นิราศเมืองแกลง
นิราศเมืองแกลง เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ เป็นนิราศเรื่องแรกของเขาที่ได้แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2349 มีใจความกล่าวถึงการเดินทางโดยเรือเพื่อไปยังเมืองแกลง โดยมีศิษย์ 2 คนร่วมโดยสารไปด้วยกัน คือ น้อยกับพุ่ม และมีผู้นำทางชื่อนายแสง เป้าหมายการเดินทางของสุนทรภู่ไม่ปรากฏแน่ชัด บ้างว่าเขาต้องการไปบวชกับบิดา บ้างว่าเขาเดินทางไปขอเงินเพื่อกลับมาแต่งงาน นักวิชาการยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าสุนทรภู่กลับไปทำไม แต่ทางจังหวัดระยองได้นำเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นไปสร้างเป็นอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่เมืองแกลง
เนื้อหาโดยย่อ และเส้นทางการเดินทาง
ปีพ.ศ. 2349 หลังจากกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคต สุนทรภู่ซึ่งถูกจองจำอยู่เหตุจากการลอบรักใคร่กับแม่จัน จึงได้รับการปล่อยตัวเป็นการถวายพระกุศล
สุนทรภู่ถูกใช้ไปราชการด่วนจนถึงกับไม่มีเวลาไปบอกลาแม่จันได้เลย ผู้ร่วมทางของสุนทรภู่ในการเดินทางคราวนี้ ได้แก่ นายแสง เป็นผู้นำทาง และน้อยกับพุ่ม ศิษย์น้องสองคน ทั้งหมดล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ลัดเลาะคลองบางนาไปออกมาแม่น้ำบางปะกงแล้วลงสู่ทะเล เลียบริมทะเลไปขึ้นฝั่งที่บริเวณหาดบางแสน จากนั้นจึงเดินเท้าต่อ สุนทรภู่ได้แวะพักที่บ้านขุนรามอยู่เป็นหลายวัน ก่อนจะออกเดินทางต่อไปเมืองแกลง ซึ่งในเวลานั้นเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่ในป่าทึบ หนทางจะไปถึงนั้นแสนกันดารและเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งคณะเดินทางกันต่อจนไปถึงเมืองระยอง ถึงตรงนี้ นายแสงมิได้ร่วมเดินทางต่อไปด้วย
สุนทรภู่กับน้องทั้งสองเดินทางต่อไปอีกจนถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง ได้พบบิดาของตนซึ่งบวชเป็นพระมาตลอดนับแต่สุนทรภู่เกิด สุนทรภู่ได้ถือศีลกินเจอยู่กับบิดาพักหนึ่ง แล้วเกิดล้มป่วยเป็นไข้ ต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือนกว่าจะเดินทางกลับมาถึงพระนครศรีอยุธยา
โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย | |
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย | ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา |
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า | ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา |
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา | ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน |
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท | จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร |
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร | ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน |
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม | น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์ |
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ | จะพากันแรมทางไปต่างเมือง |
๏ ถึงยามสองล่องลำนาวาเลื่อน | พอดวงเดือนดั้นเมฆขึ้นเหลืองเหลือง |
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรือง | แลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา |
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้า | จะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา |
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดา | โอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง |
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์ | สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง |
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วัง | เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย |
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย | เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส |
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพร | ให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแพ้วพาน |
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ | แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน |
มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจาน | ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง |
โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ย | นึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์ |
จะลำบากยากแค้นไปแดนดง | เอาพุ่มพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน ฯ |
๏ ถึงย่านยาวดาวคะนองคะนึงนิ่ง | ยิ่งดึกยิ่งเสียใจใครจะเหมือน |
พระพายพานซ่านเสียวทรวงสะเทือน | จนเดือนเคลื่อนคล้อยดงลงไรไร |
โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่ | กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย |
เห็นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจ | เดือนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์ |
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้ | คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร |
หอมสุคนธ์ปนกายขจายจร | โอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย |
ถึงบางผึ้งผึ้งรังก็รั้งร้าง | พี่ร้างนางร้างรักสมัครหมาย |
มาแสนยากฝากชีพกับเพื่อนชาย | แม่เพื่อนตายมิได้มาพยาบาล |
ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้น | ดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน |
เขาแจวจ้วงล่วงแล่นแสนสำราญ | มาพบบ้านบางระเจ้ายิ่งเศร้าใจ |
อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวน | จนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย |
ศศิธรอ่อนอับพยับไพ | ถึงเซิงไทรศาลพระประแดงแรง |
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาล | ลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแหง |
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง | เจ้าจงแจ้งใจภัคนีที |
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต | ใช่จะคิดอายอางขนางหนี |
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี | ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป |
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ | ดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส |
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจ | พอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง |
เห็นเพื่อนเรือเรียงรายทั้งชายหญิง | ดูก็ยิ่งทรวงช้ำเป็นน้ำหนอง |
ไม่แม้นเหมือนคู่เชยเคยประคอง | ก็เลยล่องหลีกมาไม่อาลัย |
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด | ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล |
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไป | นี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา |
ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝั่งซ้าย | ตะวันฉายแสงส่องต้องพฤกษา |
ออกสุดบ้านถึงทวารอรัญวา | เป็นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน |
ลมระริ้วปลิวหญ้าคาระยาบ | ระเนนนาบพลิ้วพลิกกระดิกหัน |
ดูโล่งลิ่วทิวรุกขะเรียงรัน | เป็นเขตคันขอบป่าพนาลัย ฯ |
๏ ถึงทับนางวางเวงฤทัยวับ | เห็นแต่ทับชาวนาอยู่อาศัย |
นางชาวนาก็ไม่น่าจะชื่นใจ | คราบขี้ไคลคร่ำคร่าดังทาคราม |
อันนางในนคราถึงทาสี | ดีกว่านางทั้งนี้สักสองสาม |
โอ้พลัดพรากจากบุรินแล้วสิ้นงาม | ยิ่งคิดความขวัญหายเสียดายกรุง |
ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ | ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง |
เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุง | ต้องลากจุงจ้างควายอยู่รายเรียง |
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียด | เข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง |
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียง | บ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวาย |
โอ้เรือเราคราวเข้าไปติดแห้ง | เห็นนายแสงผู้เป็นใหญ่ก็ใจหาย |
นั่งพยุงตุ้งก่านัยน์ตาลาย | เห็นวุ่นวายสับสนก็ลนลาน |
น้อยกับพุ่มหนุ่มตะกอถ่อกระหนาบ | เสียงสวบสาบแทรกไปด้วยใจหาญ |
นายแสงร้องรั้งไว้ไม่ได้การ | เอาถ่อกรานโดยกลัวจนตัวโกง |
สงสารแสงแข็งข้อไม่ท้อถอย | พุ่มกับน้อยแทรกกลางเสียงผางโผง |
ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกรง | นาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคม |
จนตกลึกล่วงทางถึงบางโฉลง | เป็นทุ่งโล่งลานตาล้วนป่าแขม |
เหงือกปลาหมอกอกกกับกุ่มแกม | คงคาแจ่มเค็มจัดดังกัดเกลือ |
ถึงหัวป่าเห็นป่าพฤกษาโกร๋น | ดูเกรียนโกรนกรองกรอยเป็นฝอยเฝือ |
ที่กิ่งก้านกรานกีดประทุนเรือ | ลำบากเหลือที่จะร่ำในลำคลอง |
ถึงหย่อมย่านบ้านไร่อาลัยเหลียว | สันโดษเดียวมิได้พบเพื่อนสนอง |
เขารีบแจวมาในนทีทอง | อันบ้านช่องมิได้แจ้งแห่งตำบล |
ถึงคลองขวางบางกระเทียมสะท้านอก | โอ้มาตกอ้างว้างอยู่กลางหน |
เห็นแต่หมอนอ่อนแอบอุระตน | เพราะความจนเจียวจึงจำระกำใจ |
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ป่าแสม | ตะลึงแลปูเปี้ยวเที่ยวไสว |
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพร | ฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม |
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวาก | ข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม |
เข้าสร้างศาลเทพาพยายาม | กระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา |
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้ | โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา |
สักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลา | เห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก |
โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก | ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม |
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ | ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน |
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง | เขาว่าลิงจองหองมันพองขน |
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลน | เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง |
ถึงชะวากปากคลองเป็นสองแพร่ง | น้ำก็แห้งสุริยนก็หม่นหมอง |
ข้างซ้ายมือนั้นแลคือปากตะครอง | ข้างขวาคลองบางเหี้ยทะเลวน |
ประทับทอดนาวาอยู่ท่าน้ำ | ดูเรียงลำเรือรายริมไพรสณฑ์ |
เขาหุงหาอาหารให้ตามจน | โอ้ยามยลโภชนาน้ำตาคลอ |
จะกลืนข้าวคราวโศกในทรวงเสียว | เหมือนขืนเคี้ยวกรวดแกลบให้แสบศอ |
ต้องเจือน้ำกล้ำกลืนพอกลั้วคอ | กินแต่พอดับลมด้วยตรมใจ |
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบลงหรบรู่ | ยุงออกฉู่ชิงพลบตบไม่ไหว |
ได้รับรองป้องกันเพียงควันไฟ | แต่หายใจมิใคร่ออกด้วยอบอาย |
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้ง | มากรำยุงเวทนาประดาหาย |
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย | แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา |
พอน้ำตึงถึงเรือก็รีบล่อง | เข้าในคลองคึกคักกันนักหนา |
ด้วยมืดมัวกลัวตอต้องรอรา | นาวามาเรียงตามกันหลามทาง |
ถึงบางบ่อพอจันทร์กระจ่างแจ้ง | ทุกประเทศเขตแขวงนั้นกว้างขวาง |
ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาภางค์ | วิเวกทางท้องทุ่งสะท้านใจ |
ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ปลายแฝก | ทุกละแวกหวาดหวั่นอยู่ไหวไหว |
รำลึกถึงขนิษฐายิ่งอาลัย | เช่นนี้ได้เจ้ามาด้วยจะดิ้นโดย |
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาด | กัมปนาทเสียงนกวิหคโหย |
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรย | เมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย |
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก | ด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย |
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกย | เมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจ ฯ |
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อ | ค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล |
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัย | ล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง |
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวาง | เป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง |
ว่าผีสางสิงนางตะเคียนคะนอง | ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ |
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปาก | เห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ |
กระทบผางตอนางตะเคียนดำ | ก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา |
พวกเรือพี่สี่คนขนสยอง | ก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา |
พ้นระวางนางรุกขฉายา | ต่างระอาเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์จริง |
ขอนางไม้ไพรพฤกษ์เทพารักษ์ | ขอฝากภัคนีน้อยแม่น้องหญิง |
ใครสามารถชาติชายจะหมายชิง | ให้ตายกลิ้งลงเหมือนตอที่ตำเรือ |
จนล่วงล่องมาถึงคลองที่คับแคบ | ไม่อาจแอบชิดฝั่งระวังเสือ |
ด้วยครึ้มครึกพฤกษาลัดดาเครือ | ค่อยรอเรือเรียงล่องมานองเนือง |
ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ | สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง |
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรือง | ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม |
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาด | มาแคล้วคลาดมิได้อยู่กับคู่สม |
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์ | จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ |
แสนกันดารบ้านเมืองไม่แลเห็น | ยะเยือกเย็นหย่อมหญ้าพฤกษาไสว |
โอ้คลองเปลี่ยวพี่ก็เปล่าเศร้าฤทัย | จะถึงไหนก็ไม่แจ้งแห่งสำคัญ |
ประจวบจนถึงตำบลบ้านมะพร้าว | พอฟ้าขาวขอบไพรเสียงไก่ขัน |
เป็นที่กุมภาพาลชาญฉกรรจ์ | ให้หวาดหวั่นรีบมาในสาชล |
ถึงบางวัวเห็นแต่ศาลตระหง่านง้ำ | ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน |
ดาวเดือนดับลับเมฆเป็นหมอกมน | สุริยนเยี่ยมฟ้าพนาลัย |
พอเรือออกนอกชะวากปากตะครอง | ค่อยลอยล่องตามลำแม่น้ำไหล |
ดูกว้างขวางว้างเวิ้งวิเวกใจ | เป็นพงไพรฝูงนกวิหคบิน ฯ |
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านบางมังกงนั้น | ดูเรียงรันเรือนเรียบชลาสินธุ์ |
แต่ล้วนบ้านตากปลาริมวาริน | เหม็นแต่กลิ่นเน่าอบตลบไป |
เห็นศาลเจ้าเหล่าเจ๊กอยู่เซ็งแซ่ | ปูนทะก๋งองค์แก่ข้างเพศไสย |
เกเลเอ๋ยเคยข้ามคงคาลัย | ช่วยคุ้มภัยปากอ่าวเถิดเจ้านาย |
พอพ้นบ้านลานแลดูปากช่อง | เห็นทิวท้องสมุทรไทน่าใจหาย |
แลทะเลเลี่ยนลาดล้วนหาดทราย | ทั้งสามนายจัดแจงโจงกระเบน |
ไปตามช่องล่องออกไปนอกรั้ว | เห็นเมฆมัวลมแดงดังแสงเสน |
สักประเดี๋ยวเหลียวดูลำพูเอน | ยอดระเนนนาบน้ำอยู่รำไร |
ป่าแสมแลเห็นอยู่ริ้วริ้ว | ให้หวิวหวิววาบวับฤทัยไหว |
จะหลบหลีกเข้าฝั่งก็ยังไกล | คลื่นก็ใหญ่โยนเรือเหลือกำลัง |
สงสารแสงแข็งข้อจนขาสั่น | เห็นเรือหันโกรธบ่นเอาคนหลัง |
น้ำจะพัดปัดตีไปสีชัง | แล้วคุ้มคลั่งเงี่ยนยาทำตาแดง |
ปลอบเจ้าพุ่มพึมพำว่ากรรมแล้ว | อุตส่าห์แจวเข้าเถิดพ่อให้ข้อแข็ง |
สงสารน้อยหน้าจ๋อยนั่งจัดแจง | คิดจะแต่งตัวตายไม่พายเรือ |
พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่ง | แลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ |
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือ | คลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย |
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสำมุก | จงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย |
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลาย | ทั้งสามนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา |
หยุดตะพานย่านกลางบางปลาสร้อย | พุ่มกับน้อยสรวลสันต์ต่างหรรษา |
นายแสงหายคลายโทโสที่โกรธา | ชักกัญชานั่งกริ่มยิ้มละไม |
แล้วหุงหาอาหารสำราญรื่น | จนเที่ยงคืนขึ้นศาลาได้อาศัย |
ฟังเสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นไป | ดูมือในเมฆานภาภางค์ |
พี่เล็งแลดูกระแสสายสมุทร | ละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง |
เป็นฟองฟุ้งรุ่งเรืองอยู่รางราง | กระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย |
เห็นคล้ายคล้ายปลาว่ายเฉวียนฉวัด | ระลอกซัดสาดกระเซ็นขึ้นเต้นหยอย |
ฝูงปลาใหญ่ไล่โลดกระโดดลอย | น้ำก็พลอยพร่างพร่างกลางคงคา |
แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุช | ไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา |
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตา | เห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล |
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ | พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล |
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซ | สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย |
อันนารีที่ยังสาวพวกชาวบ้าน | ถีบกระดานถือตะกร้าเที่ยวหาหอย |
ดูแคล่วคล่องล่องแล่นแฉลบลอย | เอาขาห้อยทำเป็นหางไปกลางเลน |
อันพวกเขาชาวประโมงไม่โหย่งหยิบ | ล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร |
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพล | ดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม |
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาป | แต่ต้องสาปเคหาให้สาสม |
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลม | ใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม |
โอ้ดูเรือนเหมือนอกเราไร้คู่ | ผู้ใดดูจึงไม่ออกเอี่ยมสนาม |
หรือต้องสาปบาปหลังยังติดตาม | ผู้หญิงงามจึงไม่มีปรานีเลย |
จะรักใครเขาก็ไม่เมตตาตอบ | สมประกอบได้แต่สอดกอดเขนย |
เอ็นดูเขาเฝ้านึกนิยมเชย | โอ้ใจเอ๋ยจะเป็นกรรมนั้นร่ำไป |
พลางรำพึงถึงทางที่กลางเถื่อน | จึงคล้อยเคลื่อนนาวาเข้าอาศัย |
มีมิตรชายท้ายย่านเป็นบ้านไทย | สำนักในคูหาขุนจ่าเมือง |
ใครพบพักตร์เขาก็ทักว่าทรงซูบ | จะดูรูปตัวเองก็ผอมเหลือง |
ซังตายชื่นฝืนฤทัยให้ประเทือง | เที่ยวชำเลืองแลชมตลาดเรียง |
เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่ง | บ้างยืนบ้างนั่งร้านประสานเสียง |
ดูรูปร่างนางบรรดาแม่ค้าเคียง | เห็นเกลี้ยงเกลี้ยงกล้องแกล้งเป็นอย่างกลาง |
ขายหอยแครงแมงภู่กับปูม้า | หมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง |
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวาง | มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง |
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง | ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ |
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง | พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์ |
ดูก็งามตามประสาพนาเวศ | ไม่นวลเนตรเหมือนหนึ่งในไอศวรรย์ |
แต่แรมค้างบางปลาสร้อยได้สามวัน | ก็ชวนกันเลยลาขุนจ่าเมือง |
พอฟ้าขาวดาวเดือนลงเลื่อนลด | อร่ามรถสุริยาเวหาเหลือง |
จากเคหาชลนาพี่นองเนือง | ขืนประเทืองปล้ำทุกข์มาตามทาง |
พอพ้นบ้านลานแลล้วนทุ่งเลี่ยน | หนทางเตียนตัดเข้าภูเขาขวาง |
ดูกรวดทรายพรายงามเหมือนเงินราง | หยาดน้ำค้างข้อหลุมที่ขุมควาย |
ดูสีขาวราวกับน้ำตาลโตนด | ที่หว่างโขดขอบผาศิลาฉลาย |
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายราย | เห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง |
ถึงหมองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่ | เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง |
ต้องเดินเฉียงเลี่ยงลัดตัดทแยง | ตามนายแสงนำทางไปกลางไพร |
กำดัดแดดแผดร้อนทุกขุมขน | ไม่มีต้นพฤกษาจะอาศัย |
ล้วนละแวกแฝกคาป่ารำไร | จนสุดไร่เลียบริมทะเลมา |
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงบางพระ | ดูระยะบ้านนั้นก็แน่นหนา |
พอพบเรือนเพื่อนชายชื่อนายมา | เขาโอภาต้อนรับให้หลับนอน |
พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศ | ลงเลียบหาดหวนคะนึงถึงสมร |
เห็นกรวดทรายชายทะเลชโลทร | ละเอียดอ่อนดังละอองสำลีดี |
ดูกาบหอยรอบคลื่นกระเด็นสาด | ก็เกลื่อนกลาดกลางทรายประพรายสี |
เป็นหลายอย่างลางลูกก็เรียวรี | โอ้เช่นนี้แม่มาด้วยจะดีใจ |
จะเชยชมก้มเก็บไปกลางหาด | เห็นประหลาดก็จะถามตามสงสัย |
พี่ไม่รู้ก็จะชวนสำรวลไป | ถึงเหนื่อยใจจะค่อยเบาบรรเทาคลาย |
โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อน | ไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย |
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทราย | เห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน |
อันชื่อนี้ศรีมหาราชาชาติ | ขึ้นจากหาดเข้าป่าพนาสัณฑ์ |
ค่อยเลียบเดินเนินโขดสิงขรคัน | เสียงจักจั่นแซ่เซ็งวังเวงใจ |
สองข้างทางนางไม้ไพรสงัด | ไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว |
เย็นระรื่นชื่นชุ่มชอุ่มใบ | หนาวฤทัยโทมนัสระมัดกาย |
เสียงนกร้องก้องกู่กันกลางป่า | ฟังภาษาสัตว์ไพรก็ใจหาย |
จนออกดงลงเดินเนินสบาย | ค่อยเคลื่อนคลายรอเรียงมาเคียงกัน |
ถึงเขาขวางว่างเวิ้งชะวากวุ้ง | เขาเรียกทุ่งสงขลาพนาสัณฑ์ |
เป็นป่ารอบขอบเขินเนินอรัญ | นกเขาขันคู่เรียกกันเพรียกไพร |
บ้างถาบถาพาคู่ลงฟุบฝุ่น | เห็นคนผลุนโผผินบินไถล |
บ้างก่งคอคูคูกุกกูไป | ฝูงเขาไฟฟุบแฝงที่แฝกฟาง |
โอ้ปักษีมีคู่ที่ชูชื่น | สำราญรื่นปกปิดด้วยปีกหาง |
พี่เปลี่ยวใจอายนกเพราะห่างนาง | มาเดินกลางดงแดนแสนกันดาร |
แล้วรีบรุดไปจนสุดที่ทิวทุ่ง | ถึงบางละมุงพบน้ำลำละหาน |
เป็นประเทศเขตนิคมกรมการ | มีเรือนบ้านแออัดทั้งวัดวา |
น้ำตาตกอกโอ้อนาถเหนื่อย | ให้มึนเมื่อยขัดข้องทั้งสองขา |
ลงหยุดหย่อนผ่อนนั่งที่ศาลา | ต่างระอาอ่อนจิตระอิดแรง |
ลงอาบน้ำลำห้วยพอเหนื่อยหาย | แต่เส้นสายรุมรึงให้ขึงแข็ง |
สลดใจเห็นจะไม่ถึงเมืองแกลง | แต่นายแสงวอนว่าให้คลาไคล |
พี่ดูดวงสุริย์ฉายก็บ่ายคล้อย | ชวนพุ่มน้อยจากศาลาที่อาศัย |
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไป | ค่อยคลายใจจรเลียบชลามา |
ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อม | ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา |
โอ้คิดเห็นเอ็นดูหมู่แมงดา | ตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล |
เขาจับตัวผัวทิ้งไว้กลางน้ำ | ระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย |
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัย | โอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี |
แม้น้องตายพี่จะวายชีวิตด้วย | เป็นเพื่อนม้วยมิ่งแม่ไปเมืองผี |
รำจวนจิตคิดมาในวารี | จนถึงที่ศาลาบ้านนาเกลือ |
หยุดประทับดับดวงพระสุริย์แสง | ยิ่งโรยแรงร้อนรนนั้นล้นเหลือ |
จะเคี้ยวข้าวตละคำเอาน้ำเจือ | พอกลั้วเกลี้อกล้ำกลืนค่อยชื่นใจ |
ทั้งล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท | จนอาทิตย์แย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
อนสะอื้นตื่นตายังอาลัย | รำจวนใจจรจากศาลามา |
เข้าเดินดงพงชัฏสงัดเงียบ | เย็นยะเยียบน้ำค้างพร่างพฤกษา |
ออกชะวากปากทุ่งพัทยา | นายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน |
บุกละแวกแฝกแขมแอร่มรก | กับกอกกสูงสูงเสมอเศียร |
ด้วยน้ำฝนล้นลงหนทางเกวียน | ขึ้นโขดเตียนตอกรอกยอกระยำ |
กลัวปลิงเกาะเลาะลัดตัดเขมร | ลงลุยเลนพรวดพราดพลาดถลำ |
ถึงแนวน่องย่องก้าวเอาเท้าคลำ | แต่ท่องน้ำอยู่จนเที่ยงจึงพบทาง |
พอยกเท้าก้าวเดินบนเนินแห้ง | ทั้งขาแข้งเข่าข้อให้ขัดขวาง |
เจ็บระบมคมหญ้าคาระคาง | ค่อยย่องย่างเหยียบฝุ่นให้งุนโงง |
เห็นพฤกษาไม้มะค่ามะขามข่อย | ทั้งไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง |
เหมือนไม้ดัดจัดวางข้างพระโรง | เป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย |
เดินพินิจเหมือนคิดสมบัติบ้า | จะใคร่หาต้นไม้เข้าไปถวาย |
นี่เหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าบรรดาตาย | แสนเสียดายดูเดินจนเกินไป |
ถึงท้องธารศาลเจ้าริมเขาขวาง | พอได้ทางลงมหาชลาไหล |
เข้าถามเจ๊กลูกจ้างตามทางไป | เป็นจีนใหม่อ้อแอ้ไม่แน่นอน |
ร้องไล้ขื่อมือชี้ไปที่เขา | ก็ดื้อเดาเลียบเดินเนินสิงขร |
ศิลาแลเป็นชะแง่ชะงักงอน | บ้างพรุนพรอนแตกกาบเป็นคราบไคล |
ต้องเลี่ยงเลียบเหยียบยอกเอาปลาบแปลบ | ถึงที่แคบเป็นเขินเนินไศล |
ค่อยตะกายป่ายปีนเปะปะไป | จะขาดใจเสียด้วยเหนื่อยทั้งเมื่อยกาย |
ถึงที่โขดต้องกระโดดขึ้นบนแง่ | ก่นเอาแม่จีนใหม่นั้นใจหาย |
บอกว่าใกล้ไกลมาบรรดาตาย | ทั้งแค้นนายแสงนำไม่จำทาง |
ทำซมเซอะเคอะคะมาปะเขา | แต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง |
แกไขหูสู้นิ่งไปตามทาง | ถึงพื้นล่างแลลาดล้วนหาดทราย |
ต่างโหยหิวนิ่วหน้าสองขาแข็ง | ในคอแห้งหอบรนกระหนกระหาย |
กลืนกระเดือกเกลือกลิ้นกินน้ำลาย | เจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง |
น้ำก็นองอยู่ในท้องชลาสินธุ์ | จะกอบกินเค็มขมไม่สมหวัง |
เหมือนไร้คู่อยู่ข้างกำแพงวัง | จะเกี้ยวมั่งก็จะเฆี่ยนเอาเจียนตาย |
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมกระทำไว้ | นึกอะไรจึงไม่สมอารมณ์หมาย |
แล้วปลอบน้องสองราปรีชาชาย | มาถึงท้ายทิวป่านาจอมเทียน |
เห็นบ่อน้ำร่ำดื่มเอาโดยอยาก | พออ้าปากเหม็นหืนให้คลื่นเหียน |
ค่อยมีแรงแข็งใจไปทางเกวียน | ไม่แวะเวียนเดาเดินดำเนินไป |
ถึงห้วยขวางตัดทางเข้าไต่ถาม | พบขุนรามเรียกหาเข้าอาศัย |
กินข้าวปลาอาหารสำราญใจ | เขาแต่งให้หลับนอนผ่อนกำลัง |
สงสารแสงแสนสุดเมื่อหยุดพัก | เฝ้านั่งชักกัญชากับตาสัง |
เสียงขาคะอยู่จนพระเคาะระฆัง | ต่างร่ำสั่งฝากรักกันหนักครัน |
แสนวิตกอกพี่เมื่ออ้างว้าง | ถามถึงทางที่จะไปในไพรสัณฑ์ |
ชาวบ้านบอกมรคาว่ากว่าพัน | สะกิดกันแกล้วกล้าเป็นน่ากลัว |
ยิ่งหวาดจิตคิดคุณพระชินสีห์ | กับชนนีบิตุเรศบังเกิดหัว |
ข้าตั้งใจไปหาบิดาตัว | ให้พ้นชั่วที่ชื่อว่าไภยันต์ |
อธิษฐานแล้วสะท้านสะท้อนอก | สำเนียงนกเพรียกไพรทั้งไก่ขัน |
เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวัน | ก็ชวนกันอำลาเขาคลาไคล |
เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดึก | ดูซึ้งซึกมิได้เห็นพระสุริย์ใส |
เสียงฟ้าร้องก้องลั่นสนั่นไพร | ไม้ไหวไหวเหลียวหลังระวังคอย |
สงัดเงียบเยียบเย็นยะเยือกอก | น้ำค้างตกหยดเหยาะลงเผาะผอย |
พฤกษาสูงยูงยางสล้างลอย | ดูชดช้อยชื่นชุ่มชอุ่มใบ |
ถึงปากช่องหนองชะแง้วเข้าแผ้วถาง | แม้นค่ำค้างอรัญวาได้อาศัย |
เป็นที่ลุ่มขุมขังคงคาลัย | วังเวงใจรีบเดินไม่เมินเลย |
หนทางรื่นพื้นทรายละเอียดอ่อน | ในดงดอนดอกพะยอมหอมระเหย |
หายละหวยด้วยพระพายมาชายเชย | ชะแง้เงยแหงนทัศนามา |
ถึงบางไผ่ไม่เป็นไผ่เป็นไพรชัฏ | แสนสงัดเงียบในไพรพฤกษา |
ต้องข้ามธารผ่านเดินเนินวนา | อรัญวาอ้างว้างในกลางดง |
ถึงพงค้อคอเขาเป็นโขดเขิน | ต้องขึ้นเนินภูผาป่าระหง |
ส่งกระทั่งหลังโคกเป็นโตรกตรง | เมื่อจะลงก็ต้องวิ่งเหมือนลิงโลน |
ไต่ข้ามห้วยเหวผาจนขาขัด | ต้องกำดัดวิ่งเต้นดังเล่นโขน |
ทั้งรากยางขวางโกงตะโขงโคน | สะดุดโดนโดดข้ามไปตามทาง |
ถึงพุดรสาครเป็นพวยพุ | น้ำทะลุออกจากชะวากขวาง |
ดูซึ้งใสไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลาง | สไบบางชุบซับกับอุรา |
แล้วขึ้นเนินเดินในดงไม้หอม | สะพรั่งพร้อมปรูปรายปฤษณา |
ยามพระพายชายเชยรำเพยมา | หอมบุปผารื่นรื่นชื่นอารมณ์ |
เหมือนกลิ่นปรางนางปนสุคนธ์รื่น | คิดถึงคืนเคียงน้องประคองสม |
ถอนสะอื้นยืนเด็ดลำดวนดม | พี่นึกชมต่างนางไปกลางไพร |
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุด | ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว |
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไป | ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง |
สะท้อนหล่นใต้ต้นออกเกลื่อนกลิ้ง | ฝูงค่างลิงกินเล่นเป็นเจ้าของ |
ต่างเก็บเคี้ยวเปรี้ยวปรายเสียก่ายกอง | แต่โดยลองเลือกชิมจนอิ่มไป |
ถึงโตรกตรวยห้วยพระยูนจะหยุดร้อน | เห็นแรดนอนอยู่ในดงให้สงสัย |
เรียกกันดูด้วยไม่รู้ว่าสัตว์ใด | เห็นหน้าใหญ่อย่างจระเข้ตะคุกตัว |
มันเห็นหน้าทำตากระปริบนิ่ง | เห็นหลายสิ่งคอคางทั้งหางหัว |
รู้ว่าแรดกินหนามให้คร้ามกลัว | ขยับตัววิ่งพัลวันไป |
ครู่หนึ่งถึงชะวากชากลูกหญ้า | ล้วนพฤกษายางยูงสูงไสว |
แต่ล้วนทากตะเละลำรำพูไพร | ไต่ใบไม้ยูงยางมากลางแปลง |
กระโดดเผาะเกาะผับกระหยับคืบ | ถีบกระทืบมิใคร่หลุดสุดแสยง |
ปลดที่ตีนติดขาระอาแรง | ทั้งขาแข้งเลือดโซมชะโลมไป |
ออกเดินถี่หนีทากถึงชากขาม | เป็นสนามน้ำท่าได้อาศัย |
เห็นรอยคนแรมค้างอยู่กลางไพร | ขึ้นต้นไม้หักรังไว้เรียงราย |
เห็นลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวย | กระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย |
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกาย | เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง |
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัว | เหมือนตัวพี่จากน้องให้หมองหมาง |
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง | พี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ |
เห็นป่าสูงฝูงนกในดงดึก | หวนระลึกถึงสุดาน้ำตาไหล |
จักจั่นร้องพร้องเพราะเสนาะไพร | ทั้งเสียงไก่เถื่อนขันสนั่นเนิน |
พฤกษาเบียดเสียดสีดังปี่แก้ว | วิเวกแว่วหว่างลำเนาภูเขาเขิน |
สดับฟังวังเวงเป็นเพลงเพลิน | ต้องรีบเดินโดยด่วนด้วยจวนเย็น |
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล | คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น |
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น | บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม |
ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศ | พระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ |
ทั้งสองข้างมรคาป่าระกำ | สล้างลำแลสลับอยู่กับกอ |
หอมบุปผาสาโรชมารื่นรื่น | ต่างหยุดยืนใจหายเสียดายหนอ |
แม้นอยู่เคียงเวียงชัยเห็นไม่พอ | จะตัดต่อเรือแล่นเล่นตามกัน |
ทลายลูกสุกแลดูแออัด | เอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์ |
มันแสนเปรี้ยวเบี้ยวหน้าเข้าหากัน | ออกเข็ดฟันเป็นจะตายด้วยรายชิม ฯ |
ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้า | เห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม |
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิม | อุระปิ้มศรปักสลักทรวง |
ออกเดินรีบถีบถอนไปทุกย่าง | กลัวจะค้างค่ำลงในดงหลวง |
ด้วยครื้นครึกพฤกษาลดาพวง | ไม่เห็นดวงสุริยาเวลาไร |
พอเต็มตึงถึงสุนัขกะบากนั้น | รอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย |
เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจ | รู้ว่าใกล้ออกดงเดินตะบึง |
แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบ | ยิ่งเหยียบฟุบขาแข็งให้แข็งขึง |
ยิ่งจวนเย็นเส้นสายให้ตายตึง | ดูเหมือนหนึ่งเหยียบโคลนให้โอนเอน |
ออกปากช่องท้องทุ่งที่ตลิ่ง | ต่างเกลือกกลิ้งลงทั้งรกถกเขมร |
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนระเนน | จนสุริเยนทร์ลับไม้ชายทะเล |
ผลัดกันทำย่ำเหยียบแล้วยืนหยัด | กระดูกดัดผัวะเผาะให้โผเผ |
ค่อยย่างเท้าก้าวเขยกดูเกกเก | ออกโซเซเดินข้ามตามตะพาน |
เป็นทุ่งแถวมีแนวแม่น้ำอ้อม | ระยะหย่อมเคหาน่าสนาน |
เป็นเนินสวนล้วนเหล่ามะพร้าวตาล | เข้าลับบ้านทับม้าลีลาไป |
พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง | ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว |
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ | เขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน |
ฝ่ายนายแสงถึงตำแหน่งสำนักน้อง | เขายิ้มย่องชมหลานคลานสลอน |
พี่ว้าเหว่เอกาอนาทร | ด้วยจะจรต่อไปเป็นหลายคืน |
ครั้นรุ่งเช้าเท้าบวมทั้งสองข้าง | จะย่องย่างสุดแรงจะแข็งขืน |
อยู่ระยองสองวันสู้กลั้นกลืน | ค่อยแช่มชื่นชวนกันว่าจะคลาไคล |
นายแสงหนีลี้หลบไม่พบเห็น | โอ้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล |
น้อยหรือเพื่อนเหมือนจะร่วมชีวาลัย | มาสูญใจจำจากเมื่อยากเย็น |
จึงกรวดน้ำร่ำว่าต่ออาวาส | อันชายชาตินี้หนอไม่ขอเห็น |
มาลวงกันปลิ้นปลอกหลอกทั้งเป็น | จะชี้เช่นชั่วช้าให้สาใจ |
เดชะสัตย์อธิษฐานประจานแจ้ง | ให้เรียกแสงเทวทัตจนตัดษัย |
เหมือนชื่อตั้งหลังพิหารเขียนถ่านไฟ | ด้วยน้ำใจเหมือนมินหม้อทรชน |
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิต | ให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน |
จากระยองย่องตามกันสามคน | เลียบถนนคันนาป่ารำไร |
ถึงบ้านนาตาขวัญสำคัญแน่ | เห็นยายแก่แวะถามตามสงสัย |
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไป | ประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา |
ถึงบ้านแสงทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง | เฟื่อนหนทางทวนทบตลบหา |
บุกละแวกแฝกแขมกับหญ้าคา | จนแดดกล้ามาถึงย่านบ้านตะพง |
มีเคหาอารามงามระรื่น | ด้วยพ่างพื้นพุ่มไม้ไพรระหง |
ตัดกระพ้อห่อได้ทุกไร่กง | พี่หลีกลงทางทุ่งกระทอลอ |
เห็นสาวสาวชาวไร่เขาไถที่ | บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ |
แลขี้ไคลใส่ตาบเป็นคราบคอ | ผ้าห่มห่อหมากแห้งตาแบงมาน |
พี่สู้เมินเดินตรงเข้าดงสูง | เสียงนกยูงเบญจวรรณขึ้นขันขาน |
คิดถึงน้องหมองใจอาลัยลาน | แม้นแจ้งการว่าพี่จากอยุธยา |
จะเศร้าสร้อยคอยท่าเป็นทุกข์ร้อน | ถึงยามนอนยามกินถวิลหา |
พี่ก็แสนสุดยากลำบากมา | ทั้งเดินป่าปิ้มกายจะวายวาง |
ต้องเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยว | ด้วยรกเรี้ยวห้วยหนองเป็นคลองขวาง |
ระหกระเหินเดินภาวนาพลาง | พอพบทางลงถึงท้องทะเลวน |
เสียงพิลึกครึกครึ้มกระหึ่มคลื่น | ร่มระรื่นรุกขาพฤกษาสน |
เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกล | สล้างต้นเต็งตั้งสะพรั่งตา |
ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้าง | มีโรงร้างเรียงรายชายพฤกษา |
เป็นชุมรุมหน้าน้ำเขาทำปลา | ไม่รอรารีบเดินดำเนินพลาง |
ถึงศาลเจ้าอ่าวสมุทรที่สุดหาด | เลียบลีลาศขึ้นตามช่องที่คลองขวาง |
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลาง | เห็นฝูงนางสานเสื่อนั้นเหลือใจ |
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิก | จนมือหงิกงอแงไม่แบได้ |
เป็นส่วยบ้านสานส่งเข้ากรุงไกร | เด็กผู้ใหญ่ทำเป็นไม่เว้นคน |
พอพลบค่ำสำนักที่เรือนเพื่อน | ดูเหย้าเรือนชาวแขวงทุกแห่งหน |
มุงด้วยไม้หวายโสมแสนพิกล | ไม่มีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง |
ครั้นคนมาเอาหลังคาขึ้นคลุมคลี่ | ดูก็ดีเร็วรัดไม่ขัดขวาง |
เวลาค่ำล้ำเหลือด้วยเสือกวาง | ปีบมาข้างเรือนเหย้าที่เรานอน |
เขาดักจั่นชั้นในใส่สุนัข | มันหอบฮักดิ้นโดยแล้วโหยหอน |
ยิ่งดึกฟังวังเวงวนาดร | สังเวชนอนมิใคร่หลับระงับลง |
จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศก | บริโภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ |
จากสถานบ้านแกลงไปกลางดง | ต้นรังรงร่มชื่นระรื่นเย็น |
เห็นรอกแตแย้ตุ่นออกวุ่นวิ่ง | เอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น |
ลูกมะม่วงร่วงกลาดดาษกระเด็น | เสียดายเป็นกลางไพรมิได้การ |
อยู่ใกล้วังดังนี้นางสาวสาว | จะโน้มน้าวกิ่งเก็บเกษมศานต์ |
นึกดำเนินเดินกลางทางกันดาร | ถึงตะพานยายเหมสร้างที่กลางไพร |
เป็นทุ่งแถวแนวน้ำสกัดกั้น | จึงพากันลุยเลียบทะเลไหล |
แล้วขึ้นข้ามตามตะพานสำราญใจ | ลงเลียบในตีนเขาลำเนาทาง |
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัด | ทะลุลัดตัดทะเลแหลมทองหลาง |
ต่างเพลิดเพลินเดินว่าเสภาพลาง | ถูกขุนช้างเข้าหอหัวร่อเฮ |
เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้าริมห้าง | ทำถามทางชักชวนให้สรวลเส |
พอเจ้าของแตงโมปะโลปะเล | สมคะเนกินแตงพอแรงกัน |
แล้วภิญโญโมทนาลาลีลาศ | ลงเลียบหาดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ถึงปากช่องคลองน้ำเป็นสำคัญ | ตำแหน่งนั้นชื่อชะวากปากลาวน |
ไม่หยุดยั้งตั้งหน้าเข้าป่ากว้าง | ไปตามทางโขดเขินเนินถนน |
สดับเสียงลิงค่างครางคำรน | เหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตา ฯ |
ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ | ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา |
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดา | กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย |
ศิโรราบกราบเท้าให้เปล่าจิต | รำคาญคิดอาลัยมิใคร่หาย |
ชะรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราย | จึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา |
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่ | ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา |
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา | บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร |
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ | ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล |
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย | จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว |
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้ว | ดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว |
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัว | ค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย |
บรรดาเหล่าชาวบ้านประมาณมาก | ต่างมาฝากรักใคร่เหมือนใจหมาย |
พูดถึงที่ตีโบยขโมยควาย | กล่าวขวัญนายเบียดเบียนแล้วเฆี่ยนตี |
ถามราคาพร้าขวานจะวานซื้อ | ล้วนอออือเอ็งกูกะหนูกะหนี |
ที่คะขาคำหวานนานนานมี | เป็นว่าขี้คร้านฟังแต่ซังตาย |
เวลาเช้าก็ชวนกันออกป่า | มันโม้หมาไล่เนื้อไปเหลือหลาย |
พอเวลาสายัณห์ตะวันชาย | ได้กระต่ายตะกวดกวางมาย่างแกง |
ทั้งแย้บึ้งอึ่งอ่างเนื้อค่างคั่ว | เขาทำครัวครั้นไปปะขยะแขยง |
ต้องอดสิ้นกินแต่ข้าวกับเต้าแตง | จนเรี่ยวแรงโรยไปมิใคร่มี |
อยู่บุรินกินสำราญทั้งหวานเปรี้ยว | ตั้งแต่เที่ยวยากไร้มาไพรศรี |
แต่น้ำตาลมิได้พานในนาภี | ปัถวีวาโยก็หย่อนลง |
ด้วยเดือนเก้าข้าวสาเป็นหน้าฝน | จึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์ |
ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์ | ไปบ้านพงค้อตั้งริมฝั่งคลอง |
ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิต | ไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง |
ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชอง | ไม่เห็นน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น |
แล้วไปชมกรมการบ้านดอนเด็จ | ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้อดูเหลือเข็ญ |
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น | เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา ฯ |
แล้วไปบางทางเถื่อนบ้านพงอ้อ | ไม่เหลือหลอหลายตำแหน่งแสวงหา |
จะเที่ยวดูคนผู้ทำยาตา | ไม่เห็นหน้านึกระทดสลดใจ |
ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยว | สันโดษเดี่ยวด้วยว่าจิตผิดวิสัย |
มาอยู่ย่านบ้านกร่ำระกำใจ | ชวนกันไปชมทะเลทุกเวลา |
เห็นเงื้อมเขาเงาบังขึ้นนั่งเล่น | ลมเย็นเย็นอยากดูหมู่มัจฉา |
แลตลิ่งโล่งลิ่วทิวชลา | ดูนาวาแล่นละเลาะริมเกาะเกียน |
บ้างก้าวเสียดเฉียดทางไปข้างเขา | บ้างออกเข้าข้ามฟากดังฉากเขียน |
เรือตระเวนเจนแดนเที่ยวแล่นเวียน | ดาษเดียรดูสล้างกลางชลา |
ครั้นยามเย็นเห็นเหมือนหนึ่งเมฆพลุ่ง | เป็นควันฟุ้งราวกับไฟไกลหนักหนา |
แล้วถอยลงโพลงขึ้นไม่ขาดตา | ถามผู้เฒ่าเขาว่าปลามันพ่นฟอง |
เห็นจริงจังนั่งนึกพิลึกล้ำ | จนพลบค่ำมืดมนขนสยอง |
ยิ่งอาลัยใจมาอยู่ที่คู่ครอง | แม้นแม่น้องได้มาเห็นเหมือนเช่นนี้ |
จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถาม | ตำแหน่งนามเกาะแก่งแขวงวิถี |
ได้เชยชื่นรื่นรสสุมาลี | แล้วจะชี้ให้แม่ชมยมนา |
ไหนตัวพี่นี้จะชมทะเลหลวง | จะชมดวงนัยน์เนตรของเชษฐา |
โอ้อาลัยไกลแก้วกานดามา | กลั้นน้ำตามิใคร่หยุดสุดระกำ |
เสียดายนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ย | ยังชื่นเชยชมชิมไม่อิ่มหนำ |
มายากเย็นเห็นแต่ผ้าแพรดำ | ได้ห่มกรำอยู่กับกายไม่วายตรอม |
อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับบิตุเรศ | ถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม |
ทุกคืนค่ำกำสรดสู้อดออม | ประณตน้อมพุทธคุณกรุณา |
ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช | เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา |
พยายามตามกิจด้วยบิดา | เป็นฐานานุประเทศอธิบดี |
จอมกษัตริย์มัสการขนานนาม | เจ้าอารามอารัญธรรมรังษี |
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลี | กำหนดยี่สิบวสาสถาวร |
ได้พบเห็นเป็นทำนุอุปถัมภ์ | ก็กรวดน้ำนึกคะนึงถึงสมร |
ให้ไพบูลย์พูนสวัสดิ์พิพัฒน์พร | อย่ารู้ร้อนโรคภัยสิ่งไรพาน |
ถึงชาตินี้มิได้สมอารมณ์คิด | ด้วยองค์อิศรารักษ์จะหักหาญ |
ขอให้น้องครองสัตย์ซึ่งปฏิญาณ | ได้พบพานภายหน้าเหมือนอารมณ์ |
พอควรคู่รู้รักประจักษ์จิต | ได้ชื่นชิดชมน้องประคองสม |
ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนม | ให้ลอยลมลงมาแอบแนบอุรา |
อย่ารู้จักพลักผลิกทั้งหยิกข่วน | แขนแต่ล้วนรอยเล็บเจ็บหนักหนา |
ให้แย้มยิ้มพริ้มพร้อมน้อมวิญญาณ์ | แล้วก็อย่าขี้หึงตะบึงตะบอน |
ขอแบ่งบุญคุณศีลถวิลถึง | ให้ทราบซึ่งโสตทรวงดวงสมร |
ถึงอยู่ไกลในป่าพนาดร | แต่ใจจรจงสวาทไม่คลาดคลา |
ไปเที่ยวเล่นเห็นดอกไม้แล้วใจอยาก | จะใคร่ฝากดวงเนตรของเชษฐา |
ก็จนใจไกลทางต่างสุธา | แต่น้ำตานี้แลฟูมละลุมลง |
เวลาค่ำช้ำใจเข้าไสยาสน์ | โอ้อนาถในวนาป่าระหง |
ยินแต่เสียงลิงค่างที่กลางดง | วิเวกวงวันเวศวังเวงใจ |
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง | เหมือนสำเนียงวนิดาน้ำตาไหล |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร | โอ้เจียนใจพี่จะขาดอนาถนึก |
ได้แนบหมอนอ่อนอุ่นให้ฉุนชื่น | ระรวยรื่นรสลำดวนเมื่อจวนดึก |
ทั้งหอมแพรดำร่ำยิ่งรำลึก | ทรวงสะทึกทุกทุกคืนสะอื้นใจ ฯ |
จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพรำฝน | ทุกตำบลบ้านกร่ำล้วนน้ำไหล |
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจ | จนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์ |
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปีศาจประหวาดหวั่น | อินทรีย์สั่นเศียรพองสยองขน |
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์ | มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์ |
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสาง | ที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก |
แต่หมอเฒ่าเป่าปัดชะงัดนัก | ทั้งเซ่นวักหลายวันค่อยบรรเทา |
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บ | ว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา |
ไม่งอนง้อขอสู่ทำดูเบา | ท่านปู่เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด |
ครั้นตาหมอขอโทษก็โปรดให้ | ที่จริงใจพี่ก็รู้อยู่ว่าปด |
แต่ชาวบ้านท่านถือข้างท้าวมด | จึงสู้อดนิ่งไว้ในอุรา |
ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำ | ม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา |
เห็นเจ็บปวดนวดฟั้นช่วยฝนยา | ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน |
ครั้นหายเจ็บเก็บดอกไม้มาให้บ้าง | กลับระคางเคืองข้องกันสองหลาน |
จะว่ากล่าวน้าวโน้มประโลมลาน | ไม่สมานสโมสรเหมือนก่อนมา |
ก็จนจิตคิดเห็นว่าเป็นเคราะห์ | จึงจำเพาะหึงหวงพวงบุปผา |
ต้องคร่ำครวญรวนอยู่ดูเอกา | ก็เลยลาบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน |
ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค | กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน |
เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาล | แต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน |
ครั้นจะมิหนีมาจะลาเล่า | จะสร้อยเศร้าโศกาเพียงอาสัญ |
จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ | ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย |
อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า | จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย |
ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อาย | จงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์ |
โอ้จากหลานบ้านกร่ำระกำจิต | ก็เพราะคิดถึงแม่หญิงมิ่งสมร |
สู้ฟูมฝนทนฟ้าอุตส่าห์จร | เป็นทุกข์ร้อนแรมทางมากลางไพร |
ถึงกรุงศรีอยุธยาขึ้นห้าค่ำ | จึงเขียนคำจริงแจ้งแถลงไข |
ให้ดวงเนตรเชษฐาด้วยอาลัย | จงเห็นใจเถิดที่จิตคิดคำนึง |
ถึงเจ็บไข้ไม่ตายไม่คลายรัก | มีแต่ลักลอบนึกรำลึกถึง |
ช่วยยิ้มแย้มแช่มชื่นอย่ามึนตึง | ให้เหือดหึงลงเสียบ้างจงฟังคำ |
พี่อุ้มทุกข์บุกป่ามหารณพ | มาหมายพบพูดความกับงามขำ |
อย่าบิดเบือนเชือนช้าทาระกำ | แต่อยู่กร่ำตรอมกายมาหลายเดือน |
ได้ดูงามตามทางที่นางอื่น | ก็หลายหมื่นเหยียบแสนไม่แม้นเหมือน |
ไม่มีสู้คู่ควรกระบวนเบือน | เหมือนแม่เพื่อนชีพชายจนปลายแดน |
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้อง | มากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน |
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน | อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา |
ด้วยเกิดความลามถึงเพราะหึงหวง | คนทั้งปวงเขาคิดริษยา |
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดา | ไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย |
แม่อยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสวัสดิ์ | หรือเคืองขัดขุกเข็ญเป็นไฉน |
หรือแสนสุขทุกเวลาประสาใจ | สิ้นอาลัยลืมหมายว่าวายวาง |
หรือพร้อมพรักพักตร์เพื่อนที่เยือนยิ้ม | ให้เปรมปริ่มประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง |
จะปราบปรามห้ามหวงพวงมะปราง | ให้จืดจางจำจากกระดากใจ |
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝาก | เหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย |
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัย | ให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอย ฯ |