญโมทนา
ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส
เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย
มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น

โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร 
แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น 
เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง
ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง 
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง
มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ

ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด
คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร
แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด
ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ

ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น
ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
จะสร้างพรตอุตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย
ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา 
ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป ฯ

ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย
แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ
เคยรับราชโองการอ่านฉลอง
จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลอง
มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา

เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา
วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ฯ
ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ
ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกล
ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ฯ

ถึงอารามนามวัดประโคนปัก
ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน
มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย 
แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา
อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ
แพประจำจอดรายเขาขายของ
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง
ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภาฯ

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย 
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ

ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง
มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน
จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง
เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง
ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน

ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์
ร่มริโรธรุกขมูลให้พูนผล
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล
ให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกายฯ
ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง
มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย
พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง

จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถาน
ทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง
พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืนฯ
โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศ
มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน
ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา

โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง
เพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา
เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนา
พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก
กลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน
ดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน

ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง
ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล
ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลาฯ
ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง
สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคง
เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ

เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง
ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ
เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย
ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ
มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย
พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืนฯ

มาถึงบางธรณีทวีโศก
ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น
โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น
ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้
ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ
เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกาฯ

ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า
ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา
ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง
เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ
ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิดฯ

ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ
ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่าน
จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา
ขอให้สมคะเนเถิดเทวา
จะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย

ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน
อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก
สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา
เป็นล่วงพ้นรนราคราคา
ถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดีฯ

ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี
ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง
แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว
ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ

สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ
ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด
ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง
อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี
ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมาฯ

ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง
ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา
นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม
ดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย
ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง

เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว
ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง
เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไรฯ
โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด
ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ
ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น

ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง
ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น
เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอาฯ
พระสุริยงลงลับพยับฝน
ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา
ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว

เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง
ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว
ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด
เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย
ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก

กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน
เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก
น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง
พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด
ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอนฯ

แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง
ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร
กาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย
พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ
ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส

สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม
อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด
ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก
ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย
ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร

จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก
ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร
ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า
เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา
กระจับจอกดอกบัวบานผกา
ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย

โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น
จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย
เที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิง
ไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา
อุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน

นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ
ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน
ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจฯ
มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย
ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน

แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก
อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร
จะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณฯ
มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม
ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ
ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง

บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ
ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง
เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก
ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู
จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอนฯ

ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด
จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร
อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง
มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ
เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ

แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง
ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ
ชัยชนะมารได้ดังใจปองฯ
ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ
เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง
ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย

อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น
เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได
คงคงลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด
ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน
เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม

บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น
ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
ประทักษิณจินตนาพยายาม
ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย
ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์
แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก

ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก
เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้นฯ

ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ
บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์
เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์
ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย
แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์

ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ
ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง
ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว
อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ
ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวรฯ

พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ
พบพระธาตุสถิตในเกสร
สมถวิลยินดีชุลีกร
ประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว
ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา
ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ

แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ
ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล
เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศก
กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน
พอตรู่ตรู่สุริฉายขึ้นพรายพรรณ
ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานีฯ

ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง
ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้
ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป
ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา
ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ

ใช่จะมีที่รักสมัครมาด
แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร
ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัด
สารพัดเพียญฉนังเครื่องมังสา
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา
ต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจฯ

จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น
อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ
จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอยฯ

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

พระสุธน มโนราห์

 



พระสุธน มโนราห์ 

เป็น นิทานพื้นบ้านที่มีเค้าโครงเรื่องมาจากชาดกเรื่อง สุธนชาดก ชาดกย่อยเรื่องหนึ่งใน ปัญญาสชาดก โดยตัวละครเอกของเรื่องนี้คือเรื่อง พระสุธน โอรสของท้าวอาทิตยวงศ์แห่งเมืองอุดรบัญจาล ที่ออกผจญภัยเพื่อตามหา นางมโนราห์ ราชินีชาวกินรีที่หนีออกจากเมือง ตามคำสาปแช่งของนางมโนราห์ที่สาปแช่งไว้ในอดีตชาติ ครั้งที่กำเนิดเป็น พระรถเสน และ นางเมรี ซึ่งเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่นิยมมากในอดีต ซึ่งมีหลักฐานปรากฎว่าว่าถูกนำไปดัดแปลงเป็นการแสดงหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น ละครนอกในสมัยอยุธยา, ละครชาตรีในสมัยปัจจุบัน 

เรื่องย่อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งชื่อว่า "นครอุดรปัญจาล" ปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมทรงพระนามว่า "ท้าวอาทิตยวงศ์" พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า "จันทาเทวี" ซึ่งต่อมาได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า "พระสุธน" เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้นก็มีความเฉลียวฉลาดและพระรูปโฉมงดงาม ยากที่จะหาราชกุมารในแว่นแคว้นอื่นเทียบเคียงได้ ครั้งนั้นมีพญานาคราชตนหนึ่งมีนามว่า "ท้าวชมพูจิตนาคราช" มีฤทธิ์อำนาจมากสามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักรใดก็ได้ พญานาคราชเห็นพระเจ้าอาทิตย์วงศ์เป็นพระราชาที่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมจึงบันดาลให้เมืองปัญจาลนครอุดมสมบูรณ์มีฝนตกต้องตามฤดูกาล หากแต่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับปัญจาลนครคือ เมืองนครมหาปัญจาละซึ่งปกครองโดยพระราชาที่ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระนามว่า "พระเจ้านันทราช" และจากการที่ทรงปกครองด้วยการกดขี่อาณาประชาราษฏร์นี้เองจึงทำให้อาณาจักรของพระองค์ ประสบกับความแห้งแล้งข้าวยากหมากแพง เพื่อหนีจากความยากเย็นแสนเข็นนี้บรรดาประชาราษฏร์จึงพากันอพยพไปอาศัยอยู่ในเมืองปัญจาลนคร ทำให้พระเจ้านันทราชมีจิตริษยาพระเจ้าอาทิตยวงศ์เป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็แค้นเคืองท้าวชมพูจิตนาคราชด้วย เพราะเข้าใจว่ามีใจลำเอียง ในขณะบันดาลให้ฝนฟ้าตกบนพื้นโลก กลับดลบันดาลให้ตกที่เมืองอุดรปัญจาลฝ่ายเดียว เพื่อล้างแค้นท้าวชมพูจิต พระเจ้านันทราชจึงให้ปุโรหิต ออกไปรับอาสาไปหาผู้ที่สามารถฆ่าพญานาคได้ และแล้วก็ได้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งมีมนต์วิเศษสูงกว่าพญานาคราชมาปราบพญานาค ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิเศษของพราหมณ์ ท้าวชมพูจิตเกิดความรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผาจึงต้องขึ้นจากสระ แล้วแปลงกายเป็นพราหมณ์หนุ่มเพราะรู้ตัวว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตนแล้ว แม้ตัวเองจะมีฤทธิ์เดชแต่ก็หาต้านทานพราหมณ์เฒ่าได้ไม่ ดังนั้นจึงคิดหาทางทำลายพิธีของพราหมณ์ผู้มีจิตคิดกำจัดตน ในขณะเดินไปมาอยู่ในป่า ท้าวชมพูจิตในร่างของพราหมณ์หนุ่มก็พบกับพรานป่าผู้หนึ่งชื่อพรานบุญกำลังออกป่าล่าสัตว์อยู่พอดีจึงเข้าไปทักทายและถามถึงบ้านเมืองของพรานผู้นั้น พรานป่าบอกว่าเขาเป็นชาวเมืองปัญจาลนครซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากเพราะได้รับความอนุเคราะห์จากพญานาคราช หากมีใครคิดจะทำอันตรายแก่พญานาคราชพรานป่า พรานจะฆ่าบุคคลผู้นั้นเสียในทันที ท้าวชมพูจิตดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น จึงแสดงตนเป็นพญานาคราชและเล่าเรื่องภัยอันใหญ่หลวงให้พรานฟัง เพื่อทำลายพิธีของพราหมณ์เฒ่าเสีย พรานบุญจึงยิงเขาตายด้วยลูกธนู พญานาคราชดีใจมากและขอบคุณพรานบุญที่ได้ช่วยเหลือเขาไว้ แล้วก็ชวนพรานบุญไปเที่ยวชมนครใต้พิภพของเขา พญานาคราชสัญญาว่าจะช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พรานบุญ ร้องขอแล้วก็มอบสิ่งมีค่าให้พรานบุญไปมากมาย พรานบุญจึงอำลาพญานาคราชและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายแต่ก็ยังชอบล่าสัตว์อยู่

วันหนึ่งในขณะที่เดินทางเข้าไปป่าลึก ได้พบกับพระฤๅษีตนหนึ่งชื่อกัสสปะ ผู้ซึ่งเล่าเรื่องกินรีให้เขาฟัง โดยปกติหมู่กินรีจากเขาไกรลาสจะบินมาลงเล่นน้ำในสระโบกขรณีทุก ๆ 7 วัน เมื่อพรานบุญเห็นความงามของกินรีก็คิดจะจับนางกินรีสักนางหนึ่งไปถวายพระสุธนเพื่อเป็นของขวัญจากป่า แต่พระฤๅษีก็บอกเขาว่าไม่มีหนทางจะจับนางได้ นอกจากจะได้บ่วงบาศของพญานาคราชท้าวชมพูจิตเท่านั้น เพราะนางกินรีสามารถบินได้เร็ว พรานบุญจึงเดินทางไปพบท้าวชมพูจิตเพื่อขอยืมบ่วงบาศ ความจริงแล้วพญานาคราชไม่ต้องการให้พรานบุญขอยืมบ่วงบาศเพราะจะเป็นบาปแก่ตน แต่เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตตนไว้ให้พ้นภัยจากพราหมณ์เฒ่า และได้ทราบจากการใช้มนต์วิเศษของตนตรวจสอบดูก็พบว่านางกินรีที่ชื่อว่ามโนห์ราและพระสุธนเป็นเนื้อคู่กัน พญานาคราชจึงยอมมอบให้ไป หลังจากได้บ่วงบาศจากท้าวชมพูจิตมาแล้ว พรานบุญก็สามารถจับมโนราห์ซึ่งเป็นธิดาองค์หนึ่งในบรรดาธิดาทั้ง 7 คนของท้าวทุมราชได้ (ท้าวทุมราชเป็นพระราชาปกครองเขาไกรลาส) นางมโนห์ราซึ่งเป็นน้องสุดท้องไม่สามารถหนีบ่วงบาศที่พรานบุญเหวี่ยงมาคล้องได้ พรานบุญนำนางไปยังปัญจาลนครและถวายพระสุธน ทันทีที่ทั้งคู่พบกันก็มีจิตรักใคร่ด้วยเคยเป็นคู่สร้างกันมาแต่ปางก่อน ทั้งพระราชาและพระราชินีเองก็มีความรักเอ็นดูนางเพราะนางมีพระสิริโฉมงดงามและการอบรมอย่างขัตติยนารีจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสอย่างเอิกเกริกให้ทั้งสองพระองค์ พรานบุญเองก็ได้รับรางวัลอย่างงามเช่นกัน

ฝ่ายปุโรหิตโกรธมโนห์ราเพราะเขาเองต้องการให้บุตรสาวของตนอภิเษกสมรสกับพระสุธน แต่ว่าตอนนี้มโนราห์ได้ทำให้ความฝันของเขาสลายเสียแล้วจึงคอยโอกาสที่จะได้แก้แค้นนาง และแล้วก็แอบไปคบคิดวางแผนกับเจ้าเมืองปัจจันตนครให้ ยกทัพมาตีเมืองของตนและเพื่อขับไล่ผู้รุกราน ปุโรหิตจึงทูลเสนอให้พระสุธนยกกองทัพออกปกป้องพระนคร ด้วยวิธีนี้เขาก็จะได้มีโอกาสดีกำจัดมโนห์ราออกไปเสียให้พ้นทาง คืนวันหนึ่งพระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสุบินว่ามียักษ์ตนหนึ่งเข้ามาในพระราชวังและพยายามจะควักเอาดวงพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงสะดุ้งตื่นจากบรรทม ปุโรหิตเจ้าเล่ห์จึงได้โอกาสงามกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทางของบุตรสาวตนเอง เขาจึงทำนายว่าข้าศึกจะเข้ามาในพระราชวังและประหารพระองค์เสีย ประชาชนจะพากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและเมืองหลวงก็จะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น พระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัยจึงทรงรับ สั่งให้หาทางแก้ไขโดยด่วนปุโรหิตจึงกราบทูลว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดวงชะตาบ้านเมืองไม่ดีจะต้องใช้สัตว์สองเท้าและสี่เท้ามาทำพิธีสังเวยบูชายัญเพื่อ สะเดาะเคราะห์ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัยพระเจ้าข้า"

ในขณะเดียวกัน คนสนิทของปุโรหิตก็เข้ามากราบทูลพระราชาว่าทัพหลวงที่พระสุธนยกไปถูกข้าศึกตีพ่ายแพ้แล้ว เพื่อเป็นการปัดเป่าลางร้ายปุโรหิตจึงกราบทูลว่า ถ้าจะให้พิธีมีความศักดิ์สิทธิ์มายิ่งขึ้นจำเป็นต้องใช้สัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนกเช่นนางมโนราห์ก็จะเป็นการบูชายัญที่ดีเยี่ยม พระราชาและพระราชินีพยายามชักชวนให้ปุโรหิตเปลี่ยนไป ใช้สัตว์อื่นแทนที่จะใช้มโนราห์แต่เขาก็ยังยืนกรานเช่นเดิม ทั้งสองพระองค์รู้สึกสงสารมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง และทรงคาดเดาไม่ถูกว่าพระโอรสจะรู้สึกเช่นไรเมื่อกลับจากทัพแล้วไม่พบภรรยาสุดที่รักของตน ในพิธีพระราชาทรงให้ก่อไฟตามที่ปุโรหิตเสนอ แล้วให้ทหารไปทูลเชิญนางมโนราห์มาเข้าพิธีบูชายัญ นางมโนราห์ผู้น่าสงสารได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญถึงพระบิดา พระมารดาของนางและพระสุธน บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ในขณะนั้นเองนางมโนราห์ได้สติและเกิดความคิดที่จะหนีจากการถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมนี้ ดังนั้นนางจึงทูลขอพระราชาขอให้ได้รำถวายเป็นครั้งสุ ดท้าย เพราะนางเป็นกินรีผู้ซึ่งรักการร่ายรำ หลังจากที่พระราชาทรงอนุญาตแล้วนางจึงขอปีกและหางมาสวมใส่แล้วนางก็ออกร่ายรำด้วยท่วงท่าอันงดงามท่ามกลางฝูงชนอันเนืองแน่น ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเฝ้าดูการร่ายรำอันงดงามอยู่นั้นเอง นางมโนห์ราก็ได้โอกาสหนีโดยถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและบ่ายหน้าไปยังภูเขาไกรลาส ท่ามกลางความตกตะลึกของฝูงชนนั้นเอง

หลังจากชนะศึกแล้วพระสุธนก็ยกทัพกลับพระนครแต่ก็ต้องมาพบว่าภรรยาสุดที่รักของพระองค์ไม่ได้อยู่ในพระนครอีกต่อไปแล้ว พระองค์มีความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งและหลังจากทราบความจริงก็สั่งให้ประหารชีวิตปุโรหิตเสียในข้อหาทรยศ แล้วก็ทูลลาพระบิดาและพระมารดาออกตามหานางมโนราห์ แม้ว่าทั้งสองพระองค์จะพยายามทัดทานประการใดก็ไม่เป็นผล พระสุธนยืนกรานที่จะเสด็จไปเพราะตนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากนางมโนราห์ได้ พระสุธนให้พรานบุญนำนางไปจนถึงสระโบกขรณีและได้เข้าไปนมัสการพระฤๅษี พระฤๅษีทูลให้พระองค์ทราบว่า นางมโนราห์ได้แวะมาหาตนและได้สั่งไว้ว่า หากพระองค์เดินทางออกตามหานางก็ให้ล้มเลิกเสียเพราะว่าหนทางลำบากมากและอันตราย แล้วพระฤๅษีก็มอบผ้ากัมพลกับแหวนให้พระสุธนไปตามที่นางมโนราห์ขอร้องไว้ เมื่อได้เห็นของสองสิ่งพระสุธนถึงกับร่ำไห้ พระฤๅษีรู้สึกสงสารพระสุธนและบอกพระองค์ว่านี้เป็นผลบุญกรรมแห่งอดีตชาติจึงทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกัน แล้วก็มอบผลยาวิเศษให้พร้อมกับชี้ทางให้พระสุธน

พระสุธนออกเดินทางเพียงลำพังโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของพรานบุญ ผ่านป่าทึบซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะผ่านไปได้ ซึ่งมีผลไม้มากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มีพิษ ด้วยความช่วยเหลือของลูกลิง พระสุธนก็จะเสวยผลไม้ที่ลูกลิงกินได้เท่านั้น เมื่อมาถึงป่าหวายซึ่งไม่สามารถจะผ่านไปได้เพราะล้วนแต่มีหนามพิษ พระสุธนจึงใช้ผ้ากัมพลห่มแล้วนอนนิ่ง ๆ ขณะนั้นนกหัสดีลิงค์เข้าใจว่าพระสุธนเป็นอาหารจึงคาบ พระองค์ไปไว้ในรังบนยอดไม้ก่อนที่จะบ่ายหน้าไปหาอาหารเพิ่มอีก พระสุธนได้โอกาสหนีแต่ก็หวั่นพระทัยว่าจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้าอีก หลังจากเดินทางมาพักหนึ่งก็ไม่สามารถจะไปต่อได้อีกเพราะมีภูเขายนต์สองลูกเคลื่อนเข้ากระทบกันตลอดเวลาโดยไม่เปิดช่องว่างให้พระองค์ข้ามไปอีกทางหนึ่งได้ แต่หลังจากร่ายมนต์ที่พระฤาษีให้พระองค์ก็สามารถข้ามไปโดยง่าย จากนั้นพระองค์ก็เดินทางมาถึงอีกป่าหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพืชและสัตว์มีพิษ พระองค์จึงใช้ยาผงวิเศษชโลมกาย เมื่อผ่านป่าพิษแล้วก็มาพบที่อยู่ของนกยักษ์ พระองค์แอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและรอเวลาค่ำ คืนนั้นนกผัวเมียคู่หนึ่งคุยกันถึงเรื่องการได้รับเชิญให้ไปร่วมพิธีล้างกลิ่นสาบมนุษย์ให้นางมโนราห์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น พิธีนี้จัดให้มีขึ้นหลังจากมโนราห์กลับมาบ้านเมืองครบ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน หลังจากได้ยินนกทั้งคู่สนทนากัน พระสุธนก็ปีนขึ้นไปในรังนกและซ่อนตัวอยู่ในขนนกตัวหนึ่งโดยรอเวลาให้นกไปยังภูเขาไกรลาส ครั้นนกมาถึงสวนก็เกาะบนต้นไม้พระสุธนจึงเร้นกายออกจากขนนกแล้วซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ พระองค์เห็นเหล่านางกินรีกำลังนำน้ำจากสระอโนดาตเพื่อไปสรงน้ำ นางมโนราห์จึงแอบเอาแหวนใส่ลงในหม้อน้ำ ขณะสรงน้ำนางมโนราห์เห็นแหวนก็จำได้ นางก็รู้ทันทีว่าพระสุธนได้มาถึงเขาไกรลาสแล้ว นางมีความยินดียิ่งนักและออกตามหาพระองค์ ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พบกัน มโนราห์พาพระสุธนเข้ามายังปราสาทของนาง ท้าวทุมราชทรงทราบข่าวและทรงเห็นใจที่พระสุธนมีความรักนางมโนราห์อย่างมาก มิฉะนั้นก็คงจะไม่เดินทางมาไกลท่ามกลางอันตรายนานับประการ พระองค์คิดว่าเจ้าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความเป็นอัจฉริยะและความสามารถเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ต้องทดสอบความรักที่พระสุธนมีต่อธิดาของพระองค์

ครั้นถึงวันทดสอบท้าวทุมราชรับสั่งให้นางกินรีพี่น้องทั้ง 7 ซึ่งมีรูปร่างสิริโฉมงดงามและคล้ายคลึงกันมากออกร่าย รำให้พระสุธนหาตัวนางมโนราห์ พระสุธนเองรู้สึกหนักใจมากเพราะทั้งหมดดูคล้ายคลึงกัน เพื่อให้ความรักของพระองค์สมหวัง พระอินทร์จึงลงมาช่วยโดยการกระซิบบอกว่าถ้านางใดมีแมลงวันทองบินมาจับที่ใบหน้านางนั้นคือพระชายาของพระองค์ พระสุธนยินดียิ่งนักและมองเห็นแมลงวันสีทองเกาะอยู่บนหน้าของมโนราห์จึงรีบดึงพระกรของนางมาทันที พระราชาและทุก ๆ คนต่างก็มีความยินดียิ่งนักที่ได้เห็นทั้งคู่สวมกอดกัน พิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่จึงจัดให้ทั้งสองพระองค์อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ที่มาบางแห่งก็กล่าวว่า พระสุธนจำนางมโนราห์ได้ก็เพราะพระองค์เห็นแหวนในนิ้วมือของนางและไม่ได้กล่าวถึงพระอินทร์มาช่วยแต่อย่างใดเลย แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองพระองค์ก็ได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน หลังจัดพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระสุธนก็ทูลขอพระราชานุญาตจากท้าวทุมราชให้พระองค์และนางมโนราห์กลับไปเยี่ยมบ้านเมืองของพระองค์ ท้าวทุมราชทรงอนุญาตและร่วมเสด็จไปยังเมืองปัญจาลนคร ด้วย ท้าวทุมราชได้พบกับพระบิดาของพระสุธน กษัตริย์ทั้งสองทรงแลกเปลี่ยนของขวัญและร่วมเป็นพระสหายกันแต่บัดนั้น หลังจากประทับอยู่ในพระราชวัง 7 วันแล้ว ท้าวทุมราชลาธิดาของพระองค์และทุก ๆ คนเดินทางกลับพระนครของพระองค์ ภายหลังพระสุธนได้ขึ้นครองราชย์และใช้ชีวิตร่วมกับนางมโนราห์จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นางสิบสอง พระรถเมรี



บทละครเรื่องพระรถเมรีเป็นวรรณคดีที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งและไม่ปรากฏหลักฐานว่าแต่งในสมัยใด แต่มีผู้สันนิษฐานว่าเรื่องพระรถเมรีคงเป็นที่รู้จักแพร่หลายมานานแล้วดังปรากฏเป็นคำประพันธ์รูปแบบต่างๆ เช่น กาพย์ขับไม้ กลอนอ่าน กลอนนิราศ คำฉันท์ ฯลฯ ในส่วนของบทละครสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าคงจะมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 2 แต่ไม่ทรงแน่พระทัยว่าจะเป็นละครในสมัยอยุธยา ธนบุรี หรือสมัยรัชกาลที่ 1

เรื่องย่อ นางสิบสอง

กล่าวถึงเมืองไพศาลี มีพระรถสิทธิ์เป็นผู้ปกครองนคร ครั้งนั้นมีเศรษฐีร่ำรวยมากคนหนึ่งชื่อ พรหมจันทร์มีภรรยาอยู่กินกันมานานแต่ไม่มีบุตรธิดา ทั้งสองจึงพากันไปหาพระฤๅษีเพื่อขอบุตรธิดา    พระฤๅษีจึงให้เก็บก้อนกรวดที่ปากบ่อน้ำ หน้าอาศรม  และให้นึกถึงพระฤๅษีทุกครั้งเมื่อภาวนา

เศรษฐีกับภรรยาก็เก็บก้อนกรวดไปสิบสองก้อน   หลังจากนั้นภรรยาได้ตั้งท้องมีธิดาติดต่อกันมาเรื่อยมาจนได้สิบสองคน   เศรษฐีก็เลี้ยงลูกสาวด้วยความเอ็นดู     อยู่ต่อมาเศรษฐีค้าขายขาดทุนจนไม่มีอาหารเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสิบสองคน ในที่สุดจึงตัดสินใจที่จะนำลูกสาวทั้งหมดไปปล่อยป่า  ขณะที่ปรึกษากันระหว่างผัวเมียนางเภาลูกสาวคนสุดท้องแอบได้ยินจึงไปเก็บก้อนกรวดไว้เป็นจำนวนมาก     ครั้งเมื่อพอพาเข้าป่าไปตัดฟืนนางเภาจะเดินรั้งท้ายและเอาก้อนกรวดทิ้งตามรายทางเพื่อเป็นเครื่องหมาย    เมื่อไปถึงป่าพ่อใช้ให้ลูกๆแยกย้ายกันไปตัดฟืนหาผลไม้ในป่ากว้าง    ส่วนพ่อเห็นลูกจากไปในป่าหมดแล้วก็หลบหนีกลับบ้าน

ครั้นตกเย็น ลูกสาวทั้งสิบสองคน ได้กลับมายังที่นัดพบ  รออยู่นาน ไม่เห็นพ่อต่างร้องไห้คร่ำคราญ    นางเภาจึงบอกพี่ๆ ว่าตนจะพากลับบ้าน   นางเภาก็พาพี่ๆเดินตามก้อนกรวดที่นางได้โปรยเอาไว้ตอนเดินทางมา   ส่วนพ่อแม่ซึ่งอดอยากกันมานาน ตั้งใจจะกินข้าวกินปลาให้อิ่มหมีพลีมันเสียที   ขณะที่จะลงมือกินข้าวลูกๆ ก็กลับมาถึงบ้าน

เศรษฐีก็ได้หาวิธีที่จะไปปล่อยลูกสาวในป่ากันอีกครั้ง   ครั้งสุดท้ายนางเภาไม่มีโอกาส ที่จะเก็บก้อนกรวดเหมือนครั้งก่อน    เมื่อพ่อพาไปป่าหาฟืนหาผลไม้ก็จำยอมไปและได้เอาขนมที่พ่อแม่ให้กินระหว่างเดินทางโปรยตามทางเพื่อเป็นเครื่องหมายกลับบ้าน   แต่นกกาเห็นขนมก็ตามจิกกินขนมจนหมดสิ้น    ครั้นพ่อหนีกลับบ้าน นางทั้งสิบสองจึงไม่สามารถจะเดินทางกลับบ้านได้    ทั้งสิบสองคนพากันร่อนเร่ พเนจรไปเรื่อยๆหาทิศทางไม่ได้     ในที่สุดหลงเข้าไปในเมืองยักษ์ชื่อว่านางสันทมาร เมื่อนางยักษ์เห็นนางสิบสองก็เกิดเอ็นดูจึงรับเลี้ยงเป็นลูก โดยนางแปลงกายเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งให้ยักษ์ทุกตนแปลงกายเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน ยักษ์สันทมารเป็นแม่หม้ายมีลูกสาวบุญธรรม ชื่อนางเมรี     นางสิบสองไม่ทราบว่านางสันทมารเป็นยักษ์จึงอาศัยอยู่ด้วย    นางสันทมารต้องออกป่าไปจับสัตว์กินเป็นอาหารเสมอๆ โดยทุกครั้งที่จะออกไปนางจะสั่งนางทั้งสิบสองว่าห้ามไปเล่นท้ายวังเป็นอันขาด

วันหนึ่งนางสิบสองซุกซนไปตรวจดูสิ่งต่างๆได้พบกระดูกคนและสัตว์จำนวนมาก     พวกนางจึงรู้ว่านางสันทมารนั้นเป็นยักษ์ จึงพากันหนีด้วยความกลัว      นางสันทมารกลับมา ทราบจากเมรีว่านางสิบสองหนีไปก็โกรธจึงออกติดตามหวังจะจับกินเป็นอาหาร       แต่ด้วยบุญญาธิการของนางสิบสองยังมีอยู่บ้าง พวกสัตว์ ป่า เสือ ช้าง ช่วยกันกำบังนางสิบสองไว้ไม่ให้นางสันทมารเห็น

ในทีสุดนางสิบสองก็เดินกลับมายังเมืองไพศาลี      ขณะนั้นพระรถสิทธิ์เจ้าเมืองเสด็จมาพบเข้าทรงพอพระทัยมากจึงรับนางสิบสองคนมาเป็นพระมเหสี         ส่วนนางสันทมารได้ติดตามมาจนถึงเมืองไพศาลี เมื่อทราบว่านางสิบสองได้เป็นพระมเหสีของพระรถสิทธิก็ยิ่งเคียดแค้น     จึงแปลงกายเป็น หญิงงาม ทำอุบาย ร้องห่มร้องไห้ จนได้เฝ้าพระรถสิทธิ์     เล่าว่าตนชื่อ นางสมุดชาถูกบิดาบังคับให้แต่งงานกับเศรษฐี   นางจึงหนีมา     พระรถสิทธิ์รับนางสมุดชาไว้เป็นชายา        นางสมุดชามีความเคียดแค้นนางสิบสองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว      จึงทำเสน่ห์มารยาให้พระรถสิทธิ์หลงใหลจนลืมมเหสีเก่าทั้งสิบสอง

วันหนึ่ง นางสมุดชาทำอุบาย  โดยนางแกล้งป่วยแล้วหมอหลวงเยียวยารักษาไม่หายนอกจากจะต้องใช้ดวงตาของสาวที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน 12 นาง เป็นเครื่องยาเท่านั้น จึงจะรักษาหาย           ด้วยเวทมนต์ของนางยักษ์สันทมาร พระรถสิทธิ์จึงสั่งควักลูกตานางสิบสองมาเป็นเครื่องยา   แต่นางเภาถูกควักลูกตาเพียงข้างเดียวเพราะเมื่อครั้งหนีนางยักษ์สันทมารนั้นนางทั้งสิบสองคนจับปลากินประทังความหิว   พี่ๆ จับปลาได้ก็จะร้อยกับเชือกโดยแทงตาทะลุทั้งสองข้าง    ส่วนนางเภานั้นร้อยปลาจากปากปลาไปทะลุตาข้างเดียวฉะนั้นนางจึงถูกควักลูกตาข้างเดียว เพราะผลกรรมครั้งนั้น

ขณะนั้นมเหสีทั้งสิบสองได้ตั้งครรภ์กับพระรถสิทธิ์ทุกคน    นางสันทมารจึงให้ทหารจับไปขังไว้ในอุโมงค์มืดๆ  มีอาหารกินบ้างอดบ้าง     ส่วนพระรถสิทธิ์ไม่ทราบว่ามเหสีทั้งสิบสองคนตั้งครรภ์เพราะตกอยู่ในอำนาจเสน่ห์มารยาของนางยักษ์        นางทั้งสิบสองคนต่างหิวโซอยู่ในอุโมงค์มืดนั้นจนคลอดบุตร  เมื่อพี่สาวใหญ่คลอดบุตรออกมาต่างก็ช่วยกันฉีกเนื้อแบ่งกันกิน   เภาน้องคนสุดท้องไม่ยอมกินเนื้อ แต่รับส่วนแบ่งเก็บไว้ได้ 11 ชิ้น ครั้นตนคลอดบุตรออกมาบ้างก็นำเนื้อเด็กทั้ง 11 ชิ้น ส่งให้พี่ๆ  ฉะนั้นลูกของเภาจึงรอดชีวิต   เภาก็เลี้ยงลูกมาในอุโมงค์นั้นจนเจริญวัยได้ตั้งชื่อว่า “รถเสน”

พระอินทร์ทราบเรื่องนางสิบสองถูกทรมานจึงมาช่วยโดยแปลงกายเป็นไก่มาหากินอยู่หน้าอุโมงค์ พระรถเสนเลี้ยงไก่พระอินทร์และนำไก่มาท้าชนพนันกับชาวบ้านแล้วก็ได้ชัยชนะทุกครั้ง แลกเป็นข้าวอาหารมาเลี้ยงแม่และป้าๆ จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว          ความทราบถึงพระกรรณพระรถสิทธิ์ พระองค์เรียกเข้าเฝ้าทรงไต่สวนหาที่มาที่ไปทำให้ทราบว่า พระรถเสนเป็นพระโอรส     เมื่อนางสมุดชาทราบเรื่องจึงจะคิดกำจัดพระรถเสนเสีย ด้วยการหาอุบายให้พระรถสิทธิ์สั่งพระรถเสนให้เดินทางไปยังเมืองยักษ์เพื่อนำ มะม่วงไม่รู้หาว   มะนาวไม่รู้โห่ มาเป็นเครื่องยารักษานางอีก      โดยนางสมุดชาเขียนสารให้พระรถเสนถือไปหานางเมรีโดยเขียนสั่งว่า “ถึงกลางวันให้ฆ่ากลางวัน  ถึงกลางคืนให้ฆ่ากลางคืน”

พระรถเสนก็ควบม้าไปยังเมืองยักษ์ตามคำสั่งพระบิดา  ม้าของพระรถเสนนี้เป็นม้ากายสิทธิ์ วิ่งราวกับลมพัดและพูดได้ด้วย        ครั้นมาถึงอาศรมพระฤๅษีก็ขอหยุดพักหลับนอน    พระฤๅษีผู้มีญาณพิเศษทราบเหตุการณ์จึงแอบแก้ข้อความในจดหมายที่เรียกว่า “ฤๅษีแปลงสาร” เสียใหม่ว่า “ถึงกลางวันให้แต่งกลางวัน   ถึงกลางคืนให้ แต่งกลางคืน”

เมื่อพระรถเสนไปถึงเมืองยักษ์พบนางเมรี ก็นำสารของนางสมุดชามอบให้เพื่อจะได้ขอมะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ นางเมรีทราบเรื่องราวตามสารก็ทำตามคำสั่งแม่ทุกประการ คือ อภิเษกสมรสและยกเมืองให้พระรถเสนครอง

พระรถเสนอยู่ในเมืองยักษ์ด้วยความสุข  แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังระลึกถึงมารดาและป้าของพระองค์    จึงคิดหาอุบายโดยการจัดเลี้ยงสุราอาหาร   นางเมรีเมามาย พระรถเสนจึงหลอกถามถึงห่อดวงตานางสิบสอง อีกทั้งกล่องบรรจุดวงใจของนางสันทมาร      นางเมรีก็พูดด้วยความมึนเมา บอกเรื่องราวและที่เก็บสิ่งของสำคัญตลอดจนยาวิเศษขนานต่างๆ แก่พระรถเสนจนหมดสิ้น       พระรถเสนจึงนำกล่องดวงใจ  ห่อดวงตาและยารักษารวมทั้งยาวิเศษที่โปรยเป็นภูเขา เป็นไฟ   เป็นมหาสมุทร ติดตัว หนีออกจากเมืองไป

ครั้นเมื่อนางเมรีหายจากความมึนเมาไม่เห็นพระรถเสน    นางจึงรู้ว่าพระรถเสนหนีไปแล้ว นางกับเสนายักษ์ได้ออกติดตามพระรถเสนด้วยความรัก       พระรถเสนควบม้าหนีมาแต่นางเมรีก็ตามทัน   พระรถเสนจึงโปรยยาให้เป็นมหาสมุทร    นางเมรีสิ้นแรงฤทธิ์ไม่สามารถจะข้ามมหาสมุทรได้    นางเฝ้ารำพันอ้อนวอนให้พระรถเสนกลับเมืองไปอยู่กับนาง   แต่ม้าได้ทัดทานไว้ นางเมรีเศร้าโศกคร่ำคราญจนดวงใจแตกสลายแล้วสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น     พระรถเสนกล่าวขอโทษต่อหน้าศพนางแล้วให้เสนายักษ์นำร่างนางกลับเมือง   แล้วพระรถเสนก็กลับเมืองไปช่วยมารดาและป้าๆ

เมื่อกลับมาถึงเมืองไพศาลี พระรถเสนนำดวงตามารดาและป้าๆ พร้อมกับยา รักษาจนสามารถมองเห็นได้ทั้งสิบสองนาง พระรถเสนเข้าเฝ้าพระราชบิดาพร้อมกับทูลว่านางสมุดชาเป็นยักษิณี นางสมุดชารู้เรื่องจึงแปลงกายเป็นยักษ์หวังจะฆ่าพระรถเสนเสีย    แต่พระรถเสนต่อสู้กับนางสมุดชาและสามารถทำลายกล่องดวงใจของนางสมุดชาได้ จนนางสิ้นใจตาย       พระรถสิทธิ์จึงง้องอนมเหสีทั้งสิบสองนาง พร้อมทั้งขอโทษที่พระองค์ลงทัณฑ์นางเพราะความมัวเมาในเสน่ห์มารยาของนางยักษิณี     ในที่สุดพระรถสิทธิ์ก็ครองเมืองกับมเหสีทั้งสิบสองคนอย่างสันติสุขเรื่อยมา

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา

 


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา   นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 29 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนปัจจุบัน เป็นผู้บัญชาการทหารบก ตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ถึง 2557 และเคยเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งก่อรัฐประหารใน พ.ศ. 2557 และเป็นคณะรัฐประหารที่ปกครองประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ถึง 2562

พลเอกประยุทธ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2497 ณ ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายของพันเอก (พิเศษ) ประพัฒน์ จันทร์โอชา และเข็มเพชร จันทร์โอชา มารดาซึ่งรับราชการครู เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมดสี่คน  

เขาสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนสหะกิจวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยเทคโนโลยีลพบุรี) ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี แต่เรียนได้เพียงปีเดียวก็ลาออกเนื่องด้วยบิดาเป็นนายทหารจำต้องโยกย้ายไปในหลายจังหวัด และได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ในสมัยที่ศึกษาอยู่ที่นี่เขาเคยถูกนำเสนอประวัติผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ในฐานะเด็กเรียนดีอีกด้วย จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และในปี พ.ศ. 2514 ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร จนสำเร็จเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) และในปี พ.ศ. 2519 เป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23 และหลักสูตรชั้นนายร้อย รุ่นที่ 51 ในปีเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2524 หลักสูตรชั้นนายพัน รุ่นที่ 34 ในปี พ.ศ. 2528 หลักสูตรหลักประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ 63

พลเอกประยุทธ์ รับราชการทหารอยู่ที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ "ทหารเสือราชีนี" มาโดยตลอด โดยเริ่มมาจากตำแหน่งผู้บังคับกองพัน จนถึงผู้บังคับการกรม จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และรับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 เขาเป็นสมาชิก "บูรพาพยัคฆ์" ในกองทัพ เช่นเดียวกับพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและอดีตสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีตรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งทั้งสองยังเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

28 เมษายน พ.ศ. 2530 - พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง เป็น ราชองครักษ์เวร
พ.ศ. 2533 – ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารบกที่ 21 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.21 พัน 2 รอ.)
พ.ศ. 2541 – ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.21 รอ.)
พ.ศ. 2546 – ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล. ร 2 รอ.)
พ.ศ. 2549 – แม่ทัพภาคที่ 1 (มทภ. 1 )

วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เมื่อเกิดรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) พลตรีประยุทธ์เป็นผู้รับคำสั่งตรงจากพลโท อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 พลตรีประยุทธ์ได้เลื่อนชั้นยศเป็น "พลโท" และรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

ระหว่างวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551 ถึง 14 กันยายน พ.ศ. 2551 เขาดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและรองผู้อำนวยการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในเหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาธิการทหารบก และต่อมาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552  วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปฏิบัติงานในกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 เนื่องจากดำรงตำแหน่งเป็นเสนาธิการทหารบกในขณะนั้นจนสิ้นสุดการประกาศสถานการณ์ในวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อจาก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคม 2553 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะลงนามแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึง 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนายทหารที่ควบคุมการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 พลเอกประยุทธ์ ได้ออกคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ 141/2553 เรื่อง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ ออกคำสั่งยึด หรือ อายัด สินค้าหรือวัตถุอื่นใดที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คำสั่งดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจนต้องยกเลิกในที่สุด

เขายังเป็นหนึ่งในคณะดำเนินคดีระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี 2554 และในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

 วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เขาประกาศกฏอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร อีก 2 วันต่อมาเขาก่อรัฐประหาร ในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม มีพิธีสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช. พระบรมราชโองการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นหัวใจสร้างความชอบธรรมแก่รัฐประหาร ในประกาศ คสช. ฉบับที่ 10/2557 ให้อำนาจเขาเสมือนนายกรัฐมนตรี หลังรัฐประหาร เขาแต่งตั้งตัวเองเป็นกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ และเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาจัดรายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" รายสัปดาห์

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2557 สภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติให้พลเอก ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในการลงมติดังกล่าว ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อไม่ต้องอยู่ในห้องประชุมและไม่ต้องแสดงวิสัยทัศน์ ต่อมามีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งในวันที่ 25 สิงหาคม 2557 พลเอก ประยุทธ์เป็นนายทหารอาชีพคนแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรีนับแต่พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 เขายังเป็นผู้นำรัฐประหารคนแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558 เขายกเลิกกฎอัยการศึก จากนั้นเขาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 44 ในการดูแลความสงบเรียบร้อยแทน

หลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 มีการตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิถุนายน สมาชิกวุฒิสภาทุกคนเลือกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งของ คสช. เช่นเดียวกับมีพรรคร่วมรัฐบาลมากถึง 19 พรรค

พลเอกประยุทธ์ ได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 24 สิงหาคม ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2565 ตามมติของศาลรัฐธรรมนูญ และคณะรัฐมนตรีมีมติให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณรักษาการแทน


พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา สมรสกับ อดีตรองศาสตราจารย์สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  รองประธานมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม มีลูกสาวฝาแฝด 2 คน

ปัจจุบันพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารวมสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ เขาประกาศรับเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค เขาบอกว่าหน้าที่หลักก็คือ ดูแลชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตรย์กษัตริย์ และประชาชน เขาย้ำว่าจำเป็นต้องใช้กฎหมายหลังจากมีบางฝ่ายบิดเบือนทำให้แตกแยก

ปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อายุ 69 ปี 


เลือกตั้งคราวหน้า เรามาดูกันว่าพอเอกประยุทธ์ จันทรโอชาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ หรือใครจะมาแทนที่เขา


******************

 






วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2566

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2

 


ก่อนครองราชย์

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเดิมว่า ฉิม ทรงประสูติเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 7 คํ่า เดือน 3 ปีกุน

เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ขณะทรงมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงยกรบัตรเมืองราชบุรี) ประสูติแต่ท่านผู้หญิงนาค (ภายหลังเฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) เมื่อเจริญพระชนม์ได้ทรงศึกษาในสำนักพระพนรัตน์ (ทองอยู่) วัดบางว้าใหญ่ และได้ติดตามสมเด็จพระบรมชนกนาถไปในการสงครามทุกครั้ง

ในปี พ.ศ. 2349 เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถปราบดาภิเษกแล้ว จึงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ถึงวันอาทิตย์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีขาล พ.ศ. 2449 (นับแบบปัจจุบันเป็นวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2350) จึงได้รับอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล


พระราชกรณียกิจที่สําคัญ

          พ.ศ. 2317 ขณะที่เพิ่งมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ติดตามไปสงครามเชียงใหม่ อยู่ในเหตุการณ์ครั้งที่บิดามีราชการไปปราบปรามเมืองนางรอง นครจําปาศักดิ์ และบางแก้ว ราชบุรี จนถึงอายุ 11 พรรษา
          พ.ศ. 2322 พระราชบิดาไปราชการสงครามกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ติดตามไป
          พ.ศ. 2323 พระชนมายุ 13 พรรษา ได้เข้าเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่ )
          พ.ศ. 2324 พระราชบิดาได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ไปร่วมปราบปรามเขมรกับพระบิดา
          พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเษกแล้วได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร"
          พ.ศ. 2329 พระชนมายุ 19 พรรษา ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามตําบลลาดหญ้า และทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
          พ.ศ. 2330 ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามที่ตําบลท่าดินแดง และตีเมืองทวาย
          พ.ศ. 2331 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่อุปสมบทในวัดนี้ เสด็จไปจําพรรษา เมื่อครบสามเดือน ณ วัดสมอราย ปัจจุบันคือวัดราชาธิราช ครั้นทรงลาผนวชในปีนั้น ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าหญิงบุญรอด พระธิดาในพระพี่นางเธอ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์
          พ.ศ. 2336 โดยเสด็จพระราชบิดาไปตีเมืองทวาย ครั้งที่ 2
          พ.ศ. 2349 ( วันอาทิตย์ เดือน 8 ขึ้น 7 คํ่า ปีขาล ) ทรงพระชนมายุได้ 40 พรรษาได้รับสถาปนาเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ซึ่งดํารงตําแหน่งพระมหาอุปราชขึ้นแทน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ที่ได้สวรรคตแล้วเมื่อ พ.ศ. 2346

ครองราชย์

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชประชวรพระโสภะอยู่ 3 ปีก็เสด็จสวรรคตในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ขณะมีพระชนมพรรษาได้ 73 พรรษา นับเวลาในการเสด็จครองราชย์ได้นานถึง 27 ปี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงได้สำเร็จราชการแผ่นดินต่อมา เมื่อจัดการพระบรมศพเสร็จแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ขุนนางและพระราชาคณะจึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จขึ้นผ่านพิภพ

ต่อมาวันที่ 10 กันยายน พบหนังสือฟ้องว่าเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิตกับพวกร่วมกันคิดการขบถ ไต่สวนแล้วโปรดให้ประหารชีวิตทั้งหมดในวันที่ 13 กันยายน

การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดขึ้นในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2352 โดยย้ายมาทำพิธีที่หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เนื่องจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทซึ่งสร้างขึ้นแทนพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาทอันเป็นสถานที่ทำพิธีปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้นใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชอยู่ ในรัชกาลต่อ ๆ มาจึงใช้หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นสถานที่จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและใช้พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นสถานที่ตั้งพระบรมศพ หลังจากเสร็จพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์จึงเสด็จเลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตราตามโบราณราชประเพณี


ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทองของวรรณคดีสมัยหนึ่งเลยทีเดียว ด้านกาพย์กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า "ในรัชกาลที่ 2 นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด" กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์เองแล้ว ยังมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทรภู่ พระยาตรัง และนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น

 พระองค์มีพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวีด้านการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิมและทรงนำมาแต่งใหม่เพื่อให้ใช้ในการแสดงได้ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ 6 ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครรำที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อความ ทำนองกลอนและกระบวนการเล่นทั้งร้องและรำ นอกจากนี้ยังมีละครนอกอื่น ๆ เช่น ไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ หลวิชัยคาวี มณีพิชัย สังข์ศิลป์ชัย ได้ทรงเลือกเอาของเก่ามาทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่บางตอน และยังทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์โขนอีกหลายชุด เช่น ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ และชุดพรหมาสตร์ ซึ่งล้วนมีความไพเราะซาบซึ้งเป็นอมตะใช้แสดงมาจนทุกวันนี้


นอกจากจะทรงส่งเสริมงานช่างด้านหล่อพระพุทธรูปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังได้ทรงพระราชอุตสาหะปั้นหุ่นพระพักตร์ของพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร อันเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญยิ่งองค์หนึ่งของไทยด้วยพระองค์เอง ซึ่งลักษณะและทรวดทรงของพระพุทธรูปองค์นี้เป็นแบบอย่างที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 2 นี้เอง ส่วนด้านการช่างฝีมือและการแกะสลักลวดลายในรัชกาลของพระองค์ได้มีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก และพระองค์เองก็ทรงเป็นช่างทั้งการปั้นและการแกะสลักที่เชี่ยวชาญยิ่งพระองค์หนึ่งอย่างยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้ นอกจากฝีพระหัตถ์ในการปั้นพระพักตร์พระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลกแล้ว ยังทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร คู่หน้าด้วยพระองค์เองร่วมกับกรมหมื่นจิตรภักดี และทรงแกะหน้าหุ่นหน้าพระใหญ่และพระน้อยที่ทำจากไม้รักคู่หนึ่งที่เรียกว่าพระยารักใหญ่ และพระยารักน้อยไว้ด้วย

ด้านดนตรี

กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระปรีชาสามารถในด้านนี้ไม่น้อยไปกว่าด้านละครและฟ้อนรำ เครื่องดนตรีที่ทรงถนัดและโปรดปรานคือ ซอสามสาย ซึ่งซอคู่พระหัตถ์ที่สำคัญได้พระราชทานนามว่า "ซอสายฟ้าฟาด" และเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีคือ "เพลงบุหลันลอยเลื่อน" หรือ "บุหลัน (เลื่อน) ลอยฟ้า" แต่ต่อมามักจะเรียกว่า "เพลงทรงพระสุบิน" เพราะเพลงมีนี้มีกำเนิดมาจากพระสุบิน (ฝัน) ของพระองค์เอง โดยเล่ากันว่าคืนหนึ่งหลังจากได้ทรงซอสามสายจนดึก ก็เสด็จเข้าที่บรรทมแล้วทรงพระสุบินว่า ได้เสด็จไปยังดินแดนที่สวยงามดุจสวรรค์ ณ ที่นั่น มีพระจันทร์อันกระจ่างได้ลอยมาใกล้พระองค์ พร้อมกับมีเสียงทิพยดนตรีอันไพเราะยิ่ง ประทับแน่นในพระราชหฤทัย ครั้นทรงตื่นบรรทมก็ยังทรงจดจำเพลงนั้นได้ จึงได้เรียกพนักงานดนตรีมาต่อเพลงนั้นไว้ และทรงอนุญาตให้นำออกเผยแพร่ได้ เพลงนี้จึงเป็นที่แพร่หลายและรู้จักกันกว้างขวางมาจนทุกวันนี้


    พระมเหสี พระราชโอรส พระราชธิดา


    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโอรสพระราชธิดารวมทั้งสิ้น 73 พระองค์ โดยประสูติเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร 47 พระองค์ ประสูติเมื่อดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล 4 พระองค์ และประสูติภายหลังบรมราชาภิเษกแล้ว 22 พระองค์

    สวรรคต

    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรด้วยโรคพิษไข้ ทรงไม่รู้สึกพระองค์เป็นเวลา 8 วัน พระอาการประชวรก็ได้ทรุดลงตามลำดับ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริพระชนมพรรษาได้ 56 พรรษา และครองราชย์สมบัติได้ 15 ปี



    เนื้อเพลง