วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 9

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 9

เนื้อหา

  • บิดาโจโฉถูกฆ่าตาย 
  • โจโฉตีเมืองชีจิ๋วแก้แค้นโตเกี๋ยม
  • โตเกี๋ยมขอกำลังเล่าปี่
  • เล่าปี่ห้ามทัพโจโฉ 
  • ลิโป้ตีได้เมืองตันลิวของโจโฉ 
  • โจโฉอุบายรับคำเล่าปี่ 
  • โตเกี๋ยมเชิญเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว 
  • เล่าปี่รับเป็นแต่เจ้าเมืองเสียวพ่าย
  • โจโฉรบกับลิโป้
บิดาโจโฉถูกฆ่าตาย
ขณะ เมื่อโจโฉตั้งเกลี้ยกล่อมนั้น ได้ที่ปรึกษาแลทหารเปนอันมาก โจโฉมีความยินดีนัก จึงให้เองเตียวถือหนังสือคุมทหารไปรับโจโก๋ซึ่งเปนบิดาซึ่งอยู่ ณ เมืองตันลิว ครั้นเองเตียวไปถึงจึงเอาหนังสือนั้นให้แก่โจโก๋ ๆ เห็นหนังสือสำคัญของโจโฉผู้บุตรมิได้มีความสงสัย จึงจัดแจงทรัพย์สิ่งของ แล้วชวนโจเต๊กกับพี่น้องครอบครัว แลพรรคพวกประมาณสองร้อยเศษ เกวียนบันทุกสิ่งของนั้นร้อยหนึ่ง แล้วก็ยกไปเมืองกุนจิ๋ว ครั้นมาใกล้เมืองชีจิ๋ว

ฝ่ายโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้น น้ำใจกว้างขวางอารีคิดอยู่ว่า จะไปเข้าด้วยโจโฉ ครั้นรู้ว่าโจโฉให้ไปรับโจโก๋ผู้บิดามาใกล้เมืองนี้แล้วก็มีความยินดี จึงออกไปคำนับแล้วให้เชิญเข้ามาในเมืองชีจิ๋ว แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงครอบครัวพรรคพวกโจโก๋ ๆ นั้นก็ยั้งอยู่ในเมืองชีจิ๋วสองวัน แล้วโตเกี๋ยมจึงให้เตียวคีคุมทหารห้าร้อยให้ไปส่งโจโก๋ ณ เมืองกุนจิ๋ว ครั้นมาถึงตำบลวัดแฮหุย พอเวลาจวนค่ำฝนตกห่าใหญ่ โจโก๋ให้หยุดอาศรัยอยู่ แล้วให้เตียวคีซึ่งคุมทหารมาส่งนั้นล้อมวงอยู่ภายนอก ครั้นเวลาเที่ยงคืนเตียวคีจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่ก่อนนั้นเราเปนโจรโพกผ้าเหลือง ครั้นมีผู้มาปราบปราม เราจึงหลบหลีกจำใจเข้าอยู่ด้วยกับโตเกี๋ยม ๆ ก็มิได้ให้สิ่งใดเรา ซึ่งเราจะทำราชการด้วยสืบไปนั้นเห็นจะไม่ได้ดี บัดนี้โตเกี๋ยมให้เรามาส่งโจโก๋ ๆ นั้นมีทรัพย์สิ่งของบันทุกเกวียนมาเปนอันมาก เราจะลอบฆ่าโจโก๋เสียเราจะเก็บทรัพย์สิ่งของพากันหนีไปอยู่ซอกเขา ทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย แลฝนนั้นยังมิสงบเตียวคีก็คุมทหารเข้าไปจะฆ่าโจโก๋ ๆ ได้ยินทหารอื้ออึงเข้ามา จะพาภรรยาน้อยหนีไปก็มิทัน เตียวคีไล่รุกเข้าไปฆ่าโจโก๋กับพรรคพวกตายเสียเปนหลายคน แล้วเตียวคีเก็บเอาทรัพย์สิ่งของ จึงเอาเพลิงเผาวัดเสียแล้วพากันหนีออกไปอยู่ในป่าซอกเขา

ฝ่ายเองเตียวเห็นโจโก๋ตายแล้วก็คิดกลัวโจโฉ จึงหนีไปหาอ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว แลทหารโจโฉซึ่งเองเตียวคุมมานั้นหนีได้ก็รีบมาบอกโจโฉตามเนื้อความซึ่งมีมา แต่หลัง แล้วว่าโจโก๋บิดาท่านตายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโตเกี๋ยมคิดเปนกลอุบาย ให้เตียวคีมาส่งแล้วแกล้งลอบฆ่าบิดาท่านเสีย เก็บเอาทรัพย์สิ่งของไปให้โตเกี๋ยม โจโฉครั้นแจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รักบิดาจนล้มลงจากเก้าอี้ ทหารทั้งปวงเข้าอุ้มโจโฉขึ้นบนเก้าอี้ โจโฉนั้นมีความโกรธจึงว่า ซึ่งโตเกี๋ยมทำกลอุบายมาฆ่าบิดาเราเสียนั้น เราจะยกทหารไปเหยียบเมืองชีจิ๋วให้ราบเปนแผ่นดิน จึงจะหายความแค้น แล้วเกณฑ์ให้ซุนฮกหนึ่ง เทียหยกหนึ่ง กับคนสามหมื่นอยู่รักษาเมือง แล้วโจโฉจัดแจงทหารทั้งปวง ยกไปใกล้เมืองชีจิ๋วก็ให้ตั้งค่ายอยู่ จึงให้แฮหัวตุ้นหนึ่ง อิกิ๋มหนึ่ง เตียนอุยหนึ่ง ยกทหารเปนกองหน้า ถ้าตีได้เมืองชีจิ๋วแล้ว ให้ฆ่าหญิงชายชาวเมืองเสียให้สิ้น จึงจะหายความแค้นเรา
ฝ่ายเปียนเหยียงเจ้าเมืองกิวกั๋งนั้นชอบกันกับโตเกี๋ยม ครั้นรู้ว่าโจโฉยกมาจะรบเมืองชีจิ๋ว จึงเกณฑ์ทหารห้าพันยกมาจะช่วยโตเกี๋ยม ฝ่ายโจโฉรู้จึงให้แฮหัวตุ้นคุมทหารไปสกัดตีเปียนเหยียง แลแฮหัวตุ้นก็ยกไปฆ่าเปียนเหยียงแลทหารเสียสิ้น

โจโฉตีเมืองชีจิ๋วแก้แค้นโตเกี๋ยม
ฝ่ายตันก๋งซึ่งหนีโจโฉครั้งก่อนนั้น ไปขอทำราชการอยู่ด้วยเจ้าเมืองตองกุ๋น แลตันก๋งนั้นเปนมิตรกับโตเกี๋ยม ครั้นรู้ว่าโจโฉยกทหารมาจะตีเมืองชีจิ๋ว แล้วโจโฉจึงสั่งว่าถ้าได้เมืองแล้ว จงฆ่าหญิงชายใหญ่น้อยชาวเมืองเสียให้สิ้น จึงขึ้นม้าแต่ผู้เดียวรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน หวังจะห้ามโจโฉมิให้ทำร้ายโตเกี๋ยม ครั้นมาถึงหน้าค่ายจึงบอกแก่ทหารโจโฉว่า เราจะขอเข้าไปหาโจโฉ ทหารทั้งนั้นจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่โจโฉ ๆ ได้ยินดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งตันก๋งจะมาหาเรานี้ เห็นจะว่ากล่าวด้วยความโตเกี๋ยม ครั้นเราจะมิให้เข้ามา ก็คิดถึงคุณเมื่อครั้งเราหนีตั๋งโต๊ะ ตันก๋งจับได้แล้วมิได้ส่งขึ้นไปเราจึงรอดชีวิตอยู่ จึงให้หาตัวตันก๋งเข้ามา โจโฉคำนับแล้วถามว่า ท่านมาหาเรานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ตันก๋งจึงตอบว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านยกทหารมาจะรบโตเกี๋ยม หวังจะแก้แค้นซึ่งบิดาท่านตาย แลโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นเปนคนสัตย์ซื่ออารี จึงให้เตียวคีคุมทหารไปส่งบิดาท่าน ซึ่งเกิดเหตุขึ้นทั้งนี้เพราะเตียวคีเปนคนโลภฆ่าบิดาท่านเสีย เก็บเอาทรัพย์สิ่งของหนีไปอยู่ป่า โตเกี๋ยมนั้นจะได้คบคิดให้ทำหามิได้ ซึ่งท่านสั่งทหารว่า ถ้าได้เมืองชีจิ๋วแล้วจงฆ่าหญิงชายชาวเมืองเสียให้สิ้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าชาวเมืองทั้งปวงหาความผิดมิได้ จะให้ฆ่าเสียนั้นไม่ชอบ ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ขอท่านดำริห์ดูจงควรเถิด

โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงตอบว่าครั้งเราหนีตั๋งโต๊ะนั้น ท่านยอมไปด้วยเราแล้ว ทิ้งเราเสียหนีไปกลางทาง บัดนี้กลับมาหาเรา แลโตเกี๋ยมนั้นคิดเปนกลอุบายให้ทหารไปส่งบิดาเรา แล้วทำร้ายบิดาเรากับพรรคพวกตายเปนอันมาก เรายกมาหวังจะแก้แค้นโตเกี๋ยม แลท่านมีหน้ามาห้ามนั้นเราหาฟังไม่ ตันก๋งเห็นโจโฉโกรธมิรู้ที่จะตอบประการใด ก็ลาโจโฉออกมาจากค่าย จึงคิดแต่ในใจว่า กูมาห้ามโจโฉก็มิสมความคิด ครั้นจะไปหาโตเกี๋ยมก็มีความละอายใจเปนอันมาก จึงรีบไปหาเตียวเมา ณ เมืองตันลิว

ฝ่ายโจโฉก็ยกทหารเข้าไปใกล้เมืองชีจิ๋ว ทหารโจโฉก็ฆ่าฟันหญิงชายซึ่งอยู่นอกเมืองเสีย แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งของมาไว้เปนอันมาก

ฝ่ายโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วรู้ดังนั้น ก็มีความเสร้าหมองร้องไห้รักราษฎรทั้งปวงด้วยความเอ็นดู แล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งนั้นว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะกรรมของเรามาตามทัน ชาวเมืองพลอยล้มตายเปนอันมาก

โจป้าจึงว่าท่านหาความผิดมิได้ โจโฉยกมาทำอันตรายทั้งนี้จะนิ่งไว้ข้าศึกก็จะกำเริบ จำเราจะยกออกไปรบพุ่งต้านทานไว้จึงจะได้ โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารทั้งปวง ครั้นเวลาเช้าก็เปิดประตูเมืองยกทหารออกไป เห็นทหารโจโฉนั้นตั้งอยู่เปนอันมาก ดังคลื่นในท้องมหาสมุทร

ฝ่ายโจโฉเห็นโตเกี๋ยมยกออกมา จึงขับม้าขึ้นมาแล้วให้ทหารทั้งปวงตั้งรับไว้เปนหน้ากระดาน โตเกี๋ยมจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร ก็ย่อตัวลงคำนับแล้วว่ากับโจโฉว่า เดิมข้าพเจ้าคิดว่าจะไปทำราชการด้วยท่าน ครั้นรู้ว่าบิดาท่านมาถึงเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าได้รับเข้ามาเลี้ยงดูแล้ว แต่งให้เตียวคีคุมทหารไปส่งหวังจะทำความชอบไว้ต่อท่าน แลเตียวคีนั้นเอาใจออกหากข้าพเจ้า ฆ่าบิดากับพรรคพวกท่านเสีย แลข้าพเจ้าจะได้คิดอ่านเปนกลอุบายให้เตียวคีทำร้ายนั้นหามิได้ ซึ่งท่านโกรธข้าพเจ้า ยกมาฆ่าชาวเมืองซึ่งหาความผิดมิได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร ขอท่านดำริห์ดูจงชอบก่อน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ด่าโตเกี๋ยมเปนข้อหยาบช้าแล้วร้องตอบว่า มึงคิดกลอุบายแกล้งให้ทหารฆ่าบิดาแลพรรคพวกกูเสีย แลเอาความดีมาแก้ตัว จึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปจับเอาตัวโตเกี๋ยมมาให้เราได้ แฮหัวตุ้นรับอาสาแล้วขับม้ารำทวนออกไปจะจับเอาตัวโตเกี๋ยม โจป้าเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบด้วยแฮหัวตุ้นได้ห้าเพลง พอเกิดพายุฝนตกห่าใหญ่ ต่างคนต่างยกทหารกลับไป โตเกี๋ยมนั้นกลับเข้ามาถึงเมือง จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เห็นเราจะสู้โจโฉมิได้ ซึ่งจะคิดรบพุ่งไปฉนี้ทหารแลชาวเมืองก็จะพลอยตายเสียสิ้น ท่านทั้งปวงจงเอาตัวเรามัดออกไปส่งให้โจโฉ ทหารแลชาวเมืองจึงจะรอดชีวิต

ฝ่ายบิต๊กชาวเมืองตองไฮ เปนพ่อค้ามีทรัพย์สินเปนอันมาก เมื่อครั้งพาพวกเพื่อนไปค้าเมืองลกเอี๋ยงนั้นขายของเสร็จแล้ว เข็นเกวียนจะกลับมา พบหญิงคนหนึ่งรูปงามอายุประมาณสิบหกปี ขอโดยสารบิต๊กจะมาเมืองตองไฮด้วย บิต๊กเอ็นดูว่าเปนหญิง จึงลงเดิรให้หญิงนั้นนั่งไปบนเกวียน หญิงนั้นจึงว่าข้าพเจ้าเปนคนโดยสานจะนั่งไปบนเกวียน จะให้ท่านเดิรไปนั้นไม่ควร เชิญท่านขึ้นมานั่งไปบนเกวียนเถิด บิต๊กก็ขึ้นเกวียนขับไป ในขณะเมื่อบิต๊กนั่งมานั้นชิดกับหญิง แลบิต๊กจะได้แลดูแลคิดผูกพันธ์รักใคร่หญิงนั้นหามิได้ ครั้นถึงเมืองตองไฮ หญิงนั้นจึงว่าแก่บิต๊กว่า เรานี้มิใช่มนุษย์เปนนางในเมืองบน เทวดาผู้ใหญ่ให้เราเอาเพลิงลงมาจุดเผาเรือนท่านเสีย ตัวเราเปนหญิงแกล้งลองใจ โดยสารท่านมาท่านมิได้ทำอันตรายแก่เรานั้น ก็เห็นว่าท่านมีความสัตย์อยู่มั่นคง ครั้นเราจะไม่เอาเพลิงไปเผาเรือนท่าน ก็ขัดเทวดาผู้ใหญ่มิได้ ท่านจงเร่งไปขนทรัพย์สิ่งของที่เรือนท่านเสียให้พ้นในเวลากลางคืนวันนี้ จะเอาเพลิงเผาเรือนท่านเสียตามคำเทวดา ครั้นบอกแล้วหญิงนั้นก็หายไป

บิต๊กได้ฟังดังนั้นเห็นประหลาทใจจึงรีบไปถึงเรือน แล้วขนทรัพย์สิ่งสินเข้าของเสียจากเรือนนั้น ครั้นเวลากลางคืนก็เกิดเพลิงไหม้เรือนบิต๊กขึ้น แล้วบิต๊กจึงเอาทรัพย์สิ่งของนั้นให้ทานยาจกทั้งปวงเสียสิ้น แลกิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงโตเกี๋ยม ๆ จึงให้ไปรับเอาตัวบิต๊กมาไว้เปนที่ปรึกษา ขณะเมื่อบิต๊กได้ฟังโตเกี๋ยมว่าดังนั้น จึงตอบว่าท่านเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วแลมีน้ำใจสัตย์ซื่อโอบอ้อมอารี ราษฎรชาวเมืองมีใจรักใคร่ท่านเปนอันมาก ซึ่งจะให้เอาตัวท่านส่งไปให้โจโฉนั้นไม่ควร ราษฎรทั้งปวงก็จะหาที่พึ่งมิได้ ท่านจงเกณฑ์ทหารแลชาวเมืองขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินให้มั่นคง เห็นโจโฉจะหักเอาเมืองโดยง่ายยังมิได้ ขอให้แต่งหนังสือให้ข้าพเจ้าถือไป ขอกองทัพขงหยงเจ้าเมืองปักไฮมาช่วยรบโจโฉฉบับหนึ่ง ๆ ให้แต่งทหารถือไปขอกองทัพเต๊งไก่เจ้าเมืองเซียงจิ๋วมาช่วยทำการรบพุ่งโจโฉ เปนทัพกระหนาบ โจโฉก็จะแตกไป โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย จึงถามว่าผู้ใดจะอาสาถือหนังสือไปให้เต๊งไก่ได้ ตันเต๋งจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไป โตเกี๋ยมจึงให้แต่งหนังสือ ให้ตันเต๋งถือไปขอกองทัพเต๊งไก่เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว แล้วแต่งอีกฉบับหนึ่ง ให้บิต๊กถือไปถึงขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ จงเห็นแก่ไมตรีเร่งยกกองทัพมาช่วยรบโจโฉ


ฝ่ายขงหยงเจ้าเมืองปักไฮนั้น มีใจกว้างขวางอารีมักคบเพื่อนฝูงเปนอันมาก ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงมีใจรักใคร่ แลขงหยงนั้นหาทหารมากินโต๊ะพร้อมกันอยู่ พอบิต๊กเอาหนังสือมาให้ ขงหยงแจ้งในหนังสือแล้วจึงว่า โตเกี๋ยมกับเราเปนคนรักกัน แลโจโฉมิได้มีความผิดกับเรา ถ้าจะให้หนังสือไปห้ามโจโฉ ก็เห็นว่าจะฟังคำเราอยู่ ถ้าขัดแขงประการใด เราจึงจะยกทัพไปช่วยโตเกี๋ยมรบโจโฉต่อภายหลัง บิต๊กจึงตอบว่าโจโฉนั้นโกรธว่า โตเกี๋ยมคิดกลอุบายฆ่าบิดาโจโฉเสีย ซึ่งท่านจะให้มีหนังสือไปห้ามนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะมิฟัง ก็จะป่วยการเสียเปล่า ขงหยงจึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เราจะให้คนถือหนังสือกับกองทัพยกไปให้พร้อมกัน

ขณะนั้นพอม้าใช้มาบอกขงหยงว่า กวนไฮคุมโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น ยกตีเข้ามาใกล้แดนเมืองเรา ขงหยงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงเกณฑ์ทหารแล้วยกออกไปรบด้วยพวกโจร กวนไฮขับม้าขึ้นมาหน้าโจรทั้งปวง แล้วร้องว่าแก่ขงหยงว่า ซึ่งเรายกมาทั้งนี้ปราถนาจะเอาสเบียง ถ้าท่านเอาสเบียงมาให้เราหมื่นถัง เราจะยกกลับไป แม้นท่านมิให้เราก็จะคุมพวกเพื่อนเข้าตีเอาเมืองปักไฮนี้ให้ได้ แล้วจะฆ่าบุตรภรรยาพี่น้องท่านเสีย

ขงหยงได้ยินดังนั้นจึงร้องตอบว่า ตัวเราเปนขุนนางรักษาขอบขัณฑเสมาของพระมหากษัตริย์ แลมึงเปนแต่โจร จะมาทำโอหังเรียกเอาสเบียงแก่กูนั้นกูมิได้ยอมให้ ซึ่งมึงจะยกเข้าหักเอาเมืองให้ได้นั้นหากลังมึงไม่ กวนไฮได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำง้าวเข้ารบด้วยขงหยง จงโปทหารขงหยงก็ขับม้าเข้ารบด้วยกวนไฮได้ห้าเพลง กวนไฮเอาง้าวฟันจงโปตกม้าตาย ขงหยงเห็นจะต้านทานมิได้ ก็พาทหารถอยหนีเข้าเมือง กวนไฮจึงยกพวกโจรเข้าล้อมเมืองปักไฮไว้ บิต๊กซึ่งโตเกี๋ยมให้หนังสือมานั้น ก็เปนทุกข์อยู่ในเมืองปักไฮนั้นด้วย

ครั้นเวลารุ่งเช้าขงหยงจึงขึ้นดูบนเชิงเทิน เห็นพวกโจรล้อมเมืองไว้ จึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่อยู่เปนมั่นคง แล้วขงหยงเห็นทหารคนหนึ่งขี่ม้ารบฝ่าพวกโจรเข้ามาถึงประตูเมือง ร้องให้เปิดรับ ขงหยงมิได้เปิดประตูรับด้วยไม่รู้จัก ขณะนั้นพวกโจรทั้งปวงตามเข้ามา ทหารคนนั้นชักม้ากลับหน้าไปฆ่าพวกโจรตายเปนอันมาก ขงหยงเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงให้เปิดประตูรับทหารคนนั้นเข้ามา ขงหยงจึงถามว่า ท่านนี้ชื่อใดมาแต่ไหน จึงรบฝ่าพวกโจรเข้ามานั้น ด้วยเหตุประการใด

ไทสูจู้โจนลงจากม้าเอาทวนวางไว้คำนับขงหยง แล้วตอบว่าข้าพเจ้าชื่อไทสูจู้อยู่เมืองอุยก๋วน แลมารดาข้าพเจ้านั้นสรรเสริญถึงคุณท่านว่าได้ให้เสื้อผ้าเข้าปลาอาหารแก่ มารดาข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้มารดาข้าพเจ้าแจ้งว่าโจรมาล้อมเมืองจึงให้ข้าพเจ้ามาช่วยรบ หวังจะแทนคุณท่าน ข้าพเจ้าจึงรบฝ่าพวกโจรเข้ามา ได้ฆ่าฟันโจรเสียเปนอันมาก ขงหยงได้ยินดังนั้นก็ระลึกได้ แล้วตอบว่าเมื่อท่านยังน้อยอยู่นั้น เราเห็นว่าท่านจะมีสติปัญญา ควรจะเปนทหารได้คนหนึ่ง เราจึงเอาของไปให้ทำไมตรีไว้แก่มารดาท่าน ซึ่งท่านมาช่วยเราครั้งนี้ เรามีความยินดีนัก แล้วขงหยงก็เอาเกราะกับเสื้อให้แก่ไทสูจู้เปนบำเหน็จ ไทสูจู้ก็รับเอาเกราะกับเสื้อด้วยความยินดี จึงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารพันหนึ่งยกออกไปตีพวกโจรให้แตกไปจงได้ ขงหยงจึงห้ามว่าตัวท่านมีฝีมือกล้าหาญก็จริงอยู่ แต่พวกโจรครั้งนี้เข้มแขงนัก เห็นท่านจะต้านทานมิได้ ไทสูจู้จึงตอบว่าท่านมีคุณต่อมารดาข้าพเจ้าเปนอันมาก ถึงมาทว่าข้าพเจ้าจะตายในที่รบ ก็จะเอาชีวิตสนองคุณท่านซึ่งมีคุณแก่มารดาข้าพเจ้า แลท่านจะมาห้ามไว้นี้ไม่ควร เหมือนหนึ่งมิให้ข้าพเจ้าแทนคุณมารดา ข้าพเจ้าจะกลับไปนั้นมารดาก็จะว่ามิได้ทำตามคำ โทษก็จะมีแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ขงหยงจึงตอบว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ จะใคร่ได้ท่านไว้เปนที่ปรึกษา เราจึงห้ามเพราะทหารในเมืองเราก็น้อย แลเล่าปี่นั้นมีสติปัญญาได้กวนอูเตียวหุยไว้เปนกำลัง ถ้าได้เล่าปี่มาช่วยรบเปนทัพกระหนาบพวกโจรก็จะแตกไป แต่หาผู้ใดจะถือหนังสือฝ่าพวกโจรออกไปไม่ ไทสูจู้จึงตอบว่า ถ้าท่านมิให้ข้าพเจ้าออกไปรบ จงเร่งแต่งหนังสือเถิด ข้าพเจ้าจะอาสาถือไปให้เล่าปี่

ขงหยงจึงแต่งหนังสือเปนใจความว่า ขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ อวยพรมาถึงเล่าปี่เจ้าเมืองเพงงวนก๋วน ด้วยบัดนี้กวนไฮคุมพวกโจรประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น ล้อมเมืองไว้เปนสามารถ จงมีความเมตตายกมาช่วยรบโจรเปนทัพกระหนาบ ไมตรีจะมีต่อกันสืบไป ครั้นแต่งแล้วจึงให้ไทสูจู้ ๆ รับเอาหนังสือแล้วใส่เกราะถือทวนขับม้าออกจากประตูเมือง ไปถึงหน้าค่ายโจร กวนไฮเห็นดังนั้นจึงขับทหารโจรทั้งปวงออกไล่จับไทสูจู้ ๆ เอาทวนแทงถูกพวกโจรนั้นล้มตายเปนอันมาก ไทสูจู้รบฝ่าออกไปได้ ครั้นถึงเมืองเพงงวนก๋วนก็เข้าไปคำนับเล่าปี่ แล้วส่งหนังสือให้เล่าปี่ ๆ แจ้งในหนังสือดังนั้นยังมิได้ว่าประการใด จึงพิศดูรูปร่างผู้ถือหนังสือเห็นเข้มแขงสมควรเปนทหาร แล้วถามว่าท่านนี้ชื่อใด ไทสูจู้จึงบอกว่าข้าพเจ้านี้ชื่อไทสูจู้ จะได้เปนญาติพี่น้องแลทหารขงหยงนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้าอาสามาครั้งนี้ เพราะขงหยงมีคุณแก่มารดาข้าพเจ้า เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสรรเสริญไทสูจู้ว่ามีกตัญญูต่อมารดา จึงว่าซึ่งขงหยงนับถือให้มาขอกองทัพเรา ๆ ก็จะยกไปช่วย แลเล่าปี่นั้นให้กวนอูเตียวหุยจัดทหารได้สามพัน แล้วก็พาไทสูจู้ยกไปใกล้เมืองปักไฮ

ฝ่ายกวนไฮนายโจรครั้นเห็นกองทัพยกมา ก็เห็นว่าจะยกมาช่วยขงหยง จึงคุมพวกโจรออกมาตั้งรับ แลเล่าปี่เห็นดังนั้น จึงชวนกวนอูเตียวหุยกับไทสูจู้ขับม้าขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวง กวนไฮเห็นทหารซึ่งยกมานั้นน้อยก็มีใจกำเริบ จึงขับม้ารำทวนเข้าไปจะรบด้วยนายทัพ ไทสูจู้เห็นดังนั้นก็ขับม้าออกรบ พอเห็นกวนอูขับม้าออกไปก่อน ไทสูจู้ก็ชักม้ายั้งไว้ แลกวนอูนั้นขับม้าไปรบด้วยกวนไฮได้สามสิบเพลง กวนอูเอาง้าวฟันถูกกวนไฮตัวขาดออกสองท่อนตาย แลกวนอูไทสูจู้ก็ไล่ฆ่าฟันพวกโจร เล่าปี่เตียวหุยก็คุมทหารยกหนุนไป


ฝ่ายขงหยงได้ยินเสียงอื้ออึงก็ขึ้นดูบนเชิงเทิน เห็นกองทัพเล่าปี่ไปฆ่าฟันพวกโจร อุปมาดังเสือไล่ฝูงเนื้อ ขงหยงมีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารรีบออกไปรบกระหนาบ พวกโจรนั้นล้มตายเปนอันมาก ซึ่งหนีไปได้นั้นก็กลับมาเข้าด้วยเล่าปี่ ขงหยงจึงเชิญให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยไทสูจู้เข้าไปในเมือง แล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงดูตัวนายแลทหารทั้งปวง

ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้น ขงหยงให้บิต๊กคำนับเล่าปี่ แล้วขงหยงเล่าเนื้อความซึ่งโตเกี๋ยมให้บิต๊กถือหนังสือมาขอกองทัพข้าพเจ้าไป รบโจโฉ พอกองทัพโจรมาล้อมเมืองไว้ บิต๊กจึงค้างอยู่ เล่าปี่จึงตอบว่าโตเกี๋ยมเปนคนสัตย์ซื่ออารี แลจะคิดกลอุบายให้เตียวคีฆ่าโจโก๋เสียนั้นเราไม่เห็นด้วย ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะกรรมของโตเกี๋ยมทำไว้แต่หลัง ขงหยงจึงว่าบัดนี้โจโฉหมายใจผูกแค้นโตเกี๋ยมซึ่งหาความผิดมิได้ เพราะโจโฉมีทหารเปนอันมาก จึงยกมาทำการหยาบช้า ฆ่าชาวเมืองชีจิ๋วเสียเปนอันมาก ตัวท่านเปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ควรที่จะทำนุบำรุงให้ราษฎรทั้งปวงอยู่เย็นเปนสุขสืบไป ขอเชิญท่านไปกับข้าพเจ้าจะได้ช่วยโตเกี๋ยมรบโจโฉ

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ แต่เราเกรงว่าทหารเรานี้มีน้อย ถ้าจะยกไปทำการเห็นจะเสียทีแก่โจโฉ ขงหยงจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะยกไปช่วยโตเกี๋ยมนั้น ใช่จะเห็นแก่ลาภสักการแลชอบใจกันนั้นหามิได้ ข้าพเจ้าคิดว่าโตเกี๋ยมมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ทำนุบำรุงราษฎรชาวเมืองให้อยู่เย็นเปนสุข แลตัวท่านเปนเชื้อพระวงศ์รู้ว่าผู้มีกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดเหตุทั้งนี้ท่านจะ ละเสียไม่ควร เล่าปี่จึงตอบว่าเราจะได้บิดพลิ้วมิไปนั้นหามิได้ ขอท่านยกไปก่อนเถิด เราจะไปยืมทหารกองซุนจ้านให้ได้สักห้าพัน แล้วจึงจะยกไปตามต่อภายหลัง

ขงหยงจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งท่านจะยกไปตามนั้นแล้วอย่าลวงเรา เล่าปี่จึงตอบว่าท่านได้ยินคำเล่าลือว่าเราล่อลวงผู้ใดบ้าง ถ้าเราไปยืมทหารได้ก็ดี มิได้ก็ดี เราจะยกไปตามท่านให้ได้ แล้วเล่าปี่ก็ลาขงหยงยกทหารไปหากองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง ฝ่ายขงหยงจึงให้บิต๊กรีบไปบอกโตเกี๋ยมว่า เราจะยกไปช่วยเปนมั่นคง บิต๊กรับคำขงหยงแล้วก็ลาไป

ขณะนั้นมีคนมาบอกไทสูจู้ว่า เล่าอิ้วให้หาไป ไทสูจู้จึงเข้าไปคำนับขงหยงแล้วว่า ซึ่งมารดาข้าพเจ้าใช้ให้มาแทนคุณท่านนั้น การก็สำเร็จแล้ว บัดนี้เล่าอิ้วเจ้าเมืองเอียงจิ๋วนั้นใช้คนถือหนังสือมาหาข้าพเจ้าว่าจะ ปรึกษาราชการ ครั้นข้าพเจ้ามิไปก็จะเสียไมตรีซึ่งชอบกันมา ข้าพเจ้าจะขอลาท่านไป ขงหยงได้ยินดังนั้นก็มีความอาลัย จึงจัดเงินทองเสื้อผ้าให้แก่ไทสูจู้เปนบำเหน็จ ไทสูจู้จึงว่าของทั้งนี้ท่านเอาไว้แจกทหารเถิด แล้วก็ลาขงหยงกลับไปหามารดา แล้วบอกเนื้อความให้มารดาฟังทุกประการ มารดาได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าซึ่งเล่าอิ้วเจ้าเมืองเอียงจิ๋วให้มาหานั้นจงรีบไปเถิดเจ้า ไทสูจู้ก็ลามารดาไปหาเล่าอิ้ว ณ เมืองเอียงจิ๋ว

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นมาถึงเมืองปักเป๋งจึงบอกแก่กองซุนจ้านว่า บัดนี้โจโฉยกมารบโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะขอยืมทหารท่านสักห้าพันจะยกไปช่วยโตเกี๋ยมรบโจโฉ กองซุนจ้านได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า โจโฉนั้นหาความผิดสิ่งใดกับท่านมิได้ ท่านจะยกไปช่วยโตเกี๋ยมนั้นเราไม่เห็นด้วย เล่าปี่จึงตอบว่าข้าพเจ้าได้รับคำขงหยงมาแล้ว ครั้นจะมิยกไปขงหยงก็จะว่าเจรจาไม่จริง กองซุนจ้านจึงว่า ท่านได้รับคำเขามาแล้วเราก็จะให้ทหารม้าไปด้วยแต่สองพัน เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้าจะขอจูล่งไปด้วย กองซุนจ้านก็ยอมให้ เล่าปี่มีความยินดีนัก จึงเอาทหารของกองซุนจ้านสองพันนั้นให้จูล่งคุมเปนกองหลัง เล่าปี่กวนอูเตียวหุยนั้นคุมทหารสามพันเศษก็พากันยกไปเมืองชีจิ๋ว

ฝ่ายบิต๊กครั้นมาถึงเมืองชีจิ๋ว จึงเอาเนื้อความบอกแก่โตเกี๋ยมว่าขงหยงนั้นได้ชักชวนเล่าปี่ให้มาช่วยท่าน แลขงหยงกับเล่าปี่ก็ยกตามมา

แลตันเต๋งซึ่งไปขอกองทัพเต๊งไก๋นั้น ก็กลับมาบอกโตเกี๋ยมว่าเต๊งไก๋จะยกมาช่วย โตเกี๋ยมได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลายใจ

ฝ่ายขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ แลเต๊งไก๋เจ้าเมืองเชียงจิ๋วก็คุมทหารยกมาถึงเมืองชีจิ๋ว เห็นกองทัพโจโฉตั้งประชิดอยู่ ขงหยงกับเต๊งไก๋ก็ให้ตั้งค่ายอยู่ข้างหลังทัพโจโฉทั้งสองด้านหวังจะดูทีศึก โจโฉเห็นดังนั้นจึงคิดว่าบัดนี้มีกองทัพมาตั้งอยู่ข้างหลังเปนสองด้าน ครั้นจะยกเข้าหักเอาเมืองชีจิ๋วก็ระวังหลังอยู่ เกรงจะเปนศึกกระหนาบ จึงให้ทหารทั้งปวงกลับหน้าออกมาตั้งรับไว้ทั้งสองด้าน

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นยกทหารมาถึงเมืองชีจิ๋ว เห็นกองทัพขงหยงเต๊งไก๋ตั้งประชิดทัพโจโฉอยู่เปนสองกอง เล่าปี่ก็เข้าไปหาขงหยง ๆ มีความยินดีจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โจโฉคุมทหารมาทำการครั้งนี้เปนอันมาก แล้วโจโฉก็มีสติปัญญาคิดอ่านชำนาญในสงคราม ซึ่งเราจะยกทหารเข้าหักเอาโดยเร็วนั้นเห็นจะเสียการ จำจะตั้งยั้งไว้ดูทีก่อน ถ้าเห็นได้ท่วงทีแล้วเราจึงจะยกเข้ารบด้วยโจโฉ

เล่าปี่ตอบว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เราเกรงว่าจะตั้งอยู่ช้านั้นสเบียงในเมืองชีจิ๋วก็น้อย ชาวเมืองจะอดอยาก เราจะให้กวนอูกับจูล่งคุมทหารสี่พันไปตั้งมั่นอยู่กับท่าน แต่เรากับเตียวหุยจะคุมทหารพันเศษ รบฝ่ากองทัพโจโฉเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว จะได้ปรึกษาราชการกับโตเกี๋ยม แล้วจะประมาณดูสเบียงอาหารในเมืองซึ่งมีอยู่นั้นมากน้อยสักเท่าใด จึงจะคิดการต่อไป ขงหยงเห็นขอบด้วย เล่าปี่กับเตียวหุยก็คุมทหารเข้าไปหน้าถึงค่ายโจโฉ ฝ่ายทหารโจโฉเห็นดังนั้นก็ยกออกตั้งรับเปนอันมาก ดังคลื่นในท้องมหาสมุทร

แลอิกิ๋มนั้นขี่ม้าขับขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง แล้วจึงร้องว่าแก่เล่าปี่เตียวหุยว่า มึงมานี่จะไปไหน แลทหารซึ่งคุมมาประมาณพันหนึ่งนี้ ยังจะครั่นฝีมือทหารเราหรือ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ มิได้ตอบประการใด ก็ขับม้ารำทวนเข้าไปรบด้วยอิกิ๋มได้สิบเพลง เล่าปี่ถือกระบี่ขับม้าเข้าไปช่วยเตียวหุยรบ แลอิกิ๋มนั้นกำลังน้อยเห็นจะสู้เตียวหุยมิได้ ก็ชักม้าหนีเตียวหุย ๆ ขับม้าไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉตายเปนอันมาก เล่าปี่กับเตียวหุยก็พาทหารเข้าไปถึงประตูเมือง

ฝ่ายโตเกี๋ยมขึ้นดูบนเชิงเทิน แลเห็นทหารยกเข้ามาถึงประตูเมืองดูธงแดงสำคัญ ก็เห็นอักษรว่าเล่าปี่เจ้าเมืองเพงงวนก๋วน โตเกี๋ยมมีความยินดีนัก ก็ให้ทหารเปิดประตูรับเล่าปี่เข้าไปในเมือง จึงเชิญให้นั่งแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่เตียวหุยกับทหารทั้งปวง เล่าปี่จึงบอกแก่โตเกี๋ยมว่าเราเข้ามาบัดนี้ ได้รบพุ่งฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก โตเกี๋ยมได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี แล้วดูรูปร่างเล่าปี่เห็นสมเปนเชื้อพระวงศ์ ทั้งพูดจาก็อารีเห็นน้ำใจจะกว้างขวาง โตเกี๋ยมจึงใช้ให้บิต๊กเข้าไปเอาตราสำหรับที่เจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นออกมาส่ง ให้เล่าปี่ ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า ซึ่งท่านเอาตราสำหรับที่มาให้เรานี้ด้วยเหตุสิ่งใด โตเกี๋ยมจึงตอบว่า ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัติ พระชันสานั้นยังเยาว์อยู่ ขุนนางที่มิได้มีใจสัตย์ซื่อนั้นมักทำจลาจลต่าง ๆ แผ่นดินได้ความเดือดร้อนเนือง ๆ มา ข้าพเจ้าก็แก่ชราแล้ว จะคิดการบำรุงแผ่นดินต่อไปนั้นก็ขัดสน ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเปนเชื้อพระวงศ์ แล้วก็มีสติปัญญาโอบอ้อมอารีควรที่จะทำนุบำรุงราษฎรให้เปนสุข ข้าพเจ้าจึงเอาตราสำหรับที่มาให้ หวังจะเชิญให้ท่านเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว จะได้คิดการกำจัดศัตรูราชสมบัติต่อไป แล้วข้าพเจ้าจะแต่งหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้


เล่าปี่ได้ยินดังนั้นจึงคำนับโตเกี๋ยมแล้วว่า เรานี้เปนเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่สติปัญญาน้อย ทำราชการยังหาความชอบข้อใหญ่มิได้ เปนแต่เจ้าเมืองจัตวา เราก็ยังคิดเกรงอยู่ว่าจะไม่ควรกับสติปัญญา ซึ่งเรายกมาทั้งนี้เพราะมีน้ำใจหวังจะช่วยท่านรบโจโฉ หรือท่านแคลงอยู่ว่า เราจะมาชิงเอาเมืองชีจิ๋ว ถ้าเราคิดดังนั้นก็ขออย่าให้เทวดารักษาชีวิตเราเลย

โตเกี๋ยมจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะยกเมืองให้ท่านนี้ เปนความสุจริตใช่จะคิดสงสัยล่อลวงสิ่งใดหามิได้ แต่โตเกี๋ยมอ้อนวอนมอบเมืองชีจิ๋วให้เล่าปี่เปนหลายครั้ง เล่าปี่ก็มิได้รับ บิต๊กจึงว่าแก่โตเกี๋ยมว่า ทัพโจโฉมาตั้งประชิดเมืองอยู่ เล่าปี่จะมาช่วยทำการศึก แลท่านจะมาว่ากล่าวมอบเมืองให้ช้าอยู่ดังนี้ไม่ควร ให้ท่านเร่งคิดกันทำการสงครามให้สำเร็จแล้วจึงค่อยมอบเมืองให้เล่าปี่ต่อภาย หลัง

เล่าปี่จึงว่าแก่โตเกี๋ยมว่า เราจะแต่งหนังสือไปห้ามโจโฉให้กลับไป ถ้าโจมิฟัง จึงจะคิดอ่านยกกองทัพออกช่วยรบต่อภายหลัง โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย เล่าปี่จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือออกไปถึงโจโฉเปนหลายคน แล้วให้ลอบไปบอกขงหยงกับเต๊งไก๋ว่า ให้ตั้งมั่นไว้อย่าเพ่อยกออกรบพุ่งก่อน ทหารก็เอาหนังสือไปให้โจโฉ

ฝ่ายทหารโจโฉก็พาเอาตัวผู้ถือหนังสือเข้าไปหาโจโฉ แลทหารเล่าปี่จึงบอกว่าบัดนี้เล่าปี่ใช้ข้าพเจ้าเอาหนังสือมาให้ท่าน โจโฉรับเอามาอ่านดู ในหนังสือนั้นใจความว่า เล่าปี่ขออวยพรมายังโจโฉ ให้คิดถึงครั้งเมื่อไปทำการณด่านเฮ่าโลก๋วน แล้วต่างคนต่างจากกันไปมิได้พบเห็น ข้าพเจ้าก็มีใจคิดถึงท่านอยู่มิได้ขาด ซึ่งบิดาท่านตายนั้นเพราะเตียวคีทำร้าย แลโตเกี๋ยมนั้นจะได้ร่วมคิดหามิได้ ซึ่งท่านโกรธโตเกี๋ยมยกกองทัพมาทำให้ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนั้นไม่ ควร แลทุกวันนี้ลิฉุยกุยกีได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองเตียงฮัน พระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางอาณาประชาราษฎรก็ได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงก็เกิดโจรโพกผ้าเหลือง ทำร้ายแก่ราษฎรอยู่เนือง ๆ ท่านจงคิดถึงแผ่นดินยกทัพไปปราบพวกโจรให้ราบ ราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเปนสุข เพราะบุญแลปัญญาของท่าน ซึ่งท่านสงสัยว่าโตเกี๋ยมคิดเปนกลอุบายให้ฆ่าบิดาท่านเสียนั้น ขอท่านจงดำริห์ดูให้แน่ก่อน ถ้าเห็นว่าโตเกี๋ยมคิดร้ายต่อท่านจริงแล้ว จึงยกมาตีเอาเมืองชีจิ๋วเถิด ซึ่งข้าพเจ้าห้ามมาทั้งนี้ขอท่านจงเห็นแก่ข้าพเจ้าด้วย

ครั้นโจโฉแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็โกรธ จึงปรึกษากับกุยแกว่าเล่าปี่นี้ใจใหญ่ บังอาจให้มีหนังสือมาห้ามเรา เมื่อพิเคราะห์ดูก็เห็นว่าเล่าปี่จะคิดล่อลวงเราด้วยกลอุบาย ชอบให้ตัดสีสะผู้ถือหนังสือเสีย แล้วให้เร่งยกเข้าตีเอาเมืองชีจิ๋วนี้จงได้ กุยแกจึงว่าเล่าปี่เปนคนสัตย์ซื่อ ซึ่งจะให้ฆ่าผู้ถือหนังสือนั้นไม่ควร ขอให้ตอบเข้าไปเอาใจเล่าปี่ไว้ ต่อภายหลังจึงยกเข้าตีเอาเมืองชีจิ๋วเห็นจะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เลี้ยงดูผู้ถือหนังสือ แล้วยังตรึกตรองคิดการที่จะแต่งหนังสือตอบเล่าปี่อยู่

ฝ่ายลิโป้เมื่อหนีลิฉุยกุยกีออกจากเมืองเตียงฮัน ไปถึงเมืองลำหยงจะเข้าไปอาศรัยอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ๆ ไม่เอาไว้ ลิโป้จึงเข้าไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ลิโป้ได้ทำความชอบไว้ต่ออ้วนเสี้ยวครั้งหนึ่ง แล้วลิโป้ทำหยาบช้าแก่ทหารสนิธของอ้วนเสี้ยว ๆ โกรธจะฆ่าเสีย ลิโป้จึงหนีไปอยู่กับเตียวเอี๋ยนเจ้าเมืองเซียงต๋ง

ขณะเมื่อบังสีเปนขุนนางอยู่ในเมืองเตียงฮัน เปนคนชอบใจกันกับลิโป้ จึงลอบเอาพรรคพวกครอบครัวลิโป้ส่งไปให้ลิโป้ ณ เมืองเซียงต๋ง ลิฉุยกุยกีรู้จึงให้ฆ่าบังสีเสีย แล้วแต่งหนังสือไปถึงเตียวเอี๋ยนให้จับลิโป้ฆ่าเสีย ลิโป้รู้จึงหนีไปอยู่กับเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิว

ฝ่ายตันก๋งซึ่งไปห้ามโจโฉ ๆ มิฟัง ตันก๋งจึงไปหาเตียวเจี๋ยวผู้น้องเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิว เตียวเจี๋ยวจึงพาตันก๋งไปให้เตียวเมาผู้พี่ใช้อยู่ ตันก๋งจึงว่าแก่เตียวเมาว่า โจโฉได้เปนใหญ่อยู่ฝ่ายหัวเมืองตวันออกมีทหารเปนอันมาก บัดนี้ทิ้งเมืองกุนจิ๋วเสีย ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกุนจิ๋วนั้น หาผู้ใดซึ่งมีฝีมือกล้าหาญอยู่รักษามิได้ ขอท่านให้ลิโป้ยกทัพไปตีเมืองกุนจิ๋วเห็นจะได้โดยสดวก แลเมืองตันลิวเปนฝ่ายตวันออกก็จะพ้นอำนาจโจโฉ ถึงจะคิดการใหญ่ไปภายหน้าก็เห็นจะไม่ขัดสน เตียวเมาได้ยินดังนั้นจึงจัดทหารให้ลิโป้เปนนายทัพ เอาตันก๋งไปด้วย ลิโป้ก็ยกทหารรีบไปตีเอาเมืองกุนจิ๋วได้ แล้วก็ยกตีหัวเมืองรายทางไปถึงเมืองปักเอี้ยง ยังแต่เมืองเอียงเสียหนึ่ง เมืองตองไฮหนึ่ง เมืองฮวนกวนหนึ่ง แลสามเมืองนี้เทียหยกกับซุนฮกรักษาไว้ได้ แต่โจหยินทหารโจโฉซึ่งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋วนั้นแตกหนีจะไปหาโจโฉ ฝ่ายม้าใช้นั้นรีบไปถึงทัพโจโฉก่อน ก็เอาเนื้อความทั้งปวงบอกให้แจ้งทุกประการ โจโฉครั้นแจ้งดังนั้นก็ตกใจปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ลิโป้ยกมาตีเมืองกุนจิ๋วนั้นเห็นว่าครอบครัวเรากระจัดกระจาย จำเราจะยกทัพกลับไปต่อรบด้วยลิโป้

กุยแกจึงว่าซึ่งท่านจะยกไปก็ควรอยู่ ซึ่งเล่าปี่ได้มีหนังสือมาห้ามท่าน ท่านจงมีหนังสือตอบเล่าปี่ไปให้เปนไมตรีไว้ ว่าเล่าปี่ห้ามนั้นท่านเห็นแก่เล่าปี่ แล้วจึงยกกลับไปเมืองกุนจิ๋ว โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำกุยแกว่า แล้วส่งให้ทหารเล่าปี่ โจโฉก็ยกทัพกลับไป ณ เมืองกุนจิ๋ว

ฝ่ายผู้ถือหนังสือนั้น ครั้นเข้าไปถึงเมืองชีจิ๋ว ก็เอาหนังสือนั้นให้แก่เล่าปี่ต่อหน้าโตเกี๋ยม เล่าปี่กับโตเกี๋ยมเห็นหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี โตเกี๋ยมจึงให้ออกไปเชิญขงหยงหนึ่ง เต๊งไก๋หนึ่ง กวนอูหนึ่ง จูล่งหนึ่ง เข้ามา แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยง แล้วโตเกี๋ยมจึงเชิญเล่าปี่ขึ้นนั่งบนที่สมควร โตเกี๋ยมจึงคำนับเล่าปี่แล้วว่า ข้าพเจ้าแก่ชราแล้ว ครั้นจะมอบเมืองให้บุตรสองคนก็หาสติปัญญามิได้ ข้าพเจ้าจะขอให้ท่านเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะอยู่นอกราชการช่วยทำนุบำรุงสืบไป เล่าปี่ได้ฟังโตเกี๋ยมว่าดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เดิมขงหยงให้เรามาช่วยโตเกี๋ยม เราเห็นกับไมตรีเราจึงมา บัดนี้โตเกี๋ยมจะมอบเมืองชีจิ๋วให้แก่เรา แลราษฎรทั้งปวงซึ่งไม่แจ้งก็จะครหานินทาเรา ว่าเปนคนโลภเห็นแก่ทรัพย์สิ่งสิน

บิต๊กจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ทุกวันนี้เกิดจลาจลต่าง ๆ เมืองเตียงฮันจวนจะสูญอยู่แล้ว ซึ่งใครมีสติปัญญาจงเร่งคิดตั้งตัวครั้งนี้เถิด แลโตเกี๋ยมยกเมืองให้ท่านเปนไฉนท่านจึงบิดพลิ้วอยู่ แลเมืองชีจิ๋วนี้เมืองขึ้นก็มีเปนอันมาก ถ้าจะประมาณผู้ซึ่งมีทรัพย์สิ่งสินนั้นก็ได้ถึงร้อยหมื่นเศษ จงรับเอาเถิดจะได้คิดการสืบไป เล่าปี่จึงว่าท่านอย่าว่าเลยเราไม่รับ


ตันเต๋งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โตเกี๋ยมนั้นเปนคนชราโรคก็มี ท่านจงเอ็นดูแก่ราษฎรทั้งปวง รับเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วเถิด เล่าปี่จึงตอบว่าอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้น เปนเชื้อขุนนางมาถึงสี่ชั่วคนแล้ว ๆ ก็มีเมืองขึ้นเปนอันมาก เปนไฉนท่านมิมอบเมืองให้

ขงหยงจึงตอบว่า อ้นเสี้ยวนั้นอุปมาดังศพอยู่ในหลุมนับวันก็จะเปื่อยโทรมไป ทั้งสติปัญญาก็ไม่มี จะนับถือให้เปนผู้ใหญ่สืบไปนั้นไม่ได้ แลบุญมาถึงแล้วท่านจะมิรับไว้ภายหน้าไปท่านก็จะได้คิด เล่าปี่ก็มิยอม โตเกี๋ยมได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ว่า ท่านมิรับเปนเจ้าเมืองนี้เหมือนหนึ่งท่านหาเมตตาข้าพเจ้าไม่ เมื่อข้าพเจ้าจะตายนั้นเห็นจะไม่ปรกติเพราะมีกังวลอยู่

กวนอูเตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โตเกี๋ยมมอบเมืองให้ท่านโดยสุจริตจนทุกข์ร้อนถึงเพียงนี้ เปนไฉนท่านจึงมิรับ เล่าปี่ก็มิได้รับ โตเกี๋ยมจึงว่าท่านมิยอมเปนเจ้าเมืองนี้แล้ว จงเอ็นดูข้าพเจ้าไปอยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย เมืองนั้นก็ขึ้นแก่เมืองชีจิ๋ว ถ้าข้าพเจ้ามีทุกข์ร้อนสิ่งใดจะได้อาศรัยท่าน แลคนทั้งปวงนั้นก็ช่วยกันว่ากล่าวอ้อนวอนให้เล่าปี่รับไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ตามคำโตเกี๋ยมว่าเถิด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รับเอา โตเกี๋ยมมีความยินดีนักจึงเอาเงินทองเสื้อผ้ามาแจกทหารเล่าปี่ขงหยงเต๊งไก๋ เปนอันมาก

ในขณะนั้นจูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านมาช่วยการโตเกี๋ยมก็เสร็จแล้วข้าพเจ้าจะของลาไปหากองซุนจ้าน เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยุดมือจูล่งไว้ แล้วก็ร้องไห้สั่งความกันเปนอันมาก แล้วจูล่งก็ลาเล่าปี่ยกทหารสองพันกลับไปยังเมืองปักเป๋ง

แลขงหยงเต๊งไก๋ก็ลาเล่าปี่โตเกี๋ยมกลับไปเมือง โตเกี๋ยมจึงแต่งหนังสือแล้วให้ทหารไปส่งเล่าปี่ไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ราษฎรทั้งปวงก็มีใจรักเล่าปี่เปนอันมาก

ฝ่ายโจโฉมาถึงกลางทางพบโจหยิน ๆ จึงบอกว่า ลิโป้ซึ่งเปนนายทัพยกมานั้น รูปร่างโตใหญ่มีกำลังกล้าหาญ ได้ตันก๋งมาเปนที่ปรึกษา ครั้นตีได้เมืองกุนจิ๋วแล้ว ยกล่วงตีเมืองรายทางไปถึงเมืองปักเอี้ยง แลเทียหยกซุนฮกนั้น รักษาเมืองไว้ได้สามเมือง โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ลิโป้นั้นมีฝีมือกล้าหาญก็จริง แต่หาความคิดมิได้ ท่านอย่าเปนทุกข์เลย จึงให้ยกทหารรีบไปถึงเมืองเต๊งกวน แล้วให้หยุดตั้งค่ายมั่นไว้

ฝ่ายลิโป้ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่า โจโฉยกมาตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองเต๊งกวน จึงให้ลิฮองกับซิหลันคุมทหารหมื่นหนึ่งไปอยู่รักษาเมืองกุนจิ๋ว

ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงถามว่า เมืองกุนจิ๋วนั้นเปนที่สำคัญ ท่านจะให้ลิฮองซิหลันไปอยู่รักษานั้นตัวท่านจะไปข้างไหน ลิโป้จึงตอบว่า เราจะยกไปตั้งรับทัพโจโฉที่เมืองปักเอี้ยง จะได้ป้องกันเมืองไว้ให้กว้างขวาง ตันก๋งจึงว่าท่านจะไว้ใจให้ลิฮองซิหลันอยู่รักษาเมืองกุนจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะเสียแก่โจโฉฝ่ายเดียว แลเขาไทสันนั้นอยู่ข้างทิศใต้เมืองกุนจิ๋ว ทางใกล้กันประมาณแปดร้อยเส้น มีที่จำเพาะเดิรตามซอกเขาแต่เปนทางลัดเร็ว เห็นโจโฉจะรีบยกมาทางนั้น ขอให้ท่านแต่งทหารหมื่นหนึ่ง ไปซุ่มอยู่สองข้างทางซอกเขา ถ้ากองทัพหน้าโจโฉยกมาก็ให้สงบไว้ ต่อโจโฉมาถึงจึงให้รบกระหนาบ กองหน้าจะกลับไปช่วยทัพหลวงมิทันที เห็นจะจับโจโฉได้โดยง่าย

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งเราจะตั้งรับโจโฉอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยงนั้น ความคิดของเราเห็นว่า จะแก้ไขรบพุ่งได้เปนหลายฝ่าย ซึ่งจะแต่งทหารไปซุ่มอยู่นั้นเห็นจะป่วยการเปล่า แล้วลิโป้จึงให้ลิฮองกับซิหลันคุมทหารไปรักษาเมืองกุนจิ๋ว ลิโป้จึงจัดแจงทหารตั้งรับอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยง

ฝ่ายโจโฉรู้ข่าวดังนั้นก็ยกทหารรีบมาถึงเขาไทสัน กุยแกจึงห้ามโจโฉว่า ที่เขาไทสันนี้มีทางจำเพาะเดิร เกลือกลิโป้จะแต่งทหารมาซุ่มอยู่ ขอให้ท่านหยุดทัพไว้ก่อน แล้วแต่งม้าใช้ให้ไปสอดแนมดูจึงจะได้คิดการสืบไป โจโฉได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วตอบว่า ลิโป้นั้นเปนคนหาความคิดมิได้ ซึ่งจะให้ทหารมาซุ่มอยู่นั้นเห็นเหลือความคิดลิโป้ บัดนี้ลิโป้ให้ลิฮองกับซิหลันคุมทหารไปรักษาเมืองกุนจิ๋ว ตัวนั้นตั้งรับอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยง แล้วโจโฉให้โจหยินคุมทหารเปนอันมาก ยกไปล้อมเมืองกุนจิ๋วไว้ โจโฉก็ยกทหารไปจากเขาไทสัน

ฝ่ายตันก๋งรู้ดังนั้นจึงว่าแก่ลิโป้ว่า โจโฉรีบยกมาด้วยกำลังโกรธ เห็นทหารทั้งปวงจะอิดโรย ขอท่านเร่งยกทหารออกรบเห็นจะมีชัยชนะแก่โจโฉเปนมั่นคง ถ้าละไว้ช้าทหารจะมีกำลังขึ้นจะเอาชัยชนะยาก ลิโป้จึงตอบว่าเดิมเราตั้งตัวมาก็แต่ตัวผู้เดียวกับม้า คิดทำการเที่ยวรบพุ่งมาจนได้ทหารมากขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว เราจะคิดย่อท้อโจโฉนั้นหามิได้ ให้โจโฉตั้งค่ายมั่นลงแล้ว เราจะหักเอาให้ได้

ฝ่ายโจโฉครั้นยกมาถึง ณ เมืองปักเอี้ยงก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงยกทหารออกไปตั้งอยู่นอกค่าย โจโฉจึงขับม้าขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหาร เห็นลิโป้กับทหารเอกแปดนายยืนอยู่สองฝ่ายซ้ายขวา ซื่อเตียวเลี้ยวหนึ่ง จงป้าหนึ่ง หลันเป้งหนึ่ง โซซนหนึ่ง เซ้งเหลียมหนึ่ง บุยซกหนึ่ง ซงเหียนหนึ่ง โฮเสงหนึ่ง กับทหารเลวเปนอันมาก โห่ร้องอื้ออึงมา โจโฉจึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าลิโป้แล้วว่า ตัวกับเราจะได้มีความผิดกันสิ่งใดหามิได้ เปนไฉนตัวจึงยกทหารมาตีเอาเมืองของเรา

ลิโป้จึงตอบว่าเมืองเหล่านี้เปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็เหมือนหนึ่งของคนทั้งปวงซึ่งอยู่ในแผ่นดิน ถ้าผู้ใดมีบุญแลเข้มแขงก็จะครอบครองเมืองได้เหมือนกัน เหตุใดท่านจึงว่าบ้านเมืองทั้งนี้เปนของท่าน หามีความลอายไม่ แล้วลิโป้จึงให้จงป้าออกไปจับเอาตัวโจโฉ ๆ จึงให้งักจิ้นขับม้าออกรับด้วยจงป้า ๆ กับงักจิ้นรบกันได้สามสิบเพลง แฮหัวตุ้นจึงขับม้าออกไปช่วยงักจิ้น เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นก็ออกมารบด้วยแฮหัวตุ้น แลทหารสี่นายรบกันเปนสามารถ ก็มิได้แพ้ชนะกัน ลิโป้เห็นดังนั้นก็โกรธจึงขับม้ารำทวนออกไปรบกับแฮหัวตุ้นงักจิ้น แลแฮหัวตุ้นงักจิ้นสู้ลิโป้มิได้ก็ขับม้าหนี ลิโป้นั้นขับม้าไล่ฟันเข้าไป ทหารโจโฉก็แตกพ่ายไป ลิโป้ก็ชักม้ากลับมา โจโฉเสียทีแก่ลิโป้ ก็คุมทหารกลับเข้าค่าย แล้วปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ลิโป้มีกำลังกล้าหาญ ผู้ใดจะคิดรบพุ่งด้วยลิโป้ได้ อิกิ๋มจึงว่าข้าพเจ้าขึ้นไปดูบนเขา เห็นค่ายลิโป้ฝ่ายทิศตวันตกนั้นผู้คนเบาบาง แลลิโป้รบชนะเข้าไปครั้งนี้เห็นจะมีใจกำเริบ ทหารก็จะประมาทมิได้รักษาค่าย เวลากลางคืนวันนี้ขอให้ยกทหารเข้าปล้นเอาค่ายลิโป้เห็นจะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์โจหองหนึ่ง ลิเตียนหนึ่ง ลิยอยหนึ่ง อิกิ๋มหนึ่ง เตียนอุยหนึ่ง กับทหารเลวประมาณสองหมื่นเตรียมไว้ ฝ่ายลิโป้เมื่อกับมาถึงค่าย จึงให้เลี้ยงดูแล้วปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงตามสมควร

ตันก๋งจึงว่า ซึ่งโจโฉแตกไปเห็นจะมีความคิดกลับมาทำการ ข้าพเจ้าเห็นว่าค่ายตวันตกนั้นผู้คนเบาบาง ขอให้เกณฑ์ทหารเติมไปรักษาไว้ให้มั่นคง ลิโป้จึงตอบว่า โจโฉแตกไปเพราะเสียทีแก่เรา เห็นจะไม่คิดกลับมาทำการปล้นค่าย ตันก๋งจึงว่าท่านอย่าไว้ใจ อันโจโฉนั้นมีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม ข้าพเจ้าเห็นว่าจะยกกลับมาปล้นค่ายเปนมั่นคง ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้โกซุ่นหนึ่ง งุยซกหนึ่ง โฮเสงหนึ่ง คุมทหารเปนอันมาก ไปรักษาค่ายฝ่ายตวันตกไว้ให้มั่นคง

ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยามเศษ โจโฉจึงคุมทหารซึ่งจัดไว้นั้น ยกอ้อมทางไปข้างทิศใต้ ครั้นถึงค่ายซึ่งตั้งอยู่นั้น ก็ให้เข้าล้อมรอบไว้ แล้วโห่เข้าปล้นหักเอาค่ายนั้นได้ ทหารซึ่งอยู่ในนั้นก็แตกตื่นหนีออกไปได้ งุยซกหนึ่ง โฮเสงหนึ่ง แลโกซุ่นหนึ่ง ซึ่งลิโป้ให้คุมทหารไปอยู่รักษาค่ายนั้น ครั้นมาใกล้ค่ายเวลาสามยามเศษ เห็นทหารโจโฉปล้นเอาค่ายได้ ก็คิดกลัวลิโป้จึงคุมทหารออกรบจะเอาค่ายคืน โจโฉเห็นดังนั้นจึงคุมทหารออกรบนอกค่าย เสียงทหารทั้งสองฝ่ายโห่ร้องอื้ออึงจนเวลารุ่งขึ้น

ฝ่ายลิโป้รู้จึงคุมทหารรีบมาค่ายทิศใต้ ม้าใช้เห็นจึงบอกแก่โจโฉว่าทัพลิโป้ยกทหารมาใกล้จะถึงอยู่แล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงยกทหารบ่ายหน้าจะหนีกลับไป โกซุ่น งุยซก โอเสง เห็นโจโฉยกบ่ายหนีก็คุมทหารรบตามหลังมา พอพบทัพลิโป้ที่ปากทาง จึงให้อิกิ๋มกับงักจิ้นเข้ารบด้วยลิโป้เปนสามารถ อิกิ๋มงักจิ้นกำลังน้อยเห็นจะสู้ลิโป้ไม่ได้ ก็ชักม้ากลับมา พาโจโฉหนีไปข้างทิศเหนือ ลิโป้กับทหารทั้งปวงไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก แลโจโฉกับอิกิ๋มงักจิ้นคุมทหารหนีมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอพบเตียวเลี้ยวกับโจป้าคุมทหารเปนสองกองตั้งรบกระหนาบไว้ โจโฉจึงให้โจหองกับลิยอยเข้ารบด้วยเตียวเลี้ยวโจป้าเปนสามารถ โจหองลิยอยสู้มิได้ก็ชักม้ากลับมา พาโจโฉกับทหารหนีวกหลังไปทางทิศใต้ พอพบหลันเป้ง โจเสง เซ้งเหลียม ซงเหียน สี่คนคุมทหารเปนสองกองตั้งรบกระหนาบไว้

ฝ่ายทหารโจโฉก็ชวนกันเข้ารบพุ่งหักหาญป้องกันอยู่ แลโจโฉนั้นเห็นจวนตัวนัก ก็ขับม้ากับทหารห้าคน รบฝ่าหนีไปถึงเนินเขา ได้ยินเสียงประทัด แล้วเห็นทหารยิงเกาทัณฑ์ลงมาดังห่าฝน โจโฉชักม้าจะกลับมา ทหารทั้งปวงเข้าล้อมรบสกัดได้ โจโฉตกใจจึงร้องว่า ผู้ใดมีกำลังจงช่วยชีวิตเราครั้งนี้

เตียนอุยได้ยินโจโฉร้องดังนั้น จึงว่าข้าพเจ้ากำลังตามมาท่านอย่าทุกข์เลย แล้วเตียนอุยก็ลงจากม้า จึงเอาทวนสองเล่มหนีบลักแร้ไว้ แล้วชักเอาหอกซัดถือไว้ประมาณสิบห้าเล่ม จึงสั่งทหารห้าคนซึ่งมาด้วยกันว่า ถ้าเห็นพวกศัตรูตามมาใกล้ประมาณห้าวาก็ให้บอกเราด้วย แล้วก็นำหน้าม้าโจโฉฝ่าเกาทัณฑ์เข้าไป แลทหารลิโป้ตามรบมาประมาณยี่สิบคน พวกโจโฉจึงร้องบอกแก่เตียนอุยว่า ศัตรูตามมาใกล้ได้ห้าวาแล้ว เตียนอุยได้ยินก็หยุดอยู่ แล้วเอาหอกซัดพุ่งไปเล่มไรก็ถูกทหารตกม้าตายเล่มนั้น จนสิ้นหอกซัดที่มือ ทหารซึ่งตามมาเหลือกลับไปแต่สี่คนห้าคน แล้วเตียนอุยก็ขึ้นม้าพาโจโฉรีบหนีจะกลับไปค่าย

ครั้นมาถึงกลางทางพอเวลาเย็น ได้ยินทหารโห่ร้องตามมาเปนอันมาก โจโฉจึงเหลียวหลังไป เห็นลิโป้ขับม้ามาหน้าทหารทั้งปวง โจโฉก็ตกใจ แลทหารซึ่งตามมาห้าคนนั้นหิวโหยหากำลังมิได้ ม้านั้นก็สิ้นแรง ต่างคนก็ต่างหนีเอาตัวรอด แต่เตียนอุยนั้นตามโจโฉไป พอเห็นแฮหัวตุ้นคุมทหารลัดทางออกมาข้างหลังโจโฉ แฮหัวตุ้นเข้ารบสกัดหน้าลิโป้ไว้จนเวลาพลบค่ำ พอฝนตกห่าใหญ่ลิโป้ก็ยกทหารกลับไป

ฝ่ายโจโฉก็พาแฮหัวตุ้นกับเตียนอุยกลับมา ณ ค่าย แล้วเอาเงินทองปูนบำเหน็จให้แก่เตียนอุยเปนอันมาก

ครั้นเวลารุ่งเช้าตันก๋งจึงว่าแก่ลิโป้ว่า เจ้าเมืองปักเอี้ยงนั้นหนีไป แลในเมืองนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อเตียนซี มีใจสัตย์ซื่อเปนที่นับถือแก่ชาวเมืองทั้งปวง ถ้าเตียนซีจะว่าประการใดชาวเมืองก็ทำตาม ขอให้หาเตียนซีออกมาว่ากล่าว ให้มีหนังสือไปถึงโจโฉว่า ท่านมีชัยแก่โจโฉแล้ว บัดนี้ให้โกซุ่นอยู่รักษาเมืองปักเอี้ยง ท่านยกทหารไปตีเอาเมืองลิหยง ให้โจโฉยกทหารเข้าปล้นเอาเมืองปักเอี้ยง เตียนซีจะคุมชาวเมืองรบกระหนาบ เราจึงลอบยกทหารเข้าไปอยู่ในเมืองปักเอี้ยงแล้วจะเอาฟืนมากองตรงประตูทั้ง สี่ด้าน ถ้าโจโฉเข้ามาแล้วเราจึงจุดเพลิงเผาเมืองแลกองฟืนทั้งสี่ประตูขึ้น ถึงโจโฉจะมีความคิดแก้ไขประการใดก็เห็นจะไม่พ้นมือเรา ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้หาเตียนซีออกมา แล้วพูดจาปลอบโยนเอาใจตามตันก๋งว่า เตียนซีก็ยอมทำตาม ลิโป้กับเตียนซีก็พากันกลับเข้าไปในเมือง แล้วแต่งหนังสือให้คนสนิธถือไปให้โจโฉ ณ ค่าย

โจโฉรับเอาหนังสือมาอ่านดู ในหนังสือนั้นว่าข้าพเจ้าเตียนซีคำนับมาถึงโจโฉ ซึ่งลิโป้เปนคนหยาบช้ายกทหารมาตีเมืองปักเอี้ยงทำอันตรายแก่ราษฎรชาวเมือง ให้ได้ความเดือดร้อนนั้น บัดนี้ลิโป้มีความกำเริบยกทหารไปตีเมืองลิหยง โกซุ่นโฮเสงอยู่รักษาเมือง ขอให้ท่านยกทหารเข้าไปปล้น ข้าพเจ้าจะปักธงขาวไว้เปนสำคัญ แล้วจะคุมชาวเมืองตีกระหนาบ เห็นจะได้เมืองคืนโดยง่าย ครั้นแจ้งในหนังสือดังนั้น โจโฉมีความยินดีหาสงสัยมิได้ จึงเอาเสื้อผ้าให้แก่ผู้ถือหนังสือมาเปนบำเหน็จ แล้วให้ไปบอกแก่เตียนซีว่าเราจะทำตาม โจโฉจึงว่าเราเสียทหารครั้งนี้ก็จนความคิดอยู่แล้ว แลเตียนซีให้หนังสือมาว่าแก่เราดังนี้ อุปมาเหมือนจักษุมืดมีผู้มาช่วยนำทางให้ แล้วก็ให้จัดแจงทหารเตรียมไว้

เล่าหัวจึงว่าลิโป้นั้นหาความคิดมิได้ก็จริง แต่ได้เปนแม่ทัพใหญ่มีที่ปรึกษาเปนอันมาก ทั้งตันก๋งก็มีสติปัญญา ซึ่งท่านจะเชื่อเตียนซีจะยกทหารไปทำการนั้นก็ตามเถิด แต่ให้มีดำริห์ยกเปนสามกอง ให้ตั้งกระหนาบไว้นอกเมืองสองกอง ๆ หนึ่งให้ยกเข้าไปทำการ ฟังดูดีแลร้ายในเมืองก่อน ถ้าเห็นไม่จริงต่อท่าน จึงให้ถอยทหารกองนั้นออกมา โจโฉเห็นชอบด้วย จึงจัดทหารออกเปนสามกอง แล้วยกไปถึงเมืองปักเอี้ยง เห็นธงขาวปักอยู่ฝ่ายประตูตวันตกเปนสำคัญตามคำเตียนซีว่า

ครั้นเวลาเที่ยงคืนโฮเสงคุมทหารออกเปนกองหน้า โกซุ่นเปนกองหลังเปิดประตูด้านตวันออก ๆ มารบด้วยโจโฉ ๆ จึงให้เตียนอุยออกมารบด้วยโฮเสงเปนสามารถ โฮเสงแตกไป ทัพโกซุ่นก็พากันถอยกลับเข้าเมือง เตียนอุยขับม้าไล่ตามไปถึงเชิงกำแพง พอคนใช้เตียนซีถือหนังสือออกมาข้างประตูทิศตวันตกเอาหนังสือส่งให้โจโฉ ๆ อ่านดูเปนใจความว่า เวลากลางคืนวันนี้ข้าพเจ้าเตียนซีจะเปิดประตูทิศตวันตกออกรับ ถ้าได้ยินเสียงม้าฬ่อแล้วก็ให้เร่งยกทหารตีเข้าไปเถิด

โจโฉมีความยินดี จึงสั่งให้แฮหัวตุ้นคุมทหารป้องกันฝ่ายซ้าย ให้โจหองคุมทหารเปนฝ่ายขวา โจกับแฮหัวเอี๋ยน ลิเตียน งักจิ้น เตียนอุยคุมทหารเปนกองกลาง ครั้นเวลากลางคืนเปนเดือนมืด ได้ยินเสียงม้าฬ่อเห็นประตูฝ่ายตวันตกก็เปิด โจโฉจะให้ยกทหารเข้าไป ลิเตียนจึงห้ามโจโฉว่า ตัวท่านเปนแม่ทัพจะด่วนยกเข้าไปนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจะขออาสาเข้าไปก่อน ถ้าเห็นสุจริตต่อท่านแล้วจึงค่อยยกเข้าไป โจโฉจึงตอบว่าซึ่งเรามิเข้าไปด้วยนั้นเห็นว่าทหารทั้งปวงจะมิพร้อมใจกันทำ การ แล้วโจโฉก็ขี่ม้ารีบขับไปหน้าทหารทั้งปวงถึงกลางเมือง มิได้เห็นผู้คนเดิรไปเดิรมา โจโฉก็คิดสดุ้งใจเห็นจะเปนกลอุบาย จึงร้องสั่งทหารทั้งปวงให้รีบกลับออกจากเมือง พอได้ยินเสียงประทัดแลม้าฬ่อทหารโห่ร้องอื้ออึงเปนอันมาก เห็นแสงเพลิงโพลงขึ้นทั้งสี่ทิศ ติดลามไหม้เรือนราษฎรทั้งเมือง

ฝ่ายโจป้าขับม้าไล่ทหารโจโฉมาข้างทิศตวันออก เตียวเลี้ยวนั้นขับม้าไล่ทหารโจโฉกระหนาบมาข้างทิศตวันตก โจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงขับม้าหนีไปจะออกประตูทิศเหนือ พบหลันเป้งโจเสงขับม้าคุมทหารรบต้านหน้าไว้ โจโฉก็กลับม้าหนีไปจะออกประตูทิศใต้ พบโกซุ่นโฮเสงรบสกัดไว้ เตียนอุยตามโจโฉไปเห็นดังนั้นก็ขับม้ารบฟันฝ่าทหารโกซุ่นโฮเสงออกไปนอกเมือง ได้ ครั้นเหลียวหลังมาไม่เห็นโจโฉ เตียนอุยก็ตกใจ จึงรื้อกลับเข้าไปถึงประตูเมือง พอพบลิเตียนจึงถามว่าท่านพบโจโฉบ้างหรือไม่ ลิเตียนบอกว่าเราก็เที่ยวหาไม่รู้ว่าไปแห่งใด เตียนอุยจึงว่า ท่านรีบออกไปซ่องสุมทหารของเราซึ่งหนีออกไปได้นั้นอย่าให้แตกตื่นไป เราจะกลับเข้าไปเที่ยวหาโจโฉ แล้วเตียนอุยรื้อรบฝ่าทหารลิโป้เข้าไปเที่ยวหาโจโฉในเมือง ครั้นไม่พบก็ฟันฝ่าทหารออกมาถึงคูเมืองพบงักจิ้น ๆ ถามเตียนอุยว่าพบโจโฉหรือไม่ เตียนอุยบอกว่าเราเที่ยวหาถึงสองกลับสามกลับก็มิได้พบ งักจิ้นจึงชวนเตียนอุยกลับเข้าไปถึงประตูเมือง ทหารลิโป้ซึ่งอยู่บนเชิงเทินจึงเอาเพลิงพเนียงจุดชนวนโยนลงมา งักจิ้นตกใจขับม้าถอยออกมา แต่เตียนอุยนั้นขับม้าฝ่าเพลิงพเนียงเข้าไปได้ เที่ยวหาโจโฉในเมือง

ฝ่ายโจโฉเมื่อพลัดกับเตียนอุยนั้น ขับม้าฝ่าเพลิงหนีไปทางประตูทิศเหนือ พอพบลิโป้ถือทวนขับม้ามา โจโฉกลัวจึงเอามือขวาขึ้นบังหน้าไว้ มือซ้ายขับม้าฝ่าเลี่ยงเข้าไปถึงหน้าลิโป้ ๆ ไม่ทันสังเกตคิดว่าทหารของตัว ก็เอาทวนเคาะสีสะลงแล้วจึงถามว่าเห็นโจโฉไปข้างไหน โจโฉได้ยินดังนั้นก็เบือนหน้าเสีย แล้วเอามือชี้บอกว่า โจโฉขี่ม้าเหลืองหนีไปทางโน้น ลิโป้มิได้สงสัยคิดว่าจริงก็ขับม้ากลับไปข้างหลัง โจโฉก็รับขับม้าจะหนีออกไปทางประตูตวันออก พอพบเตียนอุย ๆ มีใจยินดีจึงพาโจโฉรบฝ่าทหารออกไปถึงประตูเมือง เห็นกองฟืนซึ่งเพลิงไหม้นั้นขวางทางอยู่ แลประตูหอรบก็ไหม้ด้วย เตียนอุยจึงเอาทวนเขี่ยเพลิงซึ่งไหม้กองฟืนให้พ้นทาง เตียนอุยก็นำออกไปถึงประตูเมือง แต่โจโฉนั้นออกมาพอถึงตรงประตู พอเพลิงไหม้ขื่อหอรบพลัดลงมา ถูกท้ายม้าซึ่งโจโฉขี่ล้มลงกับกองเพลิงตาย แต่โจโฉนั้นดิ้นออกจากกองเพลิงได้ แต่เสื้อแลผมกับหนวดนั้นไหม้ โจโฉฉีกเสื้อทิ้งเสีย แล้วเอามือซ้ายขวาลูบดับเพลิงซึ่งไหม้หนวดแลผมนั้นดับแล้ว ก็ออกมาจากประตูเมืองได้ เตียนอุยเหลียวหลังมาเห็นดังนั้นก็โจนลงจากหลังม้า พอแฮหัวเอี๋ยนมาทันก็ช่วยกันเข้าประคองโจโฉมาให้ขึ้นม้าแฮหัวเอี๋ยน

ฝ่ายทหารลิโป้ตามออกมาเปนอันมาก เตียนอุยกับแฮหัวเอี๋ยนก็รบป้องกันไปถึงค่าย พอรุ่งขึ้นแลเห็นทหารใหญ่น้อยแตกหนีมาได้ ก็ชวนกันมาเยียนโจโฉ ๆ หัวเราะแล้วว่า ครั้งนี้เราเสียรู้ จึงเสียทหารเปนอันมาก ตัวเรายังไม่ตายก็จะคิดแก้แค้นลิโป้ให้จงได้ กุยแกจึงว่าท่านจะคิดแก้แค้นลิโป้ ก็เร่งคิดให้ทันที โจโฉจึงว่าท่านซึ่งเตือนเราทั้งนี้ก็สมควร แลเขาม้าเล้งนั้นเปนทางจำเพาะเดิร เราจะยกทหารไปซุ่มอยู่ข้างซอกเขา แล้วจะให้ทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้นนุ่งขาวห่มขาวทำเปนร้องไห้รักเราว่า เพลิงไหม้ลำบากมาถึงค่ายจึงตาย กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ถึงลิโป้ ๆ ก็จะกำเริบยกทหารมาตีค่ายเราทางเขาม้าเล้ง เราจะนิ่งสงบไว้ เห็นทัพหน้าล่วงขึ้นมาถึงปากทาง เราจึงจะยกทหารออกตีตัดกองทัพลิโป้ ก็เห็นจะจับตัวลิโป้ได้โดยสดวก กุยแกจึงว่าซึ่งท่านคิดทั้งนี้ดีหาผู้เสมอมิได้ โจโฉจึงสั่งแก่ทหารทั้งปวงให้นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำร้องไห้รักเราว่าเพลิงไหม้ลำบากมาถึงค่ายอยู่เวลาค่ำจึงตาย ให้กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงทหารลิโป้จงได้ ทหารทั้งปวงก็ทำตาม โจโฉจึงจัดแจงทหารแล้วยกไปตั้งซุ่มอยู่ ณ เขาม้าเล้ง

ฝ่ายทหารลิโป้รู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉตายจึงเอาเนื้อความบอกแก่ลิโป้ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นหมายใจว่าจริง จึงว่าครั้งนี้จะสมความคิดเราแล้ว เราจะยกไปตีทหารโจโฉไว้เปนกำลัง แล้วก็จัดแจงทหารทั้งปวงยกไปถึงเขาม้าเล้ง ทหารกองหน้านั้นยกล่วงออกไปถึงปากทางจะใกล้ถึงค่ายโจโฉ แลโจโฉนั้นเห็นได้ทีจึงให้จุดประทัดสัญญาขึ้น จึงยกทหารเข้าตีตัดกลางทัพลิโป้แล้วให้ทหารล้อมไว้ ลิโป้นั้นรบพุ่งต้านทานเปนสามารถเสียทหารเปนอันมาก จึงพาทหารที่เหลือนั้นรบฝ่ากลับหลังมาเมืองปักเอี้ยง แล้วเกณฑ์ทหารทั้งปวงขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง ฝ่ายโจโฉก็ยกทหารกลับไปค่าย

ขณะนั้นฝ่ายหัวเมืองตวันออกบังเกิดหนอนเปนอันมาก บ่อนเข้าในนาแลยุ้งฉางเสียทั่วทั้งแผ่นดิน เข้าเปนราคาถังละห้าเหรียญ บันดาคนทั้งนั้นอดอยากล้มตาย บ้างก็ฆ่าฟันกันเอาเนื้อมากิน แลทหารในกองทัพโจโฉนั้นก็อดเข้าปลาอาหาร โจโฉจึงยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเอียนเสีย ลิโป้เห็นดังนั้น ก็เกณฑ์ทหารออกไปรักษาด่านเขตเมืองปักเอี้ยงไว้ทุกตำบล

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 8

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 8

เนื้อหา

  • ลิฉุย กุยกีแก้แค้นแทนตั๋งโต๊ะ 
  • พวกลิฉุย กุยกีได้มีอำนาจในเมืองหลวง 
  • ม้าเท้งกับหันซุยอาสาปราบลิฉุย กุยกี
  • โจโฉได้เป็นเจ้าเมืองกุนจิ๋ว 


ฝ่าย ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวทหารตั๋งโต๊ะที่หนีไปอยู่เมืองเซียงไสจึงปรึกษา กันแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงอ้องอุ้นว่า ซึ่งได้เปนพวกตั๋งโต๊ะนั้นด้วยความจำเปน โทษข้าพเจ้าทั้งสี่ซึ่งได้ทำผิดนั้นขออภัยเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอทำราชการด้วยท่านสืบไป

ฝ่ายอ้องอุ้นเห็นหนังสือดังนั้นจึงว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าก็เพราะลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ถ้ารับสั่งให้ยกโทษคนทั้งปวงเสียเราก็จะยอม แต่ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวนั้นจะขอเอาตัวมาฆ่าเสียให้ได้ แลผู้ถือหนังสือจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวตามคำอ้อ งอุ้นว่า ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวจึงปรึกษากันว่า ซึ่งจะเข้าเกลี้ยกล่อมอ้องอุ้นก็มิยอม แลเราทั้งปวงต่างคนต่างเอาตัวรอดเถิด

ฝ่ายกาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ซึ่งจะคิดหนีนั้นเห็นไม่พ้น ขอให้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเซียงไสได้แล้วประจบกับกองทัพเรายกไปทำการตีเอา เมืองเตียงฮัน ถ้าได้เมืองแล้วจึงจะให้ฆ่าอ้องอุ้นเสีย แลท่านทั้งสี่คนนี้จึงจะได้ทำราชการในเมืองหลวงสืบไป แม้ไม่สมคิดจึงพากันหนี ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวเห็นชอบด้วย จึงแต่งทหารซึ่งมีสติปัญญาไปเจรจากับชาวเมืองเซียงไสว่า บัดนี้อ้องอุ้นได้เปนใหญ่แล้ว จะยกทหารมาฆ่าชาวเมืองเซียงไสซึ่งหาความผิดมิได้เสียให้สิ้น แล้วลิฉุยให้ตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่นอกเมือง จึงให้ทหารเที่ยวร้องป่าวชาวเมืองเซียงไสว่า ถ้าผู้ใดรักชีวิตกลัวอ้องอุ้นจะฆ่าเสีย ก็ให้มาเข้าด้วยเรา จึงจะรอดจากความตาย

ฝ่ายชาวเมืองเซียงไส ครั้นแจ้งดังนั้นก็ตกใจกลัวความตาย จึงชวนกันมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ประมาณสิบห้าหมื่น ลิฉุยจึงแบ่งทหารให้กุยกีเตียวเจหวนเตียวยกไปสี่กอง ครั้นไปถึงกลางทางพบงิวฮูบุตรเขยตั๋งโต๊ะ คุมทหารห้าพันจะไปแก้แค้นอ้องอุ้น นายทัพทั้งสี่กองจึงให้งิวฮูเปนทัพหน้า แล้วยกไปใกล้จะถึงเมืองเตียงฮัน


ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นรู้ข่าวดังนั้นจึงปรึกษากับลิโป้ว่า ซึ่งลิฉุยกุยกียกมาดังนี้เราจะคิดประการใด ลิโป้จึงตอบว่าลิฉุยกุยกียกมานี้ท่านอย่าวิตกเลยไว้เปนธุระข้าพเจ้า แล้วให้ลิซกคุมทหารออกไปรบ ลิซกนั้นยกออกมาพบทัพงิวฮูได้รบพุ่งกันเปนสามารถ งิวฮูเห็นจะต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา แลลิซกนั้นมีใจกำเริบ จึงให้ทหารตั้งเปนชุมนุมอยู่ มิได้ตรวจตราป้องกันโดยกระบวรทัพ แลงิวฮูเห็นลิซกประมาท ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยาม งิวฮูก็ยกทหารเข้าโจมตีปล้นเอาทัพลิซก ฆ่าทหารเสียเปนอันมาก ลิซกนั้นหนีได้จึงเอาเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิโป้ ๆ รู้ดังนั้นก็มีใจโกรธ จึงให้เอาตัวลิซกไปตัดสีสะเสีย แล้วเสียบไว้ณประตูเมือง

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงยกทหารออกไปต่อรบงิวฮู ๆ แตกหนีไป แล้วงิวฮูจึงปรึกษากับเอาซกยีว่า ลิโป้นั้นมีกำลังนักเห็นเราจะสู้ลิโป้มิได้ จำจะคิดอ่านหนีไป เอาซกยีเห็นชอบด้วย ครั้นเวลากลางคืนงิวฮูจึงจัดเอาทรัพย์สิ่งสินที่ดีของตัว แล้วพาเอาซกยีกับพรรคพวกซึ่งสนิธสี่คนห้าคนหนีไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง แลเอาซกยีคิดเอาใจออกหากฆ่างิวฮูเสีย แล้วเอาทรัพย์สิ่งของๆ งิวฮู พาเอาคนสี่ห้าคนกับสีสะงิวฮูไปให้ลิโป้ ณ เมืองเตียงฮัน ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดสงสัยเอาซกยี จึงลอบถามคนสี่ห้าคนซึ่งมาด้วยว่า เกิดเหตุขัดเคืองกันเปนประการใด เอาซกยีจึงฆ่างิวฮูเสียแล้วตัดเอาสีสะมาให้เรา คนทั้งนั้นจึงบอกความแต่หลังให้ฟัง

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เอาซกยีนั้นเปนคนโลภหาความสัตย์มิได้ จะเลี้ยงไว้นั้นไม่ควร จึงสั่งให้ทหารเอาเอาซกยีไปฆ่าเสีย แล้วลิโป้จัดแจงทหารยกกองทัพไป พบลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ก็ขับม้าแลพาทหารเข้าไล่โจมตี ทหารลิฉุยกุยกีไม่ทันเตรียมตัวก็แตกพ่ายไปทางประมาณห้าร้อยเส้น ถึงเขาแห่งหนึ่งจึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ลิฉุยจึงปรึกษากุยกีเตียวเจหวนเตียวว่า ลิโป้นั้นมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญแต่หาปัญญาความคิดมิได้ เราจะคิดอุบายให้กุยกีคุมทหารไปคอยสกัดทางซึ่งจะเข้าไปเมือง ตัวเราจะคุมทหารรบล่อ ถ้าได้ยินเสียงม้าฬ่อก็ให้ขับทหารเข้ารบ ถ้าได้ยินเสียงกลองก็ให้ทำเปนถอยทหารมา แลเตียวเจหวนเตียวนั้นให้คุมทหารแยกกันเข้ารบเมืองเตียงฮันเปนสองด้าน เห็นลิโป้จะรบป้องกันหน้าหลังมิทัน จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง กุยกีเตียวเจหวนเตียวเห็นชอบด้วยก็คุมทหารยกไปทำตามคำลิฉุยว่า

ฝ่ายลิโป้ก็ยกตามมาถึงท้ายเขา พบกองทัพลิฉุยได้รับกันเปนสามารถ ลิฉุยจึงให้ตีกลอง แล้วถอยทหารขึ้นบนเนินเขา ลิโป้ก็ตามรบขึ้นไป ครั้นเห็นทหารลิฉุยยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ลิโป้ก็ให้ถอยทหารลงมา

ฝ่ายกุยกีแลเห็นดังนั้นก็ให้ตีม้าฬ่อ ยกทหารเข้าไป ลิโป้ก็ให้กลับหน้ามารบ ฝ่ายกุยกีก็ให้ตีกลองแล้วถอยทหารมา ลิฉุยก็ยกทหารลงมาจากเนินเขาเข้ารบด้วยลิโป้แล้วถอยมา กุยกีรบกระหนาบเข้ามา แต่ลิฉุยกุยกีรบยั่วลิโป้อยู่ถึงสามวันสามคืน แลลิโป้นั้นอยู่ในระหว่างทัพกระหนาบ มิรู้ที่จะป้องกันรบพุ่งข้างไหน จะถอยไปก็มิได้ พอม้าใช้เล็ดลอดมาบอกแก่ลิโป้ว่า บัดนี้กองทัพเตียวเจหวนเตียวยกเข้ารบเมืองเตียงฮันอยู่เปนสามารถ เห็นข้าศึกได้ทีจวนจะได้เมืองอยู่แล้ว ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดจะเข้าไปช่วยเมืองเตียงฮัน จึงคุมทหารรบฝ่าหักออกไป แล้วลิฉุยกุยกีนั้นตามรบลิโป้มา ลิโป้มิได้เปนกังวลรบทัพข้างหลัง ตั้งหน้ารีบจะไปช่วยเมืองเตียงฮันไว้ให้รอด ลิโป้นั้นเสียทหารเปนอันมาก ครั้นมาใกล้เมืองเห็นทหารเตียวเจหวนเตียวล้อมเมืองไว้ แลทหารลิโป้นั้นกลัวความตาย ก็ไปเข้าด้วยเตียวเจหวนเตียวเปนอันมาก ลิโป้เห็นดังนั้นก็เสียใจ จึงพาทหารซึ่งเหลืออยู่นั้น รวนเรไปมาอยู่ถึงสองวันสามวัน

ฝ่ายลิบ้องอ่องหองสองคนนี้ เปนขุนนางอยู่ในเมืองเตียงฮันเปนพรรคพวกตั๋งโต๊ะ จึงคิดกันเปนไส้ศึกคุมทหารของตัวลอบเปิดประตูทั้งสี่ด้านออกรับกองทัพ ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวเข้าไปได้ในเมือง แลลิโป้นั้นก็หักเข้าไปในเมืองรบพุ่งฆ่าฟันทหารลิฉุยกุยกีเสียเปนอันมาก แลลิโป้นั้นเหลือกำลัง จึงพาทหารประมาณร้อยเศษรบหักออกไปจากประตูวัง พอพบอ้องอุ้นเข้าลิโป้จึงว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ซึ่งจะอยู่ต่านทานนั้นเห็นเหลือกำลัง ขอท่านเร่งขึ้นม้าหนีเอาตัวรอดไว้ก่อนจึงจะได้คิดการต่อไป

อ้องอุ้นจึงตอบว่าเดิมเรากับท่านคิดกัน จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุขก็สมคิดแล้ว บัดนี้เกิดเหตุขึ้นเพราะพวกตั๋งโต๊ะ แลเราจะหนีเอาตัวรอดนั้นไม่ควร ถึงจะตายก็เอาความชอบไว้ภายหน้า ท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ช่วยเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งแก่หัวเมืองทั้งปวงว่าเราคำนับไปด้วย บัดนี้เกิดเหตุขึ้นในเมืองหลวง ให้หัวเมืองทั้งปวงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินยกกองทัพเข้ามาช่วยกำจัดศัตรูราช สมบัติเสีย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็พูดจาชักชวนเปนหลายครั้งอ้องอุ้นก็มิไป พอเห็นแสงเพลิงซึ่งข้าศึกจุดเผาขึ้นนั้นเปนหลายตำบล ลิโป้ก็ทิ้งครอบครัวเสีย ขึ้นม้าพาทหารร้อยเศษหนีออกจากเมือง ไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง อ้องอุ้นนั้นเข้าไปในวัง

ฝ่ายลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ซึ่งหักเข้าไปในเมืองนั้นก็ฆ่าฟันขุนนางแลทหารเสียเปนอันมาก แล้วยกเข้าถึงในพระราชวัง ขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับอ้องอุ้นขึ้นไปบน พระตำหนักหอสูง ลิฉุยกุยกีกับทหารทั้งปวงก็ถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ จึงตรัสถามลิฉุยกุยกีว่า ซึ่งตัวบังอาจทำการเข้ามาในพระราชวังจะประสงค์สิ่งใด ลิฉุยกุยกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าทำการทั้งนี้จะได้คิดขบถต่อพระองค์หามิได้ เดิมตั๋งโต๊ะเปนมหาอุปราชได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน แลอ้องอุ้นคบคิดกับลิโป้ฆ่ามหาอุปราชเสีย ข้าพเจ้าจึงเข้ามาหวังจะฆ่าอ้องอุ้นเสียให้หายแค้น ถ้าพระองค์ทรงพระเมตตาส่งตัวอ้องอุ้นให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะพาทหารออกไป อ้องอุ้นได้ยินลิฉุยกุยกีว่าดังนั้นก็ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้ามีสัตย์สุจริตต่อแผ่นดิน จึงฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ลิฉุยกุยกีจะเอาตัวข้าพเจ้า ครั้นข้าพเจ้าจะรักชีวิตบิดพลิ้วอยู่ก็จะเกิดอันตรายในพระราชฐานมากไป ข้าพเจ้าจะขอเอาชีวิตไปให้ลิฉุยกุยกีฆ่าเสียสนองพระคุณพระองค์ ว่าแล้วอ้องอุ้นก็โจนลงไปในช่องแกลพระตำหนักร้องว่า ตัวกูอยู่นี่มึงจะทำประการใดก็มาเถิด ลิฉุยกุยกีได้ยินดังนั้นจึงถามอ้องอุ้นว่า มหาอุปราชมีความผิดสิ่งใดตัวจึงคบคิดกับลิโป้ฆ่าเสีย อ้องอุ้นจึงตอบว่า อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเปนศัตรูราชสมบัติ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดินเปนอันมากกูจึงฆ่าเสีย ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีด้วย เหตุไฉนตัวมึงจึงมีความเจ็บแค้นด้วยอ้ายขบถ ลิฉุยกุยกีจึงตอบว่า มหาอุปราชทำความผิดตัวจึงฆ่าเสีย แลเราทั้งสี่นี้ได้มีหนังสือมาอ่อนน้อมจะขอทำราชการด้วยตัวมิยอมว่าจะฆ่า เสียนั้น เรามีความผิดประการใด อ้องอุ้นจึงร้องตวาดแล้วตอบว่า ซึ่งกูมิเอามึงทั้งสี่ไว้ทำราชการด้วยนั้น เพราะมึงเปนพวกขบถกลัวแผ่นดินจะเปนอันตราย ซึ่งมึงคิดการทั้งนี้จะปราถนาสิ่งใดก็เร่งทำเถิดกูมิได้กลัวความตาย ลิฉุยกุยกีได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงเอากระบี่ฟันอ้องอุ้นถึงแก่ความตาย แล้วให้ทหารไปจับบุตรภรรยาญาติพี่น้องอ้องอุ้นมาฆ่าเสียสิ้น แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวง ครั้นรู้ว่าอ้องอุ้นตายก็ชวนกันร้องไห้รัก


ลิฉุยกุยกีจึงคิดกันว่า เราทำการเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว จะละไว้นั้นมิได้ จำจะคิดเอาราชสมบัติฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียจึงจะควร เตียวเจหวนเตียวจึงห้ามว่า ซึ่งจะทำจลาจลถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเราไม่เห็นด้วย หัวเมืองทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรเห็นจะไม่ยอมด้วยเรา ก็จะยกทหารเข้ามาทำการรบพุ่งเปนการใหญ่เราจะได้ความขัดสน ขอให้ชวนกันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทูลขอทำราชการในเมืองหลวง แล้วจึงค่อยคิดอ่านแอบรับสั่งให้หาหัวเมืองเข้ามาจับฆ่าเสียให้สิ้น ราชสมบัตินั้นจะได้แก่เราโดยง่าย ลิฉุย กุยกี เห็นชอบด้วย จึงพาเตียวเจหวนเตียวเข้าไปถวายบังคม

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสถามลิฉุยกุยกีว่า เดิมตัวบอกว่าจะขอเอาตัวอ้องอุ้นแล้วจะยกทหารกลับออกไป บัดนี้ตัวฆ่าอ้องอุ้นเสียแล้วแลยังมิยกกลับไป เองยังอยู่จะประสงค์สิ่งใด ลิฉุยกุยกีจึงทูลว่าแต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าได้ทำราชการมีความชอบต่อแผ่นดิน มากอยู่ หาผู้ใดพิททูลพระองค์มิได้ พระองค์จึงมิได้ปูนบำเหน็จข้าพเจ้าให้เปนที่ขุนนาง บัดนี้ข้าพเจ้าสี่คนจะขอทำราชการเปนที่ขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ถ้าพระองค์โปรดให้ตามปราถนา ข้าพเจ้าจึงจะยกทหารออกไปจากพระราชวัง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า แลตัวทั้งสี่จะพอใจเปนที่ขุนนางตำแหน่งใดก็ให้ว่ามา

ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวปรึกษากันแล้ว จึงเขียนหนังสือถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ทอดพระเนตรเห็นหนังสือนั้นว่า ลิฉุยเปนที่กีจงกุ๋น ภาษาไทยว่าเปนนายทหารใหญ่กองใน แล้วเปนผู้สำเร็จราชการด้วย กุยกีนั้นเปนที่ฮอจงกุ๋น ภาษาไทยว่าเปนนายทหารกองหลัง แล้วว่าที่จางวางขุนนางทั้งปวงด้วย เตียวเจแลหวนเตียวนั้นเปนนายทหารซ้ายขวา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ประทานให้ แลลิฉุย กุยกีครั้นได้รับสั่งแล้วจึงออกมาตั้งอยู่นอกวัง จึงปรึกษากันว่า เมืองฮองหลงนั้นเปนเมืองหน้าด่านจะไว้ใจแก่ข้าศึกมิได้ จึงให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปรักษาอยู่ แลลิบ้องอ่องหองซึ่งเปิดประตูรับนั้น เลื่อนที่ขึ้นเปนขุนนาง แลทหารซึ่งมีสติปัญญาก็ตั้งขึ้นเปนขุนนางด้วย แล้วให้ทหารไปสืบเสาะเก็บเอากระดูกตั๋งโต๊ะมาให้แต่งการศพอย่างที่มหาอุปราช แล้วให้แห่ออกไปจะฝังศพไว้ตามธรรมเนียม ในขณะทำการเมื่อจะฝังศพนั้น พอเกิดลมพายุพัดหนักฝนตกห่าใหญ่น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอก อัสนีผ่าถูกศพ กระดูกนั้นกระจายไป ครั้นฝนสงบลง ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกมาผสมกันเข้า แล้วจะให้ฝังเวลากลางคืนนั้น ซ้ำเกิดพายุฝนตกฟ้าผ่าถูกกระดูกนั้นกระจายไป ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกนั้นมาผสมกันเข้าอีกเปนหลายครั้ง ฝนก็ตกฟ้าคนองผ่าลงทุกครั้ง จนกระดูกนั้นสาบสูญไปสิ้นมิได้ฝัง ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลลิฉุย กุยกี ก็กลับเข้าไปเมืองหลวง ทำการกำเริบหยาบช้าต่างๆ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน แลลิฉุยกุยกีเอาเงินทองไปถึงใจแก่ขันทีซึ่งรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วสั่ง ว่า ถ้าได้ยินพระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสดีแลร้ายประการใด ก็ให้เอาเนื้อความมาบอก

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังทรงพระเยาว์อยู่ จะตรัสตราสินราชการเมืองก็ผันแปรฟั่นเฟือนไป ราชการแลขุนนางในเมืองหลวงนั้นก็เปนสิทธิ์อยู่ในบังคับบัญชาลิฉุยกุยกีสิ้น ลิฉุยกุยกีจึงให้หาจูฮีซึ่งเปนขุนนางนอกราชการนั้น มาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการ

ฝ่ายม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง กับหันซุยเจ้าเมืองเป๊งจิ๋วปรึกษากันว่า บัดนี้ลิฉุยกุยกีได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ทำการหยาบช้าเหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ จำเราจะคิดอ่านกำจัดเสีย บ้านเมืองทั้งปวงจึงจะเปนสุข จึงแต่งหนังสือเข้าไปถึงม้าฮูหนึ่ง ตงเซียวหนึ่ง เลาเฉียหนึ่ง สามคนนี้เปนขุนนางข้าหลวงเดิมของพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ลิฉุยกุยกีทำการหยาบช้าทุกวันนี้แผ่นดินได้ความเดือนร้อนเหมือนครั้งตั๋ง โต๊ะ แลเนื้อความทั้งนี้จงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทราบ เราจะยกกองทัพเข้าไปล้างลิฉุยกุยกีเสีย ท่านทั้งสามจงคิดกระทำข้างในเมือง

ม้าฮูตงเซียวเลาเฉีย ครั้นรู้ในหนังสือนั้นแล้ว จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ก็มีพระทัยยินดี จึงทรงพระอักษรเปนใจความว่า ซึ่งม้าเท้งกับหันซุยคิดทั้งนี้เราขอบใจนัก ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วส่งให้ทหารม้าเท้งหันซุยถือกลับมา

ม้าเท้งหันซุยเห็นลายพระหัตถ์ก็มีความยินดีนัก จึงจัดแจงทหารสองหัวเมืองได้ประมาณสิบเอ็ดสิบสองหมื่น ยกไปถึงกลางทาง แล้วให้ทหารร้องประกาศแก่ชาวเมืองว่า ซึ่งยกมานี้จะทำการกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย

ฝ่ายม้าใช้แจ้งดังนั้นก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ลิฉุยกุยกี ๆ จึงให้หาเตียวเจหวนเตียวมาปรึกษาว่า ม้าเท้งหันซุยยกมานี้ใครยังจะคิดประการใด กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ม้าเท้ง หันซุยยกมานั้นเปนทางไกลกันดาร เราจะรักษาหน้าที่ไว้ให้ยกเข้าล้อมถึงเชิงกำแพง ถ้าเห็นว่าขาดสเบียงลงแล้ว จึงให้ยกทหารออกโจมตีก็จะจับม้าเท้งกับหันซุยได้โดยง่าย

ลิบ้องอ่องหองจึงว่า ซึ่งกาเซี่ยงว่านั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าพเจ้าจะขอทหารหมื่นหนึ่ง จะยกออกไปตัดเอาสีสะม้าเท้งหันซุยมาให้ท่าน กาเซี่ยงจึงตอบว่า ลิบ้องอ่องหองจะยกไปนั้นเห็นจะเสียทีเปนมั่นคง ลิบ้องอ่องหองจึงตอบว่า ถ้าเราสองคนออกไปไม่ได้สีสะม้าเท้งกับหันซุยเข้ามา ท่านจงตัดสีสะเรานี้แทนเถิด ถ้าได้สีสะนายทัพทั้งสองนั้นเข้ามา ท่านจงตัดสีสะท่านให้แก่เราด้วย กาเซี่ยงจึงว่าแก่ลิฉุยกุยกีว่า ลิบ้องอ่องหองจะอาสาออกไปรบก็ตามเถิด แต่เขาเจียวจิดนั้นทางไกลเมืองหลวงประมาณสองพันเส้น อยู่ฝ่ายตวันตกมีทางจำเพาะเดิรตามซอกเขา ขอให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปซุ่มอยู่ตำบลนั้นให้จงมาก ภายหลังถ้าลิบ้องอ่องหองเสียทีมาประการใดก็จะได้ช่วย


ลิฉุยกุยกีจึงตอบว่า ซึ่งจะให้เตียวเจหวนเตียวยกออกไปตั้งอยู่ ณ ซอกเขานั้นเราไม่เห็นด้วย แล้วลิฉุยกุยกีจึงเกณฑ์ทหารหมื่นห้าพันให้ลิบ้องอ่องหองยกออกไปทางประมาณสอง พันเส้น พบกองทัพม้าเท้งหันซุยก็ตั้งประชิดกันอยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้านายทัพทั้งสองฝ่ายยกทหารออกตั้งอยู่นอกค่าย ม้าเท้ง หันซุย จึงร้องว่า อ้าย ลิบ้อง อ่องหองเปนศัตรูราชสมบัติผู้ใดจะอาสาไปจับมาให้เราได้

ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งอายุสิบแปดปี หน้าดังสีหยกกิริยาว่องไวรับอาสา แล้วถือทวนขับม้าฝ่าทหารขึ้นไป อ่องหองเห็นม้าเฉียวยังเด็กอยู่ก็คิดประมาท ขับม้ารำง้าวออกมารบด้วยม้าเฉียวได้ห้าเพลง ม้าเฉียวเอาทวนแทงอ่องหองตกม้าตาย แล้วม้าเฉียวชักม้าจะกลับมา ลิบ้องเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวไล่ตามม้าเฉียวมาข้างหลัง ม้าเฉียวชำเลืองดูแต่ทำเปนไม่เห็น ม้าเท้งเห็นลิบ้องตามมา จึงร้องบอกแก่ม้าเฉียวว่า ศัตรูตามมาจะทำร้ายข้างหลัง ให้เร่งระวังตัว ลิบ้องเห็นจวนจะทันเข้า จึงเอาง้าวฟันเอาม้าเฉียว ๆ หลบได้ จึงชักม้ากลับหลังโถมเข้าจับลิบ้องได้ เอามาให้แก่บิดา แลทหารม้าเท้งหันซุยได้ทีดังนั้น ก็ไล่ฆ่าฟันทหารลิบ้องล้มตายเปนอันมาก ม้าเท้งกับหันซุยจึงยกทหารเข้าไปตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองเตียงฮัน แล้วให้เอาลิบ้องไปฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะเสียบไว้หน้าค่าย

ฝ่ายม้าใช้จึงเอาเนื้อความมาบอกแก่ลิฉุย กุยกี ๆ ครั้นแจ้งดังนั้นก็คิดว่ากาเซี่ยงว่านั้นชอบ เรามิได้ทำตามคำจึงเสียทหารไปทั้งนี้ แต่นั้นมาลิฉุยกุยกีก็นับถือเชื่อฟังกาเซี่ยง แล้วก็ให้จัดแจงค่ายคูประตูหอรบ เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินพร้อมมั่นคงทุกด้าน

ฝ่ายม้าเท้งกับหันซุยก็ยกทหารถึงเชิงกำแพงเมืองได้ประมาณสองเดือน ทหารในกองทัพนั้นขาดสเบียงอดเข้าปลาอาหารอิดโรย ม้าเท้งหันซุยเห็นทหารขาดสเบียง จึงปรึกษากันจะให้ยกกองทัพถอยไป ยังมิตกลงกัน

ขณะนั้นคนใช้สนิธของม้าฮู ลอบเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิฉุยกุยกีว่า ม้าฮูนายข้าพเจ้าคบคิดกับตงเซียวเลาเฉียรับเปนไส้ศึก ม้าเท้งจึงยกมาทำการสงคราม ลิฉุยกุยกีครั้นแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารไปจับตัว ม้าฮูหนึ่ง ตงเซียวหนึ่ง เลาเฉียหนึ่ง กับบุตรภรรยาญาติพี่น้องมาฆ่าเสียสิ้น แล้วก็ตัดสีสะตัวนายทั้งสามคนเสียบประจานไว้บนหน้าที่เชิงเทินให้ข้าศึกเห็น ม้าเท้งหันซุยเห็นดังนั้นจึงปรึกษากันว่า ไส้ศึกในเมืองก็เปนเหตุแล้ว ฝ่ายทหารในกองทัพเราก็ขาดสเบียงลง ถ้าจะตั้งล้อมไว้ดังนี้ก็จะเสียทหารมาก ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันก็เลิกทัพถอยไป ลิฉุยกุยกีเห็นดังนั้นจึงให้เตียวเจคุมทหารยกไปตามม้าเท้งกองหนึ่ง แล้วให้หวนเตียวยกทหารไปตามหันซุยกองหนึ่ง ครั้นมาถึงเขาตันฉอง หันซุยเหลียวมาเห็นหวนเตียว หันซุยจึงร้องว่า ตัวท่านกับเราเปนชาวบ้านเดียวกันมาแต่น้อย เปนไฉนท่านหามีความเมตตาไม่ จะมาทำอันตรายแก่เรา หวนเตียวจึงตอบว่า ทุกวันนี้ราชการในเมืองหลวงเปนสิทธิ์อยู่กับลิฉุยกุยกี ๆ ให้เรายกออกมาตามท่านทั้งนี้ก็เปนการใหญ่ แลเราจะเห็นแก่หน้าท่านอยู่นั้นมิได้ หันซุยจึงตอบว่า เรายกมาทำการทั้งนี้ก็เพราะหวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข ถึงท่านจะมิคิดถึงเราก็จงคิดถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งครองราชสมบัตินั้นเถิด หวนเตียวได้ยินหันซุยว่าดังนั้น เปนข้อกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ หวนเตียวก็ให้ทหารทั้งปวงหยุดตั้งมั่นอยู่ แลหันซุยนั้นก็เร่งขับทหารทั้งปวงรีบไปถึงเมืองเป๊งจิ๋ว

ฝ่ายเตียวเจซึ่งไปตามม้าเท้งนั้น ครั้นไม่ทันแล้วก็ยกทหารกลับมาตั้งอยู่กับหวนเตียว แลลิเบียดซึ่งเปนหลายลิฉุยนั้น มาในกองทัพหวนเตียว ครั้นเห็นหวนเตียวมิได้จับหันซุย ก็เอาเนื้อความทั้งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิฉุยผู้เปนอาว์ ลิฉุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จะให้ทหารออกไปจับตัวหวนเตียวมา กาเซี่ยงจึงห้ามว่าบัดนี้บ้านเมืองยังมิสงบ ซึ่งจะให้ทหารออกไปจับหวนเตียว เห็นว่าหวนเตียวจะไม่ยอมให้จับโดยง่าย ก็จะเกิดรบพุ่งกันขึ้นอีก ขอให้แต่งคนออกไปบอกแก่เตียวเจหวนเตียวโดยดีว่า ซึ่งยกไปตามม้าเท้งหันซุยไม่ทันนั้นก็แล้วไปเถิด บัดนี้เราแต่งโต๊ะเชิญขุนนางทั้งปวงมาเสพย์สุรา จึงให้เตียวเจ หวนเตียวเข้ามากินโต๊ะด้วย ถ้าเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะแล้วจึงค่อยจับเอา การจึงจะไม่วุ่นวาย ลิฉุยเห็นชอบด้วย จึงให้คนออกไปหาเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะ เตียวเจหวนเตียวมิได้รู้เหตุก็ยกทหารกลับเข้ามาเมืองเตียงฮัน แล้วเข้าไปกินโต๊ะด้วยลิฉุยกุยกี เมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นลิฉุยจึงว่าแก่หวนเตียวว่า เราให้ยกทหารไปตามจับหันซุย แลตัวมิได้ทำตามคำเรา เอาน้ำใจไปแผ่เผื่อกับหันซุยนั้น ตัวจะคิดร้ายแก่เราหรือ หวนเตียวได้ยินดังนั้นก็ตกใจยังมิทันตอบประการใด บู๋ซูก็ลากเอาตัวหวนเตียวไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะหวนเตียวมาให้ลิฉุยดู เตียวเจเห็นดังนั้นยังมิได้รู้เหตุประการใดก็ตกใจหมอบลงกับริมโต๊ะ ลิฉุยเข้าประคองเตียวเจขึ้นแล้วจึงว่า หวนเตียวนั้นเอาใจออกหากเราคิดกับหันซุยจะทำร้ายเรา ท่านหาความผิดมิได้อย่าตกใจกลัว แล้วยกเอาทหารซึ่งหวนเตียวคุมนั้นให้แก่เตียวเจ ให้เตียวเจยกออกไปรักษาเมืองฮองหลงอยู่ดังแต่ก่อน

ขณะนั้นขุนนางทั้งปวงในเมืองหลวง ก็ยิ่งคิดเกรงกลัวลิฉุยกุยกีขึ้นเปนอันมาก แลกาเซี่ยงนั้นว่ากล่าวให้ลิฉุย กุยกี เกลี้ยกล่อมเอาใจขุนนางแลราษฎรทั้งปวงให้มีน้ำใจรัก แลขุนนางทั้งนั้นก็อยู่ในอำนาจลิฉุยกุยกีสิ้น

ขณะนั้นมีหนังสือบอกเมืองเซียงจิ๋วมาว่า มีโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบสี่สิบหมื่นเที่ยวทำร้ายอาณาประชาราษฎร ลิฉุยกุยกีเห็นหนังสือบอกดังนั้น จึงปรึกษาแห่ขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งเกิดโจรทำอันตรายหัวเมืองดังนี้ เราจะคิดประการใดจึงจะบำราบโจรได้ จูฮีจึงว่า ซึ่งเกิดโจรขึ้นณแดนเมืองเซียงจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นแต่โจโฉผู้เดียว มีฝีมือจะไปปราบโจรฝ่ายตวันออกได้ ลิฉุยกุยกีจึงถามว่า โจโฉนั้นอยู่แห่งใด จูฮีจึงบอกว่า โจโฉนั้นได้มาทำการกับอ้วนเสี้ยวเมื่อครั้งรบตั๋งโต๊ะ บัดนี้กลับไปอยู่เมืองตงกุ๋นมีทหารอยู่เปนอันมาก ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกไป ให้โจโฉยกออกไปปราบโจรณแดนเมืองเซียงจิ๋วเห็นจะได้โดยง่าย ลิฉุยกุยกีเห็นด้วย จึงแต่งหนังสือรับสั่งสองฉบับ ๆ หนึ่งให้เปาสิ้นเจ้าเมืองปักเป๋งยกทหารไปเข้าด้วยโจโฉปราบโจร ฉบับหนึ่งให้โจโฉกับเปาสิ้นยกไปปราบโจรณแดนเมืองเซียงจิ๋ว

ฝ่ายเปาสิ้นครั้นแจ้งในหนังสือรับสั่งแล้ว ก็จัดแจงยกทหารไปหาโจโฉ แลโจโฉนั้นครั้นทราบในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดีจึงจัดแจงทหารเปนอันมาก แล้วพาเปาสิ้นยกไปถึงตำบลซิวสุนแดนเมืองเซียงจิ๋ว พบโจรโพกผ้าเหลืองพวกหนึ่งตั้งอยู่เปนอันมาก เปาสิ้นจึงอาสายกเข้าโจมตีพวกโจร พวกโจรต่อรบเปนสามารถ แล้วแต่งทหารโจรวกหลังฆ่าเปาสิ้นตายในที่นั้น ฝ่ายโจโฉเห็นเปาสิ้นตายก็โกรธ จึงยกทหารเข้ารบฆ่าพวกโจรล้มตายเปนอันมาก แลโจโฉคุมทหารไล่พวกโจรไปถึงแดนเมืองเจปัก ทหารทั้งปวงจับโจรได้บ้าง โจรมาเข้าเกลี้ยกล่อมบ้าง ได้คนประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น แล้วโจโฉให้พวกโจรชเลยนั้นเปนกองหน้ายกไปเที่ยวปราบโจรทุกตำบล แต่โจโฉยกทหารเที่ยวปราบโจรนั้นได้ประมาณสองเดือน โจรทั้งปวงนั้นมาเข้าเกลี้ยวกล่อมทั้งเก่าทั้งใหม่ได้ประมาณสามสิบหมื่น บันดาหญิงชายชาวเมืองซึ่งโจรจับไว้ได้นั้นประมาณร้อยหมื่น โจโฉเลือกจัดเอาที่ฉกรรจ์นั้นไว้เปนทหารประมาณยี่สิบหมื่นเศษ ชายชรากับหญิงนั้นให้กลับไปทำมาหากินอยู่ตามภูมิลำเนา โจโฉจึงบอกหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้าปราบโจรสงบแล้ว ลิฉุยกุยกีแจ้งในหนังสือโจโฉดังนั้น จึงเอาขึ้นกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ตรัสว่า โจโฉครั้งนี้มีความชอบเปนอันมาก ให้มีหนังสือไปตั้งให้โจโฉเปนใหญ่กว่าหัวเมืองตวันออกทั้งปวง ลิฉุยกุยกีนั้นหาทันคิดไม่ ก็ให้มีหนังสือตั้งโจโฉตามรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้

โจโฉครั้นได้หนังสือรับสั่งก็มีความยินดีนัก จึงยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋ว แล้วให้ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คน แลจัดหาผู้มีสติปัญญาไว้ จะได้เปนที่ปรึกษาไปภายหน้า แลผู้คนทั้งปวงมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยเปนอันมาก

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ซุนฮกผู้เปนอาว์ ซุนสิวผู้หลาน ซึ่งอยู่กับอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษากันว่า อ้วนเสี้ยวเปนคนหยาบช้า เห็นเราจะอยู่ด้วยสืบไปนั้นมิได้ บัดนี้หัวเมืองฝ่ายตวันออกนั้นโจโฉได้เปนใหญ่ มีใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง เราพากันไปอยู่ด้วยจึงจะควร ซุนสิวผู้หลานเห็นด้วยจึงพากันหนีอ้วนเสี้ยว ไปเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉ ณ เมืองกุนจิ๋ว โจโฉเห็นซุนฮก ซุนสิวนั้นคมสัน เห็นจะมีสติปัญญาจึงหาเข้ามาพูดจาแล้วตั้งไว้เปนที่ปรึกษา ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าได้ยินคนทั้งปวงเล่าลือว่า เทียหยกชาวเมืองตงกุ๋นนั้นมีสติปัญญา บัดนี้อยู่ในเมืองกุนจิ๋ว เปนไฉนท่านมิเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ โจโฉจึงว่าเราได้ยินเขาลืออยู่ช้านานแล้วแต่เรายังมิรู้จักตัว แล้วโจโฉจึงให้คนไปสืบเสาะเกลี้ยกล่อมได้เทียหยกมา โจโฉเห็นก็มีความยินดี จึงเอาเทียหยกไว้ทำราชการด้วย

ฝ่ายเทียหยกรู้ว่าซุนฮกเสนอความดีแก่โจโฉทั้งนั้น เทียหยกจึงว่าแก่ซุนฮกว่า ซึ่งท่านสรรเสริญข้าพเจ้า ๆ นี้มีสติปัญญาน้อย แลกุยแกชาวเมืองเดียวกันกับท่าน มีสติปัญญาเปนอันมาก เปนไฉนท่านมิว่าให้เอาตัวกุยแกมาไว้ทำราชการด้วย ซุนฮกจึงตอบว่าเราลืมไป ต่อท่านมาว่าบัดนี้จึงระลึกขึ้นได้ ซุนฮกจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ๆ ก็ให้ไปเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ กุยแกจึงบอกแก่โจโฉว่า เล่าหัวเปนเชื้อพระเจ้าฮั่นกองบู๊หนึ่ง บวนทงชาวเมืองซันหยงหนึ่ง ลิเกียนชาวเมืองบู๊เสงหนึ่ง มอกายชาวเมืองตันลิวหนึ่ง สี่คนนี้มีสติปัญญาเปนอันมาก โจโฉจึงให้เกลี้ยกล่อมทั้งสี่คนนั้นมาไว้เปนที่ปรึกษา

ฝ่ายอิกิ๋มชาวเมืองกิเป๋งซึ่งเปนโจรมีพรรคพวกเปนอันมาก ก็คุมพวกเพื่อนมาเข้าเกลี้ยกล่อม ขอเปนทหารอยู่ด้วยโจโฉ ครั้นอยู่มาแฮหัวตุ้นพาเตียนอุยมาหาโจโฉ แล้วบอกว่าเตียนอุยคนนี้เปนชาวเมืองตันลิว แลเตียนอุยนั้นมีกำลังกล้าแขง ฆ่าบ่าวเตียวเมาเสียเปนอันมาก แล้วหนีไปอยู่ป่า พอข้าพเจ้าออกไปเที่ยวเล่นเห็นเตียนอุยตีเสือตาย แล้วข้ามแม่น้ำมาพบข้าพเจ้า ๆ เห็นสมควรเปนทหาร ข้าพเจ้าจึงเกลี้ยกล่อมมาอยู่เปนทหารท่าน โจโฉได้ยินดังนั้นก็พิศดูเตียนอุย เห็นรูปร่างนั้นโตใหญ่เข้มแข็งสมควรเปนทหาร จึงถามเตียนอุยว่า ตัวจะเปนทหารนั้นถืออาวุธสิ่งใด เตียนอุยจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเคยชำนาญถือทวนสองเล่ม หนักเล่มละแปดสิบชั่งจีน มีสำหรับตัวข้าพเจ้าอยู่แล้ว โจโฉได้ยินดังนั้นจึงให้จัดม้ามีฝีเท้า ให้แก่เตียนอุยขึ้นขี่ม้ารำทวนดูโจโฉเห็นเตียวอุยขี่ม้ารำทวนนั้นเข้มแข็ง ว่องไว ขณะนั้นโจโฉเห็นธงใหญ่สำคัญสำหรับทัพซึ่งปักอยู่หน้าเมืองนั้น ต้องพายุเอนจะล้มลง ทหารประมาณยี่สิบห้าคน เข้าประคองยกขึ้นก็ไม่ไหว เตียนอุยเห็นดังนั้นจึงโจนลงจากม้าวิ่งไปขับทหารทั้งปวงเสีย เตียนอุยจึงเข้ายกธงนั้นตรงขึ้นดังเก่า โจโฉเห็นดังนั้นจึงสรรเสริญเตียนอุยว่า มีกำลังดุจหนึ่งคนโบราณ แล้วให้จัดเกราะให้แก่เตียนอุย ตั้งให้เตียนอุยเปนนายทหาร สำหรับรักษาตัวโจโฉ

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 7

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 7

เนื้อหา

  • ตั๋งโต๊ะสร้างเมืองอยู่ใหม่ 
  • อ้องอุ้นคิดกำจัดตั๋งโต๊ะ
  • เรื่องตั๋งโต๊ะกับนางเตียวเสี้ยน 
  • ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะ 
ฝ่าย ตั๋งโต๊ะรู้กิตติศัพท์ว่าซุนเกี๋ยนตายแล้วก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่ที่ปรึกษาว่า ซึ่งซุนเกี๋ยนตายเสียนั้นเราค่อยเบาใจมีความสุขขึ้น อุปมาเหมือนบ่งหนามออกจากอกเราได้เล่มหนึ่ง ทุกวันนี้ผู้ใดยังรู้ว่าอายุซุนเซ็กบุตรซุนเกี๋ยนอายุเท่าใด ลิยูจึงว่าซุนเซ็กนั้นอายุได้สิบห้าปี ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็เห็นว่ายังเด็กอยู่ มิได้มีสงสัยประการใด ในขณะนั้นตั๋งโต๊ะยิ่งทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งตัวให้คนทั้งปวงเรียกว่าซ่องฮู แปลว่าเปนบิดาเลี้ยงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าจะไปแห่งใดให้ตั้งกระบวรแห่อย่างพระมหากษัตริย์เสด็จ แล้วตั้งให้ตั๋งห้องผู้น้องเปนนายทหารกองนอก แต่บันดาแซ่ตั๋งนั้นเอามาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยสิ้น ตั๋งโต๊ะจึงเกณฑ์ไพร่ยี่สิบห้าหมื่นไปตั้งเมืองอยู่ ทางไกลเมืองเตียงฮันสองพันห้าร้อยเส้น กำแพงสูงเท่าเมืองหลวง มีตำหนักใหญ่น้อยหน้าหลัง คลังแลฉางเข้าปลาอาหารนั้นขนเข้าไว้สำหรับจะเลี้ยงทหารกำหนดได้ยี่สิบปี แลเงินทองในท้องพระคลัง กับส่วยสัดวัฒนานั้นเอามาไว้ในคลังเมืองใหม่ แล้วให้จัดหญิงรูปงามมาไว้ได้ประมาณแปดร้อยคน แลตั๋งโต๊ะนั้นเดือนหนึ่งบ้างยี่สิบวันบ้าง จึงขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงต้องมารับส่งถึงนอกประตูเมือง แลทางจะขึ้นไปเฝ้านั้นมีที่ประทับเปนหลายตำบล ในเมืองเตียงฮันนั้นก็มีที่อยู่แห่งหนึ่ง ครั้นอยู่มาวันหนึ่งตั๋งโต๊ะออกจากเฝ้าขุนนางทั้งปวงตามไปส่งถึงนอกประตู เมือง ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปกินโต๊ะณที่ประทับ

ในขณะนั้นหัวเมืองฝ่ายเหนือ บอกส่งคนเกลี้ยกล่อมมาประมาณห้าร้อย ตั๋งโต๊ะจึงให้ทหารเอาคนทั้งปวงมาตัดแขนตัดขาบ้าง ตัดหูตัดลิ้นบ้าง ให้ใส่กระทะเหล็กบ้าง คนทั้งปวงยังมิทันสิ้นใจก็เจ็บปวดร้องครางอื้ออึงไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นแลเห็นก็มีความสงสารนัก ลางคนตกใจจนตะเกียบพลัดตกบ้าง จอกสุราพลัดจากมือบ้าง เพราะมีความสังเวช แต่ตั๋งโต๊ะนั้นมิได้มีใจปราณี เสพย์สุราพลางดูพลางหัวเราะพลาง คนทั้งห้าร้อยนั้นก็ตายสิ้น ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนต่างก็ไป ตั๋งโต๊ะจึงลอบสั่งลิโป้ว่า เราจะให้หาขุนนางมากินโต๊ะพร้อมกันแล้วเจ้าจงเข้าไปกระซิบแก่เรา ๆ จะสั่งให้เอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะเข้ามา ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะพร้อมกันอยู่ ณ เมืองใหม่ ตั๋งโต๊ะก็นั่งเสพย์สุราอยู่ด้วย

ฝ่ายลิโป้จึงเข้าไปทำเปนกระซิบข้างหูตั๋งโต๊ะ ๆ ทำเปนหัวเราะแล้วว่า คิดอย่างนี้ดอกหรือเร่งเอาตัวมันไป ลิโป้ก็เข้าจับเอาตัวเตียวอุ๋นลากออกไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นมิได้แจ้งเนื้อความประการใด ต่างคนต่างนิ่งตลึงดูกันอยู่ ประเดี๋ยวหนึ่งเห็นลิโป้เอาสีสะเตียวอุ๋นใส่ตระบะเข้ามาให้ตั๋งโต๊ะดู ขุนนางทั้งปวงก็ยิ่งตกใจ ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะเตียวอุ๋นให้หนังสือลับไปถึงอ้วนสุดให้มาทำร้ายแก่ เรา มีผู้รู้จึงบอกหนังสือมา ลิโป้จึงมากระซิบบอกเรา ๆ จึงให้จับไปฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงมิได้ร่วมคิดด้วยมันก็อย่าได้เปนทุกข์ จงกินโต๊ะพูดกันเล่นให้สบาย ครั้นกินโต๊ะแล้วขุนนางทั้งปวงก็ลาไป
ฝ่ายอ้องอุ้นกลับมาถึงบ้านจึงคิดว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะให้หาไปกินโต๊ะแล้วเอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย เมื่อพิเคราะห์ดูนั้นไม่เห็นว่าเตียวอุ๋นจะคบคิดกับอ้วนสุดให้มาทำร้าย ซึ่งตั๋งโต๊ะคิดผูกพันธ์ทำทั้งนี้ เพราะจะทำอำนาจมิให้ขุนนางทั้งปวงคิดร้ายสืบไป แลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้ หาผู้ใดจะช่วยคิดล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ อ้องอุ้นคิดรำคาญใจนอนมิหลับ ครั้นเวลาดึกจึงถือไม้เท้าลงไปยืนพิงต้นไม้อยู่ ณ สวนดอกไม้ จึงแลขึ้นไปดูบนอากาศ เห็นดาวเดือนนั้นขุ่นมัวเสร้าหมอง จึงคิดว่าทุกวันนี้พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะ ตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นก็ทอดใจใหญ่แล้วร้องไห้

พอได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่ง ทอดใจใหญ่อยู่ตรงหน้านั้น อ้องอุ้นจึงเดิรเข้าไปดู เห็นนางเตียวเสียนคนขับร้องซึ่งอ้องอุ้นช่วยมาไว้แต่น้อย รูปงามขับร้องก็เพราะ อายุได้สิบหกปี อ้องอุ้นมีความเอ็นดูเลี้ยงไว้เปนบุตรเลี้ยง อ้องอุ้นจึงถามว่า เวลาดึกสงัดถึงเพียงนี้ยังมินอน ลงมาเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ แล้วทอดใจใหญ่ทุกข์ด้วยไม่เห็นชู้มาหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้มีชู้มาคอยกันหามิได้ ตัวข้าพเจ้าเปนทาสี ซึ่งท่านเลี้ยงข้าพเจ้าเปนบุตรมาแต่น้อยนั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า ถ้าท่านมีทุกข์สิ่งใดข้าพเจ้าจะสนองพระคุณท่าน ถึงมาทว่าชีวิตจะตายแลกระดูกจะแหลกเปนผงก็ดี ข้าพเจ้ามิได้เสียดายแก่ชีวิต เมื่อเวลากลางวันนั้นตั๋งโต๊ะเชิญท่านไปกินโต๊ะแล้วกลับมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านนั้นเศร้าหมองยิ่งกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีทุกข์สิ่งใดใหญ่หลวงอยู่ท่านจึงเปนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตามลงมาหวังจะใคร่รู้เหตุ แล้วจะได้คิดอ่านสนองคุณท่านไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็คิดว่า ครั้งนี้แผ่นดินเห็นจะค่อยมีความสุขเพราะเตียวเสียนเปนมั่นคง จึงพานางเตียวเสียนขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือนั้นเปนที่สงัด ให้นางเตียวเสียนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงลงจากเก้าอี้คำนับ แล้วเข้ากอดเอาเท้าอ้องอุ้นไว้ แล้วห้ามว่าท่านอย่าคำนับข้าพเจ้าผู้บุตรนี้ไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่าเราได้ยินเจ้าว่าทั้งนี้ก็มีความยินดีนักเราจึงคำนับเจ้า เจ้าจงมีใจเมตตาแก่พระมหากษัตริย์ แลอาณาประชาราษฎรด้วยเถิด ว่าเท่านั้นแล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากว่าจะเอาชีวิตแทนคุณท่าน เปนไฉนท่านมิบอกเหตุ ซึ่งจะมาร้องไห้อยู่ฉนี้ทุกข์ของท่านจะสำเร็จแล้วหรือ อ้องอุ้นจึงว่าทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น อุปมาดังฟองไก่อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรนั้น อุปมาดังอยากเยื่ออันใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้น จะชิงเอาราชสมบัติ หาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรเลี้ยงคนหนึ่งชื่อลิโป้ ๆ ก็มีฝีมือกล้าหาญ แลน้ำใจตั๋งโต๊ะนั้น มักยินดีด้วยสัตรีรูปงาม ถ้าเจ้าจะช่วยกู้แผ่นดินแล้ว พ่อจะคิดเปนกลอุบายจะยกเจ้าให้แก่ลิโป้ แล้วจึงจะไปบอกตั๋งโต๊ะให้มารับเจ้าไปเปนภรรยา เมื่อเจ้าไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนั้นจงลอบทำกลมารยาต่าง ๆ ให้ลิโป้มีความรักใคร่ในเจ้าแล้ว เจ้าจึงลอบบอกแก่ตั๋งโต๊ะด้วยกลมารยาความคิดเจ้า นานไปเห็นตั๋งโต๊ะกับลิโป้จะมีความสงสัยกินแหนงแก่กัน ลิโป้ก็จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เมื่อศัตรูราชสมบัติตายแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเปนสุขสืบไป ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากู้แผ่นดินก็จะมีชื่อปรากฎไปชั่วฟ้าชั่วดิน ซึ่งพ่อคิดทั้งนี้เจ้าจะยอมด้วยหรือประการใด

ฝ่ายนางเตียวเสียนจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากไว้ว่าจะสนองคุณท่าน อย่าว่าแต่จะเสียตัวเพียงนี้เลย ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ซึ่งท่านจะคิดประการใดนั้นก็ให้เร่งคิดเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้ไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดกลมารยาให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสียจงได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่า ถ้าเจ้าจะอาสาแผ่นดินแทนคุณพ่อแล้ว จะคิดการสิ่งใดให้ปิดป้องให้จงดี ถ้าเนื้อความแพร่งพราย ตัวเจ้ากับบิดาแลญาติก็จะพากันตายสิ้น นางเตียวเสียนจึงว่า ความทั้งนี้ถ้าข้าพเจ้าแพร่งพรายแก่ผู้ใด ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยอาวุธต่าง ๆ เถิด อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก

ครั้นเวลารุ่งเช้าอ้องอุ้นจึงจัดเพ็ชร์พลอยกับทองคำ แล้วหาช่างมาทำหมวกสำหรับลูกหลวงใส่ แล้วแต่งคนอันสนิธให้ลอบเอาออกไปให้เปนกำนัลแก่ลิโป้ ๆ เห็นหมวกอย่างลูกหลวงก็มีความยินดีนัก จึงลอบมาหาอ้องอุ้น ณ บ้าน

ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นเห็นลิโป้มาก็ออกไปรับเข้ามาในตึก อ้องอุ้นเชิญให้ลิโป้กินโต๊ะ ลิโป้กินโต๊ะแล้วตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนแต่นายทหารเอกของมหาอุปราช ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนไฉนท่านจึงให้เอาของดีไปให้ข้าพเจ้า แลนับถือข้าพเจ้าผู้น้อยไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้เราเลงดูในเมืองหลวง แลหัวเมืองทั้งปวงก็หาผู้ใดเข้มแขงกล้าหาญเสมอท่านมิได้ ซึ่งเราให้ของแลนับถือท่านทั้งนี้ ใช่จะให้ด้วยเกรงบรรดาศักดิ์นั้นหามิได้ เราให้เพราะรักฝีมือในการทหารท่าน ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก แล้วอ้องอุ้นรินสุราคำนับส่งให้แก่ลิโป้ จึงพูดจายกยอสรรเสริญตั๋งโต๊ะกับลิโป้เปนอันมาก แล้วให้ขับคนใช้ผู้ชายนั้นเสียสิ้น เอาแต่ผู้หญิงไว้ใช้สี่คน อ้องอุ้นจึงว่าแก่หญิงนั้นให้ไปเชิญนางเตียวเสียนออกมา หญิงคนใช้สองคนนั้นจึงเข้าไปประคองนางเตียวเสียนออกมา

ลิโป้เห็นนางเตียวเสียนรูปงาม จึงถามอ้องอุ้นว่าหญิงคนนี้เปนบุตรผู้ใด อ้องอุ้นจึงบอกว่า นางเตียวเสียนนี้เปนบุตรของเรา ทุกวันนี้เราได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะบุญของมหาอุปราชกับท่าน ๆ ก็มีความเมตตาแก่เราดังญาติพี่น้อง เราจึงให้หาออกมาหวังจะให้ท่านรู้จักไว้ แล้วอ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ลิโป้

ฝ่ายนางเตียวเสียนจึงรินสุราส่งให้ลิโป้ แล้วทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ อ้องอุ้นจึ่งทำเปนเมา แล้วว่าแก่นางเตียวเสียนว่า พ่อนี้ชราแล้วกำลังน้อยเสพย์สุราก็เมา เจ้าคำนับแทนพ่อเถิด

ลิโป้จึงเชิญให้นางเตียวเสียนนั่ง นางเตียวเสียนแกล้งทำละอายลิโป้มิได้นั่งลง จึงคำนับบิดาแล้วจะลาเข้าไปที่ข้างใน อ้องอุ้นจึงว่าลูกเอ๋ยอย่าอายเลย ลิโป้มีความเมตตาแก่เราดังญาติ จงนั่งลงคำนับรินสุราให้เถิด นางเตียวเสียนจึงนั่งลงข้างอ้องอุ้น แล้วรินสุราคำนับให้ลิโป้ทีไร ก็ชายหางตาให้สบตาลิโป้แล้วให้ที
ฝ่ายลิโป้รับจอกสุราทีไร ก็ชำเลืองไปต้องตานางเตียวเสียนทุกครั้ง ก็มีใจประวัติยินดีกับนางเตียวเสียนเปนอันมาก อ้องอุ้นเห็นกิริยาลิโป้พอใจนางเตียวเสียนแล้ว จึงว่าแก่ลิโป้ว่า ตัวเรานี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ก็จริงแต่ชราแล้ว อุปมาเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง บุตรของเราคนนี้จะยกให้เปนภรรยาน้อยท่าน จะได้ฝากผีแก่ท่านสืบไป ซึ่งเราว่าทั้งนี้ท่านจะเห็นประการใด ถ้าไม่ควรท่านอย่าถือโทษเลย ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับอ้องอุ้นแล้วจึงว่า ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้นั้นคุณหาที่สุดไม่ ถึงจะเปนประการใดข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงว่าบุตรเรานี้ก็ได้ให้เปนสิทธิ์แก่ท่านแล้ว แต่ว่างดอยู่ให้เราหาวันดีแล้วเมื่อใด จึงจะส่งบุตรเราให้เปนภรรยาท่าน ลิโป้จึงว่าตามเถิด แล้วลิโป้ลุกขึ้นทำจะลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นจึงยึดมือไว้ว่าอย่าเพ่อไป ใจเราจะใคร่เชิญให้ท่านอยู่นอนพูดกันเล่นก่อนแต่หากคิดเกรงมหาอุปราชอยู่ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ขอบคุณนัก วันนี้ข้าพเจ้ามีธุระอยู่ ต่อสบายวันอื่นจึงจะมาอยู่นอนด้วย แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไป

ครั้นเวลาเช้าอ้องอุ้นก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้เห็นลิโป้เข้ามาด้วยตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้ความสุข หาทุกข์ภัยอันตรายสิ่งใดมิได้ ก็เพราะบุญของท่านมหาอุปราชคุ้มครองอยู่ ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะทดแทนคุณท่านมิได้ เวลาวันนี้ขอเชิญท่านไปกินโต๊ะ ณ บ้านข้าพเจ้าให้สบายใจ ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ ถ้าไม่ควรก็ขอท่านอย่าได้เอาโทษแก่ข้าพเจ้าเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้น มิได้รู้กลก็มีความยินดีนัก จึงตอบว่าซึ่งท่านนับถือเรา จะให้เราไปกินโต๊ะ ณ บ้านนั้นก็ขอบใจท่าน เวลากลางวันนี้เราจะไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลาตั๋งโต๊ะกลับไป จึงให้แต่งที่กับโต๊ะเตรียมไว้

ครั้นเวลาเที่ยงตั๋งโต๊ะออกจากเฝ้า จึงขึ้นรถแล้วให้ทหารทั้งปวงแห่เปนกระบวรไป ณ บ้านอ้องอุ้น ๆ รู้ก็ออกมาคำนับถึงนอกบ้าน แล้วเชิญตั๋งโต๊ะขึ้นไปยังที่แต่งไว้ อ้องอุ้นก็คุกเข่าคำนับอยู่ แล้วรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ ๆ รับจอกสุรามากินแล้วว่า ท่านอย่าคุกเข่าคำนับเลย จงนั่งให้เปนสุขเถิด อ้องอุ้นทำทีอ่อนง้อแล้วพูดจาสรรเสริญตั๋งโต๊ะเปนอันมาก ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้น เสพย์สุราพลาง ก็มีความยินดีนัก แลตั๋งโต๊ะนั้นกินโต๊ะอยู่กับอ้องอุ้นจนเวลาเย็น แล้วอ้องอุ้นจึงเชิญตั๋งโต๊ะให้เข้าไปนั่งเล่นที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะมิได้มีความสงสัยแก่อ้องอุ้น จึงขับทหารทั้งปวงลงไปเสียแผ่นดิน แล้วตั๋งโต๊ะก็เข้าไปที่ข้างใน

อ้องอุ้นจึงว่าเมื่ออายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้าปีนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนดูดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ แลดาวประจำเมืองกับดาวบริวารทั้งปวงนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์นั้นเสร้าหมอง แลดาวมหาอุปราชนั้นมีรัศมีรุ่งเรือง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้จะดับสูญ ราชสมบัตินั้นจะได้แก่ท่านเปนอันมั่นคง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงถามว่าเรานี้จะถึงเศวตฉัตรเจียวหรือ เรายังไม่เห็นด้วย อ้องอุ้นจึงตอบว่าอันอย่างธรรมเนียมโบราณ ถ้าผู้ใดหาบุญแลสติปัญญามิได้ ก็ย่อมแพ้แก่ผู้มีบุญแลปัญญาความคิด ข้าพเจ้าเห็นดังนี้ ไฉนท่านจึงว่าไม่เห็นด้วย

ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วตอบว่า ถ้าเราได้ราชสมบัติเหมือนคำท่าน เราจะตั้งท่านให้เปนมหาอุปราช เปนบำเหน็จปากซึ่งท่านทำนายนั้น อ้องอุ้นก็ทำยินดี ครั้นเวลาพลบก็ให้จุดเทียนชวาลา แล้วยกโต๊ะมาจึงรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ แล้วเรียกนางมะโหรีแลนางรำออกมา ให้นางเตียวเสียนรำบำเรอตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นนางเตียวเสียนนั้นรูปงามรำก็ดี จึงเรียกเข้ามาแล้วถามอ้องอุ้นว่านางนี้ชื่อไร อ้องอุ้นบอกว่าชื่อนางเตียวเสียน ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้แต่น้อย ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าขับได้หรือไม่ อ้องอุ้นบอกว่าขับก็เพราะ แล้วให้นางเตียวเสียนขับให้ตั๋งโต๊ะฟัง นางเตียวเสียนก็ขับเปนเพลงว่า หญิงรูปงามขับเสียงเพราะ ลิ้นจี่แต้มริมฝีปากชูสีขึ้น แลหยกสองอันถึงมาทว่าไม่แกะเปนรูปสิ่งใดก็แอบเนื้อเย็นใจ พริกไทยนั้นเมล็ดเล็กก็จริง ถ้าลิ้มเข้าไปถึงลิ้นแล้วจะมีพิษเผ็ดร้อน ตั๋งโต๊ะได้ฟังนางเตียวเสียนขับมิทันสังเกตในกลสตรีซึ่งขับนั้นก็ชมว่าเพราะ

อ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ตั๋งโต๊ะ ๆ จึงถามว่าเจ้านี้อายุได้เท่าใด นางเตียวเสียนบอกว่าอายุข้าพเจ้าได้สิบหกปี ตั๋งโต๊ะเห็นรูปนางเตียวเสียนงาม ทั้งเสียงก็เพราะ ก็มีใจประวัติยินดี ตั๋งโต๊ะยิ้มแล้วจึงว่าเจ้านี้รูปงามดังนางฟ้าหาผู้เสมอมิได้ นางเตียวเสียนได้ยินก็ทำทีให้ตั๋งโต๊ะยวนใจ อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงคุกเข่าคำนับตั๋งโต๊ะ แล้วว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะบุญท่าน ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะสนองคุณมิได้ แลนางเตียวเสียนนี้ข้าพเจ้าได้เลี้ยงมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะยกให้แก่ท่านเปนสิทธิ์ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงตอบว่าซึ่งท่านมีน้ำใจยกนางเตียวเสียนให้แก่เรานั้น เราจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงให้จัดแจงเข้าของเสื้อผ้าอย่างดี ให้นางเตียวเสียนเปนอันมาก แล้วให้นางเตียวเสียนขี่เกี้ยว เกณฑ์ผู้คนทั้งปวงให้ไปส่งณที่อยู่ตั๋งโต๊ะในเมืองหลวงในเวลากลางคืนนั้น

ตั๋งโต๊ะครั้นเห็นอ้องอุ้นแต่งให้คนไปส่งนางเตียวเสียน แล้วตั๋งโต๊ะก็ลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงที่อยู่ แล้วก็ลากลับมาถึงกลางทาง พอพบลิโป้ขี่ม้าถือทวนมา ลิโป้จึงยุดเอาชายเสื้ออ้องอุ้นแล้วถามว่า นางเตียวเสียนนั้นตัวยกให้เปนภรรยาเราแล้ว เปนไฉนจึงส่งตัวไปให้ตั๋งโต๊ะเล่า แลตัวทำดังนี้ลวงเราหรือประการใด

อ้องอุ้นจึงตอบว่าที่นี่เปนกลางทางอยู่ ครั้นจะบอกเนื้อความก็ไม่ควร เชิญท่านไปบ้านข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความทั้งปวงให้แจ้ง ลิโป้ก็ตามมา ณ บ้านอ้องอุ้น ๆ จึงพาลิโป้ขึ้นไปบนตึก แล้วแต่งกลแก้ว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธเราเลย เราจะเล่าเนื้อความให้ท่านแจ้ง เวลาวานนี้เราเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฝ่ายมหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่า มีกังวลเวลากลางวันจะมาหาเรา ๆ จึงแต่งที่แลโต๊ะไว้รับ ครั้นมหาอุปราชมาถึงจึงถามเราว่า มีผู้บอกเนื้อความว่าเรายกนางเตียวเสียนผู้บุตรให้แก่ลิโป้ มหาอุปราชมีความยินดีนัก จึงมาว่ากล่าวขอเราต่อปากว่าจะให้ท่าน เราก็รับว่าจริง มหาอุปราชว่าจะขอดูตัว เราจึงให้นางเตียวเสียนออกมาคำนับ มหาอุปราชจึงว่าซึ่งยกนางนี้ให้เปนภรรยาลิโป้ผู้บุตรนั้น มหาอุปราชมีความยินดีด้วย มหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่าฤกษ์ดีแล้ว จะรับนางไปแต่งงารกับลิโป้ผู้บุตรให้อยู่กินด้วยกันตามประเพณี ซึ่งมหาอุปราชว่าทั้งนี้ท่านคิดดูเถิด เราเปนผู้น้อยจะอาจขัดได้หรือ เราจึงส่งบุตรให้ไป
ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าโกรธท่านนั้นผิดอยู่ ข้าพเจ้าขออภัยเถิด แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไปในเวลากลางคืนนั้น ลิโป้มาถึงบ้านคอยตรับฟังกิตติศัพท์ผู้คนพูดจา ซึ่งตั๋งโต๊ะจะแต่งนางเตียวเสียนนั้นก็เงียบอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าลิโป้จึงเดิรขึ้นไปบนตึกตั๋งโต๊ะ แล้วถามหญิงคนใช้ว่ามหาอุปราชไปไหน หญิงนั้นจึงบอกว่าท่านไม่รู้หรือคืนนี้มหาอุปราชได้หญิงรูปงามมา บัดนี้ยังนอนหลับอยู่ ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงค่อยเดิรเข้าไปข้างผนังตึกคอยแอบฟังอยู่ แลนางเตียวเสียนนั้นตื่นก่อนตั๋งโต๊ะ ลุกขึ้นล้างหน้าอยู่ พอแลเห็นเงาเข้ามาตรงหน้าต่างก็เยี่ยมออกไปเห็นลิโป้ นางเตียวเสียนทำเปนร้องไห้ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้านั้นเช็ดน้ำตา ลิโป้เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีน้ำใจโกรธตั๋งโต๊ะ จึงเดิรกลับออกไป

ครั้นตั๋งโต๊ะตื่นขึ้นจึงออกมาที่ข้างหน้า ลิโป้ก็กลับขึ้นไป ตั๋งโต๊ะจึงถามลิโป้ว่าวันนี้มีราชการสิ่งใดบ้าง ลิโป้จึงบอกด้วยเสียงอันดังว่า หามีราชการสิ่งใดไม่ ตั๋งโต๊ะก็นิ่งกินอาหารอยู่ ลิโป้ก็เข้าไปยืนอยู่ข้างหลังตั๋งโต๊ะตามเคย แลนางเตียวเสียนนั้นเผยมุลี่ขึ้นเยี่ยมหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง ทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ ๆ แลไปเห็นนางเตียวเสียนก็ยิ่งมีความรักขึ้นเปนอันมาก

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเหลือบไปเห็นลิโป้ดูนางเตียวเสียนไปเปนทีดังนั้น ตั๋งโต๊ะก็มีความหึงสา จึงว่าแก่ลิโป้ว่า วันนี้ไม่มีราชการสิ่งใดแล้วจะไปบ้านก็ไปเถิด ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงแลไปดูนางเตียวเสียนก็ทอดใจใหญ่ แล้วกลับไปบ้าน เมื่อตั๋งโต๊ะได้นางเตียวเสียนมาไว้นั้น มีความรักใคร่ลุ่มหลงไป ไม่ได้ออกว่าราชการกำหนดได้ถึงเดือนเศษ ครั้นตั๋งโต๊ะป่วยลงแล้ว นางเตียวเสียนนั้นแสร้งอุตส่าห์กระทำรักษาพยาบาลปรนนิบัติตั๋งโต๊ะมิให้ อนาทรร้อนใจ ตั๋งโต๊ะก็มีความรักนางเตียวเสียนเปนอันมาก

ครั้นเวลาวันหนึ่งลิโป้เข้าไปเยี่ยมถึงที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะนั้นนอนหลับอยู่ นางเตียวเสียนเห็นลิโป้เข้ามา จึงเอนตัวออกไปข้างหลังมุ้ง แล้วทำเปนกลมารยาเอามือชี้ไปตรงตั๋งโต๊ะ แล้วชี้เข้าที่อกของตัว จึงทำเปนร้องไห้ ลิโป้แจ้งในกิริยาซึ่งนางเตียวเสียนทำนั้น ก็ยิ่งมีความเสน่หาอาลัยขึ้นเปนอันมาก

ฝ่ายตั๋งโต๊ะตื่นขึ้น เห็นลิโป้เข้ามาแลไปดูข้างหลังมุ้งมิได้พริบตา จึงชะโงกไปดูเห็นนางเตียวเสียนยืนดูอยู่ข้างหลังมุ้ง ตั๋งโต๊ะโกรธจึงร้องตวาดว่า อ้ายลิโป้นี้เสียแรงกูไว้ใจรักดังบุตรไปอุทร บังอาจหยอกเมียกูได้ แล้วให้หญิงคนใช้ขับลิโป้ลงไปเสีย ว่าแต่นี้สืบไปอย่าให้เข้ามาที่ข้างใน ลิโป้นั้นได้ความอัปยศน้อยใจก็เดิรออกไปจากบ้านตั๋งโต๊ะ ครั้นมาถึงกลางทางพอพบลิยู ลิโป้จึงเอาเนื้อความซึ่งตั๋งโต๊ะด่าว่านั้นเล่าให้ลิยูฟังแล้วก็ไปบ้าน ลิยูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงรีบเข้ามาว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านสิจะคิดการใหญ่ เปนไฉนมาขัดเคืองกับลิโป้ด้วยความมโนสาเร่เล่า ถ้าลิโป้เอาใจออกหาก ท่านก็จะหวังเอาผู้ใดเปนกำลังสืบไปเล่า ตั๋งโต๊ะได้ยินลิยูว่าก็สดุ้งใจ จึงว่าซึ่งลิโป้โกรธเรานั้นท่านจะให้เราคิดประการใดดี ลิยูจึงว่าขอให้ท่านหาตัวลิโป้มา จึงเอาเงินทองของดีทั้งปวงให้ แล้วว่ากล่าวปลอบโยนสมัคสมานเสีย เห็นลิโป้จะมีใจปรกติไปแก่ท่าน ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย

ครั้นรุ่งเช้าขึ้นจึงให้คนใช้ไปหาตัวลิโป้มา แล้วว่าเวลาวานนี้เราป่วยอยู่ให้ร้อนรนในใจ ซึ่งเราได้ว่ากล่าวแก่เจ้าทั้งนั้นอย่าถือโทษเราเลย แล้วตั๋งโต๊ะเอาทองคำสิบชั่ง แพรอย่างดียี่สิบไม้ให้แก่ลิโป้ ๆ ก็คำนับแล้วรับเอาทองกับแพรไว้ แต่นั้นมาลิโป้ก็ไปหาสู่ตั๋งโต๊ะอยู่ตามเคย แต่ใจนั้นระลึกถึงนางเตียวเสียนอยู่มิได้ขาด ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะคลายป่วยแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ลิโป้นั้นก็ถือทวนขี่ม้าตามเข้าไปด้วย ในขณะเมื่อตั๋งโต๊ะยังเฝ้าอยู่นั้น ลิโป้จึงขึ้นม้าควบกลับมา ณ บ้านตั๋งโต๊ะ เอาม้าผูกไว้หน้าตึกแล้วถือทวนเข้าไปหานางเตียวเสียนที่ข้างใน นางเตียวเสียนเห็นลิโป้มาก็ทำเปนมีใจยินดีคำนับแล้วจึงว่า ถ้าจะพูดกันที่นี่เกลือกว่าตั๋งโต๊ะมาพบก็จะแก้ตัวยาก ท่านจงลงไปคอยข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่นั่งเย็นในสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าจะลงไปตาม ลิโป้ก็ลงไปคอยอยู่ตามสัญญา

ฝ่ายนางเตียวเสียนก็ลงไปตามลิโป้ ครั้นขึ้นไปบนที่นั่งเย็นปากสระแลในตานั้นชำเลืองแลดูต้นทางซึ่งตั๋งโต๊ะจะ มานั้น แล้วก็ทำกลอุบายเข้ากอดเอาเท้าลิโป้ไว้ แล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าเปนบุตรเลี้ยงอ้องอุ้น ๆ รักข้าพเจ้าเหมือนหนึ่งบุตรในอุทร จึงยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาท่าน ข้าพเจ้าก็มีความยินดีด้วย แลมหาอุปราชไปรับข้าพเจ้ามาว่าจะแต่งการให้อยู่เปนภรรยาท่าน ครั้นมาถึงที่อยู่มหาอุปราชมิได้ทำตามคำว่า ทำข่มเหงข้าพเจ้าทั้งนี้ แลในอกข้าพเจ้านี้กรมเปนหนองอยู่ ได้ประมาณเดือนเศษมาแล้ว คิดว่าจะกลั้นใจตายเสียก็ยังมิได้ลาแลแจ้งความทุกข์แก่ท่าน ชีวิตจึงยังคงอยู่ วันนี้ข้าพเจ้าได้กราบลาแลแจ้งความทุกข์ในอกแล้วก็จะลาตายไปให้พ้นความระกำ ใจ ต่อหน้าท่านให้เห็นความสัตย์ข้าพเจ้า ว่าแล้วก็ทำเปนปีนฝากรงที่นั่งเย็นขึ้นไปจะโจนน้ำตาย ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงเข้าอุ้มเอานางเตียวเสียนไว้ ลิโป้ร้องไห้แล้วว่า อันความสัตย์แลความรักของเจ้านั้น เราเห็นประจักษ์อยู่ แต่หากว่ามีที่กีดขวาง เราทั้งสองจึงมิได้ปรับทุกข์กัน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ซึ่งจะทรมานในชาตินี้ ก็ยิ่งได้ความลำบากนัก เพราะเจ้ากรรมมาตามทัน ชาตินี้บุญน้อยแล้วมิได้อยู่ปรนนิบัติท่านผู้เปนสามี ข้าพเจ้าจะขอตายไปให้พ้นความเวทนา เกิดมาชาติหน้าข้าพเจ้าจะขอเปนภรรยาท่าน จะปรนนิบัติรักษาท่านตามความปราถนาข้าพเจ้า ลิโป้จึงปลอบว่าเจ้าจะมาด่วนตีตนตายไปก่อนไข้นั้นไม่ควร จงฟังคำเราว่าเถิด ในชาตินี้ถ้าเรามิได้เจ้ามาเปนภรรยา เราก็ไม่ขออยู่เปนชายสืบไปเลย นางเตียวเสียนจึงตอบว่า แต่ข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมานมานี้ถึงเดือนเศษแล้ว แลความระกำใจในอกวันหนึ่งนั้นอุปมาช้าเหมือนกึ่งขวบปี ถ้าท่านเมตตาจะเลี้ยงข้าพเจ้าเปนภรรยาอยู่ จะคิดผ่อนผันประการใด ก็ขอให้ท่านเร่งคิด ลิโป้จึงตอบว่าเราตามตั๋งโต๊ะเข้าไปในวัง ครั้นเห็นได้ทีจึงกลับออกมาหาเจ้า มิได้บอกตั๋งโต๊ะว่าจะไปแห่งใด เกลือกตั๋งโต๊ะไม่เห็นจะมีความสงสัยเรา ๆ จะลาเจ้ารีบกลับไปก่อน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ถ้าท่านกลัวอ้ายศัตรูเฒ่าอยู่ฉนี้ ท่านจะไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าสืบไปแล้ว

ลิโป้จึงว่าของดให้เราไปตรึกตรองการก่อน นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นจึงแกล้งว่า ข้าพเจ้าได้ยินลือชาปรากฎแต่ชื่อท่านดังเสียงฟ้า ข้าพเจ้าเอามือปิดหูไว้ด้วยกลัวอำนาจ ว่าเข้มแข็งกล้าหาญในการสงครามหาผู้ใดเสมอมิได้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นแลฟังวาจาของท่านนั้นไม่สมกับคำลือ เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นว่าท่านกลัวอำนาจตั๋งโต๊ะเปนอันมากอยู่ฉนี้ เห็นจะคิดการไปมิตลอดแล้ว แลนางเตียวเสียนก็ทำเปนร้องไห้ ปลิดมือลิโป้เสียจะโจนน้ำตาย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นมีความลอายใจนัก จึงเอาทวนพิงไว้กับฝากรง แล้วปลอบโยนเล้าโลมนางเตียวเสียนอยู่เปนช้านาน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเมื่อเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นั้น เหลียวดูไม่เห็นลิโป้ก็คิดกริ่งใจ พอเสด็จเข้าตั๋งโต๊ะก็รีบมา ณ บ้าน เห็นม้าลิโป้ผูกอยู่หน้าตึก ก็ขึ้นไปบนตึกมิได้เห็นลิโป้ จึงเดิรเข้าไปที่ข้างในมิได้เห็นนางเตียวเสียน จึงถามหญิงทั้งปวง ๆ บอกว่านางเตียวเสียนลงไปชมสวนดอกไม้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยิ่งสดุ้งใจคิดว่าชรอยอ้ายลิโป้มาอยู่นั่นด้วย ก็ตามลงไปถึงประตูสวน

ฝ่ายนางเตียวเสียนเหลือบเห็นตั๋งโต๊ะมาก็ทำทีจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็เข้าอุ้มไว้ ครั้นตั๋งโต๊ะมาถึงที่นั่งเย็นแลเห็นลิโป้เข้าอุ้มนางเตียวเสียน ๆ ดิ้นปลิดมือลิโป้อยู่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมิได้รู้กลมารยาแห่งสัตรีก็มีใจโกรธลิโป้เปนอันมาก จึงร้องตวาดด้วยเสียงว่าเหม่อ้ายลิโป้

ฝ่ายลิโป้เหลียวมาเห็นตั๋งโต๊ะก็กลัว ไม่ทันฉวยเอาทวนก็โดดลงวิ่งหนีไป แลตั๋งโต๊ะฉวยเอาทวนของลิโป้ซึ่งพิงอยู่นั้นไล่ตามไป จึงเอาทวนนั้นพุ่งลิโป้ก็มิได้ถูก แลลิโป้นั้นวิ่งหนีออกนอกประตูสวนได้ ตั๋งโต๊ะวิ่งไปฉวยเอาทวนได้แล้วไล่ตามไปถึงประตูสวนดอกไม้ แลลิยูนั้นรู้จะเข้าไปห้ามก็วิ่งมาโดน ตั๋งโต๊ะล้ม ลิยูก็เข้าประคองเอาตั๋งโต๊ะขึ้นไปบนตึก ตั๋งโต๊ะจึงถามลิยูว่าท่านวิ่งเข้ามานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ลิยูตอบว่าข้าพเจ้าตามท่านออกมาจากเฝ้า มาถึงประตูตึกจะลากลับไปบ้าน พอไปถึงประตูท้ายสวน เห็นลิโป้วิ่งร้องออกมาว่ามหาอุปราชจะฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจึงวิ่งเข้ามาหวังว่าจะห้ามท่าน พอโดนท่านเข้านั้น ข้าพเจ้าขออภัยเถิด ตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่ลิยูว่า ลิโป้นั้นเปนคนหามีกตัญญูไม่ เสียแรงเราเลี้ยงเปนบุตร ควรหรือมาทำหยาบช้าแก่นางเตียวเสียนซึ่งเปนภรรยาเรา เราจำจะฆ่าลิโป้เสียจึงจะหายความแค้น ลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านจะฆ่าลิโป้เสียนั้นข้าพเจ้านี้เห็นมิบังควร ข้าพเจ้าจะเปรียบเนื้อความให้ท่านฟังข้อหนึ่ง ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองฌ้อซ้องอ๋อง รู้ข่าวว่าเจ้าเมืองหนึ่งมีลูกสาวรูปงามจึงให้คนไปขอ เจ้าเมืองนั้นมิยอมให้ ฌ้อซ้องอ๋องก็โกรธ จึงให้เจียวหยองทหารเอกคุมทหารไปตีเมืองนั้นได้ เจียวหยองจึงเอาลูกสาวมาถวายแก่ฌ้อซ้องอ๋อง ๆ จึงว่าแก่เจียวหยองว่าท่านมีความชอบไปตีเมืองได้จะเอานางมาให้แก่เรานั้นเรา หายินดีไม่ ควรท่านจะเอาไว้เปนภรรยาเถิด ฌ้อซ้องอ๋องก็ยกนางนั้นให้แก่เจียวหยองตามมีความชอบ เจียวหยองก็มีความยินดีคิดกตัญญูต่อฌ้อซ้องอ๋อง
ครั้นอยู่มามีศึกมาล้อมเมืองไว้เปนสามารถ หาผู้ใดจะรับอาสาออกรบด้วยข้าศึกมิได้ เจียวหยองมีความภักดีต่อฌ้อซ้องอ๋องรับอาสาออกตีข้าศึกแตกไป[๑] แลลิโป้เปนทหารเอก แล้วท่านก็เลี้ยงเปนบุตรไว้เนื้อเชื่อใจอยู่ ควรที่จะบำรุงน้ำใจลิโป้ไว้ แลท่านจะมาเห็นแก่หญิงคนเดียวนี้ด้วยอันใด ขอให้ยกนางเตียวเสียนให้เปนภรรยาลิโป้จึงจะควร ลิโป้ก็จะมีใจภักดีไปต่อท่าน ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่งดให้เราตรึกตรองดูก่อน ลิยูก็กลับไปบ้าน

ขณะเมื่อตั๋งโต๊ะกับลิยูว่ากันนั้น นางเตียวเสียนก็มาแอบฟังอยู่ที่ข้างใน ครั้นลิยูกลับไปแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงเข้าไปถามนางเตียวเสียนว่า ตัวกับลิโป้เปนชู้กันหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ทำเปนร้องไห้แล้วบอกว่า เวลาวันนี้ข้าพเจ้าลงไปชมสวนดอกไม้ ลิโป้ลอบเข้ามาข้างใน ข้าพเจ้ามิได้แจ้ง ต่อลิโป้มาใกล้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าถือทวนเข้ามาด้วย ข้าพเจ้ากลัวเข้าแอบที่นั่งเย็น ครั้นลิโป้เห็นจึงว่าแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าเปนบุตรมหาอุปราช ตัวท่านก็เปนภรรยามหาอุปราช จะกลัวข้าใย แล้วลิโป้ก็พูดเกี้ยวพานเปนข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าด่าว่าก็มิฟัง ขืนจะมาต้องตัวข้าพเจ้า ๆ โกรธจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็ยุดตัวข้าพเจ้าไว้ พอท่านมาถึงเข้า หาไม่ลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าได้ แลลิโป้ทำทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นแล้วจึงตอบว่า ลิโป้นั้นมีความรักเจ้าเปนอันมากนัก เราจะยกเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ตามความปราถนา นางเตียวเสียนได้ฟังทำตกใจร้องไห้แล้วว่า ข้าพเจ้าเปนผู้หญิงอุตส่าห์รักษาตัวมาจนได้เปนภรรยามหาอุปราช ข้าพเจ้าก็เหมือนมารดาลิโป้ แลท่านจะยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ผู้บุตรท่านข้าพเจ้าไม่ยอม อุปมาเหมือนท่านเขียนรูปนกยูงแล้วเอาหมึกมาทาให้ดำเสียสีไปฉนี้ ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก ซึ่งจะครองชีวิตอยู่ดูหน้าคนสืบไปนั้นไม่ได้ แล้วก็ทำเปนลุกขึ้นชักเอากระบี่ซึ่งแขวนอยู่นั้นมาจะเชือดคอตาย

ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าชิงเอากระบี่ไว้แล้วก็ปลอบว่า ซึ่งเราว่าทั้งนี้เปนคำหยอกเจ้าเล่นดอก นางเตียวเสียนจึงซบหน้าลงกับตักตั๋งโต๊ะแล้วทำเปนร้องไห้ว่า อันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะลิยูมีความรักลิโป้ จึงคิดอ่านให้ท่านยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ เห็นว่าลิยูหามีความรักท่านแลเอ็นดูข้าพเจ้าไม่ ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าถึงลิยูจะว่าประการใดเราก็มิได้ฟังคำ แล้วนางเตียวเสียนจึงว่า ซึ่งจะอยู่ในที่นี้สืบไปนั้นเห็นว่าลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าเปนมั่นคง ข้าพเจ้าก็จะซ้ำได้ความอายยิ่งกว่าแต่ก่อน ขอท่านยกออกไปอยู่ ณ เมืองใหม่ ข้าพเจ้าจึงจะพ้นภัย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงว่าพรุ่งนี้เราจะยกไป

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิยูเข้าไปว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า วันนี้ดีแล้วท่านจะยกนางเตียวเสียนให้เปนภรรยาลิโป้ก็ให้เร่งทำการตามฤกษ์ดี เถิด ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าลิโป้เปนบุตรของเรา นางเตียวเสียนก็ได้เปนภรรยาเราแล้ว แลซึ่งจะยกให้เปนภรรยาลิโป้นั้นผิดอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ซึ่งลิโป้ได้เกี้ยวพาลเย้าหยอกนางเตียวเสียนได้ความลอายนัก เราก็ยกโทษให้เสียแล้ว แลเนื้อความทั้งนี้ท่านจงออกไปบอกลิโป้ให้แจ้งเถิด ลิยูจึงตอบว่าซึ่งท่านมิฟังคำข้าพเจ้า แลการซึ่งคิดไว้นั้นเห็นจะเสียท่วงทีเพราะหญิงคนนี้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งท่านจะขืนให้เราเอาภรรยายกให้แก่ลิโป้นั้น เราไม่ฟังคำท่านแล้ว ถ้าท่านมีใจรักลิโป้อยู่ จงเอาภรรยาท่านมายกให้แก่ลิโป้เองเถิด แต่นี้สืบไปอย่าให้ผู้ใดเอาเนื้อความข้อนี้มาซ้ำว่าฉนี้อีก ถ้าผู้ใดมิฟังเราจะตัดสีสะเสีย ลิยูได้ยินดังนั้นจึงลาลุกเดิรออกมาแล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงซึ่งมาหาตั๋งโต๊ะ อยู่นั้นว่า เราท่านทั้งนี้จะพากันฉิบหายเพราะอีเตียวเสียนคนนี้เปนมั่นคง ว่าแล้วลิยูก็กลับไปบ้าน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะก็ให้จัดแจงทหาร แล้วพานางเตียวเสียนขึ้นรถไปอยู่เมืองใหม่ แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงนอกประตูเมือง แลนางเตียวเสียนนั้นแลไปเห็นลิโป้ยืนอยู่กับเหล่าขุนนาง ก็แสร้งแลไปให้สบตาลิโป้ แล้วทำกิริยาเปนโศกเศร้า ลิโป้เห็นดังนั้นก็มีความทุกข์ยืนดูตลึงไปจนลับตาแล้วทอดใจใหญ่ อ้องอุ้นเห็นจึงเข้ายุดมือลิโป้ไว้แล้วถามว่ามหาอุปราชออกไปแล้ว ตัวท่านนี้มีกังวลสิ่งใดท่านจึงไม่ไปตาม แล้วอ้องอุ้นบอกว่าเรานี้ป่วยอยู่เปนหลายวัน มิได้มาหามหาอุปราชแล้วมิได้พบท่าน วันนี้เรารู้ข่าวว่ามหาอุปราชจะกลับออกมาอยู่เมืองใหม่ เราจึงอุตส่าห์ออกมาส่ง แลเราเห็นท่านไม่สู้สบายนั้นมีทุกข์สิ่งใดหรือ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งมีเหตุได้ทุกข์ร้อนทั้งนี้ก็เพราะนางเตียวเสียนบุตรของท่าน อ้องอุ้นทำอุบายถามว่า ตั๋งโต๊ะยังไม่แต่งงารให้ท่านอยู่กับนางเตียวเสียนหรือ ลิโป้จึงตอบว่าตั๋งโต๊ะมิได้ให้แก่เรา มันเอาไว้เปนภรรยามันแล้ว อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำตกใจ แล้วจึงตอบว่าซึ่งท่านว่านี้เราไม่เห็นจริง มหาอุปราชหรือจะเปนดังนั้น ลิโป้จึงเอาเนื้อความแต่หลังเล่าให้อ้องอุ้นฟังทุกประการ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นทำกระทืบเท้าลงแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชทำดังนี้อุปมาดังสัตว์เดียรัจฉาน แล้วอ้องอุ้นก็พาลิโป้กลับมา ณ บ้าน ขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือแล้วให้แต่งโต๊ะเชิญให้ลิโป้เสพย์สุราอยู่ อ้องอุ้นจึงว่าซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อบุตรเราซึ่งเปนภรรยาท่าน ๆ กับเราได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวงเปนอันมาก แต่ตัวเรานี้ชราแล้ว ชีวิตเราจะอยู่ไปสักกี่วันเราคิดเอ็นดูแก่ท่าน ด้วยคนทั้งปวงนับถืออยู่ว่า ท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญ ซึ่งตั๋งโต๊ะทำดังนี้คนทั้งปวงก็จะติเตียนท่าน ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธเอามือตบโต๊ะลงแล้วว่า ซึ่งอ้ายตั๋งโต๊ะมันเปนศัตรูทำดังนี้ ข้าพเจ้าจะขอแก้แค้นฆ่ามันเสียให้จงได้ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำเปนเอามือปิดปากลิโป้ไว้ แล้วห้ามว่าท่านอย่ากล่าวคำดังนี้ จะพาเราได้ความผิดด้วย ลิโป้จึงตอบว่าตัวข้าพเจ้าเกิดมานี้ก็ถือว่ามีฝีมือกล้าหาญมิได้คิดจะอยู่ใน อำนาจผู้ใด อ้องอุ้นจึงว่าอันความคิดแลฝีมือของท่านซึ่งจะอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยนั้นไม่ ควร อุปมาเหมือนแก้วได้แก่วานร

ลิโป้จึงตอบว่าแต่ข้าพเจ้ามีความแค้น คิดจะฆ่าอ้ายศัตรูเฒ่าก็ได้ถึงเดือนเศษแล้ว แต่คิดรั้งรออดใจอยู่ด้วยได้เรียกว่าบิดาแล้ว ครั้นจะฆ่าเสียกลัวคนจะครหานินทาได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่าตัวเปนแซ่ลิ ตั๋งโต๊ะนั้นเปนแซ่ตั๋ง จะนับถือว่าเปนบิดาด้วยอันใด เมื่อตั๋งโต๊ะเอาทวนพุ่งจะฆ่าท่านนั้นมิได้คิดว่าเปนบุตร ซึ่งท่านจะกลัวนินทานั้นไม่ชอบ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสดุ้งขึ้น จึงตอบว่าความข้อนี้หากท่านว่าออกมา หาไม่ข้าพเจ้าก็คิดมิถึง

อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ลิโป้เอาใจออกหากจากตั๋งโต๊ะเปนมั่นคงอยู่แล้วจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะเปนศัตรูราชสมบัติท่านก็ย่อมแจ้งอยู่กับใจ ซึ่งท่านทำราชการอยู่ในตั๋งโต๊ะก็มีความชอบเปนอันมาก ตั๋งโต๊ะจะได้ปูนบำเหน็จให้เปนขุนนางตำแหน่งใดก็หามิได้ ถ้าท่านสัตย์ซื่อต่อพระมหากษัตริย์ ตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย แล้วท่านจะได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ มีชื่อในกฎหมายพระราชพงศาวดารสืบไป

ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับอ้องอุ้นแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาแผ่นดิน แลแก้แค้นฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ ท่านอย่าสงสัยข้าพเจ้าเลย อ้องอุ้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดบำรุงแผ่นดินดังนี้ก็ขอบใจแล้ว แต่เกรงอยู่ว่าท่านกับเรานี้จะคิดการไปมิตลอดก็จะพากันตายเสีย ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงชักเอากระบี่มาแทงข้อมือเอาโลหิตใส่ลงในจอกสุราแล้วสา บาลว่า ถ้าข้าพเจ้ามิได้ฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียเหมือนคำว่านี้ ขอให้อาวุธต่าง ๆ สังหารข้าพเจ้าเถิด แล้วก็เอาสุรานั้นกินเข้าไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับลิโป้แล้วว่า ครั้งนี้พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรจะได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะสติปัญญา ของท่าน แลจะทำการได้เมื่อใดเราจึงจะบอกให้ท่านแจ้ง ลิโป้ก็ลาไป

ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้หาซุนซุยกับอุยอ๋วน ซึ่งเปนที่ปรึกษามาบอกเหตุซึ่งคิดกับลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียนั้นทุกประการ อุยอ๋วนจึงว่า ซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรนั้น ตั๋งโต๊ะก็แจ้งอยู่ บัดนี้คลายประชวรขึ้นได้สองวันแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยังมิได้แจ้ง ขอให้จัดหาคนซึ่งมีสติปัญญาไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า รับสั่งให้หาเข้ามาจะปรึกษาราชการข้อใหญ่ แล้วให้แต่งเปนหนังสือรับสั่งลอบให้ลิโป้คุมทหารซุ่มอยู่ข้างที่เสด็จออก ถ้าตั๋งโต๊ะเข้ามาให้มีสัญญากัน แล้วการซึ่งคิดไว้นั้นก็จะทำได้สดวก ซุนซุยจึงว่าซึ่งคิดทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่จะหาผู้ใดซึ่งถือรับสั่งออกไปหาตั๋งโต๊ะได้ อุยอ๋วนจึงตอบว่า ลิซกนั้นทำราชการมีความชอบอยู่ ตั๋งโต๊ะก็มิได้เพททูลให้เลื่อนที่ขึ้นไปหามิได้ ลิซกนั้นก็มีความน้อยใจอยู่ ถ้าให้ลิซกถือรับสั่งไปเห็นตั๋งโต๊ะจะไม่มีความสงสัย อ้องอุ้นเห็นชอบด้วย จึงให้หาลิโป้มา แล้วบอกเนื้อความซึ่งปรึกษากันนั้นให้ฟังทุกประการ ลิโป้เห็นชอบด้วย แล้วจึงว่าอันลิซกนั้นได้ไปเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าเมื่อครั้งอยู่กับเต๊งหงวน ถ้าลิซกมิไปแลทำเนื้อความให้แพร่งพรายออก ข้าพเจ้าจึงจะฆ่าลิซกเสีย อ้องอุ้นกับลิโป้จึงให้ไปหาลิซกมา ลิโป้จึงว่าแก่ลิซกว่า เมื่อครั้งเราอยู่กับเต๊งหงวนนั้น ท่านได้เกลี้ยกล่อมให้เราฆ่าเต๊งหงวนเสีย ชักชวนให้เรามาอยู่กับตั๋งโต๊ะ บัดนี้เราเห็นตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลเราทั้งปวงคิดอ่านจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย เราจะให้ท่านถือรับสั่งออกไปหาตัวตั๋งโต๊ะเข้ามา แล้วเราจะฆ่าเสีย ท่านจะยอมไปหรือไม่ไป

ลิซกได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้เราคิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะอยู่ แต่ยังหาผู้ช่วยดำริห์การมิได้ ซึ่งท่านว่าทั้งนี้เรามีความยินดีนัก จะขอรับอาสาไปหาตั๋งโต๊ะเข้ามา ขณะนั้นลิซกจึงเอาลูกเกาทัณฑ์มาหักเปนสองท่อน แล้วจึงสาบาลตัวว่า ถ้าเนื้อความนี้เรามิได้ทำตาม แลกลับเอาไปแพร่งพรายให้ตั๋งโต๊ะรู้ ขอให้ตัวเราขาดออกเปนสองท่อนด้วยอาวุธต่าง ๆ เหมือนเราหักลูกเกาทัณฑ์นี้เถิด อ้องอุ้นได้ฟังลิซกว่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงลุกขึ้นคำนับแล้วตอบว่า ซึ่งท่านสุจริตต่อแผ่นดินจะทำการทั้งนี้ ถ้าสำเร็จแล้วท่านก็จะได้เปนขุนนางผู้ใหญ่

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า อ้องอุ้นจึงแต่งหนังสือรับสั่ง แล้วให้เกณฑ์ทหารม้ายี่สิบให้ไปด้วยลิซก ๆ มาถึงหน้าเมืองใหม่ ทหารคนหนึ่งจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกตั๋งโต๊ะ ๆ รู้ก็ออกมาคำนับหนังสือ แล้วพาลิซกเข้าไปในเมืองใหม่ ลิซกจึงบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรอยู่ หาผู้ใดจะว่าราชการมิได้ ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันให้มาเชิญมหาอุปราชเข้าไปจะมอบราชสมบัติให้ ตั๋งโต๊ะจึงถามลิซกว่า ซึ่งขุนนางทั้งปวงปรึกษากันฉนี้ ท่านได้ยินอ้องอุ้นนั้นว่าประการใดบ้าง ลิซกจึงบอกว่า ซึ่งจะมอบราชสมบัติให้แก่ท่านนี้อ้องอุ้นเปนผู้เสนอขุนนางทั้งปวงจึงเห็น ด้วย บัดนี้อ้องอุ้นก็จัดแจงตราสำหรับว่าราชการเมืองไว้ให้ท่าน

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงบอกแก่ลิซกว่า เวลาคืนนี้เรานิมิตฝันว่า มีมังกรตัวหนึ่งมาเกี้ยวกระหวัดอยู่รอบกายเรา ครั้นเวลาวันนี้มีข่าวดีมาถึงเรา จำเราจะยกไปเมืองหลวง แลลิซกได้ถือรับสั่งมาหาเราก็มีความชอบอยู่ ถ้าเราได้ราชสมบัติแล้วจะตั้งให้ท่านเปนอัครมหาเสนาผู้ใหญ่ ลิซกทำทีประหนึ่งว่าจะรับเอา ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารสามพันอยู่รักษาเมือง ตั่งโต๊ะนั้นไปหามารดาแล้วบอกว่า บัดนี้ขุนนางทั้งปวงปรึกษาจะมอบราชสมบัติให้แก่ข้าพเจ้า แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปครองราชสมบัติแล้ว ท่านผู้เปนมารดาก็จะได้เปนหองไทฮอ แปลภาษาไทยว่าสมเด็จพระพันปีหลวง มารดาจึงตอบว่า ตัวแม่ก็แก่ชราแล้วอายุได้เก้าสิบเศษ แม่ได้พึ่งบุญเจ้าก็ค่อยมีความสุขมา ครั้งนี้แม่ให้ประหลาทใจ ด้วยให้เขม่นไปทั่วทั้งกาย แลใจก็ให้สดุ้งตกประหม่ามาเปนหลายเวลาแล้ว ซึ่งเจ้าจะเข้าไปนั้นให้คิดการระมัดตัวจงดี

ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งมารดาเปนเช่นนั้นเพราะบุญจะมาถึงแล้วจึงพะเอิญให้เปนทั้งนี้ แล้วตั๋งโต๊ะก็ลามารดาไปหานางเตียวเสียน จึงเอาเนื้อความทั้งนั้นเล่าให้ฟังแล้วว่า ถ้าเราได้ครองราชสมบัติแล้ว เราจะให้เจ้าเปนมเหษีฝ่ายซ้าย นางเตียวเสียนได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงให้มาว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย นางเตียวเสียนคำนับแล้วทำเปนยินดี ตั๋งโต๊ะก็ให้จัดแจงทหารแล้วขึ้นรถยกไปทางประมาณสามร้อยเส้น เพลารถซึ่งตั๋งโต๊ะขี่นั้นหัก ตั๋งโต๊ะจึงขึ้นม้าไปทางประมาณร้อยหนึ่ง ม้านั้นมีพยศบังเหียนขาด ตั๋งโต๊ะจึงเหลียวหลังมาถามลิซกว่า ซึ่งเพลารถหัก แลม้ามีพยศบังเหียนขาดฉนี้ ท่านยังเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่า ซึ่งเปนเหตุทั้งนี้ เพราะมหาอุปราชจะได้ครองราชสมบัติ แลจะได้ทรงรถประดับด้วยหยกกับม้าที่นั่ง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมิได้รู้กลมารยาก็มีความยินดี ครั้นมาถึงประตูเมืองหลวงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ออกมารับตั๋งโต๊ะ แต่ลิยูนั้นป่วยอยู่มิได้มารับ ตั๋งโต๊ะก็เข้าไปในที่อยู่

ฝ่ายลิโป้ก็เข้ามาเยือนแล้วคำนับ ตั๋งโต๊ะจึงว่าถ้าเราได้ราชสมบัติเราจะให้ท่านเปนใหญ่คุมทหารทั้งปวง ลิโป้ได้ฟังดังนั้นทำเปนยินดีรับคำตั๋งโต๊ะแล้วลาไป

ครั้นเวลาค่ำเดือนหงาย เด็กลูกชาวบ้านสามสิบคนชวนกันเล่นอยู่หน้าบ้านตั๋งโต๊ะ แล้วทำเพลงเปนใจความว่า หญ้าเหล่านี้มีใบเขียวสดชุ่มอยู่ เห็นไม่ช้าประมาณเก้าวันสิบวันก็จะตาย ฝ่ายตั๋งโต๊ะได้ยินเด็กทำเพลงเสียงนั้นดังร้องไห้ ตั๋งโต๊ะคิดประหลาดจึงหาลิซกมาถามว่า ซึ่งเด็กทำเพลงเปนเสียงร้องไห้ดังนี้ ท่านเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่าซึ่งเด็กทำเพลงดังนี้ เปนศุภนิมิตของท่านใหญ่หลวง เพราะแซ่เล่าจะสาบสูญแล้ว แซ่ตั๋งจะรุ่งเรืองสืบไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าแต่งตัวแล้วขึ้นรถจะเข้าไปในพระราชวัง

ครั้นมาถึงกลางทางพอพบโต้หยิน ๆ นั้นใส่เสื้อเขียวหมวกขาวมือถือไม้รวก แล้วเอาผ้านางเอี๋ยวยาวแปดศอก ผูกทำธงมีอักษรอยู่ต้นธงตัวหนึ่งว่า เคา ปลายธงตัวหนึ่งก็ว่า เคา ทั้งสองนั้นประสมกันเรียกว่าลี่ แปลภาษาไทยว่าแซ่ลี ผ้าขาวนั้นภาษาจีนเรียกว่าโป้ ซึ่งโต้หยินทำปฤศนาดังนี้ว่า ลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย แลตั๋งโต๊ะมิได้รู้ในปฤศนา แต่มีความสงสัยจึงถามลิซกว่า ซึ่งโต้หยินทำทั้งนี้ท่านยังเห็นประการใด ลิซกนั้นแจ้งในปฤศนาอยู่ จึงอุบายบอกตั๋งโต๊ะว่า โต้หยินทำทั้งนี้เพราะเสียจริตอยู่ จะถือเอาว่าดีแลร้ายนั้นมิได้ แล้วลิซกก็ให้ทหารขับโต้หยินเสียให้ไกลทาง ครั้นตั๋งโต๊ะเข้าไปถึงประตูวัง ลิซกจึงอุบายให้ตั๋งโต๊ะห้ามทหารไว้แต่นอก แลลิซกนำรถตั๋งโต๊ะเข้าไปในลับแลที่เฝ้า ตั๋งโต๊ะแลเห็นขุนนางถือกระบี่อยู่ทุกคน ตั๋งโต๊ะตกใจถามลิซกว่า เหตุใดขุนนางจึงถือกระบี่อยู่ฉนั้น ลิซกมิได้ตอบประการใดก็เร่งชักรถเข้าไปในที่เสด็จออก

อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงร้องประกาศว่า ศัตรูราชสมบัติมาถึงแล้ว เปนไฉนทหารเราจึงมิได้ลงมือเล่า ฝ่ายทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นได้ยินเสียงอ้องอุ้นร้องดังนั้น ก็ชวนกันออกมาเอาทวนแทงตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นก็หลบลงอยู่ในรถแล้วร้องเรียกให้ลิโป้ช่วย แลลิโป้นั้นก็ออกมาจึงตอบว่า ตัวเปนศัตรูราชสมบัติ เปนไฉนร้องให้กูช่วย แล้วลิโป้เอาทวนแทงตั๋งโต๊ะถูกที่ฅอตกรถตาย ลิซกนั้นก็ตัดสีสะตั๋งโต๊ะแล้วร้องประกาศว่า ทีนี้ศัตรูราชสมบัติตายแล้วแผ่นดินจะเปนสุข แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มีความยินดีนัก ลิโป้จึงร้องว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้เพราะฟังคำลิยู ผู้ใดจะอาสาไปจับตัวลิยูมาได้

ฝ่ายลิซกก็รับอาสาไปจับตัวลิยูกับบุตรภรรยาพรรคพวกพี่น้องมาสิ้น อ้องอุ้นจึงให้เอาบุตรภรรยาพรรคพวกไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้เอาศพตั๋งโต๊ะไปตระเวนรอบเมือง เอามาประจานไว้ที่ทางสามแพร่งให้ทหารอยู่รักษา แลผู้รักษานั้นจึงฟั่นชุดใส่ลงที่สะดือ แล้วเอาเพลิงจุดตามต่างตะเกียงประจานไว้ แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้น มีใจเจ็บแค้นชวนกันมาด่าว่าศพตั๋งโต๊ะ แล้วเอามือชี้ชกสีสะบ้างเอาเท้าถีบบ้าง จนศพนั้นแหลกละเอียดเปื่อยไป

ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้ลิโป้ลิซกห้องหูโก๋ สามนายคุมทหารห้าหมื่นไปฆ่าพรรคพวกตั๋งโต๊ะซึ่งอยู่ ณ เมืองใหม่เสียให้สิ้น เชิง แล้วให้ริบทรัพย์สิ่งของนั้นมา แลลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ซึ่งตั๋งโต๊ะให้อยู่รักษาเมืองใหม่ ครั้นรู้เนื้อความดังนั้น ก็พาทหารสามพันหนีไปอยู่เมืองเซียงไส

ฝ่ายลิโป้กับลิซกห้องหูโก๋ครั้นมาถึงเมืองใหม่ ลิโป้นั้นเข้าไปเอาตัวนางเตียวเสียนมาไว้ แล้วฆ่ามารดากับญาติพี่น้องพรรคพวกตั๋งโต๊ะเสียสิ้น แต่หญิงแปดร้อยนั้นส่งให้บิดามารดาพี่น้องรับไป แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินของตั๋งโต๊ะนั้นบันทุกเกวียนเปนอันมาก คุมเอาเข้าไปให้อ้องอุ้นในเมืองหลวง อ้องอุ้นจึงเอาทรัพย์สิ่งของทั้งนั้นแจกให้แก่ทหารทั้งปวง แล้วจึงว่าแก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า บัดนี้ศัตรูราชสมบัติก็ตายแล้ว แผ่นดินจะมีความสุขสืบไป เราจงชวนกันเล่นให้สบายเถิด แล้วก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวง

ในขณะนั้นมีทหารมาบอกอ้องอุ้นว่า มีขุนนางคนหนึ่งชื่อซัวหยงมาร้องไห้รักศพตั๋งโต๊ะอยู่ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารทั้งปวงไปจับตัวซัวหยงมาถามว่า ตัวเปนขุนนางมาร้องไห้รักตั๋งโต๊ะนั้น ตัวเข้าด้วยศัตรูราชสมบัติหรือ ซัวหยงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะได้เข้าด้วยผู้ผิดนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้ามาร้องให้รักตั๋งโต๊ะนั้น เพราะคิดถึงคุณตั๋งโต๊ะว่าเอาข้าพเจ้ามาตั้งเปนขุนนาง แลซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดทั้งนี้ ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ทำราชการสนองแผ่นดินสืบไป แลขุนนางทั้งปวงซึ่งได้เห็นใจซัวหยงสัตย์ซื่อ จึงชวนกันขอโทษไว้ ม้าหยิดจึงค่อยกระซิบบอกแก่อ้องอุ้นว่า ซัวหยงนี้เปนคนมีสติปัญญา ทำราชการสัตย์ซื่อ มีคนรักเปนอันมาก ถ้าท่านจะฆ่าเสียก็ตามโทษผิดนั้นควรอยู่ แต่ราษฎรทั้งปวงจะครหานินทาท่าน อ้องอุ้นจึงตอบว่าบ้านเมืองเปนจลาจลพึ่งสงบลงวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ แลซัวหยงนั้นมีสติปัญญาก็จริง แต่จะให้เปนขุนนางปรึกษาราชการด้วยเรานั้นไม่ได้ กฎหมายทั้งปวงจะฟั่นเฟือนไป ม้าหยิดได้ยินดังนั้นก็ถอยออกมาแล้วว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ธรรมดาแผ่นดินถ้าหาผู้มีสติปัญญามิได้ เมืองนั้นก็จะพลันมีอันตรายหายืดยาวไม่ อ้องอุ้นจึงให้เอาตัวซัวหยงไปจำคุกไว้ แล้วลอบสั่งให้ผู้คุมจำตรากตรำเสียให้ตาย ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าซัวหยงตายแล้ว ก็มีความสงสารเปนอันมาก

[๑] มีในเรื่องเลียดก๊ก

เนื้อเพลง