วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

นิราศเมืองแกลง นิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่

                                                    นิราศเมืองแกลง





นิราศเมืองแกลง เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ เป็นนิราศเรื่องแรกของเขาที่ได้แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2349 มีใจความกล่าวถึงการเดินทางโดยเรือเพื่อไปยังเมืองแกลง โดยมีศิษย์ 2 คนร่วมโดยสารไปด้วยกัน คือ น้อยกับพุ่ม และมีผู้นำทางชื่อนายแสง เป้าหมายการเดินทางของสุนทรภู่ไม่ปรากฏแน่ชัด บ้างว่าเขาต้องการไปบวชกับบิดา บ้างว่าเขาเดินทางไปขอเงินเพื่อกลับมาแต่งงาน นักวิชาการยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าสุนทรภู่กลับไปทำไม แต่ทางจังหวัดระยองได้นำเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นไปสร้างเป็นอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่เมืองแกลง

เนื้อหาโดยย่อ และเส้นทางการเดินทาง

ปีพ.ศ. 2349 หลังจากกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคต สุนทรภู่ซึ่งถูกจองจำอยู่เหตุจากการลอบรักใคร่กับแม่จัน จึงได้รับการปล่อยตัวเป็นการถวายพระกุศล 

สุนทรภู่ถูกใช้ไปราชการด่วนจนถึงกับไม่มีเวลาไปบอกลาแม่จันได้เลย ผู้ร่วมทางของสุนทรภู่ในการเดินทางคราวนี้ ได้แก่ นายแสง เป็นผู้นำทาง และน้อยกับพุ่ม ศิษย์น้องสองคน ทั้งหมดล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ลัดเลาะคลองบางนาไปออกมาแม่น้ำบางปะกงแล้วลงสู่ทะเล เลียบริมทะเลไปขึ้นฝั่งที่บริเวณหาดบางแสน จากนั้นจึงเดินเท้าต่อ สุนทรภู่ได้แวะพักที่บ้านขุนรามอยู่เป็นหลายวัน ก่อนจะออกเดินทางต่อไปเมืองแกลง ซึ่งในเวลานั้นเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่ในป่าทึบ หนทางจะไปถึงนั้นแสนกันดารและเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งคณะเดินทางกันต่อจนไปถึงเมืองระยอง ถึงตรงนี้ นายแสงมิได้ร่วมเดินทางต่อไปด้วย

สุนทรภู่กับน้องทั้งสองเดินทางต่อไปอีกจนถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง ได้พบบิดาของตนซึ่งบวชเป็นพระมาตลอดนับแต่สุนทรภู่เกิด สุนทรภู่ได้ถือศีลกินเจอยู่กับบิดาพักหนึ่ง แล้วเกิดล้มป่วยเป็นไข้ ต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือนกว่าจะเดินทางกลับมาถึงพระนครศรีอยุธยา


โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชยต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้าไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลาใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาทจึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจรไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่มน้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญจะพากันแรมทางไปต่างเมือง
 
๏ ถึงยามสองล่องลำนาวาเลื่อนพอดวงเดือนดั้นเมฆขึ้นเหลืองเหลือง
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรืองแลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้าจะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดาโอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วังเทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วยเอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพรให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแพ้วพาน
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำแพประจำจอดเรียงเคียงขนาน
มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจานยังสำราญร้องขับไม่หลับลง
โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ยนึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์
จะลำบากยากแค้นไปแดนดงเอาพุ่มพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน ฯ
 
๏ ถึงย่านยาวดาวคะนองคะนึงนิ่งยิ่งดึกยิ่งเสียใจใครจะเหมือน
พระพายพานซ่านเสียวทรวงสะเทือนจนเดือนเคลื่อนคล้อยดงลงไรไร
โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย
เห็นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจเดือนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร
หอมสุคนธ์ปนกายขจายจรโอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย
ถึงบางผึ้งผึ้งรังก็รั้งร้างพี่ร้างนางร้างรักสมัครหมาย
มาแสนยากฝากชีพกับเพื่อนชายแม่เพื่อนตายมิได้มาพยาบาล
ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้นดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน
เขาแจวจ้วงล่วงแล่นแสนสำราญมาพบบ้านบางระเจ้ายิ่งเศร้าใจ
อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวนจนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย
ศศิธรอ่อนอับพยับไพถึงเซิงไทรศาลพระประแดงแรง
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาลลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแหง
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลงเจ้าจงแจ้งใจภัคนีที
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิตใช่จะคิดอายอางขนางหนี
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปีท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจพอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง
เห็นเพื่อนเรือเรียงรายทั้งชายหญิงดูก็ยิ่งทรวงช้ำเป็นน้ำหนอง
ไม่แม้นเหมือนคู่เชยเคยประคองก็เลยล่องหลีกมาไม่อาลัย
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลดดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไปนี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา
ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝั่งซ้ายตะวันฉายแสงส่องต้องพฤกษา
ออกสุดบ้านถึงทวารอรัญวาเป็นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน
ลมระริ้วปลิวหญ้าคาระยาบระเนนนาบพลิ้วพลิกกระดิกหัน
ดูโล่งลิ่วทิวรุกขะเรียงรันเป็นเขตคันขอบป่าพนาลัย ฯ
 
๏ ถึงทับนางวางเวงฤทัยวับเห็นแต่ทับชาวนาอยู่อาศัย
นางชาวนาก็ไม่น่าจะชื่นใจคราบขี้ไคลคร่ำคร่าดังทาคราม
อันนางในนคราถึงทาสีดีกว่านางทั้งนี้สักสองสาม
โอ้พลัดพรากจากบุรินแล้วสิ้นงามยิ่งคิดความขวัญหายเสียดายกรุง
ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง
เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุงต้องลากจุงจ้างควายอยู่รายเรียง
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียดเข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียงบ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวาย
โอ้เรือเราคราวเข้าไปติดแห้งเห็นนายแสงผู้เป็นใหญ่ก็ใจหาย
นั่งพยุงตุ้งก่านัยน์ตาลายเห็นวุ่นวายสับสนก็ลนลาน
น้อยกับพุ่มหนุ่มตะกอถ่อกระหนาบเสียงสวบสาบแทรกไปด้วยใจหาญ
นายแสงร้องรั้งไว้ไม่ได้การเอาถ่อกรานโดยกลัวจนตัวโกง
สงสารแสงแข็งข้อไม่ท้อถอยพุ่มกับน้อยแทรกกลางเสียงผางโผง
ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกรงนาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคม
 
จนตกลึกล่วงทางถึงบางโฉลงเป็นทุ่งโล่งลานตาล้วนป่าแขม
เหงือกปลาหมอกอกกกับกุ่มแกมคงคาแจ่มเค็มจัดดังกัดเกลือ
ถึงหัวป่าเห็นป่าพฤกษาโกร๋นดูเกรียนโกรนกรองกรอยเป็นฝอยเฝือ
ที่กิ่งก้านกรานกีดประทุนเรือลำบากเหลือที่จะร่ำในลำคลอง
ถึงหย่อมย่านบ้านไร่อาลัยเหลียวสันโดษเดียวมิได้พบเพื่อนสนอง
เขารีบแจวมาในนทีทองอันบ้านช่องมิได้แจ้งแห่งตำบล
ถึงคลองขวางบางกระเทียมสะท้านอกโอ้มาตกอ้างว้างอยู่กลางหน
เห็นแต่หมอนอ่อนแอบอุระตนเพราะความจนเจียวจึงจำระกำใจ
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ป่าแสมตะลึงแลปูเปี้ยวเที่ยวไสว
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพรฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวากข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม
เข้าสร้างศาลเทพาพยายามกระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา
สักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลาเห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก
โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทกดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่งเขาว่าลิงจองหองมันพองขน
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลนเขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง
 
ถึงชะวากปากคลองเป็นสองแพร่งน้ำก็แห้งสุริยนก็หม่นหมอง
ข้างซ้ายมือนั้นแลคือปากตะครองข้างขวาคลองบางเหี้ยทะเลวน
ประทับทอดนาวาอยู่ท่าน้ำดูเรียงลำเรือรายริมไพรสณฑ์
เขาหุงหาอาหารให้ตามจนโอ้ยามยลโภชนาน้ำตาคลอ
จะกลืนข้าวคราวโศกในทรวงเสียวเหมือนขืนเคี้ยวกรวดแกลบให้แสบศอ
ต้องเจือน้ำกล้ำกลืนพอกลั้วคอกินแต่พอดับลมด้วยตรมใจ
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบลงหรบรู่ยุงออกฉู่ชิงพลบตบไม่ไหว
ได้รับรองป้องกันเพียงควันไฟแต่หายใจมิใคร่ออกด้วยอบอาย
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้งมากรำยุงเวทนาประดาหาย
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตายแม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา
พอน้ำตึงถึงเรือก็รีบล่องเข้าในคลองคึกคักกันนักหนา
ด้วยมืดมัวกลัวตอต้องรอรานาวามาเรียงตามกันหลามทาง
ถึงบางบ่อพอจันทร์กระจ่างแจ้งทุกประเทศเขตแขวงนั้นกว้างขวาง
ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาภางค์วิเวกทางท้องทุ่งสะท้านใจ
ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ปลายแฝกทุกละแวกหวาดหวั่นอยู่ไหวไหว
รำลึกถึงขนิษฐายิ่งอาลัยเช่นนี้ได้เจ้ามาด้วยจะดิ้นโดย
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาดกัมปนาทเสียงนกวิหคโหย
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรยเมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตกด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกยเมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจ ฯ
 
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัยล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวางเป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง
ว่าผีสางสิงนางตะเคียนคะนองใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปากเห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ
กระทบผางตอนางตะเคียนดำก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา
พวกเรือพี่สี่คนขนสยองก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา
พ้นระวางนางรุกขฉายาต่างระอาเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์จริง
ขอนางไม้ไพรพฤกษ์เทพารักษ์ขอฝากภัคนีน้อยแม่น้องหญิง
ใครสามารถชาติชายจะหมายชิงให้ตายกลิ้งลงเหมือนตอที่ตำเรือ
จนล่วงล่องมาถึงคลองที่คับแคบไม่อาจแอบชิดฝั่งระวังเสือ
ด้วยครึ้มครึกพฤกษาลัดดาเครือค่อยรอเรือเรียงล่องมานองเนือง
ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับสว่างวับแวววามอร่ามเหลือง
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรืองค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาดมาแคล้วคลาดมิได้อยู่กับคู่สม
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
แสนกันดารบ้านเมืองไม่แลเห็นยะเยือกเย็นหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
โอ้คลองเปลี่ยวพี่ก็เปล่าเศร้าฤทัยจะถึงไหนก็ไม่แจ้งแห่งสำคัญ
ประจวบจนถึงตำบลบ้านมะพร้าวพอฟ้าขาวขอบไพรเสียงไก่ขัน
เป็นที่กุมภาพาลชาญฉกรรจ์ให้หวาดหวั่นรีบมาในสาชล
ถึงบางวัวเห็นแต่ศาลตระหง่านง้ำละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน
ดาวเดือนดับลับเมฆเป็นหมอกมนสุริยนเยี่ยมฟ้าพนาลัย
พอเรือออกนอกชะวากปากตะครองค่อยลอยล่องตามลำแม่น้ำไหล
ดูกว้างขวางว้างเวิ้งวิเวกใจเป็นพงไพรฝูงนกวิหคบิน ฯ
 
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านบางมังกงนั้นดูเรียงรันเรือนเรียบชลาสินธุ์
แต่ล้วนบ้านตากปลาริมวารินเหม็นแต่กลิ่นเน่าอบตลบไป
เห็นศาลเจ้าเหล่าเจ๊กอยู่เซ็งแซ่ปูนทะก๋งองค์แก่ข้างเพศไสย
เกเลเอ๋ยเคยข้ามคงคาลัยช่วยคุ้มภัยปากอ่าวเถิดเจ้านาย
พอพ้นบ้านลานแลดูปากช่องเห็นทิวท้องสมุทรไทน่าใจหาย
แลทะเลเลี่ยนลาดล้วนหาดทรายทั้งสามนายจัดแจงโจงกระเบน
ไปตามช่องล่องออกไปนอกรั้วเห็นเมฆมัวลมแดงดังแสงเสน
สักประเดี๋ยวเหลียวดูลำพูเอนยอดระเนนนาบน้ำอยู่รำไร
ป่าแสมแลเห็นอยู่ริ้วริ้วให้หวิวหวิววาบวับฤทัยไหว
จะหลบหลีกเข้าฝั่งก็ยังไกลคลื่นก็ใหญ่โยนเรือเหลือกำลัง
สงสารแสงแข็งข้อจนขาสั่นเห็นเรือหันโกรธบ่นเอาคนหลัง
น้ำจะพัดปัดตีไปสีชังแล้วคุ้มคลั่งเงี่ยนยาทำตาแดง
ปลอบเจ้าพุ่มพึมพำว่ากรรมแล้วอุตส่าห์แจวเข้าเถิดพ่อให้ข้อแข็ง
สงสารน้อยหน้าจ๋อยนั่งจัดแจงคิดจะแต่งตัวตายไม่พายเรือ
พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่งแลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือคลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสำมุกจงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลายทั้งสามนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา
หยุดตะพานย่านกลางบางปลาสร้อยพุ่มกับน้อยสรวลสันต์ต่างหรรษา
นายแสงหายคลายโทโสที่โกรธาชักกัญชานั่งกริ่มยิ้มละไม
แล้วหุงหาอาหารสำราญรื่นจนเที่ยงคืนขึ้นศาลาได้อาศัย
ฟังเสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นไปดูมือในเมฆานภาภางค์
พี่เล็งแลดูกระแสสายสมุทรละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง
เป็นฟองฟุ้งรุ่งเรืองอยู่รางรางกระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย
เห็นคล้ายคล้ายปลาว่ายเฉวียนฉวัดระลอกซัดสาดกระเซ็นขึ้นเต้นหยอย
ฝูงปลาใหญ่ไล่โลดกระโดดลอยน้ำก็พลอยพร่างพร่างกลางคงคา
 
แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุชไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตาเห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละพวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซสมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย
อันนารีที่ยังสาวพวกชาวบ้านถีบกระดานถือตะกร้าเที่ยวหาหอย
ดูแคล่วคล่องล่องแล่นแฉลบลอยเอาขาห้อยทำเป็นหางไปกลางเลน
อันพวกเขาชาวประโมงไม่โหย่งหยิบล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพลดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาปแต่ต้องสาปเคหาให้สาสม
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลมใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม
โอ้ดูเรือนเหมือนอกเราไร้คู่ผู้ใดดูจึงไม่ออกเอี่ยมสนาม
หรือต้องสาปบาปหลังยังติดตามผู้หญิงงามจึงไม่มีปรานีเลย
จะรักใครเขาก็ไม่เมตตาตอบสมประกอบได้แต่สอดกอดเขนย
เอ็นดูเขาเฝ้านึกนิยมเชยโอ้ใจเอ๋ยจะเป็นกรรมนั้นร่ำไป
พลางรำพึงถึงทางที่กลางเถื่อนจึงคล้อยเคลื่อนนาวาเข้าอาศัย
มีมิตรชายท้ายย่านเป็นบ้านไทยสำนักในคูหาขุนจ่าเมือง
 
ใครพบพักตร์เขาก็ทักว่าทรงซูบจะดูรูปตัวเองก็ผอมเหลือง
ซังตายชื่นฝืนฤทัยให้ประเทืองเที่ยวชำเลืองแลชมตลาดเรียง
เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่งบ้างยืนบ้างนั่งร้านประสานเสียง
ดูรูปร่างนางบรรดาแม่ค้าเคียงเห็นเกลี้ยงเกลี้ยงกล้องแกล้งเป็นอย่างกลาง
ขายหอยแครงแมงภู่กับปูม้าหมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวางมะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถงล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกองพี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์
ดูก็งามตามประสาพนาเวศไม่นวลเนตรเหมือนหนึ่งในไอศวรรย์
แต่แรมค้างบางปลาสร้อยได้สามวันก็ชวนกันเลยลาขุนจ่าเมือง
พอฟ้าขาวดาวเดือนลงเลื่อนลดอร่ามรถสุริยาเวหาเหลือง
จากเคหาชลนาพี่นองเนืองขืนประเทืองปล้ำทุกข์มาตามทาง
พอพ้นบ้านลานแลล้วนทุ่งเลี่ยนหนทางเตียนตัดเข้าภูเขาขวาง
ดูกรวดทรายพรายงามเหมือนเงินรางหยาดน้ำค้างข้อหลุมที่ขุมควาย
ดูสีขาวราวกับน้ำตาลโตนดที่หว่างโขดขอบผาศิลาฉลาย
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายรายเห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง
ถึงหมองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง
ต้องเดินเฉียงเลี่ยงลัดตัดทแยงตามนายแสงนำทางไปกลางไพร
กำดัดแดดแผดร้อนทุกขุมขนไม่มีต้นพฤกษาจะอาศัย
ล้วนละแวกแฝกคาป่ารำไรจนสุดไร่เลียบริมทะเลมา
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงบางพระดูระยะบ้านนั้นก็แน่นหนา
พอพบเรือนเพื่อนชายชื่อนายมาเขาโอภาต้อนรับให้หลับนอน
 
พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศลงเลียบหาดหวนคะนึงถึงสมร
เห็นกรวดทรายชายทะเลชโลทรละเอียดอ่อนดังละอองสำลีดี
ดูกาบหอยรอบคลื่นกระเด็นสาดก็เกลื่อนกลาดกลางทรายประพรายสี
เป็นหลายอย่างลางลูกก็เรียวรีโอ้เช่นนี้แม่มาด้วยจะดีใจ
จะเชยชมก้มเก็บไปกลางหาดเห็นประหลาดก็จะถามตามสงสัย
พี่ไม่รู้ก็จะชวนสำรวลไปถึงเหนื่อยใจจะค่อยเบาบรรเทาคลาย
โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อนไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทรายเห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน
อันชื่อนี้ศรีมหาราชาชาติขึ้นจากหาดเข้าป่าพนาสัณฑ์
ค่อยเลียบเดินเนินโขดสิงขรคันเสียงจักจั่นแซ่เซ็งวังเวงใจ
สองข้างทางนางไม้ไพรสงัดไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว
เย็นระรื่นชื่นชุ่มชอุ่มใบหนาวฤทัยโทมนัสระมัดกาย
เสียงนกร้องก้องกู่กันกลางป่าฟังภาษาสัตว์ไพรก็ใจหาย
จนออกดงลงเดินเนินสบายค่อยเคลื่อนคลายรอเรียงมาเคียงกัน
ถึงเขาขวางว่างเวิ้งชะวากวุ้งเขาเรียกทุ่งสงขลาพนาสัณฑ์
เป็นป่ารอบขอบเขินเนินอรัญนกเขาขันคู่เรียกกันเพรียกไพร
บ้างถาบถาพาคู่ลงฟุบฝุ่นเห็นคนผลุนโผผินบินไถล
บ้างก่งคอคูคูกุกกูไปฝูงเขาไฟฟุบแฝงที่แฝกฟาง
โอ้ปักษีมีคู่ที่ชูชื่นสำราญรื่นปกปิดด้วยปีกหาง
พี่เปลี่ยวใจอายนกเพราะห่างนางมาเดินกลางดงแดนแสนกันดาร
แล้วรีบรุดไปจนสุดที่ทิวทุ่งถึงบางละมุงพบน้ำลำละหาน
เป็นประเทศเขตนิคมกรมการมีเรือนบ้านแออัดทั้งวัดวา
น้ำตาตกอกโอ้อนาถเหนื่อยให้มึนเมื่อยขัดข้องทั้งสองขา
ลงหยุดหย่อนผ่อนนั่งที่ศาลาต่างระอาอ่อนจิตระอิดแรง
ลงอาบน้ำลำห้วยพอเหนื่อยหายแต่เส้นสายรุมรึงให้ขึงแข็ง
สลดใจเห็นจะไม่ถึงเมืองแกลงแต่นายแสงวอนว่าให้คลาไคล
พี่ดูดวงสุริย์ฉายก็บ่ายคล้อยชวนพุ่มน้อยจากศาลาที่อาศัย
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไปค่อยคลายใจจรเลียบชลามา
 
ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อมลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา
โอ้คิดเห็นเอ็นดูหมู่แมงดาตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล
เขาจับตัวผัวทิ้งไว้กลางน้ำระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัยโอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี
แม้น้องตายพี่จะวายชีวิตด้วยเป็นเพื่อนม้วยมิ่งแม่ไปเมืองผี
รำจวนจิตคิดมาในวารีจนถึงที่ศาลาบ้านนาเกลือ
หยุดประทับดับดวงพระสุริย์แสงยิ่งโรยแรงร้อนรนนั้นล้นเหลือ
จะเคี้ยวข้าวตละคำเอาน้ำเจือพอกลั้วเกลี้อกล้ำกลืนค่อยชื่นใจ
ทั้งล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิทจนอาทิตย์แย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
อนสะอื้นตื่นตายังอาลัยรำจวนใจจรจากศาลามา
เข้าเดินดงพงชัฏสงัดเงียบเย็นยะเยียบน้ำค้างพร่างพฤกษา
ออกชะวากปากทุ่งพัทยานายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน
บุกละแวกแฝกแขมแอร่มรกกับกอกกสูงสูงเสมอเศียร
ด้วยน้ำฝนล้นลงหนทางเกวียนขึ้นโขดเตียนตอกรอกยอกระยำ
กลัวปลิงเกาะเลาะลัดตัดเขมรลงลุยเลนพรวดพราดพลาดถลำ
ถึงแนวน่องย่องก้าวเอาเท้าคลำแต่ท่องน้ำอยู่จนเที่ยงจึงพบทาง
พอยกเท้าก้าวเดินบนเนินแห้งทั้งขาแข้งเข่าข้อให้ขัดขวาง
เจ็บระบมคมหญ้าคาระคางค่อยย่องย่างเหยียบฝุ่นให้งุนโงง
เห็นพฤกษาไม้มะค่ามะขามข่อยทั้งไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง
เหมือนไม้ดัดจัดวางข้างพระโรงเป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย
เดินพินิจเหมือนคิดสมบัติบ้าจะใคร่หาต้นไม้เข้าไปถวาย
นี่เหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าบรรดาตายแสนเสียดายดูเดินจนเกินไป
ถึงท้องธารศาลเจ้าริมเขาขวางพอได้ทางลงมหาชลาไหล
เข้าถามเจ๊กลูกจ้างตามทางไปเป็นจีนใหม่อ้อแอ้ไม่แน่นอน
ร้องไล้ขื่อมือชี้ไปที่เขาก็ดื้อเดาเลียบเดินเนินสิงขร
ศิลาแลเป็นชะแง่ชะงักงอนบ้างพรุนพรอนแตกกาบเป็นคราบไคล
ต้องเลี่ยงเลียบเหยียบยอกเอาปลาบแปลบถึงที่แคบเป็นเขินเนินไศล
ค่อยตะกายป่ายปีนเปะปะไปจะขาดใจเสียด้วยเหนื่อยทั้งเมื่อยกาย
ถึงที่โขดต้องกระโดดขึ้นบนแง่ก่นเอาแม่จีนใหม่นั้นใจหาย
บอกว่าใกล้ไกลมาบรรดาตายทั้งแค้นนายแสงนำไม่จำทาง
ทำซมเซอะเคอะคะมาปะเขาแต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง
แกไขหูสู้นิ่งไปตามทางถึงพื้นล่างแลลาดล้วนหาดทราย
ต่างโหยหิวนิ่วหน้าสองขาแข็งในคอแห้งหอบรนกระหนกระหาย
กลืนกระเดือกเกลือกลิ้นกินน้ำลายเจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง
น้ำก็นองอยู่ในท้องชลาสินธุ์จะกอบกินเค็มขมไม่สมหวัง
เหมือนไร้คู่อยู่ข้างกำแพงวังจะเกี้ยวมั่งก็จะเฆี่ยนเอาเจียนตาย
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมกระทำไว้นึกอะไรจึงไม่สมอารมณ์หมาย
แล้วปลอบน้องสองราปรีชาชายมาถึงท้ายทิวป่านาจอมเทียน
เห็นบ่อน้ำร่ำดื่มเอาโดยอยากพออ้าปากเหม็นหืนให้คลื่นเหียน
ค่อยมีแรงแข็งใจไปทางเกวียนไม่แวะเวียนเดาเดินดำเนินไป
 
ถึงห้วยขวางตัดทางเข้าไต่ถามพบขุนรามเรียกหาเข้าอาศัย
กินข้าวปลาอาหารสำราญใจเขาแต่งให้หลับนอนผ่อนกำลัง
สงสารแสงแสนสุดเมื่อหยุดพักเฝ้านั่งชักกัญชากับตาสัง
เสียงขาคะอยู่จนพระเคาะระฆังต่างร่ำสั่งฝากรักกันหนักครัน
แสนวิตกอกพี่เมื่ออ้างว้างถามถึงทางที่จะไปในไพรสัณฑ์
ชาวบ้านบอกมรคาว่ากว่าพันสะกิดกันแกล้วกล้าเป็นน่ากลัว
ยิ่งหวาดจิตคิดคุณพระชินสีห์กับชนนีบิตุเรศบังเกิดหัว
ข้าตั้งใจไปหาบิดาตัวให้พ้นชั่วที่ชื่อว่าไภยันต์
อธิษฐานแล้วสะท้านสะท้อนอกสำเนียงนกเพรียกไพรทั้งไก่ขัน
เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวันก็ชวนกันอำลาเขาคลาไคล
เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดึกดูซึ้งซึกมิได้เห็นพระสุริย์ใส
เสียงฟ้าร้องก้องลั่นสนั่นไพรไม้ไหวไหวเหลียวหลังระวังคอย
สงัดเงียบเยียบเย็นยะเยือกอกน้ำค้างตกหยดเหยาะลงเผาะผอย
พฤกษาสูงยูงยางสล้างลอยดูชดช้อยชื่นชุ่มชอุ่มใบ
ถึงปากช่องหนองชะแง้วเข้าแผ้วถางแม้นค่ำค้างอรัญวาได้อาศัย
เป็นที่ลุ่มขุมขังคงคาลัยวังเวงใจรีบเดินไม่เมินเลย
หนทางรื่นพื้นทรายละเอียดอ่อนในดงดอนดอกพะยอมหอมระเหย
หายละหวยด้วยพระพายมาชายเชยชะแง้เงยแหงนทัศนามา
ถึงบางไผ่ไม่เป็นไผ่เป็นไพรชัฏแสนสงัดเงียบในไพรพฤกษา
ต้องข้ามธารผ่านเดินเนินวนาอรัญวาอ้างว้างในกลางดง
ถึงพงค้อคอเขาเป็นโขดเขินต้องขึ้นเนินภูผาป่าระหง
ส่งกระทั่งหลังโคกเป็นโตรกตรงเมื่อจะลงก็ต้องวิ่งเหมือนลิงโลน
ไต่ข้ามห้วยเหวผาจนขาขัดต้องกำดัดวิ่งเต้นดังเล่นโขน
ทั้งรากยางขวางโกงตะโขงโคนสะดุดโดนโดดข้ามไปตามทาง
 
ถึงพุดรสาครเป็นพวยพุน้ำทะลุออกจากชะวากขวาง
ดูซึ้งใสไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลางสไบบางชุบซับกับอุรา
แล้วขึ้นเนินเดินในดงไม้หอมสะพรั่งพร้อมปรูปรายปฤษณา
ยามพระพายชายเชยรำเพยมาหอมบุปผารื่นรื่นชื่นอารมณ์
เหมือนกลิ่นปรางนางปนสุคนธ์รื่นคิดถึงคืนเคียงน้องประคองสม
ถอนสะอื้นยืนเด็ดลำดวนดมพี่นึกชมต่างนางไปกลางไพร
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุดดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไปล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง
สะท้อนหล่นใต้ต้นออกเกลื่อนกลิ้งฝูงค่างลิงกินเล่นเป็นเจ้าของ
ต่างเก็บเคี้ยวเปรี้ยวปรายเสียก่ายกองแต่โดยลองเลือกชิมจนอิ่มไป
ถึงโตรกตรวยห้วยพระยูนจะหยุดร้อนเห็นแรดนอนอยู่ในดงให้สงสัย
เรียกกันดูด้วยไม่รู้ว่าสัตว์ใดเห็นหน้าใหญ่อย่างจระเข้ตะคุกตัว
มันเห็นหน้าทำตากระปริบนิ่งเห็นหลายสิ่งคอคางทั้งหางหัว
รู้ว่าแรดกินหนามให้คร้ามกลัวขยับตัววิ่งพัลวันไป
 
ครู่หนึ่งถึงชะวากชากลูกหญ้าล้วนพฤกษายางยูงสูงไสว
แต่ล้วนทากตะเละลำรำพูไพรไต่ใบไม้ยูงยางมากลางแปลง
กระโดดเผาะเกาะผับกระหยับคืบถีบกระทืบมิใคร่หลุดสุดแสยง
ปลดที่ตีนติดขาระอาแรงทั้งขาแข้งเลือดโซมชะโลมไป
ออกเดินถี่หนีทากถึงชากขามเป็นสนามน้ำท่าได้อาศัย
เห็นรอยคนแรมค้างอยู่กลางไพรขึ้นต้นไม้หักรังไว้เรียงราย
เห็นลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวยกระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกายเห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัวเหมือนตัวพี่จากน้องให้หมองหมาง
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยางพี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ
เห็นป่าสูงฝูงนกในดงดึกหวนระลึกถึงสุดาน้ำตาไหล
จักจั่นร้องพร้องเพราะเสนาะไพรทั้งเสียงไก่เถื่อนขันสนั่นเนิน
พฤกษาเบียดเสียดสีดังปี่แก้ววิเวกแว่วหว่างลำเนาภูเขาเขิน
สดับฟังวังเวงเป็นเพลงเพลินต้องรีบเดินโดยด่วนด้วยจวนเย็น
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหลคงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็นบ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศพระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ
ทั้งสองข้างมรคาป่าระกำสล้างลำแลสลับอยู่กับกอ
หอมบุปผาสาโรชมารื่นรื่นต่างหยุดยืนใจหายเสียดายหนอ
แม้นอยู่เคียงเวียงชัยเห็นไม่พอจะตัดต่อเรือแล่นเล่นตามกัน
ทลายลูกสุกแลดูแออัดเอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์
มันแสนเปรี้ยวเบี้ยวหน้าเข้าหากันออกเข็ดฟันเป็นจะตายด้วยรายชิม ฯ
 
ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้าเห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิมอุระปิ้มศรปักสลักทรวง
ออกเดินรีบถีบถอนไปทุกย่างกลัวจะค้างค่ำลงในดงหลวง
ด้วยครื้นครึกพฤกษาลดาพวงไม่เห็นดวงสุริยาเวลาไร
พอเต็มตึงถึงสุนัขกะบากนั้นรอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย
เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจรู้ว่าใกล้ออกดงเดินตะบึง
แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบยิ่งเหยียบฟุบขาแข็งให้แข็งขึง
ยิ่งจวนเย็นเส้นสายให้ตายตึงดูเหมือนหนึ่งเหยียบโคลนให้โอนเอน
ออกปากช่องท้องทุ่งที่ตลิ่งต่างเกลือกกลิ้งลงทั้งรกถกเขมร
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนระเนนจนสุริเยนทร์ลับไม้ชายทะเล
ผลัดกันทำย่ำเหยียบแล้วยืนหยัดกระดูกดัดผัวะเผาะให้โผเผ
ค่อยย่างเท้าก้าวเขยกดูเกกเกออกโซเซเดินข้ามตามตะพาน
เป็นทุ่งแถวมีแนวแม่น้ำอ้อมระยะหย่อมเคหาน่าสนาน
เป็นเนินสวนล้วนเหล่ามะพร้าวตาลเข้าลับบ้านทับม้าลีลาไป
พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่องถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจเขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน
ฝ่ายนายแสงถึงตำแหน่งสำนักน้องเขายิ้มย่องชมหลานคลานสลอน
พี่ว้าเหว่เอกาอนาทรด้วยจะจรต่อไปเป็นหลายคืน
ครั้นรุ่งเช้าเท้าบวมทั้งสองข้างจะย่องย่างสุดแรงจะแข็งขืน
อยู่ระยองสองวันสู้กลั้นกลืนค่อยแช่มชื่นชวนกันว่าจะคลาไคล
นายแสงหนีลี้หลบไม่พบเห็นโอ้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล
น้อยหรือเพื่อนเหมือนจะร่วมชีวาลัยมาสูญใจจำจากเมื่อยากเย็น
จึงกรวดน้ำร่ำว่าต่ออาวาสอันชายชาตินี้หนอไม่ขอเห็น
มาลวงกันปลิ้นปลอกหลอกทั้งเป็นจะชี้เช่นชั่วช้าให้สาใจ
เดชะสัตย์อธิษฐานประจานแจ้งให้เรียกแสงเทวทัตจนตัดษัย
เหมือนชื่อตั้งหลังพิหารเขียนถ่านไฟด้วยน้ำใจเหมือนมินหม้อทรชน
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิตให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน
จากระยองย่องตามกันสามคนเลียบถนนคันนาป่ารำไร
 
ถึงบ้านนาตาขวัญสำคัญแน่เห็นยายแก่แวะถามตามสงสัย
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไปประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา
ถึงบ้านแสงทางแห้งเห็นทุ่งกว้างเฟื่อนหนทางทวนทบตลบหา
บุกละแวกแฝกแขมกับหญ้าคาจนแดดกล้ามาถึงย่านบ้านตะพง
มีเคหาอารามงามระรื่นด้วยพ่างพื้นพุ่มไม้ไพรระหง
ตัดกระพ้อห่อได้ทุกไร่กงพี่หลีกลงทางทุ่งกระทอลอ
เห็นสาวสาวชาวไร่เขาไถที่บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ
แลขี้ไคลใส่ตาบเป็นคราบคอผ้าห่มห่อหมากแห้งตาแบงมาน
พี่สู้เมินเดินตรงเข้าดงสูงเสียงนกยูงเบญจวรรณขึ้นขันขาน
คิดถึงน้องหมองใจอาลัยลานแม้นแจ้งการว่าพี่จากอยุธยา
จะเศร้าสร้อยคอยท่าเป็นทุกข์ร้อนถึงยามนอนยามกินถวิลหา
พี่ก็แสนสุดยากลำบากมาทั้งเดินป่าปิ้มกายจะวายวาง
ต้องเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยวด้วยรกเรี้ยวห้วยหนองเป็นคลองขวาง
ระหกระเหินเดินภาวนาพลางพอพบทางลงถึงท้องทะเลวน
เสียงพิลึกครึกครึ้มกระหึ่มคลื่นร่มระรื่นรุกขาพฤกษาสน
เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกลสล้างต้นเต็งตั้งสะพรั่งตา
ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้างมีโรงร้างเรียงรายชายพฤกษา
เป็นชุมรุมหน้าน้ำเขาทำปลาไม่รอรารีบเดินดำเนินพลาง
ถึงศาลเจ้าอ่าวสมุทรที่สุดหาดเลียบลีลาศขึ้นตามช่องที่คลองขวาง
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลางเห็นฝูงนางสานเสื่อนั้นเหลือใจ
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิกจนมือหงิกงอแงไม่แบได้
เป็นส่วยบ้านสานส่งเข้ากรุงไกรเด็กผู้ใหญ่ทำเป็นไม่เว้นคน
 
พอพลบค่ำสำนักที่เรือนเพื่อนดูเหย้าเรือนชาวแขวงทุกแห่งหน
มุงด้วยไม้หวายโสมแสนพิกลไม่มีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง
ครั้นคนมาเอาหลังคาขึ้นคลุมคลี่ดูก็ดีเร็วรัดไม่ขัดขวาง
เวลาค่ำล้ำเหลือด้วยเสือกวางปีบมาข้างเรือนเหย้าที่เรานอน
เขาดักจั่นชั้นในใส่สุนัขมันหอบฮักดิ้นโดยแล้วโหยหอน
ยิ่งดึกฟังวังเวงวนาดรสังเวชนอนมิใคร่หลับระงับลง
จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศกบริโภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์
จากสถานบ้านแกลงไปกลางดงต้นรังรงร่มชื่นระรื่นเย็น
เห็นรอกแตแย้ตุ่นออกวุ่นวิ่งเอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น
ลูกมะม่วงร่วงกลาดดาษกระเด็นเสียดายเป็นกลางไพรมิได้การ
อยู่ใกล้วังดังนี้นางสาวสาวจะโน้มน้าวกิ่งเก็บเกษมศานต์
นึกดำเนินเดินกลางทางกันดารถึงตะพานยายเหมสร้างที่กลางไพร
เป็นทุ่งแถวแนวน้ำสกัดกั้นจึงพากันลุยเลียบทะเลไหล
แล้วขึ้นข้ามตามตะพานสำราญใจลงเลียบในตีนเขาลำเนาทาง
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัดทะลุลัดตัดทะเลแหลมทองหลาง
ต่างเพลิดเพลินเดินว่าเสภาพลางถูกขุนช้างเข้าหอหัวร่อเฮ
เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้าริมห้างทำถามทางชักชวนให้สรวลเส
พอเจ้าของแตงโมปะโลปะเลสมคะเนกินแตงพอแรงกัน
แล้วภิญโญโมทนาลาลีลาศลงเลียบหาดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ถึงปากช่องคลองน้ำเป็นสำคัญตำแหน่งนั้นชื่อชะวากปากลาวน
ไม่หยุดยั้งตั้งหน้าเข้าป่ากว้างไปตามทางโขดเขินเนินถนน
สดับเสียงลิงค่างครางคำรนเหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตา ฯ
 
ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดากลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย
ศิโรราบกราบเท้าให้เปล่าจิตรำคาญคิดอาลัยมิใคร่หาย
ชะรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพรายจึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยาบิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัยจึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้วดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัวค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย
บรรดาเหล่าชาวบ้านประมาณมากต่างมาฝากรักใคร่เหมือนใจหมาย
พูดถึงที่ตีโบยขโมยควายกล่าวขวัญนายเบียดเบียนแล้วเฆี่ยนตี
ถามราคาพร้าขวานจะวานซื้อล้วนอออือเอ็งกูกะหนูกะหนี
ที่คะขาคำหวานนานนานมีเป็นว่าขี้คร้านฟังแต่ซังตาย
เวลาเช้าก็ชวนกันออกป่ามันโม้หมาไล่เนื้อไปเหลือหลาย
พอเวลาสายัณห์ตะวันชายได้กระต่ายตะกวดกวางมาย่างแกง
ทั้งแย้บึ้งอึ่งอ่างเนื้อค่างคั่วเขาทำครัวครั้นไปปะขยะแขยง
ต้องอดสิ้นกินแต่ข้าวกับเต้าแตงจนเรี่ยวแรงโรยไปมิใคร่มี
อยู่บุรินกินสำราญทั้งหวานเปรี้ยวตั้งแต่เที่ยวยากไร้มาไพรศรี
แต่น้ำตาลมิได้พานในนาภีปัถวีวาโยก็หย่อนลง
ด้วยเดือนเก้าข้าวสาเป็นหน้าฝนจึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์
ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์ไปบ้านพงค้อตั้งริมฝั่งคลอง
ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิตไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง
ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชองไม่เห็นน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น
แล้วไปชมกรมการบ้านดอนเด็จล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้อดูเหลือเข็ญ
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็นเมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา ฯ
 
แล้วไปบางทางเถื่อนบ้านพงอ้อไม่เหลือหลอหลายตำแหน่งแสวงหา
จะเที่ยวดูคนผู้ทำยาตาไม่เห็นหน้านึกระทดสลดใจ
ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยวสันโดษเดี่ยวด้วยว่าจิตผิดวิสัย
มาอยู่ย่านบ้านกร่ำระกำใจชวนกันไปชมทะเลทุกเวลา
เห็นเงื้อมเขาเงาบังขึ้นนั่งเล่นลมเย็นเย็นอยากดูหมู่มัจฉา
แลตลิ่งโล่งลิ่วทิวชลาดูนาวาแล่นละเลาะริมเกาะเกียน
บ้างก้าวเสียดเฉียดทางไปข้างเขาบ้างออกเข้าข้ามฟากดังฉากเขียน
เรือตระเวนเจนแดนเที่ยวแล่นเวียนดาษเดียรดูสล้างกลางชลา
ครั้นยามเย็นเห็นเหมือนหนึ่งเมฆพลุ่งเป็นควันฟุ้งราวกับไฟไกลหนักหนา
แล้วถอยลงโพลงขึ้นไม่ขาดตาถามผู้เฒ่าเขาว่าปลามันพ่นฟอง
เห็นจริงจังนั่งนึกพิลึกล้ำจนพลบค่ำมืดมนขนสยอง
ยิ่งอาลัยใจมาอยู่ที่คู่ครองแม้นแม่น้องได้มาเห็นเหมือนเช่นนี้
จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถามตำแหน่งนามเกาะแก่งแขวงวิถี
ได้เชยชื่นรื่นรสสุมาลีแล้วจะชี้ให้แม่ชมยมนา
ไหนตัวพี่นี้จะชมทะเลหลวงจะชมดวงนัยน์เนตรของเชษฐา
โอ้อาลัยไกลแก้วกานดามากลั้นน้ำตามิใคร่หยุดสุดระกำ
เสียดายนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ยยังชื่นเชยชมชิมไม่อิ่มหนำ
มายากเย็นเห็นแต่ผ้าแพรดำได้ห่มกรำอยู่กับกายไม่วายตรอม
อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับบิตุเรศถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม
ทุกคืนค่ำกำสรดสู้อดออมประณตน้อมพุทธคุณกรุณา
ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวชเย็นเย็นสวดศักราชศาสนา
พยายามตามกิจด้วยบิดาเป็นฐานานุประเทศอธิบดี
จอมกษัตริย์มัสการขนานนามเจ้าอารามอารัญธรรมรังษี
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลีกำหนดยี่สิบวสาสถาวร
ได้พบเห็นเป็นทำนุอุปถัมภ์ก็กรวดน้ำนึกคะนึงถึงสมร
ให้ไพบูลย์พูนสวัสดิ์พิพัฒน์พรอย่ารู้ร้อนโรคภัยสิ่งไรพาน
ถึงชาตินี้มิได้สมอารมณ์คิดด้วยองค์อิศรารักษ์จะหักหาญ
ขอให้น้องครองสัตย์ซึ่งปฏิญาณได้พบพานภายหน้าเหมือนอารมณ์
พอควรคู่รู้รักประจักษ์จิตได้ชื่นชิดชมน้องประคองสม
ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนมให้ลอยลมลงมาแอบแนบอุรา
อย่ารู้จักพลักผลิกทั้งหยิกข่วนแขนแต่ล้วนรอยเล็บเจ็บหนักหนา
ให้แย้มยิ้มพริ้มพร้อมน้อมวิญญาณ์แล้วก็อย่าขี้หึงตะบึงตะบอน
ขอแบ่งบุญคุณศีลถวิลถึงให้ทราบซึ่งโสตทรวงดวงสมร
ถึงอยู่ไกลในป่าพนาดรแต่ใจจรจงสวาทไม่คลาดคลา
ไปเที่ยวเล่นเห็นดอกไม้แล้วใจอยากจะใคร่ฝากดวงเนตรของเชษฐา
ก็จนใจไกลทางต่างสุธาแต่น้ำตานี้แลฟูมละลุมลง
เวลาค่ำช้ำใจเข้าไสยาสน์โอ้อนาถในวนาป่าระหง
ยินแต่เสียงลิงค่างที่กลางดงวิเวกวงวันเวศวังเวงใจ
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียงเหมือนสำเนียงวนิดาน้ำตาไหล
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพรโอ้เจียนใจพี่จะขาดอนาถนึก
ได้แนบหมอนอ่อนอุ่นให้ฉุนชื่นระรวยรื่นรสลำดวนเมื่อจวนดึก
ทั้งหอมแพรดำร่ำยิ่งรำลึกทรวงสะทึกทุกทุกคืนสะอื้นใจ ฯ
 
จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพรำฝนทุกตำบลบ้านกร่ำล้วนน้ำไหล
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจจนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปีศาจประหวาดหวั่นอินทรีย์สั่นเศียรพองสยองขน
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสางที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก
แต่หมอเฒ่าเป่าปัดชะงัดนักทั้งเซ่นวักหลายวันค่อยบรรเทา
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา
ไม่งอนง้อขอสู่ทำดูเบาท่านปู่เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด
ครั้นตาหมอขอโทษก็โปรดให้ที่จริงใจพี่ก็รู้อยู่ว่าปด
แต่ชาวบ้านท่านถือข้างท้าวมดจึงสู้อดนิ่งไว้ในอุรา
ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา
เห็นเจ็บปวดนวดฟั้นช่วยฝนยาตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน
ครั้นหายเจ็บเก็บดอกไม้มาให้บ้างกลับระคางเคืองข้องกันสองหลาน
จะว่ากล่าวน้าวโน้มประโลมลานไม่สมานสโมสรเหมือนก่อนมา
ก็จนจิตคิดเห็นว่าเป็นเคราะห์จึงจำเพาะหึงหวงพวงบุปผา
ต้องคร่ำครวญรวนอยู่ดูเอกาก็เลยลาบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน
ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยคกำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน
เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาลแต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน
ครั้นจะมิหนีมาจะลาเล่าจะสร้อยเศร้าโศกาเพียงอาสัญ
จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย
อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้าจึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อายจงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์
โอ้จากหลานบ้านกร่ำระกำจิตก็เพราะคิดถึงแม่หญิงมิ่งสมร
สู้ฟูมฝนทนฟ้าอุตส่าห์จรเป็นทุกข์ร้อนแรมทางมากลางไพร
ถึงกรุงศรีอยุธยาขึ้นห้าค่ำจึงเขียนคำจริงแจ้งแถลงไข
ให้ดวงเนตรเชษฐาด้วยอาลัยจงเห็นใจเถิดที่จิตคิดคำนึง
ถึงเจ็บไข้ไม่ตายไม่คลายรักมีแต่ลักลอบนึกรำลึกถึง
ช่วยยิ้มแย้มแช่มชื่นอย่ามึนตึงให้เหือดหึงลงเสียบ้างจงฟังคำ
พี่อุ้มทุกข์บุกป่ามหารณพมาหมายพบพูดความกับงามขำ
อย่าบิดเบือนเชือนช้าทาระกำแต่อยู่กร่ำตรอมกายมาหลายเดือน
ได้ดูงามตามทางที่นางอื่นก็หลายหมื่นเหยียบแสนไม่แม้นเหมือน
ไม่มีสู้คู่ควรกระบวนเบือนเหมือนแม่เพื่อนชีพชายจนปลายแดน
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้องมากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทนอย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา
ด้วยเกิดความลามถึงเพราะหึงหวงคนทั้งปวงเขาคิดริษยา
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดาไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย
แม่อยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสวัสดิ์หรือเคืองขัดขุกเข็ญเป็นไฉน
หรือแสนสุขทุกเวลาประสาใจสิ้นอาลัยลืมหมายว่าวายวาง
หรือพร้อมพรักพักตร์เพื่อนที่เยือนยิ้มให้เปรมปริ่มประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง
จะปราบปรามห้ามหวงพวงมะปรางให้จืดจางจำจากกระดากใจ
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝากเหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัยให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอย ฯ


วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

สุนทรภู่ ผลงาน

 

ผลงานสุนทรภู่ ประเภทนิราศมี 9 เรื่อง
1. นิราศเมืองแกลง 2350
2. นิราศพระบาท 2350
3. นิราศภูเขาทอง 2371
4. นิราศเมืองเพชร 2371-2374
5. นิราศวัดเจ้าฟ้า 2375
6. นิราศอิเหนา 2375-2378
7. นิราศสุพรรณ 2377-2380 
8. รำพันพิลาป 2385
9. นิราศพระประธม 2385-2388

กลอน สุนทรภู่ วรรณกรรม นิทาน
ประเภทนิทาน แยกเป็น ดังนี้

ประเภทนิทานมี ๕ เรื่อง 
1. โคบุตร 
2. พระอภัยมณี 
3. พระไชยสุริยา 
4. ลักษณะวงศ์ 
5. สิงหไกรภพ


ประเภทสุภาษิตมี ๒ เรื่อง 
1. สวัสดิรักษา 
2. เพลงยาวถวายโอวาท

ประเภทบทละครมี ๑ เรื่อง 
1. อภัยนุราช

ประเภทเสภามี ๒ เรื่อง 
1. ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม 
2. พระราชพงศาวดาร


ประเภทบทเห่กล่อมมี ๔ เรื่อง 
1. จับระบำ 
2. กากี 
3. พระอภัยมณี 
4. โคบุตร


วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เพชรพระอุมา เรื่องย่อ ตอนที่ 2 ดงมรณะ

 ดงมรณะ เป็นตอนที่สองของเพชรพระอุมาจำนวน 4 เล่ม ได้แก่ดงมรณะ เล่ม 1 - 4

เรื่องย่อ

ดงมรณะ เล่ม 1

ภายหลังจากรพินทร์นำคณะนายจ้างผ่านดงทากมาถึงยังแม่น้ำใหญ่ ในขณะที่กำลังหาวิธีข้ามก็พบกับอุปสรรคในการเดินทาง เนื่องจากในแม่น้ำมีจระเข้ขนาดใหญ่จำนวนมาก รพินทร์จึงหาวิธีข้ามแม่น้ำ บริเวณที่แคบที่สุดด้วยการยิงตัวสมเสร็จเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อความสนใจจนสามารถข้ามได้สำเร็จ และหยุดพักค้างแรมในหุบเขากลางดงกล้วย ในตอนเย็นรพินทร์แสดงฝีมือการทำอาหาร คือลูกหมูหันบ้านป่า ยัดไส้ด้วยใบกล้วยให้คณะนายจ้างได้ลองชิม  คืนนั้นระหว่างพักผ่อน เกิดอาถรรพณ์ป่ากับปางพักของคณะนายจ้าง ขณะที่ไชยยันต์อยู่ยามเกิดตาฝาดมองเห็นเสือดาวขนาดใหญ่กลายเป็นหญิงสาวแรกรุ่น นั่งห้อยเท้าอยู่บนเถาวัลย์ใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายชิงช้า ไชยยันต์คิดว่าตนเองไม่สบาย จึงปลุกเชษฐามาอยู่ยามต่อ และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เชษฐาฟัง เมื่อเชษฐาอยู่ยาม เชษฐาได้พบเห็นหญิงสาวเช่นเดียวกับไชยันต์เช่นกัน โดยหญิงสาวได้เดินเข้ามาหาเกือบจะถึงบริเวณเขตที่พัก แต่สิ่งที่ทำให้เชษฐาตกใจคือ หญิงสาวมีหน้าตาถอดแบบดารินออกมาทุกกระเบียดนิ้ว  รพินทร์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตลอดเข้าช่วยเหลือด้วยการยิงแสกหน้าเสือดาวด้วยปืน.458

เมื่อเชษฐาได้สติ จึงได้เห็นหญิงสาวแรกรุ่นที่มีใบหน้าเหมือนดารินกลายเป็นเสือดาวขนาดใหญ่ก็ตกใจ รพินทร์พยายามจะโน้มน้าวใจให้คณะนายจ้างคิดว่าเป็นเพียงตาฝาดเท่านั้น ส่วนพรานเกิดเชื่อว่าเป็น "เสือสมิง" ที่เกิดจากการฆ่าและกินมนุษย์เป็นอาหาร ทำให้วิญญาณสิงสู่อยู่ในร่างของเสือดาวและสามารถสร้างภาพมายาหลอกล่อให้มนุษย์ติดกับดักได้เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เมื่อถึงเวลาเช้าทุกคนตื่นมาดูเสือดาวที่ถูกยิงตาย พรานเกิดได้ทำการกรีดบริเวณหนังตรงหน้าผาก ให้เป็นชิ้นเท่าฝ่ามือแล้วชโลมด้วยขี้เถ้าเก็บไว้ ก่อนออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น รพินทร์นำคณะนายจ้างไต่สันเขาดอยนางขึ้นไปจนถึงเวลาประมาณเที่ยง ก็เริ่มมองเห็นบริเวณของป่าหวายอยู่เบื้องล่าง ก่อนหยุดพักผ่อนชั่วครู่และลงจากดอยนางในช่วงเวลาประมาณบ่ายเศษ ๆ และพบเจอกับร่องรอยเกวียนที่รพินทร์ให้พรานบุญคำเป็นผู้ควบคุมและมอบหมายให้เดินทางล่วงหน้ามาก่อน

คณะเดินทางทั้งหมดพบซากควายที่ใช้ในการเทียมเกวียนนอนตายเนื่องจากถูกงูจงอางกัด รพินทร์นำคณะนายจ้างและลูกหาบเดินทางต่อจนเข้าใกล้เขตป่าหวายในตอนค่ำ แต่เกิดปะทะกับโขลงช้างของไอ้แหว่ง พญาช้างสารเกเรที่เคยมาป้วนเปี้ยนแถวปางพัก รพินทร์มีโอกาสเผชิญหน้ากับไอ้แหว่งซึ่ง ๆ หน้า แต่ในขณะที่เหนี่ยวไกปืนเพื่อเล็งบริเวณเนินน้ำเต้า แต่กระสุนในปืนไรเฟิลของรพินทร์หมด ทำให้เสียโอกาสในการพิชิตพญาคชสารและเป็นการเปิดโอกาสให้ไอ้แหว่งและเหล่าบริวารหนีรอดไปได้ คณะนายจ้างทุกคนปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายจากการปะทะในครั้งนี้ แต่ต้องสูญเสียลูกหาบจำนวน 3 คน[9]และเกวียนจำนวน 3 เล่ม ที่ถูกโขลงช้างของไอ้แหว่งถล่มเสียราบคาบ ทำให้ลูกหาบที่ติดตามคณะเดินทางสูญเสียขวัญและกำลังใจ เชษฐาในฐานะหัวหน้าคณะเดินทาง ปลุกปลอบขวัญของบรรดาลูกหาบที่ขวัญหนีดีฝ่อจากการปะทะกับไอ้แหว่ง ด้วยการให้สัญญาจะจ่ายเงินค่าคำขวัญให้แก่ลูกหาบที่เสียชีวิต รายละหนึ่งหมื่นบาทเมื่อเดินทางกลับพร้อมด้วยพรานชดและถึงหมู่บ้านหนองน้ำแห้ง โดยจะฝากหนังสือลายมือของเชษฐาไปถึงคุณอำพล เมื่อคณะเดินทางแยกทางกับลูกหาบตามสัญญาว่าจ้างที่หมู่บ้านหล่มช้าง

รพินทร์และคณะนายจ้างตั้งใจจะหยุดพักการเดินทางหนึ่งวัน เพื่อพักผ่อนตามอัธญาศัย และในวันมะรืนจะบ่ายหน้ามุ่งไปทางทิศเหนือระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร เพื่อพักแรมและสร้างปางพักถาวรบริเวณไหล่เขาริมหน้าผา เชษฐานำปืนไรเฟิลที่เตรียมไว้สำหรับในการเดินทาง ออกมาแจกจ่ายให้แก่ลูกหาบเพื่อใช้ในการป้องกันตัวจากอันตราย ดารินเปลี่ยนปืนที่ใช้จากเดิมคือ .470 มาเป็นบีเวอร์ .300 แม็กนั่มแทน เพราะปืนขนาดเล็กอานุภาพในการยิงน้อยไม่สามารถใช้ต่อสู้กับสัตว์ใหญ่ได้ ตกดึกดารินฝันว่าเจ้าป่านุ่งขาวห่มขาว หนวดเครายาวมาทวงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ดารินจึงแก้บนตามที่ขอไว้ด้วยสก็อตวิสกี้ ตกดึกประมาณตีสอง ปางพักของคณะเดินทางได้ถูกล้อมด้วยโขลงช้างบริวารของไอ้แหว่ง รพินทร์นำคณะนายจ้างและลูกหาบหลบหนีการโจมตีขึ้นไปตั้งหลักบนเนินเขา ไชยยันต์และแงซายช่วยกันฝังระเบิดไนโตรกลีเซอรีนบริเวณเนินเขาทั้ง 4 ด้าน ผลจากการปะทะครั้งใหญ่กลางดึกนี้ ทำให้ลูกหาบเสียชีวิตจากการถูกหินที่เกิดจากแรงระเบิดหนึ่งคน แต่ที่ร้ายแรงมากที่สุดคือเชษฐา ที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาอ่อนเหนือเข่าด้านซ้ายขึ้นไปเล็กน้อย เป็นแผลฉกรรจ์ ลึกและยาว ศีรษะแตกอีกสองแห่ง สูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ชีพจรเต้นอ่อนและหมดสติ

ดารินทำการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิต แต่เชษฐาสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากต้องให้เลือดโดยด่วน ดารินต้องการเลือดกรุ๊ป เอ เนกาทีฟที่หายากและไม่มีในกรุ๊ปเลือดที่นำติดตัวมา แงซายเสนอตัวเข้าช่วยเหลือด้วยการให้เลือดแก่เชษฐา ซึ่งเป็นกรุ๊ปเดียวกัน ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น เชษฐาหลับด้วยฤทธิ์ยาจนค่ำถึงรู้สึกตัว และรับรู้ถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตนเองจนไม่สามารถเดินได้ชั่วคราว แต่ขวัญและกำลังใจของเชษฐากลับดีเยี่ยม ไม่หวั่นแม้แต่น้อยในการเตรียมวางแผนออกตามไล่ล่าไอ้แหว่งในวันรุ่งขึ้น รพินทร์นำคณะนายจ้างเดินทางต่อไปอีกเป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรจนถึงเนินเขาแห่งหนึ่งจึงหยุดพัก และจัดตั้งเป็นกองบัญชาการชั่วคราวในการโจมตีกับโขลงช้างของไอ้แหว่งหากเกิดการปะทะกันโดยไม่คาดฝัน  ในขณะพรานพื้นเมือง แงซายและลูกหาบช่วยกันสร้างปางพัก รพินทร์ออกเดินสำรวจรอบบริเวณปาง พบร่องรอยของไอ้แหว่งที่ขาหลังด้านซ้ายหักและมุ่งหน้าพาร่างที่บาดเจ็บของมันกลับไปยังเขานาง รพินทร์ ไชยยันต์และแงซาย ออกติดตามร่องรอยของไอ้แหว่งตามที่มันทิ้งไว้ มุ่งหน้าไปทางเขานาง รพินทร์ติดตามไอ้แหว่งอยู่ 6 วันก็ไม่พบเจอตัวแม้แต่เงา จึงย้อนกลับมาเพราะพบร่องรอยของไอ้แหว่งที่หวนย้อนกลับมาปางพัก พร้อมกับวางแผนในการออกติดตามใหม่ เชษฐาที่อาการดีขึ้นมากพร้อมที่จะออกตามล่าไอ้แหว่งกับรพินทร์โดยมีดารินขอติดตามไปด้วย

รพินทร์และคณะนายจ้างแกะรอยไอ้แหว่งประมาณ 5 - 6 ชั่วโมงจากป่าหวาย เกิดปะทะกับโขลงของไอ้แหว่ง ดารินยิงสุ่มสี่สุ่มห้าใส่โขลงช้างที่ดาหน้าเข้าหาอย่างประสงค์ร้ายด้วย .300 เวเธอร์บี แม็กนั่ม ผลปรากฏว่ากระสุนนัดนั้นโดนไอ้แหว่งเข้าที่ท้องอย่างจัง เป็นบาดแผลฉกรรจ์หลบหนีไป รพินทร์ติดตามรอยไอ้แหว่งไปจนถึงน้ำตกใหญ่และค้นพบด่านทางลับเข้าหุบหมาหอน ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายหลังน้ำตก

ดงมรณะ เล่ม 2

แงซายเป็นคนนำพาทั้งหมดผ่านเข้ามาภายในถ้ำโดยอ้างว่าเป็นการบอกกล่าวจากพระธุดงค์ที่เลี้ยงดูมา ดารินพบซากพญาคชสารยืนตายอย่างสมศักดิ์ศรีที่บริเวณช่องแคบภายในถ้ำ ก่อนจะอโหสิกรรมทุกสิ่งทุกอย่างให้ ภายหลังจากปราบไอ้แหว่งสำเร็จ รพินทร์นำคณะนายจ้างออกเดินทางจากป่าหวายมุ่งหน้าหมู่บ้านหล่นช้างไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ระยะเวลา 3 วันในการเดินทางด้วยเกวียน แต่ถ้าตัดทางขึ้นเขาก็จะร่นระยะเวลาเหลือเพียง 2 วัน ระหว่างการเดินทางพบเจอโขลงของแม่แปรก แต่ไม่เกิดเหตุร้ายใด ๆ ก่อนถึงหมู่บ้านพุเตยในเวลาเย็นและหยุดพักแรมหนึ่งคืน รพินทร์พบความผิดปกติของหมู่บ้านพุเตยที่ปราศจากผู้คน กลายเป็นหมู่บ้านร้าง

เชษฐารู้สึกถึงความผิดปกติรอบนอกบริเวณปางพักและหมู่บ้านพุเตย ยิ่งตกดึกเสียงหมาเห่าและหอนที่โหยหวนสร้างความหวาดกลัวให้แก่บรรดาลูกหาบและดาริน ดังไปทั่วราวกับเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น รพินทร์อธิบายถึงสาเหตุของหมู่บ้านพุเตยที่ร้างเพราะอหิวาต์ ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านต้องพากันอพยพย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย และซากศพของผู้ที่เสียชีวิตถูกห่อด้วยเสื่อตามหน้าบ้านและขั้นบันได รวมถึงยะขิ่น ลูกสาวของผาเอิงที่เสียชีวิตด้วย ก่อนจะวางเวรยามกำหนดในแต่ละจุดเพื่อดูแลความปลอดภัยแก่คณะนายจ้าง พรานเกิดกับพรานเส่ยเป็นเวรยามผลัดแรก ในขณะทำหน้าที่เวรยามพรานเส่ยเห็นยะขิ่น หญิงสาวชาวกะเหรี่ยงคู่รักของตนเองมาหา พร้อมกับชักชวนให้ไปด้วยกัน พรานเส่ยพยายามจะตามยะขิ่นไปแต่ถูกพรานเกิดขัดขวางเนื่องจากมองไม่เห็นยะขิ่น จึงออกอุบายหลอกล่อพรานเกิดจนสำเร็จและหนียามไปพรอดรักกับยะขิ่น[20] รพินทร์ที่ตรวจสอบความเรียบร้อยรอบปางพักพบว่าพรานเส่ยหายตัวไปในขณะเข้าเวรยาม จากการสอบถามพรานเกิดทำให้รู้ว่าพรานเส่ยถูกผียะขิ่นพาตัวไป จึงออกติดตามค้นหาเพื่อนำตัวกลับ ก่อนจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตของพรานเส่ย โดยมีคณะนายจ้างและพรานพื้นเมืองคู่ใจอีก 3 คนติดตามไปด้วย

ตลอดเส้นทางการเดินทางจากปางพักมุ่งหน้าเข้าภายในหมู่บ้านพุเตย เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของซากศพที่นอนเกลื่อนกลาด เสียงนกแสกและเสียงเห่าหอนยังคงดังต่อเนื่อง ไชยยันต์หวาดผวากับสภาพโดยรอบของหมู่บ้านพุเตยและถูกเหล่าวิญญาณผู้ตายภายในหมู่บ้านหลอกหลอน ทำให้ขวัญเสียขลาดกลัวขาดสติยั้งคิดถึงกับยิงปืนเข้าใส่ลูกมะพร้าวที่เต็มไปด้วยขนรุงรังเนื่องจากมองเห็นเป็นศีรษะมนุษย์ รพินทร์มาหยุดที่หน้าบ้านของผาเอิง ก่อนก้าวขึ้นเรือนก็พบกับพรานเส่ยที่ถูกผียะขิ่นสิงสู่ และพยายามต่อสู้ขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้นำตัวพรานเส่ยจากไป รพินทร์พยายามหว่านล้อมให้ยะขิ่นปล่อยตัวพรานเส่ยแต่ก็ไร้ผล เพราะต้องการเอาตัวพรานเส่ยไปอยู่ด้วยกัน พร้อมกับแสดงอิทธิฤทธิ์จนรพินทร์ต้องเผาหมู่บ้านพุเตยเพื่อช่วยเหลือพรานเส่ยออกมา วันรุ่งขึ้นรพินทร์นำคณะนายจ้างเดินทางมาประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ก็เริ่มขึ้นเนิน การเดินทางเริ่มลำบากขึ้นตามลำดับจนรพินทร์รู้สึกตัวว่านำพาคณะนายจ้างมาผิดทาง จึงย้อนกลับไปอ้อมเขาอีโก้และหยุดพักแรม แต่คืนนั้นเกิดเหตุการณ์ประหลาดแก่ปางพัก งูขนาดใหญ่มีหงอนได้ปรากฏตัวขึ้น ควายที่ใช้เทียมเกวียนในการเดินทางถูกงูใหญ่คาบหายไปหนึ่งตัว

รพินทร์และคณะนายจ้างออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น ถึงหมู่บ้านหล่มช้างในตอนสาย ๆ และพบกับเจ้ามุ ลูกชายของคะหยิ่นหัวหน้ากะเหรี่ยงหมู่บ้านหล่มช้างที่ถูกหมูขวิดจนไส้ไหล ดารินช่วยปฐมพยาบาลและเย็บบาดแผลที่ท้องให้แก่เจ้ามุ ก่อนเดินทางถึงหมู่บ้านหล่มช้างในตอนเที่ยง ภายหลังรพินทร์และเชษฐาได้ทราบจากแงซายถึงเรื่องราวเมื่อครึ่งปีก่อน ที่มีหมอสอนศาสนามิชชันนารีสองสามีภรรยาถูกคะหยิ่นฆ่าตาย เนื่องจากรับคำท้าในการรักษาโรคให้หายภายใน 3 วันแต่กลับรักษาไม่หาย ภายหลังพบกับคะหยิ่น ดารินรู้สึกหมั่นไส้ในคำโอ้อวด จึงท้าด้วยการยิงมะขวิดด้วยปืน .300 จนคะหยิ่นยอมรับในฝีมือของดารินและยกย่องให้เป็นแม่มด ที่หมู่บ้านหล่มช้าง รพินทร์และคณะนายจ้างพบเกวียนของพรานชด ที่ฝากไว้กับคะหยิ่นก่อนออกเดินทางต่อเพื่อค้นหาขุมทรัพย์เพชรพระอุมา จอดไว้ใต้ต้นตะแบกบริเวณลานหน้าบ้านของคะหยิ่น คะหยิ่นช่วยเหลือคณะเดินทางของเชษฐาที่ยังบาดเจ็บด้วยการเกณฑ์ลูกบ้านไปตัดไม้สร้างบ้านให้พักชั่วคราว ระหว่างการก่อสร้าง ลูกบ้านของคะหยิ่นถูกงูใหญ่มีหงอนจำนวนสองตัวออกอาละวาด รพินทร์และคณะนายจ้างอาสาช่วยปราบงูใหญ่ให้เป็นการตอนแทน โดยวางแผนการโจมตีด้วยการใช้ธนูติดระเบิด

แงซายใช้ไม่ไผ่ทั้งลำมาทำธนู ขึ้นสายด้วยริ้วหนังวัว หางสำหรับตัดลมใช้หางนกเงือก ลูกธนูที่ใช้ยาวหนึ่งหลา ติดระเบิดไนโตรกลีเซอรีนประมาณ 7 นิ้ว วัดจากหัวธนูเข้ามา ก่อนใช้งานจริงได้ทดลองยิงก่อนหนึ่งดอก ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ รุ่งขึ้นงูใหญ่มีหงอนทั้งสองตัวออกอาละวาด ตัวหนึ่งถูกเชษฐายิงด้วย .458 กระสุนเข้าที่ตาซ้ายบอดสนิททันที ได้เลื้อยหลบหนีไป รพินทร์ ดาริน ไชยยันต์ แงซาย พรานบุญคำและคะหยิ่นออกติดตามร่องรอยของหยดเลือดที่ไหลจากบาดแผลไป คะหยิ่นนำทั้งหมดลัดเลาะไปตามแนวเขา และพบกับเหวซึ่งเบื้องล่างเป็นบ่อโคลน คะหยิ่นจึงใช้วิธีการเลื้อยเหมือนงูไปบนผิวใบไม้จำนวนมากที่ปกคลุมพื้นโคลนนั้นเข้าไปขึงเชือกกับต้นไม้และให้ทุกคนไต่เชือกตามไป

ดงมรณะ เล่ม 3

คะหยิ่นนำคณะไปจนเจองูใหญ่ โดยลอดเข้าไปในระหว่างช่องเขาซึ่งงูใหญ่ตัวนั้นนอนพาดขวางอยู่ เกิดการปะทะกันขึ้นกับงูใหญ่ทั้งสองตัว แงซายปะทะกับงูใหญ่มีหงอนตัวผู้ด้วยการยิงธนูติดระเบิดจำนวน 2 ดอก ดอกแรกเข้าที่บริเวณกลางลำตัว ดอกที่สองปักติดแน่นที่เพดานปากด้านบน ส่วนงูใหญ่ตัวเมียโดนที่บริเวณกลางลำตัวและใกล้กับส่วนคอ แหลกละเอียดตายคาที่ทั้งสองตัว ไชยยันต์เก็บเกล็ดงูใหญ่ซึงมีขนาดเกือบเท่ากระด้งกลับมาฝากเชษฐา เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าสามารถปราบงูยักษ์ทั้งสองตัวได้สำเร็จ

ภายหลังจากปราบงูใหญ่ได้สำเร็จตามสัญญา คณะเดินทางทั้งหมดพักอยู่ที่หมู่บ้านหล่มช้างราวหนึ่งเดือน รอจนกระทั่งอาการของเชษฐาดีขึ้นจนเกือบปกติ จึงออกเดินทางต่อโดยมีแต่รพินทร์ คณะนายจ้าง แงซายและพรานพื้นเมืองคู่ใจอีก 4 คนเท่านั้น ส่วนพวกลูกหาบให้เดินทางกลับหนองน้ำแห้ง ฝ่ายคะหยิ่นนั้นขอสวามิภักดิ์และติดตามไปกับคณะเดินทางด้วยด้วยความสำนึกในบุญคุณและความสามารถ เชษฐาจึงมอบปืนลูกซองเรมิงตัน โมเดล 870 แบบปั๊มแอคชั่นให้คะหยิ่นเป็นปืนคู่มือ

หลังจากส่งคณะลูกหาบกลับหนองน้ำแห้ง ราว 7 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น รพินทร์ก็นำคณะนายจ้างออกเดินทางจากหล่มช้าง บ่ายหน้าสู่เขาหัวแร้งทางตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะทางราว 20 กิโลเมตร โดยตั้งใจจะให้ถึงในเที่ยงของวันรุ่งขึ้น แงซายบอกว่าตนได้เคยผ่านเขาหัวแร้งเข้าไปในป่านรกดำแล้ว ราวเที่ยงวัน พบหลักฐานการเดินทางผ่านมาของพรานชดและหนานอิน และบทกลอนตัดพ้อชีวิตที่พรานชดเขียนไว้ที่แผ่นหินด้วยถ่าน พร้อมชื่อ วันเวลาที่พรานชดแวะพักแรม เช้าของวันต่อมาก็พบร่องรอยของมนุษย์ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนและเป็นใคร จนในที่สุด รพินทร์ แงซาย และพรานบุญคำก็ลงความเห็นว่าเป็นชนเผ่าสางเขียว คนป่าเผ่าดุร้ายหลงสำรวจ

นอกจากนี้คณะเดินทางยังได้พบร่องรอยการตั้งที่พักของมะราบรี (ชนเผ่าตองเหลือง) และการปะทะกันระหว่างสางเขียวและมราบรีในบริเวณใกล้ๆกัน และยังได้ปะทะกับกลุ่มสางเขียวซึ่งกำลังรุมฆ่ามราบรีสองคนอีกขนานใหญ่ ซึ่งรพินทร์สามารถช่วยชีวิตมราบรีคนหนึ่งไว้ได้ ส่วนลูกสาวของมราบรีคนนั้นถูกฆ่าตาย

ระหว่างออกเดินทางต่อ รพินทร์และคณะนายจ้างพบกับส่างปา พรานต่องสูผู้นำทางและคนรับใช้ของฝรั่งผิวขาว ที่หลงทางและกำลังหาทางเข้าประเทศไทย โดยเดินทางตัดผ่านทางแม่ฮ่องสอน และพบฝรั่งสองสามีภรรยา มาเรีย ฮอฟมัน และ ดร.สเตเกล ฮอฟมัน นักสำรวจสมุนไพร ฝ่ายรพินทร์เตือนดร.ฮอฟมันถึงเผ่าสางเขียว แต่ดร.ฮอฟมันไม่สู้จะใส่ใจนัก ทั้งสองคณะตกลงกันว่าจะพักอยู่ร่วมกันวันหนึ่ง แล้ววันมะรืนค่อยแยกทางกันต่อไป แต่แล้วในราวเที่ยงของวันถัดมานั่นเองก็เกิดเหตุร้ายขึ้น ขณะที่ดร.ฮอฟมันและมาเรียลงไปอาบน้ำที่ลำธาร และคณะเดินทางของเชษฐาพักผ่อนอยู่บนที่พัก ก็เกิดเสียงปืนดังขึ้นมาจากลำธารสองนัด

ดงมรณะ เล่ม 4

รพินทร์และคณะนายจ้างพุ่งลงไปที่ลำธารทันที และพบว่า ดร.ฮอฟมันถูกสางเขียวฆ่าด้วยหอกที่ลำธาร และมาเรียผู้เป็นภรรยาถูกจับตัวไป ส่างปาเข้าต่อสู้เพื่อช่วยเหลือนายสาวแต่ถูกธนูอาบยาพิษจากเผ่าสางเขียว ได้คะหยิ่นช่วยแก้พิษให้ คณะเดินทางปะทะกับเผ่าสางเขียวจนกระทั่งแงซายยิงธนูติดระเบิดขึ้น ขับไล่สางเขียวแตกหนีไป รพินทร์และคณะนายจ้างต่างมีความเห็นตรงกันในการออกติดตามช่วยเหลือและชิงตัวมาเรียกลับมาจากพวกสางเขียว พร้อมกับฆ่าสางเขียวตายเป็นจำนวนมาก ตกดึกคืนนั้น ปางพักของเชษฐาได้ถูกเจ้าลู ลูกชายของหัวหน้าเผ่าสางเขียวใช้ยารมด้วยหนังคางคกตากแห้งเพื่อทำให้สลบ แต่รพินทร์และเชษฐาคอยระวังตัวอยู่แล้วจากแผนการที่เจ้าเกอะ มราบรีที่รพินทร์ช่วยชีวิตเอาไว้ และเป็นพ่อของนางเที๊ยะ ที่ถูกสางเขียวฆ่าตายพร้อมกับกินหัวใจ 

รพินทร์จับเจ้าลูเป็นตัวประกันโดยติดต่อสื่อสารด้วยภาษาว้า และบังคับให้พาไปยังถิ่นของสางเขียว เพื่อเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนตัวกับมาเรีย แต่การเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ ซูซูผู้พ่อของเจ้าลูยอมแลกตัวกับมาเรีย แต่มุมบาหมอผีประจำเผ่าสางเขียวไม่ยอม จึงเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นระหว่างรพินทร์ คณะนายจ้างและเผ่าสางเขียว รพินทร์บุกเข้าชิงตัวมาเรียจากแท่นบูชายัญ มุมบาโดนเจ้าเกอะเอาหอกแทงตายแต่เจ้าเกอะก็โดนสางเขียวตัดหัวในทันทีเช่นกัน แงซายพลาดท่าโดนหอกของสาวเขียวที่สะบัก ทั้งหมดพากันหลบหนีจากถิ่นของสางเขียวเมื่อได้ตัวมาเรียกลับคืนมาแล้ว รพินทร์และคณะนายจ้างพากันถอยกลับอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ทันการเพราะฝ่ายสางเขียวยิงตอบโต้ด้วยธนูเพลิง เผาสะพานเชือกข้ามเหว เชษฐา ไชยยันต์และคนอื่นข้ามฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย เหลือเพียงรพินทร์และดารินที่ข้ามมาไม่ทัน

รพินทร์เกิดเป็นไข้จับสั่น แต่ก็พยายามพาดารินหลบหนีฝูงหมาในจำนวนมากที่ตามไล่ล่า ดารินเห็นผีนางเที๊ยะมาช่วยเหลือด้วยการนำทางไปหลบในถ้ำที่หน้าผาแห่งหนึ่ง ตลอดทั้งคืนดารินคอยดูแลรพินทร์และคอยระวังตัวจากฝูงหมาไน เจ้าลูพาสางเขาพยายามปีนขึ้นไปยังถ้ำแต่ก็ถูกดารินยิงเสียชีวิตด้วยปืนและกระสุนที่เหลือติดตัว รุ่งขึ้น แงซาย ไชยยันต์และคะหยิ่นข้ามฝั่งมาเพื่อช่วยเหลือและถล่มหมู่บ้านสางเขียวจนราบเป็นหน้ากลองด้วยธนูติดระเบิด ซูซูหัวหน้าเผ่าโดนระเบิดตาย สางเขียวที่เหลือขอยอมแพ้จึงเป็นการยุติการต่อสู้โดยสิ้นเชิง แงซายช่วยเหลือรพินทร์และดารินจากถ้ำที่หลบซ่อนตัวอย่างปลอดภัย ก่อนเดินทางกลับไปยังเขาหัวแร้ง

เมื่อกลับถึงปางพัก มาเรียขอติดตามร่วมเดินทางไปกับคณะเดินทางด้วย เชษฐามอบปืน .460 เวเธอร์บี แมกนั่มของ ดร.ฮอฟมันให้แงซายเป็นผู้ถือแทนปืน .375 เอฟเอ็น พร้อมกับให้ทดลองทางปืน (ขณะนั้นเหลือกระสุน 35 นัด) ส่วน .375 ของดารินมอบให้ส่างปาเป็นผู้ถือแทน แงซายทดลองทางปืนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่งรู้ภายหลังจากยิงกระสุนนัดแรกว่าเป็นต้นตะเคียน ตกตอนเย็นพรานพรานบุญคำที่ออกไปปลดทุกข์บริเวณนั้น วิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งแก่รพินทร์ถึงรอยปืนที่ต้นตะเคียน มียางไหลซึมออกมาสีแดงคล้ายเลือด

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เพชรพระอุมา เรื่องย่อ ตอนที่ 1 ไพรมหากาฬ

 ไพรมหากาฬ เป็นตอนที่หนึ่งของเพชรพระอุมาจำนวน 4 เล่ม ได้แก่ไพรมหากาฬ เล่ม 1 - 4



เรื่องย่อ

ไพรมหากาฬ เล่ม 1

ในช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง รพินทร์ ไพรวัลย์ พรานล่าสัตว์ หัวหน้าหมู่บ้านหนองน้ำแห้งได้นำสัตว์ที่ดักได้มาส่งแก่นายอำพล ผู้อำนวยการบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์ ที่สถานีส่งสัตว์ออกขายต่างประเทศ และได้รับการนำแนะจากนายอำพลให้รู้จักกับคณะเดินทางจากพระนคร ที่ต้องการว่าจ้างรพินทร์ ให้เป็นพรานนำทางเพื่อออกติดตามค้นหา หม่อมราชวงศ์อนุชา วราฤทธิ์ หรือพรานชด ซึ่งเป็นน้องของ พันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา วราฤทธิ์ พี่ชายของ หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ และเพื่อนของ พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย ผู้ซึ่งหายสาบสูญไปในป่าลึก คณะนายจ้างมีรายละเอียดข้อมูลเพียงคร่าว ๆ ที่พรานชดประชากร ออกเดินทางเข้าป่าเพื่อค้นหา "ขุมทรัพย์เพชรพระอุมา" ที่เป็นตำนานเล่าขาน โดยที่รพินทร์ ไพรวัลย์ ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับขุมทรัพย์เพชรพระอุมาที่เคยได้ยินจากหนานไพร ครูพรานของรพินทร์ให้คณะนายจ้างทราบ และข่าวคราวของพรานชด ที่เคยพบที่โป่งกระทิงในขณะที่พรานชดกับหนานอิน พรานคู่ใจกำลังจะออกเดินทางเพื่อค้นหาขุมทรัพย์เพชรพระอุมา

วันรุ่งขึ้นรพินทร์เสนอเงื่อนไขสัญญาจ้างในการเป็นพรานนำทางคือเงินสดจำนวนสองแสนบาท สำหรับดูแลแม่ที่แก่ชราและทรัพย์สมบัติหนึ่งในสามส่วนของขุมทรัพย์เพชรพระอุมาถ้าค้นหาพบ ก่อนออกเดินทางหนึ่งสัปดาห์คณะนายจ้างได้เตรียมสัมภาระในการเดินทาง อีกสองวันต่อมาจึงล่วงหน้ามายังหมู่บ้านหนองน้ำแห้งพร้อมกับสัมภาระ เสบียงที่ทยอยขนมาโดยรถจี๊ปของบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์ สำหรับอาวุธปืนชนิดต่าง ๆ และกระสุนจะมาถึงในวันรุ่งขึ้น รพินทร์นำพรานพื้นเมืองสี่คนได้แก่พรานบุญคำ พรานจัน พรานเกิดและพรานเส่ย พรานคู่ใจของเขาไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดพร้อมออกเดินทางเพื่อติดตามค้นหาบุคคลที่สูญหาย ได้มีกะเหรี่ยงพเนจรชื่อแงซาย มาสมัครเป็นคนรับใช้ ขอติดตามร่วมคณะนายจ้างไปโดยที่ไม่ต้องการค่าตอบแทน เชษฐาซักไซ้ไล่เลียงประวัติของแงซายและรับไว้ให้ร่วมคณะเดินทาง รุ่งขึ้นทั้งหมดออกจากหมู่บ้านหนองน้ำแห้งแต่เช้า ถึงเขาโล้นในตอนบ่าย รพินทร์จัดเกมส์เบา ๆ สำหรับทดสอบฝีมือในการยิงปืนให้คณะนายจ้างในการไล่ราวเลียงผา ซึ่งก่อนหน้านั้นในระหว่างการเดินทาง เชษฐายิงกวางได้หนึ่งตัว ไชยยันต์ยิงหมูป่าได้อีกหนึ่งตัวเพื่อใช้สำหรับเป็นเสบียงในการเดินทาง

คืนนั้นคณะนายจ้างถูกเสือโคร่งลายพาดกลอนชื่อไอ้กุด มาป้วนเปี้ยนแถวปางพัก รุ่งขึ้นรพินทร์จัดให้คณะนายจ้างขึ้นห้างยิงสัตว์ ตกดึกของคืนนั้นไอ้กุดมาลากลูกหาบไปเป็นเหยื่อหนึ่งคน ซึ่งเป็นศพลูกหาบศพแรกของการเดินทาง รพินทร์นั่งเฝ้าซากลูกหาบเพื่อล่อให้ไอ้กุดย้อนกลับมากินซาก เชษฐาเป็นคนเหนี่ยวไกปืนยิง 2 นัดซ้อนแต่กระสุนพลาดไม่โดนจุดที่สำคัญทำให้ไอ้กุดรอดไปได้ คณะนายจ้างจึงต้องออกตามล่าตัวไอ้กุดต่อ และรพินทร์เป็นคนเหนี่ยวไกปืนสังหารไอ้กุดได้สำเร็จ และออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังโป่งกระทิง ระหว่างการเดินทาง ไชยยันต์ยิงวัวแดงขนาดใหญ่ได้หนึ่งตัวพร้อมกับการที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดจากฝีมือการยิงของตนเอง รพินทร์และคณะนายจ้างปะทะกับโขลงช้างก่อนถึงโป่งกระทิงจนเกิดการต่อสู้ เชษฐายิงช้างใหญ่ล้มไปหนึ่งตัวและเป็นเหตุให้พญาคชสารหรือไอ้แหว่ง ช้างใหญ่เกเรที่ใบหูแหว่งข้างหนึ่งบุกมายังปางพักแรมของคณะนายจ้าง เช้าวันรุ่งขึ้นในขณะที่รพินทร์และคณะนายจ้างตามแกะรอยกระทิงในป่าผาก รพินทร์และดารินช่วยชีวิตแงซายจากเสือที่ซ้อนรอยสะกดตามรอยเท้าของแงซาย

ไพรมหากาฬ เล่ม 2

พรานบุญคำเดินทางกลับมาจากบริษัทไวล์ดไลฟ์ของนายอำพล ภายหลังจากที่นำหนังไอ้กุดไปมอบให้ในเวลาประมาณสี่โมงเย็น พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่ถูกโขลงของไอ้แหว่งถล่มปางพักที่พุบอนเมื่อสามชั่วโมงที่ผ่านมา ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโป่งกระทิง พรานบุญคำเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยการหลบเข้าไปในกอไผ่ แต่อินลูกหาบที่ติดตามไปด้วยเสียชีวิตคาที่ ในวันรุ่งขึ้นรพินทร์และคณะนายจ้างย้อนกลับไปยังตำแหน่งที่พรานบุญคำและอินถูกโขลงช้างถล่ม โดยมีพรานบุญคำเป็นผู้นำทาง พบเจอกับซากของอินที่เละจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ ปืนของพรานบุญคำหล่นอยู่บริเวณกอไผ่ ในระหว่างเดินทางกลับพบกับโขลงของไอ้แหว่ง รพินทร์พาเชษฐาไปดูช้างใหญ่ด้วยวิธีการคลานคืบแบบชนิดประชิดตัวกลางโขลงช้าง ซึ่งสร้างความตื่นตกใจระคนทึ่งในตัวของรพินทร์เป็นอย่างมาก แต่โขลงช้างได้กลิ่นมนุษย์ที่อยู่เหนือลม ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างโขลงของไอ้แหว่ง รพินทร์และคณะนายจ้างซึ่งยิงช้างใหญ่ล้มถึง 8 ตัว

ในวันรุ่งขึ้นของการเดินทาง รพินทร์นำคณะนายจ้างไปนั่งห้างที่เตรียมไว้โดยแบ่งเป็นคู่ ๆ คือคู่ที่หนึ่งรพินทร์และดาริน คู่ที่สองเชษฐากับพรานบุญคำและคู่ที่สามไชยยันต์กับเกิด ขณะนั่งห้างดารินแสดงฝีมือในการยิงปืนด้วยการยิงกระทิงโทนขนาดใหญ่ในตอนดึก แต่กลับถูกอาถรรพณ์ของป่าเล่นงานทั้งคืนจนต้องทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา เชษฐาที่นั่งห้างคู่กับพรานบุญคำโชคไม่ดีที่สัตว์ไม่เข้าทางปืนทำให้ไม่ได้อะไรติดมือกับปางพัก แต่สำหรับไชยยันต์เกิดไปยิงลูกกระทิงตายแต่แม่กระทิงกลายเป็นกระทิงลำบาก ถ้าปล่อยไว้จะเป็นอันตรายทำให้ไชยยันต์ต้องออกตามล่าแม่กระทิงที่ยิงไว้เมื่อคืนกับรพินทร์ แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น รพินทร์ถูกกระทิงเหยียบได้รับบาดเจ็บในขณะที่ไชยยันต์ยิงกระทิงลำบากซึ่งถูกเสือสามตัวรุมล้อมเล่นงานอยู่ได้สำเร็จ

คณะนายจ้างหยุดพักแรมหนึ่งคืนก่อนออกเดินทางต่อ รพินทร์ได้รับทราบข่าวของพรานชดจากแงซาย ที่เคยติดตามพรานชดจากห้วยเสือร้องไปยังหมู่บ้านหล่มช้าง แต่แงซายคลาดกับพรานชดเป็นระยะเวลา 5 วัน และเข้าเขตแดนดงมรณะอยู่ประมาณ 2 วัน ซึ่งแงซายโชคร้ายถูกงูพิษกัด แต่ได้พระธุดงค์มาช่วยชีวิตเอาไว้พร้อมกับเล่าเรื่องราวของเมืองมรกตนคร ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของแงซายให้คณะนายจ้างฟัง รุ่งขึ้นพรานพื้นเมืองของรพินทร์ นำเกวียนไปเอาเนื้อกระทิงและหนังเสือสามตัวที่ถูกไชยยันต์ยิงทิ้งไว้ตั้งแต่เช้ามืด รพินทร์แจ้งข่าวกะเหรี่ยงที่ผาเยิงโดนโขลงของไอ้แหว่งถล่มปางพักเสียราบเป็นหน้ากลอง ฝรั่งนักสำรวจชาวอเมริกัน จำนวน 3 คน นายแพทย์ที่มาสำรวจพืชพรรณเกี่ยวกับสมุนไพร นายทหารที่ร่วมเดินทางมาด้วยและกะเหรี่ยงนำทาง ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากการบุกถล่มของโขลงไอ้แหว่งแม้แต่คนเดียว

ตอนบ่ายของวันเดียวกัน รพินทร์พาเชษฐาไปดักยิงเสือ ขากลับได้งาช้างกำจัดซึ่งเป็นของหายากที่เกิดจากการที่ช้างเอางามาถูกับต้นไทรและหักคาลำต้นมาอันหนึ่ง รพินทร์เปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองให้เชษฐาฟังเกี่ยวกับพ่อที่เป็นพรานล่าสัตว์แต่เสียชีวิตด้วยโรคไข้มาลาเรียขึ้นสมอง และพาเชษฐาไปแอบดูช้างที่กำลังตกมันและเสือสองตัวต่อสู้เพื่อแย่งชิงเหยื่อที่ล่ามาได้โดยมองดูเฉย ๆ และไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับวงจรห่วงโซ่อาหารของสัตว์ภายในป่า แต่ในช่วงเวลาประมาณหัวค่ำ ช้างป่าที่กำลังตกมันในตอนบ่ายซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่รพินทร์พาเชษฐาไปแอบดู บุกเข้ามาถล่มปางพักของคณะนายจ้างและถูกแงซายยิงที่เนินน้ำเต้าล้มลงคาที่ คณะนายจ้างพักแรมที่โป่งกระทิงอีกเพียงคืนเดียวก็จะออกเดินทางต่อ ช่วงหัวค่ำเชษฐาเรียกให้แงซายมาพบและให้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดงมรณะให้ทุกคนฟัง แงซายเล่าถึงสัตว์และพืชที่มีขนาดใหญ่ที่พบเจอมาให้คณะนายจ้างฟัง ซึ่งเห็นเป็นเรื่องขบขันและไม่มีใครเชื่อตามคำบอกเล่าของแงซาย

ไพรมหากาฬ เล่ม 3

รพินทร์เล่าถึงเนวิน ผู้ที่มอบลายแทงขุมทรัพย์เพชรพระอุมาของมังมหานรธาให้แก่ตัวเอง ซึ่งออกเดินทางจากห้วยเสือร้องจำนวน 4 คน พร้อมด้วยอาวุธครบมือขาดแต่เครื่องเวชภัณฑ์และหายสาบสูญไป คืนนั้นในตอนดึก รพินทร์เป็นไข้จากบาดแผลที่ถูกวัวกระทิงเหยียบ ดารินช่วยปฐมพยาบาลและให้ยานอนหลับทำให้รพินทร์หลับสนิทจนไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปางพัก กลิ่นดอกลำเจียกตลบอบอวลทั่วทั่งปางพักพร้อมกับชีวิตของเลินลูกหาบ ที่เสียชีวิตปริศนาด้วยสภาพที่ถูกสูบเลือดออกจากตัวจนเกือบหมด เช้าวันรุ่งขึ้นรพินทร์และคณะนายจ้างจึงได้รู้ว่ามีลูกหาบภายในขณะเดินทางเสียชีวิต เมื่อทำการฝังศพเลินเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขตป่าหวาย แต่กลับเผชิญหน้ากับฝูงกองทัพลิงกังที่ดุร้ายจำนวนมาก รพินทร์ พรานพื้นเมืองคู่ใจทั้งสี่และคณะนายจ้างเปิดฉากต่อสู้กับกองทัพลิง ยิงลิงกังตายร่วมร้อยและสอยจากยอดไม้อีก 27ตัว ระหว่างออกเดินทางต่อพบรอยของไอ้แหว่งซึ่งล่วงหน้ามาก่อนประมาณ 2 วัน รพินทร์กับบุญคำแยกทางจากคณะนายจ้างเพื่อไปสำรวจร่องรอยของไอ้แหว่ง และนัดพบกันที่โป่งน้ำร้อนในตอนค่ำ และกลับมาพร้อมข่าวไอ้แหว่ง มีมหิงสาขนาดใหญ่ตัวหนึ่งเดินตามรอยของมัน

ในขณะพักแรมที่ปางพัก เกิดฝนตกหนักทำให้มีหมอกลงหนาทึบไปทั่วบริเวณ รพินทร์และคณะนายจ้างรอให้หมอกบางก่อนจึงจะออกเดินทางในเวลาเก้าโมงเช้า บ่ายหน้าไปยังหุบชมดโดยตั้งใจจะไปถึงในเวลาประมาณเที่ยง ระหว่างทางในการเดินทาง มีเสือดำซุ่มอยู่บนต้นไม้แต่ดารินส่องมองด้วยกล้องส่องทางไกลไม่เห็น รพินทร์เข้าช่วยเหลือด้วยการยิงจากปืน.270 ของดารินที่ติดกล้องขยายสี่เท่า[7] เมื่อถึงหุบชมดขบวนเกวียนทั้งหมดก็แยกทางกันโดยให้ขบวนเกวียนไปรอที่ห้วยยายทอง มีบุญคำเป็นผู้ควบคุมขบวนเกวียนไปยังป่าหวาย รพินทร์นำคณะนายจ้าง เกิดและแงซายที่ติดตามไปด้วยมุ่งหน้าออกเดินทางต่อไป ในช่วงหัวค่ำคณะนายจ้างได้มีโอกาสเห็นภาพงูเหลือมวิดน้ำหาปลา ในช่วงเวลาตอนใกล้รุ่งโขมดดงเข้ามายังปางพัก แงซายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพบและเกิดการยิงปะทะกันขึ้น โขมดดงถูกยิงได้รับบาดเจ็บหลบหนีไป รุ่งเช้ารพินทร์นำคณะนายจ้างและออกตามล่าโขมดดง แต่กลับพบแหล่งอัญมณีน้ำงามและบ่อพลอย และปราบโขมดดงได้สำเร็จและได้ทับทิมเม็ดงามจากท้องของโขมดดง รพินทร์มอบทับทิมให้เชษฐาเป็นผู้เก็บไว้แทน

ช่วงบ่ายรพินทร์นำคณะนายจ้างออกเดินทางต่อ ระหว่างทางได้เห็นภาพเสือดาวถูกงูเหลือมรัดจนตาย ช่วงเวลาก่อนพลบค่ำ รพินทร์พบรอยมหิงสาพร้อมรอยเลือดในปลักโคลน ซึ่งเกิดจากการที่เชษฐายิงโดนขาหลังซ้ายและบาดเจ็บหนีไป และหยุดพักในตอนค่ำที่ลำธารในเขตห้วยยายทอง สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเสือชุมที่สุดแห่งหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นรพินทร์และคณะนายจ้างได้ออกติดตามมหิงสาที่ลำบากด้วยฝีมือของเชษฐาที่ต้องมาจบชีวิตลงด้วยฝีมือการยิงของดาริน ด้วยปืน .470 แต่ในคืนนั้นในระหว่างพักแรมที่ปางพักซึ่งรพินทร์ตั้งใจจะนำคณะนายจ้างไปสมทบกับบุญคำที่ป่าหวาย แต่เกิดเหตุน้ำป่าไหลเข้าพังปางพัก พัดทุกคนกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง

ไพรมหากาฬ เล่ม 4

รพินทร์และดารินถูกน้ำป่าพัดมาสลบอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กัน ซึ่งเป็นระยะทางห่างจากปางพักประมาณ 30 กิโลเมตร แต่ถ้าเดินเลาะตามธารตัดป่าจะเป็นระยะทางเพียง 20 กิโลเมตร รพินทร์ยิงไก่เป็นอาหารเช้าให้ดารินและพยายามหาทางกลับยังปางพัก ดารินได้รพินทร์ช่วยชีวิตจากเสือดาวที่แอบซุ่มอยู่และกระโจนเข้าใส่ ตลอดระยะทางที่ระหกระเหินอยู่ภายในป่า รพินทร์พยายามปลอบขวัญดารินให้กลับคืนสู่ปกติด้วยการร้องเพลงนิ้งหน่องและแสดงอาการปกติตลอดระยะเวลาในการเดินทาง ทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดี ๆ ที่ดารินมีต่อรพินทร์

แต่รพินทร์และดารินกลับพบกับกองทัพหมาไนจำนวนมาก และต้องหลบหนีขึ้นต้นไทรใหญ่เพื่อหลบคมเขี้ยวแหลมคม รพินทร์และดารินอยู่บนต้นไทรใหญ่จนกองทัพหมาไนยอมล่าถอยจึงออกเดินทางต่อ จนพบถ้ำของเสือแม่ลูกอ่อนที่ทิ้งลูกเสือจำนวนสามตัวไว้หน้าถ้ำเพื่อหาอาหาร ดารินเห็นความน่ารักของลูกเสือจึงตรงไปจับและลูบคลำด้วยความเอ็นดู แต่ปัญหาใหญ่กลับตามมาเมื่อรพินทร์ให้รีบหนีจากลูกเสือเพราะกลิ่นตัวของดารินไปติดตามขนและลำตัว ถ้าเสือแม่ลูกอ่อนกลับมาและได้กลิ่นแปลกปลอมจากตัวลูกจะออกตามไล่ล่าผู้ที่มีกลิ่นเดียวกับลูกของมัน จึงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการฆ่าลูกเสือทั้งสามทิ้ง เมื่อเสือแม่ลูกอ่อนกลับมาพบลูกตายเกลื่อน ด้วยความโกรธจึงย้อนกลับไปกัดคนตัดไม้ริมชายป่าเสียชีวิต 3 คน และลากมายังต้นตะเคียนที่รพินทร์และดารินหลบซ่อนอยู่

ดารินเห็นชายตัดไม้ที่เสียชีวิตเป็นศพที่สาม ขี่คร่อมอยู่บนหลังเสือพร้อมกับชี้บอกตำแหน่งของดารินบนต้นตะเคียนด้วยอาถรรพณ์ของป่าและความโกรธแค้นของเสือ รพินทร์ปลอบขวัญดารินและยิงเสือแม่ลูกอ่อนในขณะที่กำลังกระโจนเข้าใส่ แล้วมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านคนตัดไม้เพื่อขอความช่วยเหลือ ระหว่างทางดารินถูกงูเหลือมรัด และได้รพินทร์ช่วยเหลือจึงถูกงูเหลือมกัดแทน จนหาทางออกจากป่าได้สำเร็จและพบกับโต๊ะถะ กะเหรี่ยงหัวหน้าหมู่บ้านผาเยิง ซึ่งช่วยออกตามหาเชษฐาและคนอื่นที่หลงเหลืออยู่ แงซายที่ถูกน้ำพัดไปพบกับบุญคำและเกิด จึงพากันเดินเลาะชายป่ามาสบทบกับรพินทร์ที่ผาเยิง ซึ่งเกิดปัญหาใหญ่ในการถูกเสือรบกวน บุกเข้ามาทำร้ายและคาบเอาพวกกะเหรี่ยงผาเยิงที่ออกไปตัดไม้ไปเป็นเหยื่อ รพินทร์รับปากจะช่วยเหลือในการปราบเสือ

คืนนั้นรพินทร์นำคณะนายจ้างออกไปปราบเสือตามสัญญากับกะเหรี่ยงผาเยิง ดารินยิงเสือได้มากกว่าใครและเป็นการยิงในระยะกระชั้นชิดในขณะที่กำลังกระโจนเข้าใส่ รวมจำนวนเสือทั้งหมดที่คณะนายจ้างยิงได้คือ 16 ตัว วันรุ่งขึ้นรพินทร์และคณะนายจ้างออกเดินทางจากห้วยแม่เลิง โดยยึดเอาตำแหน่งสันเขาในการมุ่งหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตลอดระยะการเดินทาง ซึ่งเต็มไปด้วยความลำบาก แงซายเข้าช่วยเหลือการเดินทางด้วยการตอกทอยเพื่อตัดหน้าผาสูงชันและช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางได้ 30 กิโลเมตร พักค้างแรกที่บนภูเขาที่มีทะเลสาบหนึ่งคืนก่อนจะลัดเลาะลงขอบหุบหมาหอน ถึงป่าพรุซึ่งมีดงทากจำนวนมาก แต่ดารินยืนกรานกระต่ายขาเดียวด้วยความกลัวจนรพินทร์ต้องช่วยเหลือด้วยการให้น้ำมันกันทากทาจึงยอมผ่านดงทากถึงบึงใหญ่ที่มีจระเข้จำนวนมาก นอนผึ่งแดดและลอยคออยู่ในน้ำ

เพชรพระอุมา จากนามปากกาของพนมเทียน

 


เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของนายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน

เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มซ้ำใหม่หลาย ๆ ครั้งในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ก จำนวน 48 เล่ม โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน (เดิมเป็นชนิดปกแข็งจำนวน 53 เล่ม แต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 33 ยก หรือ 16 หน้ายก และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจะมีความหนาประมาณ 1,749 ยก แบ่งเป็นสามภาคได้แก่ ภาคแรก จำนวน 24 เล่ม ภาคสอง จำนวน 15 เล่ม และ ภาคสาม จำนวน 14 เล่ม แต่ปัจจุบันได้รวบรวมเนื้อหาในแต่ละภาคและลดลงคงเหลือเพียงแค่ 48 เล่ม) [4] แบ่งเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2541 และทำการปรับปรุงต้นฉบับเดิมพร้อมกับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2544 และตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2547 อีกทั้งยังมีการทำเป็น eBook โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ในปี พ.ศ. 2556

โดยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้นำเค้าโครงเรื่องมาจาก คิงโซโลมอนส์ไมนส์ (King Solomon's Mines) หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์เฮนรี ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกา

จุดเริ่มต้นของเพชรพระอุมา

พนมเทียนเริ่มต้นการเขียนเพชรพระอุมาในปี พ.ศ. 2507 โดยตกลงทำข้อสัญญากับสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา (ซึ่งปัจจุบันสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ได้ยุติกิจการไปแล้ว) ในการเขียนนวนิยายแนวผจญภัยในป่าจำนวนหนึ่งเรื่อง โดยมีข้อกำหนดความยาวของนวนิยายเพียงแค่ 8 เล่มจบเท่านั้น แต่กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทำให้ต้องเขียนเพชรพระอุมาเพิ่มเติมต่อจนครบ 10 เล่ม และขอยุติการเขียนตามข้อสัญญา[6] แต่ทางสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยายังไม่อนุญาตให้พนมเทียนยุติการเขียน และได้ขอร้องให้เขียนเพิ่มเติมต่ออีก 5 เล่ม พร้อมกับบอกกล่าวถึงความนิยมของนักอ่านที่มีต่อเพชรพระอุมา ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนต้องมีการตีพิมพ์ซ้ำหลาย ๆ ครั้งด้วยกันในระยะปลาย ๆ ของเล่มที่ 10[6] จนสถิติการตีพิมพ์และการจัดจำหน่ายของนวนิยายเรื่องนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และได้รับการตอบรับจากนักอ่านหลาย ๆ รุ่นเป็นอย่างดีในการช่วยขัดเกลาเนื้อเรื่องของเพชรพระอุมา และแจ้งเตือนแก่พนมเทียนถึงชื่อตัวละครหรือสถานที่ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาที่มีการผิดพลาด

เพชรพระอุมาออกวางจำหน่ายในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ก เป็นแบบรายวันคือ 10 วัน ต่อหนังสือ 1 เล่ม และยังคงดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปจนถึงเล่มที่ 40 จนกระทั่งมีความยาวถึง 98 เล่ม เนื้อเรื่องก็ยังไม่สามารถจบลงได้[6] จนกระทั่งเพชรพระอุมาฉบับพ็อตเก็ตบุ๊กเล่มที่ 99 ได้ออกวางจำหน่ายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 จึงได้รับการตีพิมพ์ต่อเนื่องใน "จักรวาลรายสัปดาห์" ในปี พ.ศ. 2513 เป็นระยะเวลา 5 ปี และตีพิมพ์ต่อเนื่องใน "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์" ในปี พ.ศ. 2518 เป็นระยะเวลาอีก 6 ปี พนมเทียนก็ยังไม่สามารถจบเรื่องราวการผจญกัยในป่าของเพชรพระอุมา จนกระทั่งได้รับการตีพิมพ์ต่อใน "จักรวาลปืน" ในปี พ.ศ. 2525 อีก 8 ปี เรื่องราวทั้งหมดจึงสามารถจบลงได้ในปี พ.ศ. 2533

ระยะเวลาในการเขียน

เพชรพระอุมาใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี[8] ซึ่งระยะเวลาที่ยาวนานนั้นมาจากการที่พนมเทียนเป็นนักเขียนอาชีพ และยึดถือเอาสิ่งสำคัญที่สุดของงานเขียนก็คือผู้อ่าน[9] โดยตราบใดที่งานเขียนของตนเองยังคงได้รับความนิยมและมีผู้สนใจติดตามอ่าน ตราบนั้นความสุขใจในการเขียนก็เป็นสิ่งที่มีความสุขมากที่สุดของพนมเทียน ทำให้เนื้อเรื่องของเพชรพระอุมาถูกสร้างสรรค์และเขียนแต่งขึ้นตามจินตนาการ ร่วมกับประสบการณ์ในการเดินป่าอย่างละเอียดลออ จนกระทั่งมีความยาวมากทั้งภาคแรกและภาคสมบูรณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ สามารถจินตนาการตามตัวอักษรและสร้างอารมณ์ร่วมในการติดตามเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องของตัวละครต่าง ๆ ได้

พนมเทียนนั้นมีวิธีการเขียนเนื้อเรื่องเพชรพระอุมาในรูปแบบการเขียนของตนเอง ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยพยายามเขียนบรรยายถึงลักษณะท่าทาง ตลอดจนอากัปกิริยาต่าง ๆ ของตัวละครทุกตัวที่ปรากฏในเพชรพระอุมา โดยไม่ยอมให้เป็นการเขียนที่เรียกได้ว่าเขียนแบบผ่านเลยไป ทำให้ผู้อ่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดไม่ได้อรรถรสและความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง แต่พนมเทียนจะเขียนโดยแจกแจงอากัปกิริยาทุกขณะและทุกฝีก้าวของตัวละคร เพื่อให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นการกระทำต่างหรือการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่นกระทิงหรือเสือโคร่งถูกรพินทร์ ไพรวัลย์ยิงล้มลง ก็จะเขียนบรรยายเริ่มตั้งแต่รพินทร์และคณะเดินทางพบเจอกับสัตว์ เกิดการต่อสู้หรือติดตามแกะรอยจนถึงประทับปืนและเหนี่ยวไกยิง จนกระทั่งสัตว์นั้นล้มลงเสียชีวิต หรือแม้แต่การพูดจาเล่นลิ้นยั่วยวนกวนประสาทของแงซายและรพินทร์ ไพรวัลย์ จนถึงการพร่ำพรรณนาคำรักหวานซึ้งระหว่างไชยยันต์ อนันตรัยและมาเรีย ฮอฟมัน พนมเทียนก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนสามารถทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าในขณะนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จนทำให้เพชรพระอุมากลายเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก

ความเป็นมาของโครงเรื่อง

ปกหนังสือนวนิยายเรื่องคิงโซโลมอนส์ไมนส์

โครงเรื่องของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้เค้าโครงเรื่องมาจากแนวความคิดของเรื่องคิงโซโลมอนส์ไมนส์ ของ เซอร์ฯ แฮกการ์ด ซึ่งเป็นเค้าโครงของการผจญภัยเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง โดยก่อนหน้าที่พนมเทียนจะเขียนเพชรพระอุมาก็ได้มีการวางโครงเรื่องคร่าว ๆ ไว้เช่นเดียวกับงานเขียนอื่น ๆ ซึ่งโครงเรื่องคร่าว ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนวางเอาไว้เพียงเล็กน้อยโดยกำหนดให้เป็นเรื่องราวการผจญภัยในป่าของนายพรานผู้นำทางคนหนึ่งเท่านั้น

และต่อมาภายหลังได้เขียนเนื้อหาสำคัญของโครงเรื่องเพิ่มเติม จนกลายเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางและการผจญภัยของพรานป่า ที่รับจ้างวานนำทางในการออกติดตามค้นหาผู้สูญหายยังดินแดนลึกลับและเต็มไปด้วยอาถรรพณ์แห่งป่า พร้อมกับขุมทรัพย์เพชรพระอุมาอันเป็นตำนานเล่าขาน ก่อนออกเดินทางมีกะเหรี่ยงพเนจรมาขอสมัครเป็นคนรับใช้และขอร่วมติดตามไปกับคณะเดินทางด้วย จนกระทั่งเมื่อบุกป่าฝ่าดงและอันตรายต่าง ๆ ไปถึงจุดหมายปลายทางความจริงก็ปรากฏว่า กะเหรี่ยงลึกลับที่ร่วมเดินทางมาด้วยนั้นกลายเป็นรัชทายาทที่แท้จริงของเมืองมรกตนคร เมืองลับแลที่ไม่ปรากฏในแผนที่ พรานผู้นำทางและคณะเดินทางได้ช่วยกันทวงชิงและกอบกู้ราชบัลลังก์คืนให้แก่กะเหรี่ยงลึกลับได้สำเร็จพร้อมกับได้พบขุมทรัพย์เพชรพระอุมาที่เป็นตำนานเล่าขานมาแต่โบราณ

จากโครงเรื่องเดิมของคิงโซโลมอนส์ไมนส์ เพียงแค่ 4 บรรทัดเท่านั้น แต่พนมเทียนสามารถนำมาเขียนเป็นเพชรพระอุมาโดยเล่าเรื่องราวการเดินป่า การดำรงชีวิตและการล่าสัตว์ รวมทั้งภูมิประเทศในป่าดงดิบด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ไปจนจรดชายแดนพม่าและน่าจะล่วงเลยไปถึงแถบเทือกเขาหิมาลัย (เพราะในตอนท้ายเรื่องมีฉากที่ต้องอยู่ในภูมิประเทศที่มีหิมะตก) ในปัจจุบัน โดยดึงประเด็นจุดสำคัญของชีวิตการเดินป่าของตนเองที่เคยผ่านมาก่อนผสมเข้าในไปโครงเรื่องของเพชรพระอุมาด้วย

ต้นแบบของโครงเรื่อง

พนมเทียนนำเอาความรู้ความชำนาญในการเดินป่า การดำรงชีวิตและการล่าสัตว์จากประสบการณ์จริงของตนเอง มาเป็นพื้นฐานในการเขียนนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา โดยเค้าโครงเรื่องและส่วนประกอบต่าง ๆ ได้นำมาจากเรื่องเล่าขานและสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากนักท่องไพรรุ่นอาวุโส หรือเรื่องเล่ารอบกองไฟของพรานพื้นเมืองต่าง ๆ ยามพักผ่อนภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการล่าสัตว์และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

เพชรพระอุมามีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่พนมเทียนนำมาเป็นต้นแบบของโครงเรื่อง ดังนี้[11]

  1. นำมาจากประสบการณ์การเดินป่าของตนเองส่วนหนึ่ง
  2. เก็บเรื่องเล่าจากการล้อมวงรอบกองไฟของพรานพื้นเมืองและนักท่องไพรต่าง ๆ
  3. เรื่องเล่าเก่า ๆ จากบรรพบุรุษ ถึงความลึกลับและอาถรรพณ์ต่าง ๆ ของป่าในวัยเด็ก
  4. เกิดจากแรงสร้างสรรค์และจินตนาการของตนเอง

ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 ดังกล่าวข้างต้น เมื่อนำมาเขียนเพชรพระอุมา พนมเทียนก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ อารมณ์และจินตนาการของตัวละครในนวนิยายได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งต้นแบบของโครงเรื่อง ก็มาจากประสบการณ์จริงบวกกับจินตนาการของพนมเทียนนั่นเอง

โครงเรื่อง

เพชรพระอุมาเป็นนวนิยายที่มีความยาวทั้งสิ้น 48 เล่ม 12 ตอน แบ่งออกเป็นสองภาคคือภาคแรกและภาคสมบูรณ์ ภาคละ 24 เล่ม จำนวน 6 ตอน ซึ่งภาคแรกของเพชรพระอุมาได้แก่ ไพรมหากาฬ, ดงมรณะ, จอมผีดิบมันตรัย, อาถรรพณ์นิทรานคร, ป่าโลกล้านปีและแงซายจอมจักรา สำหรับภาคสมบูรณ์ได้แก่ จอมพราน, ไอ้งาดำ, จิตรางคนางค์, นาคเทวี, แต่ปางบรรพ์และมงกุฎไพร ซึ่งเค้าโครงเรื่องในภาคแรกและภาคสมบูรณ์ของเพชรพระอุมามีดังนี้

ภาคแรก

เพชรพระอุมาเป็นเรื่องราวการผจญภัยในดินแดนลึกลับที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ เรื่องราวแปลกประหลาดต่าง ๆ ในป่าดงดิบของรพินทร์ ไพรวัลย์ พรานป่าผู้รับจ้างนำทางในการออกติดตามค้นหาผู้สูญหายของคณะนายจ้างชาวเมือง ที่มี พันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา วราฤทธิ์ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางพร้อมด้วย หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ น้องสาวคนเล็ก และ พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย เพื่อนชายคนสนิท โดยมีพรานบุญคำ พรานจัน พรานเกิดและพรานเส่ย พรานป่าคู่ใจของรพินทร์ ไพรวัลย์ จำนวน 4 คน และแงซาย กะเหรี่ยงลึกลับที่มาขอสมัครเป็นคนรับใช้เพื่อขอร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย

การเดินทางเต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตรายนานาชนิด ที่ทำให้คณะเดินทางต้องเสี่ยงภัยและเผชิญกับสัตว์ร้ายในป่าดงดิบ อาถรรพณ์ของป่า นางไม้ ภูตผีปีศาจหรือแม้แต่สัตว์ประหลาด ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนตลอดระยะเวลาในการเดินทาง พลัดหลงเข้าไปในดินแดนลึกลับของอาณาจักรนิทรานคร ต่อสู้กับจอมผีดิบร้ายมันตรัยที่มีพละกำลังกล้าแข็งและมีอำนาจอย่างแรงกล้า ผ่านห้วงเวลาเหลื่อมซ้อนกันจนหลุดผ่านเข้าไปในยุคของโลกดึกดำบรรพ์ และค้นพบปริศนาความจริงของกะเหรี่ยงลึกลับในฐานะคนรับใช้และองค์รักษ์ประจำตัวของดาริน ที่ติดสอยห้อยตามคณะเดินทางมายังเนินพระจันทร์และมรกตนคร ซึ่งฐานะที่แท้จริงของแงซายถูกเปิดเผยและคณะเดินทางของเชษฐาได้พบเจอกับบุคคลที่ออกติดตามค้นหารวมทั้งช่วยกันกอบกู้บัลลังก์คืนให้แก่แงซายจนสำเร็จ

ภาคสมบูรณ์

ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจและเดินทางกลับจากเมืองมรกตนครของแงซาย รพินทร์ ไพรวัลย์ ได้ถูกว่าจ้างให้ออกติดตามหาเครื่องบินที่สูญหายพร้อมด้วยระเบิดนิวเคลียร์อีกครั้ง รพินทร์จำใจรับจ้างเป็นพรานผู้นำทางออกติดตามค้นหาซากเครื่องบินที่สูญหายไปจากแผนที่ประเทศไทย โดยมีชาวต่างชาติจำนวน 4 คน เป็นผู้ว่าจ้าง แต่เมื่อเชษฐาและดารินซึ่งเป็นอดีตนายจ้างของรพินทร์ ได้ทราบข่าวการรับจ้างเป็นพรานผู้นำทางของรพินทร์ ก็เกรงว่าจะถูกฆ่าทิ้งเมื่อทำงานเสร็จสิ้น เนื่องจากเป็นงานลับขององค์กร จึงออกติดตามคณะนายจ้างใหม่ของรพินทร์

การติดตามค้นหารพินทร์และคณะนายจ้างฝรั่ง คณะเดินทางของเชษฐาได้เผชิญหน้ากับมันตรัยที่ฟื้นคืนชีพที่อาณาจักรนิทรานคร และกับเล่าถึงอดีตชาติของดารินและรพินทร์ที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตในชาติปางก่อน รวมทั้งพยายามล่อลวงเอาตัวดารินไปยังอาณาจักรนิทรานคร เพื่อให้ได้ในตัวของจิตรางคนางค์หรือดารินในชาติปัจจุบัน แต่ก็ได้เชษฐาและไชยยันต์มาช่วยเหลือไว้อย่างทันท่วงที และปราบมันตรัยด้วยบ่วงนาคบาศก์ได้สำเร็จ รพินทร์นำคณะนายจ้างฝรั่งบุกป่าเพื่อค้นหาซากเครื่องบินและระเบิดนิวเคลียร์จนพบ โดยได้รับความช่วยเหลือจากแงซายในรูปของจิตใต้สำนึก จนภายหลังทั้ง 2 คณะได้เดินทางมาพบกันที่เมืองมรกตนคร แงซายรวบรัดให้ดารินและรพินทร์แต่งงานกันที่เมืองมรกตนคร ก่อนจะอำลากันเป็นครั้งสุดท้ายในการพบกันระหว่างบุคคลทั้งหมด

การตีพิมพ์เพชรพระอุมา

เพชรพระอุมาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊กจำนวน 98 เล่ม ต่อมาได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารจักรวาลรายสัปดาห์ โดยตีพิมพ์ต่อเนื่องจากสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยาตั้งแต่เล่มที่ 99 ต่อเนื่องจนถึงเล่มที่ 268 ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 และฉบับรวมเล่มจำนวน 22 เล่ม แบ่งเป็น

  • เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ ฉบับรวมเล่ม จำนวน 4 เล่ม และ
  • เพชรพระอุมา ตอนมรกตนคร ฉบับรวมเล่ม จำนวน 18 เล่ม

ต่อมาได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ชวนะบุตร ในปี พ.ศ. 2518 จำนวน 22 เล่ม แบ่งเป็นตอน ๆ รวมทั้งสิ้น 5 ตอน ได้แก่ เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ จำนวน 5 เล่ม, ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม, ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม, ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 5 เล่ม และตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม และได้รับการตีพิมพ์เพชรพระอุมาภาคสมบูรณ์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ภายหลังจากพนมเทียนเขียนเพชรพระอุมาภาคแรกจบ โดยเริ่มเพชรพระอุมา ตอน จอมพราน ในวันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2519 ถึงวันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2525 และได้นำภาคแรกมาตีพิมพ์ซ้ำจนจบในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2527 และตีพิมพ์ภาคสามของเพชรพระอุมา ตอน มงกุฎไพร ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 ถึง พ.ศ. 2533 โดยนิตยสารจักวาลปืน

เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งโดยสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ปัจจุบันตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน แบ่งการตีพิมพ์เป็นสองครั้งด้วยกัน โดยตีพิมพ์ครั้งแรก 48 เล่ม ภาคแรกจำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ 24 เล่ม 5 ตอน ดังนี้

ภาคแรก
  1. ตอน ไพรมหากาฬ จำนวน 4 เล่ม
  2. ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม
  3. ตอน จอมผีดิบมันตรัย จำนวน 4 เล่ม
  4. ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม
  5. ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 4 เล่ม
  6. ตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม
ภาคสมบูรณ์
  1. ตอน จอมพราน จำนวน 4 เล่ม
  2. ตอน ไอ้งาดำ จำนวน 5 เล่ม
  3. ตอน นาคเทวี จำนวน 5 เล่ม
  4. ตอน แต่ปางบรรพ์ จำนวน 5 เล่ม
  5. ตอน มงกุฎไพร จำนวน 5 เล่ม

และตีพิมพ์ครั้งปัจจุบัน 48 เล่ม ภาคแรกจำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ 24 เล่ม 6 ตอน ดังนี้

ภาคแรก
  1. ตอน ไพรมหากาฬ จำนวน 4 เล่ม
  2. ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม
  3. ตอน จอมผีดิบมันตรัย จำนวน 4 เล่ม
  4. ตอน อาถรรพ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม
  5. ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 4 เล่ม
  6. ตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม
ภาคสมบูรณ์
  1. ตอน จอมพราน จำนวน 4 เล่ม
  2. ตอน ไอ้งาดำ จำนวน 4 เล่ม
  3. ตอน จิตรางคนางค์ จำนวน 4 เล่ม
  4. ตอน นาคเทวี จำนวน 4 เล่ม
  5. ตอน แต่ปางบรรพ์ จำนวน 4 เล่ม
  6. ตอน มงกุฎไพร จำนวน 4 เล่ม

ปลายปี พ.ศ. 2556 เพชรพระอุมาได้จัดทำเป็นรูปแบบ eBook เป็นครั้งแรกโดยแพรวสำนักพิมพ์ โดยเริ่มเปิดตัวภาคแรกในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 18 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556 และเริ่มจำหน่ายในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 พร้อมกันที่ร้านนายอินทร์และ Naiin.com โดยแบ่งเป็น 2 ภาค 12 ตอน 48 เล่มเหมือนหนังสือ โดยที่ผู้อ่านต้อง download Application Naiin Pann และใส่ code ของหนังสือแต่ละตอนลงใน Application

เนื้อเพลง