วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6

เนื้อหา

  • อ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋ว เกิดรบกับกองซุนจ้าน 
  • ตั๋งโต๊ะอ้างรับสั่งห้ามรบ
  • อ้วนสุดกับซุนเกี๋ยนไปรบเล่าเปียว
  • ซุนเกี๋ยนตาย ซุนเซ็กได้ครองเมืองกังตั๋ง 
ขณะ เมื่ออ้วนเสี้ยวยกทหารมาอยู่เมืองโห้ลายนั้นขาดสเบียง ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้นรู้ข่าวก็จัดแจงสเบียงให้ทหารคุมไปให้แก่อ้วน เสี้ยว แลห้องกีจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า คนทั้งปวงก็ปรากฎอยู่ว่าท่านเปนเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน แลท่านมาทำการทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งนี้ ซึ่งจะมานั่งคอยกินให้ผู้อื่นส่งสเบียงนั้นเห็นไม่ควร ถ้าเขามิส่งก็จะขัดสนอยู่ แลในเมืองกิจิ๋วนั้นทรัพย์สิ่งสินก็มั่งคั่งอาหารก็บริบูรณ์ ขอให้ยกทหารไปตีเอาเมืองกิจิ๋ว ถ้าได้แล้วท่านจงตั้งอยู่ในเมืองนั้น จะได้คิดราชการสืบไป อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า เราก็คิดอยู่แต่ยังหาทีที่จะทำมิได้ ห้องกีจึงว่าถ้าท่านคิดดังนั้นแล้ว ขอให้มีหนังสือลับไปถึงกองซุนจ้าน ให้ทหารเข้าตีเมืองกิจิ๋วด้านหนึ่ง ท่านจงยกเข้าตีกระหนาบด้านหนึ่ง ถ้าได้เมืองแล้วแบ่งทรัพย์สินแลเมืองให้กองซุนจ้านกึ่งหนึ่ง แลฮันฮกนั้นเปนคนหามีความคิดไม่ ถ้ารู้กิตติศัพท์ว่ากองซุนจ้านจะยกมาตี เห็นจะมีหนังสือมาถึงท่านให้ยกทหารไปช่วย ถ้าสมคิดเห็นเราจะได้เมืองกิจิ๋วโดยง่าย อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือลับไปให้กองซุนจ้านตามห้องกีว่า

ฝ่ายกองซุนจ้านรู้หนังสือนั้นก็มีความยินดี จึงบอกกำหนดซึ่งจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วไปถึงอ้วนเสี้ยว แล้วจัดแจงเตรียมทหารไว้พร้อม อ้วนเสี้ยวแจ้งแล้วก็ให้แต่งหนังสือไปถึงฮันฮกว่า บัดนี้กองซุนจ้านมีหนังสือมาปรึกษาเรา ว่าจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วจงได้ ฮันฮกแจ้งในหนังสืออ้วนเสี้ยวแล้วจึงปรึกษากับซุนซิมซินเป๋งว่า กองซุนจ้านจะยกมาตีเมืองเรานี้ จะคิดประการใด


ซุนซิมจึงว่า ซึ่งกองซุนจ้านจะตีเอาเมืองเรานั้น เห็นจะยกทหารมาเปนอันมาก แล้วเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็จะมาด้วย กำลังทหารเรานั้นน้อยเห็นจะสู้ไม่ได้ แล้วอ้วนเสี้ยวนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญา แล้วมีทหารเอกทหารเลวเปนอันมาก ขอให้มีหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมาอยู่รักษาเมืองจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกัน เห็นอ้วนเสี้ยวจะมีความเมตตาแก่ท่าน ซึ่งกองซุนจ้านจะยกมากระทำย่ำยีเมืองเรานั้นก็เกรงอ้วนเสี้ยวอยู่ ฮันฮกเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือจะให้กวนกีถือไปเชิญอ้วนเสี้ยวตามคำซุนซิม แลเก๋งบูจึงว่าแก่ฮันฮกว่า อ้วนเสี้ยวนั้นเปนคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะท่านให้ส่งสเบียง อุปมาเหมือนทารก ถ้ามารดามิให้นมกินแล้วทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมือง เหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ๆ ทั้งปวงก็จะมีอันตรายเปนมั่นคง ขอท่านดำริห์ดูจงควร ฮันฮกจึงตอบว่า ตัวเราเมื่อแรกจะได้เปนขุนนางก็เพราะแซ่อ้วนว่ากล่าวจึงได้มาเปนเจ้าเมือง เราเห็นว่าสติปัญญาอ้วนเสี้ยวดีกว่าเรา อนึ่งโบราณว่าไว้ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาก็ให้ผู้ความคิดน้อยคำนับผู้มีปัญญา แลท่านมาทักเราให้ผิดโบราณดังนี้เราไม่เห็นด้วย แล้วก็สั่งให้กวนกีถือหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมา เก๋งบูได้ยินดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ แล้วว่าเมืองกิจิ๋วจะสูญเสียครั้งนี้เปนมั่นคง เก๋งบูกับขุนนางสามสิบสองคนก็ลาออกจากราชการ แต่เก๋งบูก้วนซุนนั้นไปยืนแอบประตูเมืองคอยอ้วนเสี้ยวอยู่


ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นแจ้งในหนังสือฮันฮกนั้น แล้วก็จัดแจงทหารแล้วยกไปถึงเมืองกิจิ๋ว แลอ้วนเสี้ยวนั้นจะเข้าประตูเมือง เก๋งบูก้วนซุนชักกระบี่ออกจะฟันอ้วนเสี้ยว งันเหลียงบุนทิวเห็นดังนั้น จึงถอดกระบี่วิ่งเข้ารับ แล้วฟันเก๋งบูกับก้วนซุนตาย อ้วนเสี้ยวก็ยกทหารเข้าไปในเมือง ฮันฮกจึงออกมารับแล้วพาเข้าไปที่อยู่ อ้วนเสี้ยวจึงตั้งฮันฮกเปนบูจงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเปนนายทหารเอก แล้วให้ถอดขุนนางในเมืองเสีย จึงให้เอาเตียนห้องหนึ่ง โจสิวหนึ่ง เคาสิวหนึ่ง ห้องกีหนึ่ง ซึ่งเปนทหารของอ้วนเสี้ยวนั้นมาเปนขุนนาง ในขณะนั้นราชการในเมืองกิจิ๋วก็สิทธิ์ขาดอยู่ในอ้วนเสี้ยวสิ้น แลฮันฮกเห็นดังนั้นก็คิดสดุ้งใจว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวมาทำทั้งนี้ก็เพราะเราคิดผิด ซึ่งจะอยู่ในเมืองนี้กับอ้วนเสี้ยวสืบไปเมื่อหน้าเห็นจะเกิดอันตรายเปนมั่น คง ฮันฮกก็ทิ้งบุตรภรรยาเสีย หนีไปเมืองตันลิวแต่ตัวผู้เดียว


ฝ่ายกองซุนจ้านครั้นรู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้ว ก็ให้กองซุนอวดผู้น้องไปว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า จะปันเอาทรัพย์สิ่งสินแลเมืองกึ่งหนึ่ง ตามซึ่งให้หนังสือมาสัญญาไว้นั้น อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่าให้ไปเชิญกองซุนจ้านผู้ที่ท่านมาเถิด กองซุนอวดกลับไปถึงกลางทาง พอพบทัพสองข้างทางร้องว่า กูเปนทหารมหาอุปราช แล้วเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกกองซุนอวดตาย แลทหารกองซุนอวดซึ่งมาด้วยกองซุนอวดนั้น ก็หนีเอาเนื้อความทั้งนั้นไปบอกแก่กองซุนจ้าน ๆ ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วว่าอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้วแต่งเปนกลอุบายให้ทหารมาซุ่มคอยฆ่ากอง ซุนอวดผู้น้องเราเสีย แล้วแกล้งประกาศว่าเปนทหารตั๋งโต๊ะ แลอ้วนเสี้ยวทำทั้งนี้กูมีความแค้นนัก ถ้ากูแก้แค้นอ้วนเสี้ยวไม่ได้ก็เหมือนหนึ่งมิใช่ชาติทหาร แล้วกองซุนจ้านจัดแจงทหารสิ้นทั้งเมืองพร้อม ก็ยกไปรบด้วยอ้วนเสี้ยว


ฝ่ายอ้วนเสี้ยวรู้ข่าวดังนั้นก็ให้ตรวจตราทหารเสร็จ แล้วก็ยกออกจากเมืองไปตั้งรับอยู่ ณ ตำบลแม่น้ำพวนโห้ฟากตวันตก แลแม่น้ำนั้นมีสะพานศิลาอยู่ กองซุนจ้านเห็นกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมา จึงขี่ม้าขึ้นสะพานแล้วร้องว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตัวมึงไม่รักษาสัตย์มาล่อลวงกู แล้วซ้ำฆ่ากองซุนอวดผู้น้องกูเสีย อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงขี่ม้าขึ้นสะพานแล้วจึงตอบว่า ฮันฮกเปนคนโฉดหาความคิดมิได้ ยกเมืองกิจิ๋วให้แก่เรา แลท่านจะมาชุบมือเอาส่วนนั้นไม่ควร กองซุนจ้านจึงตอบว่า หัวเมืองทั้งปวงปรึกษากันเห็นว่ามึงสัตย์ซื่อ จึงตั้งให้เปนนายทัพผู้ใหญ่ บัดนี้กูเห็นใจมึงดังสัตว์เดียรัจฉาน ซึ่งอยู่ในบ้านเมืองนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวได้ยินก็โกรธ จึงถามทหารว่าใครจะอาสาออกไปจับกองซุนจ้านมาให้เราได้บ้าง บุนทิวก็รับอาสา รำทวนขับม้าข้ามสะพานไป กองซุนจ้านชักม้าถอยลงมายืนอยู่ที่แผ่นดิน ครั้นบุนทิวมาถึงก็เข้ารบกันได้เก้าเพลงสิบเพลง กองซุนจ้านกำลังน้อยก็ขับม้าหนีเข้าปนอยู่กับพวกทหาร บุนทิวจึงขับม้าไล่เข้าไป แลทหารทั้งปวงแตกกระจายไป แลทหารเอกกองซุนจ้านสี่คนขับม้าประดากันเข้ารบด้วยบุนทิว ๆ เอาทวนแทงถูกทหารตกม้าตายคนหนึ่ง ทหารสามคนก็ขับม้าหนี บุนทิวขับม้าไล่ตามแล้วผละเสีย จึงขับม้าตรงเข้าจะแทงเอากองซุนจ้าน ๆ ขับม้าหนีฝ่าเข้าป่าไปเปนหลายตำบล บุนทิวขับม้าตามแล้วร้องว่า เร่งลงจากม้าเราจะจับเอาเปนไป ชีวิตท่านจะรอดอยู่ ถ้าจะขืนควบม้าหนีไป เราจะเอาทวนแทงให้ตกม้าตาย กองซุนจ้านได้ยินดังนั้นก็ขับม้าหนี เกาทัณฑ์แลอาวุธกับหมวกที่ใส่นั้นก็พลัดตกไปสิ้น ครั้นมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ม้านั้นก็สดุดเอาก้อนศิลาล้มลง บุนทิวเงื้อทวนจะแทงกองซุนจ้าน ฝ่ายจูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนออกสกัดหน้าบุนทิวไว้ แลกองซุนจ้านนั้นก็หนีเข้าซ่อนอยู่ในเงื้อมเขาได้ จูล่งกับบุนทิวรบกันถึงหกสิบเพลงมิได้แพ้ชนะกัน พอเหล่าทหารกองซุนจ้านซึ่งแตกนั้น คุมกันไล่ตามมาทันเข้าล้อมบุนทิวไว้ บุนทิวเห็นจะเสียทีก็ขับม้าฝ่าออกมาได้ แล้วหนีกลับไป กองซุนจ้านจึงออกมาจากเงื้อมเขา เห็นทหารคนนั้นสูงประมาณหกศอก หน้าผากแลคิ้วใหญ่ตาโต จึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด มาช่วยเรานี้ขอบใจนัก จูล่งย่อตัวลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าชื่อจูล่งแซ่เตียว อยู่ ณ เมืองเซียงสัน แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเปนคนมีพยศหยาบช้ามิได้รักษาสัตย์ ข้าพเจ้าจึงหนีมาพึ่งอยู่ด้วยท่าน พอมาพบที่กลางทางนี้ กองซุนจ้านได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงขึ้นขี่ม้าตัวหนึ่งแล้วพาจูล่งกับทหารทั้งปวงยกกลับไป ณ ค่ายริมแม่น้ำ


ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นเห็นดังนั้น ก็ให้งันเหลียงบุนทิวคุมทหารเกาทัณฑ์นายละพัน ให้แยกเปนสองกองซุ่มอยู่ต้นสพาน ถ้าได้ยินเสียงประทัดสัญญาแล้วก็ให้ยิงระดมทั้งซ้ายขวา แล้วให้จ๊กยี่คุมทหารเกาทัณฑ์แปดร้อย กับทหารเลวหมื่นห้าพันเปนกองหน้าออกรบล่อ อ้วนเสี้ยวนั้นคุมทหารประมาณห้าหมื่นเปนกองหลวง ครั้นจัดแจงเสร็จก็ให้ทหารทั้งปวงสงบอยู่


ฝ่ายกองซุนจ้านให้ยำก๋งคุมทหารเปนกองหน้า แล้วให้จัดทหารเปนปีกซ้ายปีกขวา แลกองซุนจ้านนั้นยังไม่รู้จักน้ำใจจูล่ง จึงให้จูล่งคุมทหารเปนกองหลัง แล้วให้เอาธงเปนตัวอักษรปักทองว่าชวยกี้ ภาษาไทยว่าธงสำหรับแม่ทัพ แล้วก็ยกทหารขึ้นตั้งเปนกระบวรอยู่บนสะพานศิลานั้น จึงให้ทหารทั้งปวงตีฆ้องกลองม้าฬ่อ แล้วโห่ร้องแต่เช้าจนเที่ยง ทหารในกองทัพอ้วนเสี้ยวนั้นยังสงบอยู่ ยำก๋งซึ่งเปนกองหน้ากองซุนจ้านเห็นดังนั้น ก็ยกทหารรุกจะข้ามไป


ฝ่ายจ๊กยี่กองหน้าอ้วนเสี้ยวคุมทหารรบล่อถอยมาถึงต้นสะพาน เห็นได้ทีแล้วจึงจุดประทัดสัญญาขึ้น แลทหารเกาทัณฑ์แปดร้อยนั้นก็ยิงระดมเปนสามารถ ยำก๋งเห็นจะต้านทานมิได้ แลทหารทั้งปวงก็รวนจะถอยออกมา จ๊กยี่เห็นดังนั้นจึงขับม้ารำง้าวเข้าไล่รบด้วยยำก๋งได้ห้าเพลง ก็เอาง้าวฟันถูกยำก๋งตกม้าตาย ปีกซ้ายปีกขวากองซุนจ้านยกทหารจะเข้าช่วยรุมแก้กัน งันเหลียงบุนทิวคุมทหารซ้ายขวาซึ่งซุ่มอยู่ต้นสะพานนั้นก็ให้ทหารยิง เกาทัณฑ์กราดไว้ ทหารกองซุนจ้านเข้าช่วยมิได้ จ๊กยี่คุมทหารทั้งปวงไล่ฟันไปถึงหน้าม้ากองซุนจ้าน แล้วจึงเอากระบี่ฟันธงนั้นหักลง กองซุนจ้านเห็นจะทานมิได้ก็คุมทหารกลับหน้าลงจากสะพานหนีไป จ๊กยี่นั้นขับม้าคุมทหารไล่ฟันตลุมบอน ทหารกองซุนจ้านแตกกระจัดกระจายไป


ขณะนั้นจูล่งซึ่งเปนกองหลังเห็นดังนั้น จึงขับม้าเข้ารบด้วยจ๊กยี่ได้ห้าเพลง ก็เอาทวนแทงจ๊กยี่ตกม้าตาย แล้วจูล่งขับม้าเข้าไล่แทงอยู่ในกลางทหารจ๊กยี่ จูล่งขับม้าไปข้างขวาก็ขวาแตก ไปข้างซ้ายก็ซ้ายแตก หาผู้ใดจะต้านทานมิได้ กองซุนจ้านเห็นดังนั้นก็คุมทหารกลับเข้ามาช่วยจูล่งรบทหารจ๊กยี่ก็แตกไป


ขณะเมื่อจ๊กยี่ฟันธงสำหรับแม่ทัพหัก กองซุนจ้านแตกลงไปจากสะพานนั้น มีทหารคนหนึ่งมาบอกอ้วนเสี้ยวว่า ทัพกองซุนจ้านแตกแล้ว อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นมีความยินดีนัก จึงพาเตียนห้องกับทหารถือทวนประมาณสามร้อย ถือเกาทัณฑ์ห้าสิบ ออกมาแลดูนอกค่ายเห็นสมคำทหารมาบอก อ้วนเสี้ยวก็ตบมือหัวเราะแล้วว่า กองซุนจ้านนั้นเปนคนหาชำนาญศึกไม่ แต่เราคิดทำเพียงนี้ก็รบแตก อ้วนเสี้ยวก็มีใจประมาท


ฝ่ายจูล่งกับกองซุนจ้านรีบยกทหารข้ามสะพานไป แต่จูล่งนั้นขับม้าเข้าไล่แทงทหารอ้วนเสี้ยวตาย เปนหลายคน กองซุนจ้านก็รับยกทหารเข้าวกหลังอ้วนเสี้ยวไว้ แล้วยิงเกาทัณฑ์ระดมไป

เตียนห้องเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ครั้งนี้จะเสียทีแก่ศัตรู ท่านจงเข้าแอบอยู่ริมตลิ่งหนีให้พ้นภัย อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่าเปนชาติทหารจะกลัวตายใย แล้วร้องให้ทหารทั้งปวงเข้ารบพุ่งต้านทานไว้ เหล่าทหารทั้งปวงนั้นก็รบพุ่งป้องกันเปนสามารถ แลงันเหลียงเห็นกองซุนจ้านกับจูล่งเข้ารบอยู่ ก็คุมทหารตีกระหนาบหลังเข้าด้านหนึ่ง ทหารอ้วนเสี้ยวที่แต่งให้รบล่อซึ่งแตกไปนั้น ครั้นกลับมาเห็นก็คุมกันเข้าตีกระหนาบไว้อีกด้านหนึ่ง จูล่งรบอยู่ในทัพกระหนาบเห็นจะทานมิได้ ก็พากองซุนจ้านกับทหารรบฝ่าออกมาจะข้ามสะพานไป อ้วนเสี้ยวแลงันเหลียงก็คุมทหารไล่ไปถึงต้นสะพาน ได้ฆ่าฟันทหารกองซุนจ้านตกน้ำตายเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวกับงันเหลียงคุมทหารข้ามสะพานไล่กองซุนจ้านจูล่งไปทางประมาณห้า สิบเส้น

ขณะนั้นเล่าปี่รู้ข่าว จึงพากวนอูเตียวหุยกับทหารทั้งปวงยกมาจะช่วยกองซุนจ้าน พอเห็นอ้วนเสี้ยวไล่กองซุนจ้านมาถึงเนินเขา เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ขับม้ารบสกัดหน้าม้าอ้วนเสี้ยวไว้ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่กวนอูเตียวหุยขวางหน้าม้าเข้ารบดังนั้นก็ตกใจ หาสติมิได้ ง้าวซึ่งถืออยู่นั้นก็พลัดตกลงจากมือ แล้วขับม้าถอยหลังข้ามไป ณ ค่าย

ฝ่ายกองซุนจ้านครั้นเห็นเล่าปี่กับกวนอูเตียวหุยมาช่วย ก็มีความยินดี จึงพากันกลับมาถึงค่าย แล้วกองซุนจ้านจึงบอกแก่เล่าปี่ว่า ครั้งหนึ่งบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยวไล่เรามา หากว่าจูล่งออกช่วยเราจึงรอด ครั้งนี้อ้วนเสี้ยวไล่เรามาหากว่าท่านมาทันได้รบพุ่งป้องกันไว้ เราจึงได้รอดชีวิตเพราะท่าน แล้วเรียกจูล่งมาให้รู้จักกับเล่าปี่ไว้ เล่าปี่เห็นรูปร่างจูล่งนั้นสมเปนทหารก็มีความรักใคร่จูล่งเปนอันมาก แล้วกองซุนจ้านกับอ้วนเสี้ยวก็ให้ทหารตั้งมั่นประชิดกันอยู่คนละฟากน้ำ ประมาณเดือนเศษ

ขณะนั้นมีคนหนึ่งเอาข่าวขึ้นไปบอกลิยู ณ เมืองเตียงฮัน ตามซึ่งอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านตั้งรบกันอยู่นั้นทุกประการ ลิยูจึงเอาเนื้อความนั้นแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ๆ รู้ดังนั้นจึงว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านต่างมีกำลังรบกันอยู่ดังนี้เราจะคิดประการใด ลิยูจึงว่าอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านนั้นก็มีฝีมือรบพุ่งเข้มแข็ง ตั้งรบกันอยู่ตำบลแม่น้ำพวนโห้ ถ้าผู้ใดมีชัยชนะผู้นั้นก็จะกำเริบขึ้น นานไปก็จะเคืองใจท่าน ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปห้ามเสียทั้งสองฝ่ายให้เปนไมตรีกัน นานไปอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้าน ก็จะอยู่ในบังคับบัญชาท่าน ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้สองฉบับตามคำลิยูว่า แล้วให้เตียวกีกับม้าหยิดถือไปให้แก่อ้วนเสี้ยวกองซุนจ้าน

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นรู้ข่าวจึงออกมาคำนับหนังสือรับสั่ง แล้วรับเข้าไปในค่าย ครั้นดูแจ้งในหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็ทำตามรับสั่ง แลเตียวกีกับม้าหยิดก็พากันเอาหนังสือฉบับหนึ่งข้ามไปให้กองซุนจ้าน ณ ค่าย กองซุนจ้านเห็นหนังสือก็ฟังตามรับสั่ง แล้วกองซุนจ้านให้ทหารเอาข้อรับสั่งไปเจรจาแก่อ้วนเสี้ยว ๆ ก็ยอม แล้วเตียวกีกับม้าหยิดเอาเนื้อความลับขึ้นแจ้ง ณ เมืองเตียงฮัน อ้วนเสี้ยวก็ยกทหารกลับเข้าเมือง

ฝ่ายกองซุนจ้านจัดแจงทหารแล้ว พาเล่าปี่จูล่งเลิกทัพกลับไปเมือง ครั้นถึงเมืองเพงงวนก๋วน จึงให้เล่าปี่เข้าอยู่รักษาเมืองดังแต่ก่อน เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ลากองซุนจ้านจะเข้าไปในเมือง จูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเปนคนหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงมาอยู่ด้วยกองซุนจ้าน บัดนี้ก็เห็นว่ากองซุนจ้านนี้หาความคิดมิได้ ข้าพเจ้าจึงมีความลำบากใจ ครั้นมาเห็นท่านค่อยมีสติปัญญา คิดว่าจะทำราชการด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ มิรู้ที่จะทำประการใด เล่าปี่จึงตอบเอาใจจูล่งว่า ท่านกับเรารู้จักกันไว้ครั้งนี้ก็เปนคนสนิธกัน จงค่อยอยู่กับกองซุนจ้านก่อนเถิด ถ้าชีวิตมิตายสืบไปภายหน้า ท่านจะได้ทำราชการด้วยเราเปนมั่นคง จงจำคำนี้ไว้อย่าลืม แล้วเล่าปี่ยุดมือจูล่งเข้าแล้วก็มีใจเสร้าโศก จูล่งนั้นก็ร้องไห้รักเล่าปี่ แล้วเล่าปี่ลาจูล่งยกทหารเข้าไปเมืองเพงงวนก๋วน กองซุนจ้านก็พาจูล่งยกไปยังเมืองปักเป๋ง

ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นรู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวผู้พี่ได้เมืองกิจิ๋ว จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปขอม้าแก่อ้วนเสี้ยวพันหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมิได้ยอมให้ดังปราถนา อ้วนสุดโกรธพยาบาทอ้วนเสี้ยวผู้พี่ แล้วอ้วนสุดให้มีหนังสือไปขอสเบียงเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวมิได้ให้สเบียงมา อ้วนสุดโกรธมีใจพยาบาทเปนอันมาก แล้วอ้วนสุดก็แต่งหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยนซึ่งอยู่ ณ เมืองกังตั๋งว่า เล่าเปียวคุมทหารออกสกัดรบชิงเอาตราหยกนั้น ก็เพราะอ้วนเสี้ยวพี่เราให้หนังสือไป บัดนี้อ้วนเสี้ยวกับเล่าเปียวคิดกันจะไปตีเมืองกังตั๋งชิงเอาตราหยกให้จงได้ ซึ่งท่านจะนอนใจอยู่นั้นไม่ควร จงเร่งยกทหารไปตีเมืองเกงจิ๋ว เราจะช่วยแก้แค้นท่าน เราจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วซึ่งอ้วนเสี้ยวอยู่นั้น

ฝ่ายซุนเกี๋ยนแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงปรึกษาด้วยทหารทั้งปวงว่าผู้ใดจะเห็นประการใด เทียเภาจึงว่าซึ่งอ้วนสุดให้หนังสือมาทั้งนี้จะเชื่อฟังยังมิได้ ด้วยอ้วนสุดนั้นเปนคนหยาบช้า มักยุยงแต่จะให้ผู้อื่นผิดกัน แล้วอ้วนสุดก็เปนน้องอ้วนเสี้ยว ซึ่งจะยกไปรบเมืองกิจิ๋วนั้นข้าพเจ้าเห็นไม่จริง ซุนเกี๋ยนจึงตอบว่า ซึ่งเทียเภาว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ อันเล่าเปียวเปนศัตรูเรา ถึงมาทว่าอ้วนสุดจะไม่มีหนังสือมาถึงเรา ๆ ก็คิดอยู่ว่าจะยกทหารไปรบ แลการทั้งนี้ใช่จะเห็นแก่ผู้ช่วยนั้นหามิได้ แล้วให้อุยกายไปจัดแจงเรือรบสรัพไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ กับเรือใหญ่บันทุกม้าแลสเบียงอาหารให้พร้อมไว้จงมาก ถึงวันดีเมื่อใดจะได้ยกไปทำการสดวก

ฝ่ายเรือกองตระเวนเมืองเกงจิ๋วรู้กิตติศัพท์ดังนั้น ก็เอาเนื้อความทั้งปวงไปแจ้งแก่เล่าเปียว ๆ จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งนั้นว่า ซึ่งซุนเกี๋ยนจะยกทัพเรือมานั้นใครยังจะเห็นประการใดบ้าง เก๊งเหลียงจึงว่าซึ่งซุนเกี๋ยนจะยกทัพเรือข้ามทเลมานั้น เห็นจะไม่สู้กับเราซึ่งอยู่บกได้ ด้วยส่งสเบียงกันยาก ขอให้เกณฑ์ทัพหองจอเจ้าเมืองกังแฮซึ่งขึ้นแก่เรานั้นเปนทัพหน้า ท่านจงยกทหารเปนทัพหลวง เล่าเปียวเห็นชอบด้วย ก็ให้เกณฑ์ทัพหองจอไปตั้งอยู่ปากน้ำฮวนเสีย แล้วจัดแจงทหารในเมืองเกงจิ๋ว เกณฑ์ไว้ตามคำเก๊งเหลียงว่า

ฝ่ายซุนเกี๋ยนนั้นมีภรรยาสองคนเปนพี่น้องร่วมท้องกัน พี่นั้นชื่อนางงอฮูหยิน น้องชื่องอยี่ฮูหยิน แลนางผู้พี่นั้นมีบุตรชายสี่คน ชื่อซุนเซ็กหนึ่ง ชื่อซุนก๋วนหนึ่ง ซุนเสียงหนึ่ง ซุนของหนึ่ง นางผู้น้องนั้นมีบุตรชายชื่อซุนลองหนึ่ง บุตรหญิงชื่อซุนหยินหนึ่ง บุตรเลี้ยงนั้นชื่อกองเลหนึ่ง น้องซุนเกี๋ยนชื่อซุนเจ้งหนึ่ง ขณะเมื่อวันดีซุนเกี๋ยนลงเรือนั้น ซุนเจ้งผู้น้องพาบุตรซุนเกี๋ยนทั้งเจ็ดคนตามลงไปห้ามซุนเกี๋ยนว่า ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยราชสมบัติ ราชการบ้านเมืองก็เปนสิทธิ์อยู่กับตั๋งโต๊ะ ๆ ทำการหยาบช้า หัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจลแขงเมืองขึ้น อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน แลในเมืองกังตั๋งนี้พึ่งจะสงบลง ซึ่งท่านจะยกทัพไปรบแก่เล่าเปียวนั้น ขอท่านจงตรึกตรองดูก่อน ซุนเกี๋ยนจึงตอบว่า แต่ก่อนมาตัวเราผู้เดียวก็ยังคิดตั้งตัวมาได้ ครั้งนี้เราได้ทหารไว้เปนกำลังมากแลเล่าเปียวเปนศัตรูเรา ครั้นเราจะนิ่งเสียไม่ไปทำการแก้แค้น ก็ดูเหมือนเปนชายชาติทหารไม่มีฝีมือ

ฝ่ายซุนเซ็กจึงว่าซึ่งบิดามิฟังจะยกไปให้ได้ ข้าพเจ้าจะขอไปด้วย ซุนเกี๋ยนมีความรักรับซุนเซ็กลงเรือ แล้วยกทหารข้ามอ่าวทเลไปถึงปากน้ำเมืองฮวนเสียต่อกันกับเมืองกังแฮ

ฝ่ายหองจอเจ้าเมืองกังแฮแจ้งในหนังสือซึ่งเล่าเปียวให้มา จึงจัดแจงทหารพร้อม แล้วก็ยกมาตั้งอยู่ปากน้ำเมืองฮวนเสีย ครั้นเห็นซุนเกี๋ยนยกทัพเรือมา ก็ให้ทหารทั้งปวงยิงเกาทัณฑ์เปนอันมาก ซุนเกี๋ยนให้ทหารบังตัวลอยเรือล่อให้ยิงรบถึงสามวันสามคืน ทหารกองทัพเรือมิได้เปนอันตราย หองจอนั้นให้ยิงระดมไปจนสิ้นลูกเกาทัณฑ์

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นเกาทัณฑ์สงบลง จึงให้ทหารชักเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งติดเรือรบทั้งปวงนั้น นับได้ลูกเกาทัณฑ์ประมาณสิบห้าหมื่น

ขณะนั้นลมแปรเข้าฝั่ง ซุนเกี๋ยนจึงให้แจวเรือรบทั้งปวงเข้าไปถึงตลิ่ง แล้วเอาเกาทัณฑ์ระดมยิง ทหารหองจอสิ้นลูกเกาทัณฑ์แล้วเห็นจะต้านทานมิได้ ก็ยกถอยหนีเข้าเมืองฮวนเสีย แลเทียเภาอุยกายเห็นดังนั้น ก็คุมทหารเปนสองกองไล่ฟันเข้าไปจนถึงประตูเมืองฮวนเสีย ซุนเกี๋ยนกับฮันต๋งคุมทหารหนุนขึ้นไปเปนอันมาก ครั้นเห็นหองจอหนีเข้าในเมือง ก็ขับทหารไล่ตามเข้าไป หองจอจึงพาทหารหนีออกจากเมืองฮวนเสียไปเข้าเมืองเตงเซีย

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นดังนั้นจึงให้อุยกายกลับลงมารักษาเรือรบไว้ แล้วซุนเกี๋ยนก็รีบยกทหารตามหองจอไป

ฝ่ายหองจอเห็นซุนเกี๋ยนตามมาจะใกล้ถึงเชิงกำแพง ก็ยกทหารออกมาตั้งรับอยู่นอกประตูเมือง แลซุนเกี๋ยนกับซุนเซ็กผู้บุตรขี่ม้าตามกันขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหาร หองจอนั้นก็ขับม้าออกมายืนอยู่หน้าพลทั้งปวง แลทหารสองคนชื่อเตียเฮาชื่อตันเสง ตามออกมายืนอยู่ด้วย หองจอจึงร้องด่าซุนเกี๋ยนว่า มึงนี้อ้ายพวกโจรเมืองกังตั๋ง เปนไฉนจึงบังอาจรุกล่วงมาถึงแดนพระเจ้าฮั่นโกโจ มึงไม่กลัวตายหรือ แล้วใช้ให้เตียวเฮาขับม้าออกรบ ซุนเกี๋ยนให้ฮันต๋งออกรบด้วยเตียวเฮาได้สามสิบเพลง ตันเสงจึงขับม้าออกช่วยเตียวเฮา ซุนเซ็กเห็นดังนั้นจึงยิงด้วยเกาทัณฑ์ไปถูกหน้าผากตันเสงตกม้าตาย เตียวเฮาเห็นตันเสงตายก็สลดใจเสียทีฮันต๋งเอาง้าวฟันถูกเตียวเฮาตาย เทียเภาก็ขับม้าควบตรงเข้าไปจะจับหองจอ ๆ ตกใจถอดหมวกทิ้งเสีย แล้วโจนจากม้าหนีเข้าปลอมอยู่กับพวกทหาร ซุนเกี๋ยนก็คุมทหารทั้งปวงไล่ฟันทหารหองจอไปถึงตำบลฮั่นซุย หองจอหนีไปได้ ซุนเกี๋ยนจึงให้ทหารไปสั่งอุยกาย ให้คุมทหารเรือรบทั้งปวงขึ้นไปรับตำบลท่าฮั่นกั๋ง

ฝ่ายหองจอนั้นเสียทหารเปนอันมาก ก็รีบหนีไปถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงเอาเนื้อความไปบอกเล่าเปียว ๆ ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่เก๊งเหลียง ๆ จึงว่าซึ่งหองจอแตกมานั้น ฝ่ายทหารซุนเกี๋ยนก็มีใจกำเริบ ครั้นเราจะยกออกรบบัดนี้ก็เหมือนหนึ่งหักไฟหัวลม จำเราจะให้รักษาค่ายประตูหอรบไว้จงมั่นคงก่อน แล้วจึงให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาช่วย เห็นซุนเกี๋ยนจะไม่ทำสิ่งใดได้

ชัวมอจึงว่าซึ่งเก๊งเหลียงว่านั้นไม่ชอบ ด้วยทัพซุนเกี๋ยนยกมาจะใกล้ถึงกำแพงอยู่แล้ว ๆ จะให้ขึ้นรักษาหน้าที่อยู่ จะให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวช่วยนั้นเห็นไม่ทันที ข้าพเจ้าจะขออาสายกทหารออกไปตีทัพซุนเกี๋ยน เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ทหารให้หมื่นหนึ่ง ชัวมอก็คุมทหารไปถึงเขาฮีสัน แล้วจึงให้หยุดทัพตั้งมั่นไว้

ฝ่ายซุนเกี๋ยนมิได้รู้ว่าชัวมอมาตั้งอยู่ ก็ยกทหารรีบมาถึงเขาฮีสันข้างหนึ่ง ชัวมอรู้ก็ขี่ม้าถือง้าวขึ้นมายืนอยู่หน้าทหาร ซุนเกี๋ยนเห็นชัวมอมาตั้งอยู่ดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปจับชัวมอพี่ภรรยาเล่าเปียวมาให้เราได้

เทียเภาจึงรับอาสา แล้วขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยชัวมอได้สิบเพลง ชัวมอเห็นจะสู้มิได้ก็ขับม้าหนี ซุนเกี๋ยนคุมทหารไล่แทงฟันทหารชัวมอล้มตายเปนอันมาก แลชัวมอนั้นหนีเข้าในเมืองได้ จึงเอาเนื้อความแจ้งแก่เล่าเปียว เก๊งเหลียงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า เพราะท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจึงเสียทีแก่ข้าศึก ซึ่งชัวมอขันอาสาออกไปแล้วแตกเข้ามา ให้เสียทหารเปนอันมากนั้น ขอให้ตัดสีสะชัวมอเสียบไว้จึงจะควร เล่าเปียวได้ยินดังนั้นเพราะมีความรักนางชัวฮูหยินซึ่งเปนภรรยา ก็มีใจเมตตามิได้เอาโทษชัวมอ

ฝ่ายซุนเกี๋ยนจึงเกณฑ์ทหารทั้งปวงยกเข้าล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดธงชัยสำหรับทัพซุนเกี๋ยนหัก ฮันต๋งเห็นดังนั้นจึงว่าแก่ซุนเกี๋ยนว่า บัดนี้บังเกิดอัศจรรย์เปนลางในกองทัพเรา ธงชัยจึงหัก ครั้นจะตั้งล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้ฉนี้ เหตุใหญ่ก็จะมีแก่ท่านเปนมั่นคง ขอให้เลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง ภายหลังจึงจะค่อยคิดการสืบไป ซุนเกี๋ยนตอบว่าซึ่งเรายกมาทำการสงครามครั้งนี้ ก็มีชัยชนะเปนหลายครั้ง จวนจะได้เมืองเกงจิ๋วอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว ซึ่งท่านจะสงสัยว่าเกิดลมพัดมาธงชัยจึงหักไปนั้นไม่ชอบ แล้วก็เร่งให้ทหารทั้งปวงทำลายกำแพงเมืองเกงจิ๋วให้ได้แต่ในเวลาค่ำวันนี้ ครั้นเวลาค่ำเก๊งเหลียงเห็นดาวตกลงมา ก็ดูในตำราแจ้งแล้วจึงบอกแก่เล่าเปียวว่า ข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งเสร้าหมองตกลงมา ครั้นดูในตำราเห็นว่าจะมีอันตรายแก่ซุนเกี๋ยนเปนมั่นคง ขอให้เร่งแต่งหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาตีซุนเกี๋ยนเปนทัพกระหนาบ เล่าเปียวจึงว่าซึ่งจะให้ไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวเราก็เห็นชอบด้วย แต่บัดนี้ทัพซุนเกี๋ยนล้อมเมืองอยู่ จะหาผู้ใดเข้มแขงจะได้ถือหนังสือรบหักกองทัพซุนเกี๋ยนออกไปได้

ลีก๋งทหารเล่าเปียวคนหนึ่งรับอาสา เก๊งเหลียงจึงตอบว่าซึ่งท่านจะอาสานั้นเราขอบใจนัก แต่ท่านจงทำตามคำเรา เราจะเกณฑ์ทหารถือเกาทัณฑ์ให้ไปด้วยห้าร้อย ถ้าท่านรบหักออกไปได้แล้ว จงจัดทหารสองร้อยให้รีบไปซุ่มอยู่ท้ายเขาฮีสันร้อยหนึ่ง ร้อยหนึ่งให้ขึ้นไปซุ่มอยู่เนินเขา เก็บเอาก้อนศิลาเตรียมไว้จงมาก ถ้ากองทัพซุนเกี๋ยนตามรบ ท่านกับทหารสามร้อยนั้นให้สู้พลางหนีพลาง กว่าจะถึงเขาฮีสัน ทหารสองกองซึ่งซุ่มอยู่บนเนินเขาแลป่าท้ายเขานั้นได้ยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อน ศิลาแล้วเมื่อใด ท่านจึงจุดประทัดใหญ่ขึ้นสามนัด เราได้ยินเสียงประทัดแล้วจะยกทหารออกตามตีกระหนาบไป ถ้าข้าศึกมิได้ติดตาม ท่านจงรีบเอาหนังสือไปให้แก่อ้วนเสี้ยวจงได้ แลในเวลากลางคืนวันนี้ก็เปนเดือนมืด ท่านจงคุมทหารรีบออกไป ลีก๋งก็รับคำเก๊งเหลียงแล้ว ลาเล่าเปียวคุมทหารถือเกาทัณฑ์ห้าร้อยเปิดประตูฝ่ายทิศตวันออก รบหักออกไป แล้วให้ทหารสองร้อยนั้นไปซุ่มอยู่เขาฮีสันเปนสองกองตามคำเก๊งเหลียงสั่ง

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นทหารในเมืองยกหักออกไป จึงขึ้นม้าถือง้าวแล้วพาทหารซึ่งสนิธนั้นสามสิบม้ายกตามไป แลม้าซุนเกี๋ยนนั้นรีบไปทันม้าลีก๋งเข้าจึงร้องว่า มึงออกมาจากเมืองนี้จะหนีไปแห่งใด ลีก๋งได้ยินดังนั้นก็ชักม้ากลับหน้ามารบด้วยซุนเกี๋ยนได้ห้าเพลง แล้วขับม้าหนีไปทางที่ซุ่มทหารไว้สองกองนั้น ซุนเกี๋ยนก็ขับม้าตามไปถึงซอกเขา ครั้นไม่เห็นลีก๋งจึงชักม้ากลับหลังมาหาทหารสามสิบ พอได้ยินเสียงม้าฬ่อแลทหารบนเนินเขาก็ทิ้งก้อนศิลาลงมา ทหารซึ่งซุ่มอยู่ท้ายเขาก็ยิงเกาทัณฑ์ระดมไป แลซุนเกี๋ยนกับม้านั้นถูกเกาทัณฑ์แลก้อนศิลาโลหิตไหลลงโทรมกาย ทั้งม้าทั้งคนก็ถึงแก่ความตายในซอกเขา เมื่อซุนเกี๋ยนตายนั้นอายุได้สามสิบปี

ลีก๋งเห็นดังนั้น ก็ขับทหารทั้งปวงมาสกัดฆ่าทหารซุนเกี๋ยนเสียทั้งสามสิบคน แล้วให้จุดประทัดใหญ่สัญญาขึ้นสามนัด ฝ่ายเก๊งเหลียงได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็ให้เก๊งอวดหนึ่ง หองจอหนึ่ง ชัวมอหนึ่ง คุมทหารตีออกไปเปนสามด้าน แลทหารซุนเกี๋ยนมิทันรู้ก็แตกตื่นล้มตายเปนอันมาก

ฝ่ายอุยกายซึ่งอยู่รักษาเรือรบนั้น ครั้นได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึงก็คุมทหารขึ้นมาจะช่วยรบ พอมาพบหองจอเจ้าเมืองกังแฮก็เข้ารบกันได้หกเพลง อุยกายจับหองจอได้

ฝ่ายเทียเภาซุนเซ็กไปตามซุนเกี๋ยน พอมาพบลีก๋งกับเทียเภารบกันได้ห้าเพลง เทียเภาเอาทวนแทงถูกลีก๋งตกม้าตาย ในเวลากลางคืนนั้นทหารเล่าเปียวกับทหารซุนเกี๋ยนรบกันล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งลีก๋งคุมมานั้น ก็เอาศพซุนเกี๋ยนเข้าไปให้แก่เล่าเปียว ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารเล่าเปียวก็พากันกลับเข้าเมือง

ฝ่ายซุนเซ็กกับเทียเภาครั้นมิได้พบซุนเกี๋ยน แล้วก็พาทหารใหญ่น้อยซึ่งแตกตื่นนั้นไปตั้งอยู่ที่ตำบลฮั่นซุย ในขณะนั้นทหารเลวคนหนึ่งเอาเนื้อความมาบอกแก่ซุนเซ็กว่า ซุนเกี๋ยนผู้เปนบิดานั้นถูกเกาทัณฑ์ตายที่ซอกเขาฮีสัน ศพนั้นทหารเมืองเกงจิ๋วเอาเข้าไปให้แก่เล่าเปียวแล้ว

แลซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้รักบิดา ครั้นคลายโศกแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ศพบิดาเราอยู่ในเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเราจะละเสียมิรบเอาเมืองนี้ให้ได้ก็ดูเหมือนหามีกตัญญูต่อบิดาเราไม่ อุยกายจึงว่าข้าพเจ้าจับหองจอเจ้าเมืองกังแฮไว้ได้ จำจะแต่งคนเข้าไปว่าแก่เล่าเปียวให้ส่งศพบิดาท่านออกมา เราจะส่งหองจอไปให้แก่เล่าเปีย แลการซึ่งรบพุ่งกันนั้น ก็จะประนอมยอมเปนไมตรีกัน เราจึงจะยกกลับไปเมืองกังตั๋ง

ฮวนกายจึงว่าข้าพเจ้ากับเล่าเปียวได้รู้จักกันมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปว่าแก่เล่าเปียวตามคำอุยกาย ซุนเซ็กได้ฟังก็มีความยินดีนักจึงให้ฮวนกายไป แลฮวนกายจึงเข้าไปหาเล่าเปียว แล้วจึงบอกแก่เล่าเปียวว่า บัดนี้ซุนเซ็กจะไม่ทำการสงครามกับท่านสืบไป ขอเอาศพซุนเกี๋ยนซึ่งเปนบิดา ถ้าท่านยอมให้แล้วตัวหองจอซึ่งจับไว้ได้นั้นจะส่งเข้ามาให้ท่าน ซุนเซ็กก็จะเลิกทัพกลับไปเมือง เล่าเปียวจึงตอบว่าศพซุนเกี๋ยนซึ่งพวกทหารเอาเข้ามาให้เรานั้น เราให้ตกแต่งไว้ตามประเพณี ซึ่งซุนเซ็กให้มาว่านั้นเราก็จะยอม แต่สืบไปภายหน้าอย่าให้คิดล่วงเข้ามาทำอันตรายแก่เราเลย

เก๊งเหลียงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า ซึ่งท่านจะยอมให้ศพซุนเกี๋ยนไปนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แลซุนเกี๋ยนล่วงมาทำการครั้งนี้เพราะเปนคนใจหยาบช้าจึงถึงแก่ความตาย แลซุนเซ็กผู้บุตรนั้นก็ยังอ่อนความคิดอยู่ แลทหารทั้งปวงก็เห็นจะย่อท้อฝีมือทหารเรา ถ้าท่านฟัง ข้าพเจ้าจะคิดมิให้ทหารทั้งปวงเหลือกลับไปเมืองกังตั๋งได้แต่สักคนหนึ่งเลย ขอท่านให้จับฮวนกายฆ่าเสียเถิด แล้วยกทหารออกไปตี แลเมืองกังตั๋งนั้นก็จะได้เปนสิทธิแก่ท่าน ถ้าท่านมิฟังข้าพเจ้า แลจะให้ศพซุนเกี๋ยนไปนั้นเห็นจะมีอันตรายแก่ท่านเปนมั่นคง เล่าเปียวจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดดังนี้ก็จะมิเสียหองจอไปหรือ เก๊งเหลียงจึงว่า จะคิดการใหญ่เอาเมืองสิ จะเสียดายหองจอคนเดียวนี้ไม่ควร เล่าเปียวจึงตอบว่า หองจอกับเราได้รักใคร่ไว้ใจกันมาแต่ก่อน ครั้นเราจะทำดังนั้น ก็เหมือนหนึ่งแกล้งฆ่าหองจอเสีย ความซึ่งเราว่าไว้แต่ก่อนนั้นก็จะเสียวาจาไป แล้วเล่าเปียวจึงว่าแก่ฮวนกาย ให้เร่งกลับออกไปเถิด เวลาพรุ่งนี้ให้เอาตัวหองจอมาส่งให้เราที่ประตูเมือง เราจะส่งศพซุนเกี๋ยนไปให้ ฮวนกายก็เอาเนื้อความกลับไปบอกแก่ซุนเซ็ก ๆ ก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้ทหารทั้งปวงคุมเอาตัวหองจอไปส่งให้เล่าเปียวณประตู เมือง แล้วรับเอาศพซุนเกี๋ยนมาลงเรือยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จึงให้แต่งการศพไว้ตำบลขยกโอ๋ ในขณะนั้นซุนเซ็กได้เปนใหญ่ ชาวเมืองอยู่ในบังคับบัญชาทั้งสิ้น ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญากล้าหาญ ซุนเซ็กก็คำนับยำเยงเกลี้ยกล่อมเข้าไว้ด้วยเปนอันมาก

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 5

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 5

เนื้อหา

• ตั๋งโต๊ะกับลิโป้ออกรบพวกหัวเมือง
• เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ออกรบลิโป้
• ตั๋งโต๊ะไปตั้งเมืองเตียงฮันเป็นเมืองหลวง
• โจโฉติดตามไปเสียทีตั๋งโต๊ะ
• ซุนเกี๋ยนได้ตราหยกสำหรับแผ่นดิน
• พวกหัวเมืองยกทัพกลับ
• เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วชิงตราหยกซุนเกี๋ยน




ฝ่าย ทหารฮัวหยงที่เหลือตายนั้น ก็ชวนกันกลับไปณด่านกิสุยก๋วน จึงบอกเนื้อความแก่ลิซก ลิซกก็บอกหนังสือไปถึงตั๋งโต๊ะ ๆ แจ้งก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่ลิยูลิโป้ว่า บัดนี้ฮัวหยงตายแล้วเราจะคิดประการใด ลิยูจึงว่าซึ่งฮัวหยงเปนทหารเอกตายเสียฉนี้ ดังท่านเสียทหารเลวสิบหมื่นก็ไม่เท่า แลในกองทัพซึ่งยกมาทำการครั้งนี้ ข้าพเจ้าแจ้งว่าอ้วนเสี้ยวเปนนายทัพใหญ่ แล้วอ้วนหงุยซึ่งเปนอาว์อ้วนเสี้ยวนั้นเปนขุนนางอยู่ในเมืองนี้ เกลือกว่าจะคบคิดกันเปนไส้ศึก ขอให้จับอ้วนหงุยฆ่าเสีย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงสั่งลิฉุยกุยกีให้คุมทหารห้าร้อย ไปจับอ้วนหงุยกับพรรคพวกหญิงชายทั้งนั้นฆ่าเสียให้สิ้น แล้วให้เอาสีสะไปเสียบไว้ณด่านกิสุยก๋วน ให้อ้วนเสี้ยวผู้หลานเห็น แล้วให้ลิฉุยกุยกีคุมทหารห้าหมื่นตั้งมั่นรักษาด่านกิสุยก๋วนไว้ให้จงได้ ลิฉุยกุยกีก็คุมทหารไปทำตามตั๋งโต๊ะสั่ง

ฝ่ายตั๋งโต๊ะกับลิยูลิโป้หวนเตียวเตียวเจ้คุมทหารสิบห้าหมื่น ยกไปรักษาด่านเฮาโลก๋วน ซึ่งใกล้เมืองลกเอี๋ยงทางประมาณห้าร้อยเส้น แล้วตั๋งโต๊ะให้ลิโป้คุมทหารสามหมื่น ออกไปตั้งค่ายใหญ่อยู่นอกกำแพงด่าน

ม้าใช้เห็นดังนั้นจึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว ๆ จึงปรึกษาแก่หัวเมืองทั้งปวงว่า ตั๋งโต๊ะยกออกมาตั้งอยู่ด่านเฮาโลก๋วนนี้เราจะคิดประการใด โจโฉจึงว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะยกออกมาตั้งอยู่ ณ ด่านนั้น หวังจะสกัดต้นทางไว้ เราจำจะแบ่งเอานายทัพนายกองทั้งปวงคนละครึ่ง ยกไปตีอย่าให้ตั๋งโต๊ะตั้งอยู่ได้ อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงให้อองของหนึ่ง เตียวเมาหนึ่ง เปาสิ้นหนึ่ง อ้วนอุ๋ยหนึ่ง ขงเล่งหนึ่ง เตียวเอี๋ยงหนึ่ง โตเกี๋ยมหนึ่ง กองซุนจ้านหนึ่ง คุมทหารซึ่งเกณฑ์คนละครึ่งนั้นก็ยกไป แล้วให้โจโฉเปนกองสอดแนม ให้เอาข่าวดีแลร้ายมาแจ้ง ขณะนั้นอองของคุมทหารไปถึงด่านเฮาโลก๋วนก่อน

ฝ่ายลิโป้รู้ก็ยกทหารเอกสามพันออกมาจะรบอองของ ๆ จึงให้พลตั้งเปนหน้ากระดาน แล้วขับม้าขึ้นไปที่หน้าทหารทั้งปวง แลไปเห็นลิโป้แต่งตัวโอ่โถงในกระบวรสงครามแล้วถือทวนขี่ม้า อองของจึงคิดว่าลิโป้รูปร่างเปนทหารขี่ม้าก็สมตัว อองของจึงถามแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาออกรบด้วยลิโป้ได้ หองหยกทหารเอกอองของจึงรับอาสาแล้วขี่ม้าถือทวนออกรบด้วยลิโป้ได้ห้าเพลง ลิโป้เอาทวนแทงหองหยกตกม้าตาย แล้วลิโป้กับทหารทั้งนั้นรำทวนขับม้าไล่แทงตลุมบอน ทหารอองของล้มตายแตกตื่นไป พอเตียวเมาอ้วนอุ๋ยสองกองนี้ยกมาเห็นอองของแตกมา ก็ขับทหารหนุนเข้าไป ลิโป้เห็นทัพหนุนมาเปนอันมากก็ยกทหารกลับเข้าค่าย ฝ่ายอองของกับเตียวเมาอ้วนอุ๋ยเห็นดังนั้น ก็ยกทหารถอยมาตั้งมั่นอยู่ใกล้ค่ายลิโป้ประมาณสามสิบเส้น อองของตรวจพลดูก็รู้ว่าเสียทหารเปนอันมาก


ขณะนั้นนายทัพทั้งห้ากองก็มาถึงจึงตั้งค่ายมั่นอยู่ด้วยกัน ครั้นเวลารุ่งเช้านายทัพทั้งแปดคนจึงปรึกษากันว่า ลิโป้มีกำลังห้าวหาญ เราจะเห็นผู้ใดซึ่งมีฝีมือไปรบด้วยลิโป้ได้ เมื่อปรึกษายังมิทันตกลงกัน พอม้าใช้มาบอกว่าลิโป้ยกมาตั้งอยู่หน้าค่าย นายทัพทั้งแปดคนได้ฟังนั้นก็ขึ้นดูบนหอคอย เห็นเหล่าทหารลิโป้เต้นรำคนองโห่ร้องกำเริบเปนอันมาก ขณะนั้นทหารเตียวเอี๋ยงชื่อบอกสุ้น ขี่ม้ารำทวนออกไปสู้กับลิโป้ ๆ แทงถูกบอกสุ้นตกม้าตาย นายทัพทั้งแปดคนเห็นก็ตกใจ แลบู๋อันก๊กทหารขงเล่ง จึงขี่ม้าถือกระบองเหล็กใหญ่ออกไปจะสู้กับลิโป้ ๆ เห็นก็ขับม้าเข้ารบได้สิบสองเพลง ลิโป้หวดด้วยทวนถูกมือบู๋อันก๊กขาด กระบองเหล็กกระเด็นไปจึงขับม้าหนี นายทัพทั้งแปดคนเห็นก็ลงจากหอคอย แล้วก็ขับทหารทั้งปวงออกช่วยรบป้องกัน บู๋อันก๊กกลับเข้าค่ายได้ แล้วปรึกษากันว่า ลิโป้นี้การรบกล้าหาญนัก ฝีมือก็เข้มแขง ซึ่งจะทำศึกไปด้วยนั้นเห็นจะเอาชัยชนะยาก ผู้ใดจะคิดเห็นประการใด

โจโฉจึงว่าจำจะบอกไปถึงอ้วนเสี้ยวแลนายทัพทั้งปวง ให้ปรึกษากันว่า ผู้ใดจะคิดอ่านกลศึกประการใดจึงจะได้ตัวลิโป้ ถ้าได้ตัวลิโป้แล้วก็จะได้ตัวตั๋งโต๊ะโดยง่าย

ขณะนั้นม้าใช้ไปบอกแก่นายทัพทั้งแปดกองว่า ลิโป้ยกทหารมาตั้งอยู่หน้าค่าย แลนายทัพทั้งแปดกองจัดแจงทหารยกไปตั้งดากันอยู่ แต่กองซุนจ้านนั้นขี่ม้าถือง้าวเข้าไปรบด้วยลิโป้ได้สิบเพลง แลลิโป้นั้นขี่ม้ามีฝีเท้าซึ่งชื่อเซ็กเธาว์ มีกำลังแลฝีเท้ารวดเร็วนัก กองซุนจ้านนั้นสิ้นกำลังก็ขับม้าหนี ฝ่ายลิโป้ขับม้าไล่ตาม ครั้นใกล้เข้าเงื้อทวนขึ้นจะแทง พอเตียวหุยควบม้าเข้าสกัดหน้าม้าลิโป้ไว้ แล้วร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง ม้าลิโป้นั้นตกใจถอยหลังซุดออกไปเปนหลายก้าว เตียวหุยจึงร้องด่าว่า อ้ายลูกสามพ่อ กูจะมารบกับมึง เหตุใดมึงจึงชักม้าถอยไป ลิโป้ได้ยินก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกับเตียวหุยถึงห้าสิบเพลง ก็มิได้แพ้ชนะกัน กวนอูเห็นดังนั้น กลัวว่ากำลังเตียวหุยจะน้อยกว่าลิโป้ จึงขับม้าเข้ารบด้วยลิโป้ได้สามสิบเพลง เล่าปี่จึงขับม้าถือกระบี่สองเมือเข้าช่วยรบ แลม้าเล่าปี่กวนอูเตียวหุยล้อมม้าลิโป้ไว้เปนสามส้าว ลิโป้รบป้องกันไว้เปนสามารถแล้วแทงเล่าปี่ด้วยทวน เล่าปี่เอากระบี่ปัดทวนเสีย แล้วขับม้าสอึกเข้าไปจะฟันลิโป้ ๆ เห็นเปนกระบวรศึกกระหนาบหนักมา จึงขับม้าหนีพาทหารทั้งปวงเข้าในด่านเฮาโลก๋วน

ฝ่ายเล่าปี่กับกวนอูเตียวหุย แลนายทัพทั้งแปดกองก็คุมทหารยกเข้าไปถึงเชิงกำแพงด่าน ให้ทหารเข้าหักโหมเปนสามารถ ลิโป้ขึ้นอยู่บนเชิงเทินก็ให้ทหารทั้งปวงยิงเกาทัณฑ์ ทิ้งก้อนศิลาลงไปดังห่าฝน นายทัพทั้งปวงเห็นจะเข้าหักเอามิได้ ก็ยกทหารกลับมา ณ ค่าย แล้วปรึกษากันแต่งหนังสือบอกไปถึงอ้วนเสี้ยว ๆ แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้แต่งหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยนว่า ให้เร่งยกทหารเข้าตีด่านกิสุยก๋วนให้จงได้

ฝ่ายซุนเกี๋ยนครั้งแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็รู้ข่าวว่ามีผู้ยุยงอ้วนสุดมิให้เอาสเบียงมาส่ง จึงให้ทหารทั้งปวงรักษาค่ายอยู่ แล้วพาเทียเภากับอุยกายไปหาอ้วนสุด ซึ่งเปนกองลำเลียง ณ ค่าย ซุนเกี๋ยนจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าตั้งตัวเปนใหญ่ใช่จะทำสิ่งใดให้เราขัดเคืองก็หามิได้ ซึ่งเราจะมาทำการด้วยอ้วนเสี้ยวครั้งนี้ก็เพราะความซื่อตรงต่อแผ่นดิน แล้วจะคิดแก้แค้นตั๋งโต๊ะซึ่งฆ่าอ้วนหงุยอาว์ท่านเสียนั้น อุตส่าห์ทรมานเอากายเข้าสู้ลูกเกาทัณฑ์แลอาวุธทั้งปวงมิได้คิดชีวิต เราก็ให้บอกมาขอสเบียง เปนไฉนท่านจึงฟังคำคนยุยงมิให้เอาสเบียงไปส่ง ทหารในกองทัพเราจึงอดหยากอิดโรยกำลังจนเสียทีแก่ข้าศึก แลอ้วนสุดได้ยินดังนั้นก็มีความลอายนัก จึงให้เอาตัวทหารซึ่งยุงยงมิให้ส่งสเบียงนั้นมาฆ่าเสียต่อหน้าซุนเกี๋ยน

ฝ่ายม้าใช้อยู่ ณ ค่ายซุนเกี๋ยนมาบอกแก่ซุนเกี๋ยนว่า บัดนี้ลิฉุยขี่ม้าออกมาจากค่ายกิสุยก๋วนว่าจะมาหาท่าน ซุนเกี๋ยนได้ฟังก็ลาอ้วนสุดกลับมา ณ ค่าย จึงให้หาลิฉุยเข้ามาถามว่า ท่านมานี้ด้วยกิจธุระสิ่งใด ลิฉุยจึงบอกว่ามหาอุปราชให้เรามา ว่าแต่บันดาหัวเมืองซึ่งคบคิดกันมาทำการทั้งนี้ มหาอุปราชจะได้ย่อท้อต่อผู้ใดนั้นหามิได้ คิดจะให้ฆ่าเสียจงสิ้น บัดนี้มีความเมตตาแต่ท่านผู้เดียวจะพลอยตายเสียด้วยเขา ครั้นจะให้ผู้ใดมาเจรจาด้วยประการใด ท่านก็จะเข้าใจว่าให้มาเกลี้ยกล่อม มหาอุปราชจะยกลูกสาวให้ซุนเซ็กผู้บุตรท่าน จะได้เปนไมตรีกันสืบไป

ฝ่ายซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นจึงตวาดเอา แล้วว่าตั๋งโต๊ะนั้นเปนขบถแผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เราคิดอ่านกับหัวเมืองทั้งปวงยกมาทำการ หวังจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้สิ้นทั้งเจ็ดชั่วโคตร อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเปนสุข ซึ่งตั๋งโต๊ะจะเอาลูกสาวมายกให้เปนภรรยาซุนเซ็กผู้บุตรเรา ซึ่งเราจะเปนเกี่ยวดองด้วยตั๋งโต๊ะศัตรูราชสมบัตินั้น เรามีความลอายนัก แลโทษซึ่งท่านออกมาเกลี้ยกล่อมเรานั้น เราจะยกไว้ครั้งหนึ่ง ท่านจงเร่งกลับเข้าไปชักชวนทหารทั้งปวงให้เปนใจด้วยเรา เปิดประตูด่านออกไว้รับเถิด แล้วเราจะยกทหารเข้าไปจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย ถ้าท่านกับทหารทั้งปวงมิทำตามดังนี้ เรายกเข้าหักเอาเมืองได้ก็จะให้ฆ่าเสียจงสิ้น ลิฉุยได้ฟังก็ตกใจกลัว ก็ลาซุนเกี๋ยนรีบกลับเข้าไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงปรึกษาแก่ลิยูว่า ซึ่งเกลี้ยกล่อมซุนเกี๋ยนมิลงใจด้วยเรานั้นลิยูจะคิดประการใด

ฝ่ายลิยูจึงว่าซึ่งลิโป้เสียทีมาบัดนี้ เห็นทหารทั้งปวงชักย่อท้อลง ขอให้ท่านยกทหารกลับขึ้นไปเมืองหลวงก่อน แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งอยู่เมืองเตียงฮัน ด้วยข้าพเจ้าได้ยินเด็กชาวเมืองทำเพลงว่า “ตังเทาอิดโกฮัน ไซเทาอิดโกฮัน หลกเจ้าหยิบเตียงฮันห้องโกบ่อชูลัน” แปลภาษาไทยว่า ตวันตกก็มีเมืองเตียนฮันเมืองหนึ่ง ตวันออกก็มีเมือง ถ้ากวางวิ่งเข้าไปในเมืองเตียงฮันแล้ว ก็หาภัยอันตรายมิได้ แลข้าพเจ้าคิดดูในคำเด็กนั้น เห็นว่าแต่ก่อนพระเจ้าฮั่นโกโจได้สร้างเมืองเตียงฮัน พระมหากษัตริย์ได้เสวยราชย์ต่อ ๆ กันมาถึงสิบสองพระองค์ ฝ่ายพระเจ้าฮั่งกองบู๊ได้สร้างเมืองลกเอี๋ยงเปนฝ่ายตวันออก พระมหากษัตริย์ได้เสวยราชย์ต่อมา ๆ จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้ก็ได้สิบสองพระองค์ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นกองบู๊จะสูญเสียครั้งนี้แล้ว ราชสมบัตินั้นเห็นจะได้แก่ท่านเปนมั่นคง ถ้าท่านได้ไปสร้างเมืองอยู่ ณ เมืองเตียงฮันก็จะหาอันตรายมิได้ ดุจคำเด็กทำเพลงเปนศุภนิมิตนั้น ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งท่านกล่าวมาเราพึ่งแจ้งบัดนี้ แล้วก็ยกกองทัพกลับไปเมืองหลวง


ครั้นเวลารุ่งเช้าตั๋งโต๊ะจึงให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาพร้อมกันใน ที่เฝ้าแล้วว่า เราดูในตำราเห็นชาตาเมืองลกเอี๋ยงนี้เห็นเปนฝ่ายตวันออกจะร่วงโรยสูญเสีย แล้ว ฝ่ายเมืองตวันตกจะวัฒนาการเจริญรุ่งเรืองไปภายหน้า เราจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปสร้างเมืองอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพากันอพยพไปตั้งอยู่ด้วย

ฝ่ายเอียวปิวจึงว่า อันเมืองลกเอี๋ยงนี้ พระเจ้าฮั่นกองบู๊สร้างเมืองสั่งสมราชสมบัติมาเปนช้านานถึงสิบสองพระองค์ แล้ว แลท่านจะให้ทิ้งเมืองลกเอี๋ยงเสีย แลจะไปตั้งเมืองเตียงฮันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าบ้านเมืองยังมิสงบ อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนนัก อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า อุปมาดังเรือน ถ้าจะรื้อลงนั้นง่าย ซึ่งจะปลูกสร้างนั้นยากนัก ถ้าไม่ฟังข้าพเจ้า จะขืนยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮันนั้น เห็นราษฎรทั้งปวงจะแตกตื่นไป กว่าจะเกลี้ยกล่อมซ่องสุมเข้าได้ก็ยากนัก ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ขอท่านดำริห์ดูจงควร

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวเราเปนมหาอุปราช จะสั่งข้อราชการสิ่งใดก็เปนสิทธิ เราดูตำราเห็นว่าดีแลร้ายแล้วจึงสั่ง แลตัวบังอาจขัดไว้ฉนี้ไม่ชอบ

อุยอ๋วนจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งเอียวปิวทัดทานนั้นชอบอยู่ เหมือนครั้งอองมังเปนขบถ ชิงเอาราชสมบัติแล้วเผาเมืองเสีย แล้วเมืองนั้นก็ยังเปนป่าอยู่ ซึ่งท่านจะละเมืองนี้เสีย จะไปเอาป่าเปนเมืองนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร

ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าเราเห็นข้างฝ่ายตวันออกนี้เกิดจลาจล โจรทำอันตรายต่าง ๆ มาเปนหลายครั้ง แลเมืองเตียงฮันก็เปนเมืองหลวงอยู่แต่ก่อน เราเห็นภูมิลำเนาชอบกลอยู่ แล้วก็มีภูเขาแลศิลาซึ่งจะทำการเมืองนั้นใกล้ ทำเดือนหนึ่งก็สำเร็จการ จะได้เปนสุขด้วยกัน แลขุนนางทั้งปวงอย่าได้ขัดขวางสืบไปเลย

ฝ่ายซุนซองจึงห้ามตั๋งโต๊ะดังคำอุยอ๋วน ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าเราจะทำนุบำรุงราชสมบัตินี้เปนการใหญ่หลวง อุปมาเหมือนโค่นต้นไม้ทำไร่ จะคิดเสียดายต้นไม้อยู่แล้วก็ไม่ได้เข้ากิน แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้ถอดเอียวปิวอุยอ๋วนซุนซองออกเสียจากที่ขุนนาง ตั๋งโต๊ะก็ขึ้นเกวียนจะไปที่อยู่ ครั้นออกมานอกประตูวัง พบเอียวปีกับเหงาเค่งเข้ามาคำนับอยู่ตรงหน้าเกวียน ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าท่านทั้งสองจะว่าราชการสิ่งใดกับเราหรือ เอียวปีกับเหงาเค่งจึงว่าข้าพเจ้าไปได้ยินกิตติศัพท์ว่า ท่านจะเทเมืองนี้ไปสร้างอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน ข้าพเจ้าเห็นไม่ควรจึงเข้ามาหวังว่าจะห้ามท่าน ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวท่านทั้งสองแต่ก่อนนั้นได้ว่ากล่าวให้เราตั้งอ้วนเสี้ยวเปนเจ้า เมืองเราก็ทำตาม บัดนี้อ้วนเสี้ยวกลับมาทำร้ายแก่เรา แลตัวทั้งสองคนนี้คบคิดเปนสายสนกลนัยกับอ้วนเสี้ยวเปนมั่นคง แล้วจึงสั่งบู๋ซูให้เอาเอียวปีกับเหงาเค่งไปฆ่าเสีย แล้วตั๋งโต๊ะก็ไปถึงที่อยู่ จึงสั่งกำหนดวันซึ่งจะยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน

ฝ่ายลิยูจึงว่าซึ่งท่านจะยกไปสร้างเมืองนั้น อาหารแลเงินทองในท้องพระคลังยังมีอยู่น้อยเห็นจะไม่พอทำการ ในเมืองลกเอี๋ยงนี้ผู้ซึ่งเปนเศรษฐีพ่อค้าย่อมมีเงินทองเข้าของเปนอันมาก ขอให้ท่านไปริบเอามาเข้าท้องพระคลัง จึงจะได้เอาไปทำการสดวก อนึ่งแต่บันดาพรรคพวกอ้วนเสี้ยว ซึ่งอยู่ในเมืองหลวงก็มีอยู่เปนอันมาก ขอให้ท่านจับฆ่าเสียให้สิ้น แล้วริบเอาทรัพย์สิ่งสินมาเข้าท้องพระคลังไว้ ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงจัดทหารห้าพันไปเที่ยวริบอาณาประชาราษฎร ซึ่งมีเงินทองแลพรรคพวกอ้วนเสี้ยวจับเอาตัวมาแล้วมัดไว้ จึงให้เอาธงปักไว้บนสีสะเขียนอักษรสองตัวว่าเปนขบถ แล้วก็เอาไปฆ่าเสีย แลริบเอาเงินทองมาให้ตั๋งโต๊ะเปนอันมาก แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้ลิฉุยกุยกีขับต้อนอาณาประชาราษฎรในเมืองลกเอี๋ยง ไปตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮันให้สิ้นเชิง

ขณะนั้นลิกุยกุยกีก็ต้อนอาณาประชาราษฎรไป แลคนทั้งหญิงทั้งชายเด็กเล็กได้ประมาณหกร้อยเจ็ดร้อยหมื่น แลทหารตั๋งโต๊ะอพยพเปนกอง ๆ อาณาประชาราษฎรเหยียบกันตายเปนอันมาก เหล่าทหารก็เข้าช่วงชิงเอาทรัพย์สิ่งสินของราษฎร แล้วฉุดลากภรรยาของชาวเมือง แลลูกสาวซึ่งพ่อแม่พี่น้องไปด้วยมาทำอันตราย บันดาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก เสียงร้องไห้อึงคนึงไป

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเตรียมการทั้งปวงพร้อม ก็ให้ทหารเอาเพลิงจุดในเมืองลกเอี๋ยงไหม้สิ้น แล้วให้ลิโป้คุมทหารไปขุดศพพระมหากษัตริย์ซึ่งฝังไว้แต่ก่อนต่อ ๆ มา แล้วให้เก็บเอาทรัพย์สิ่งของซึ่งฝังไว้กับศพนั้น ได้เงินทองเปนอันมาก แลทหารทั้งปวงก็ปลอมขุดเอาเงินทองซึ่งใส่ศพอาณาประชาราษฎรที่ฝังไว้มาเปน อาณาประโยชน์ ตั๋งโต๊ะจึงให้ขนทรัพย์สิ่งของทั้งปวงขึ้นบันทุกเกวียนเปนหลายพันเกวียน แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับนักสนมทั้งปวงพร้อมแล้วให้ยกไป

ขณะนั้นเตียวหงิมซึ่งออกไปตั้งอยู่ ณ ด่านกิสุยก๋วนกับฮัวหยงซึ่งตายนั้น แลทหารซึ่งรักษาด่านเฮาโลก๋วน ครั้นรู้ว่าตั๋งโต๊ะเทเมืองลกเอี๋ยงเสีย เตียวหงิมจึงคุมทหารไปตามตั๋งโต๊ะ


ฝ่ายซุนเกี๋ยนครั้นเห็นด่านกิสุยก๋วนสงัดเงียบ แลนายทัพทั้งสิบแปดหัวเมืองกับเล่าปี่กวนอูเตียวหุย รู้ข่าวดังนั้นก็ยกทหารขึ้นไปเมืองลกเอี๋ยง เห็นเพลิงไหม้อยู่สิ้นทั้งเมืองมิได้มีผู้คน จึงให้ทหารเข้าดับเพลิงสงบแล้วจึงตั้งทัพอยู่ในเมืองนั้น

โจโฉจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตั๋งโต๊ะให้เผาเมืองเสีย แล้วยกหนีไปข้างตวันตก แลพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าดีแลร้าย ซึ่งตั๋งโต๊ะยกไปนั้นเห็นอาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนนัก เปนไฉนท่านมานิ่งอยู่ฉนี้ ขอให้ยกกองทัพไปทำการ เห็นจะจับตั๋งโต๊ะได้สดวก

อ้วนเสี้ยวกับหัวเมืองทั้งปวงจึงตอบว่า ทหารเรายังอิดโรยนัก จำเราจะพักพลให้มีกำลังขึ้นก่อน จึงจะคิดการสืบไป โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งจะทำการใหญ่กับหัวเมืองทั้งปวงนี้ อุปมาดังคิดกับเด็กเลี้ยงโค จึงจัดทหารพรรคพวกของตัวได้ประมาณหมื่นเศษ แล้วพาแฮหัวตุ้นแฮหัวเอี๋ยนโจหองโจหยินลิเตียนงักจิ้น กับทหารทั้งปวงรีบตามตั๋งโต๊ะไปทั้งกลางวันกลางคืน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะครั้นยกมาถึงเมืองเอ๊งหยง แลซีเอ๋งซึ่งเปนเจ้าเมืองรู้ข่าวก็ออกมารับตั๋งโต๊ะ ลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งยกมาจากเมืองหลวงครั้งนี้เกลือกพวกศัตรูจะยกตามมา ฝ่ายทัพเราจะต้านทานมิทันจะเสียท่วงที ขอให้ซีเอ๋งคุมทหารไปซุ่มอยู่บนเขาใหญ่ต้นทาง ถ้ากองทัพสิบแปดหัวเมืองยกมาตามก็ให้ซีเอ๋งออกรบ ถ้ากองทัพนั้นล่วงขึ้นมาได้รบกับทัพเราแล้ว จึงให้ซีเอ๋งออกตีกระหนาบหลัง ทัพซึ่งตามมาก็จะเสียทีเปนมั่นคง ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงให้ซีเอ๋งคุมทหารยกไปซุ่มอยู่ ณ เขาต้นทาง แล้วให้ลิโป้กับลิฉุยกุยกีคุมทหารลงไปเดิรเปนกระบวรทัพหลัง

ฝ่ายโจโฉก็ยกทัพล่วงตามเข้าต้นทางขึ้นไป ขณะนั้นลิโป้ได้ยินเสียงรี้พลตามอื้ออึงมา จึงคิดว่าลิยูนี้เปนคนมีสติปัญญา คิดสิ่งใดก็มิได้ผิด ครั้นเห็นทัพโจโฉยกมาใกล้ ลิโป้จึงให้กลับหน้าทหารเข้ารับไว้ โจโฉจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารแล้วร้องว่า อ้ายพวกขบถมึงจะพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปแห่งใด ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตอบว่าตัวมึงเปนคนอักตัญญู มหาอุปราชชุบเลี้ยงให้มีความสุขยังหารู้จักคุณไม่ กลับทรยศทำร้าย ครั้นไม่สมคิดแล้วหนีไปคบกันมาทำฉนี้อีกเล่า แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าขึ้นไปรบด้วยลิโป้ได้ห้าเพลง ลิฉุยก็ขับม้าคุมทหารเข้ารบด้านทางขวา โจโฉจึงให้แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารเข้ารบด้วยลิฉุย แลกุยกีก็ขับม้าคุมทหารเข้ารบด้านทางซ้าย โจโฉจึงให้โจหยินคุมทหารเข้ารบด้วยกุยกีเปนสามารถ เสียงทหารทั้งสองฝ่ายอื้ออึงเอิกเกริกดังแผ่นดินจะถล่ม แฮหัวตุ้นเห็นว่ากำลังนั้นน้อยกว่าลิโป้ก็ขับม้าหนี ฝ่ายลิโป้ก็ขับม้าไล่ตาม ฟันทหารโจโฉแตกตื่นล้มตายเปนอันมาก แลโจโฉกับทหารซึ่งเหลือนั้นถอยหลังไปถึงเขาต้นทาง พอเวลาสองยามแสงเดือนสว่าง เห็นรี้พลอิดโรยนักจึงให้หยุดอยู่หุงอาหารยังมิทันกิน

ฝ่ายซีเอ๋งซึ่งซุ่มอยู่เห็นดังนั้น ก็ยกทหารออกโจมตี ทหารโจโฉมิทันรู้ตัวก็ตกใจตื่นแตกกระจายไป โจโฉนั้นก็ขึ้นม้าหนีไปพบซีเอ๋งเข้าก็ตกใจ ชักม้าบ่ายหน้าจะหนีไปทางอื่น ซีเอ๋งยิงเกาทัณฑ์ไปถูกติดไหล่โจโฉ ๆ ก็ขับม้าหนีผ่านเขาไป ฝ่ายทหารซีเอ๋งเห็นก็เอาทวนแทงถูกม้าโจโฉล้มลงแล้วเข้าจับโจโฉไว้ ฝ่ายโจหองพอมาทันเข้าเห็นทหารซีเอ๋งจับโจโฉไว้ ก็ขับม้าเข้าไล่ฟันทหารนั้นล้มตายเปนหลายคน เหลือนั้นตกใจทิ้งโจโฉเสียหนีไป โจโฉถูกเกาทัณฑ์เจ็บปวดเปนสาหัสจึงว่าแก่โจหองว่า ตัวเราเห็นจะตายเสียแล้ว ท่านเร่งไปเอาชีวิตรอดเถิด โจหองจึงว่าท่านป่วยหนักอยู่จงขึ้นขี่ม้า ข้าพเจ้าจะเดิรรบป้องกันไป โจโฉตอบว่าซึ่งท่านเดิรเท้าจะต่อรบได้เหมือนขี่ม้าหรือ โจหองจึงว่าแผ่นดินเปนจลาจลครั้งนี้ หาผู้ใดจะคิดทำนุบำรุงไม่ หากท่านเปนต้นคิด หัวเมืองทั้งปวงจึงพลอยมาทำการด้วย ถ้าชีวิตข้าพเจ้าจะตายก็ตายเสียเถิด ขอให้ท่านรอดอยู่จะได้คิดการบำรุงแผ่นดินสืบไป โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าขอบใจท่านนัก แล้วโจโฉก็ขึ้นม้า โจหองจึงถอดเกราะทิ้งเสียถือง้าวเดิรตามไป ครั้นเพลาประมาณสามยามเศษก็ถึงแม่นํ้าอันหนึ่ง พอได้ยินเสียงทหารตามมาข้างหลัง โจโฉจึงว่าแก่โจหองว่าจะหนีไปแม่นํ้าก็กั้นหน้าอยู่ ศัตรูก็ตามมา เห็นชีวิตเราจะตายอยู่ที่นี่เปนมั่นคง โจหองจึงว่าข้าพเจ้าจะพาท่านไปให้ตลอด จึงถอดเสื้อทิ้งเสียแล้วให้โจโฉขี่ โจหองก็พาข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่ง เหล่าทหารซีเอ๋งครั้นมาถึงริมแม่นํ้า เห็นโจโฉข้ามไปถึงฟาก ก็ชวนกันเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไป ฝ่ายโจหองก็พาโจโฉค่อยเดิรไปได้ประมาณสามสิบเส้น พอรุ่งขึ้นจึงเข้าหยุดพักข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง แลซีเอ๋งนั้นคุมทหารข้ามนํ้าตามไป เห็นโจโฉกับโจหองหยุดอยู่ จึงให้ทหารทั้งปวงเข้าล้อมไว้

ฝ่ายแฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารม้าได้สิบหกสิบเจ็ดม้า ก็ข้ามแม่นํ้าตามโจโฉไป พอเห็นทหารล้อมโจโฉโจหองอยู่ จึงขับม้าผ่านหน้าซีเอ๋งเข้าไป แล้วร้องตวาดว่า พวกอ้ายขบถมึงอย่าทำอันตรายนายกู ซีเอ๋งได้ยินก็โกรธจึงขับม้าเข้ารบกับแฮหัวตุ้นได้สิบเพลง แฮหัวตุ้นเอาทวนแทงถูกซีเอ๋งตกม้าตาย แล้วไล่ฟันทหารทั้งนั้นแตกกระจายไปสิ้น

ขณะนั้นโจหยินกับลิเตียนงักจิ้น สามคนคุมทหารได้ประมาณสามร้อยเศษ พอมาพบแฮหัวเอี๋ยนเข้าจึงพากันไปหาโจโฉ ครั้นโจโฉเห็นทหารเอกคุมทหารเลวมาได้บ้างก็ค่อยคลายใจขึ้น แล้วโจโฉก็ยกทหารไปเมืองโห้ลาย

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยงต่างตั้งชุมรุมพักทหารอยู่ แลซุนเกี๋ยนนั้นเข้าไปตั้งชุมนุมณพระที่นั่งเกียนเซียงเตี้ยน แล้วไปดูที่กุฎิ์พระมหากษัตริย์ซึ่งตั๋งโต๊ะให้ขุดขึ้นนั้น จึงให้ทหารกลบเสียแล้วปลูกโรงขึ้น จึงบอกนายทัพนายกองทั้งปวงมาจุดธูปเทียนทำสักการบูชา แล้วต่างคนต่างกลับไปที่ชุมนุม ครั้นเวลากลางคืนแสงเดือนสว่าง ซุนเกี๋ยนจึงถือกระบี่ออกไปนั่งอยู่กลางแจ้ง จึงแลขึ้นไปเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์เสร้าหมองนัก ซุนเกี๋ยนจึงคิดว่า ครั้งนี้พระมหากษัตริย์มิได้เปนสุข อาณาประชาราษฎรจึงได้ความเดือดร้อน เพราะตั๋งโต๊ะเปนขบถต่อราชสมบัติจนเมืองนั้นเปนป่า ดาวนั้นจึงวิปริตไปดังนี้ ซุนเกี๋ยนดูพลางก็นํ้าตาไหล แลทหารคนหนึ่งเห็นแสงประหลาท จึงชี้บอกซุนเกี๋ยนว่า ข้างพระที่นั่งฝ่ายทิศใต้เห็นสว่างอยู่ ซุนเกี๋ยนแลไปดูเห็นรัศมีประหลาทดังนั้น จึงเดิรไปให้ทหารจุดคบเพลิงส่องดูก็เห็นบ่ออันหนึ่ง จึงให้ทหารลงไปสักดู พบศพหญิงผู้หนึ่งก็ให้ยกขึ้นมา แลศพนั้นยังสดอยู่มิได้เปื่อยพัง ราตคดผูกคออยู่จึงให้แก้ออกดู เห็นหีบน้อยลั่นกุญแจอยู่ จึงให้คัดออกเห็นตราหยกสี่เหลี่ยมจตุรัศดวงหนึ่งหน้าแปดนิ้ว ยอดนั้นจำหลักติดประจำเปนมังกรห้าตัวเกี่ยวกัน แต่เหลี่ยมข้างหนึ่งนั้นลิอยู่เอาทองคำตีเลี่ยมเข้าไว้ ตรานั้นแกะเปนอักษรว่า เทวดาประสิทธิ์ให้ ถ้าผู้ใดได้ไว้แล้วครองราชสมบัติก็จะจำเริญพระชันสาสืบไป ซุนเกี๋ยนเห็นประหลาทจึงถามเทียเภาว่า ตราหยกนี้จะเปนของผู้ใด เทียเภาจึงตอบว่า ตราสำหรับราชสมบัติ แลหยกซึ่งแกะตรานี้[๑] ครั้งเบ๊งโหเห็นหงส์จับอยู่บนเขา ครั้นหงส์บินไปแล้ว เบ๊งโหจึงเอาก้อนศิลาที่หงส์จับนั้นมาต่อยออกจึงได้หยก แล้วเอาไปถวายพระเจ้าโซบูอ๋อง ๆ ก็ดับสูญ ครั้นพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องได้เสวยราชย์ จึงให้หาช่างมาทำเปนตราสำหรับพระมหากษัตริย์ แล้วให้หลีสูจึงแกะเปนอักษรแปดตัว ครั้งหนึ่งพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเสวยราชสมบัติได้ยี่สิบหกปี (พ.ศ. ๒๓๑) จึงเสด็จไปประพาสโดยทางชลมารค พอเกิดพายุหนักคลื่นใหญ่ พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องกลัวเรือพระที่นั่งจะล่ม จึงเอาตราหยกนี้ทิ้งลงในแม่น้ำพายุแลคลื่นก็สงบไป ครั้นอยู่มาอีกแปดปี พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเสด็จไปประพาสโดยทางสถลมารค มีผู้หนึ่งเอาตราหยกนี้มาถวายต่อพระหัตถ์ แล้วผู้นั้นก็หายไป ครั้นพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเสด็จกลับเข้ามาถึงวังก็สวรรคต[๒] จูเอ๋งจึงเอาตรานี้มาถวายพระเจ้าฮั่นโกโจ ครั้นอองมังเปนขบถ นางตังไทฮอจึงเอาตรานี้ทิ้งเอาอองสิมโซเสียมทหารอองมัง ไปถูกผนังตึกเหลี่ยมนั้นจึงลิไป แล้วให้เอาทองคำทำเหลี่ยมตราเข้าไว้ ครั้นพระเจ้าฮั่นกองบู๊ได้ตราดวงนี้ จึงได้เสวยราชย์ต่อ ๆ มา ครั้นเพลิงไหม้วัง พวกขันทีจึงพาหองจูเปียนกับหองจูเหียบหนีเพลิงไป ครั้นกลับเข้ามาจึงให้คนค้นดูทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังนั้นก็ยังดีอยู่ สิ้น แต่ตราหยกดวงนี้หายไป ก็ซึ่งท่านมาได้ตราสำหรับราชการนี้ เห็นว่าราชสมบัติจะได้แก่ท่านเปนมั่นคง ขอให้ท่านยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จึงจะได้คิดการใหญ่สืบไป

ฝ่ายซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าพรุ่งนี้เราจะลาอ้วนเสี้ยวว่าป่วยจะกลับไป แล้วกำชับทหารทั้งปวงว่า อย่าให้บอกกล่าวแก่ผู้ใดให้ปรากฎ ในขณะเวลากลางคืนนั้น ทหารซุนเกี๋ยนคนหนึ่งซึ่งรู้เห็น คิดเอาใจออกหากซุนเกี๋ยน จึงเอาเนื้อความไปบอกแก่อ้วนเสี้ยว ๆ จึงเอาตัวทหารนั้นไว้ แล้วปูนบำเหน็จให้เปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้าซุนเกี๋ยนจึงไปบอกแก่อ้วนเสี้ยวว่า ข้าพเจ้าป่วยจะขอลาไปอยู่รักษาตัว ณ เมืองเตียงสา อ้วนเสี้ยวหัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าทราบแล้วซึ่งท่านว่าป่วยจะไปรักษาตัวนั้น เพราะได้ตราหยกสำหรับราชสมบัติหรือ

ซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นทำเปนตกใจจึงถามว่า ผู้ใดมาแจ้งเนื้อความแก่ท่านฉนี้ อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า เราทั้งปวงคิดกันมาหวังจะล้างศัตรูราชสมบัติเสีย ซึ่งท่านได้ตราหยกสำหรับพระมหากษัตริย์ไว้ จงเอามาให้เราซึ่งเปนนายทัพผู้ใหญ่ ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะได้ถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เสวยราชสมบัติสืบไป ซึ่งท่านได้ตราไว้แล้วปิดเนื้อความเสียจะพาเอาไปนั้น ท่านคิดจะเอาราชสมบัติหรือ ซุนเกี๋ยนจึงว่าข้าพเจ้าไม่ได้ตราไว้ เปนไฉนท่านมาขืนว่าดังนี้เล่า อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า เรารู้ว่าได้ไว้เปนมั่นคง จงเร่งเอามาให้เราเสีย ถ้ามิฟังเราก็จะวุ่นวายกันขึ้น

ฝ่ายซุนเกี๋ยนจึงเอามือชี้ฟ้าแล้วสาบาลว่า ถ้าข้าพเจ้าได้ตราหยกไว้แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยสายฟ้าแลอาวุธต่าง ๆ เถิด หัวเมืองทั้งปวงจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ซุนเกี๋ยนสาบาลแล้วก็แล้วไปเถิด อ้วนเสี้ยวจึงให้เอาทหารซุนเกี๋ยนซึ่งมาบอกเนื้อความนั้นออกมา แล้วจึงถามซุนเกี๋ยนว่าเมื่อท่านให้ทหารทั้งปวงลงไปสักในบ่อนั้นได้ตราขึ้น มานี้ ทหารคนนี้ได้ไปด้วยท่านหรือไม่ ซุนเกี๋ยนเห็นทหารของตัวก็รู้ว่าเอาเนื้อความมาบอกแก่อ้วนเสี้ยว ซุนเกี๋ยนก็โกรธชักกระบี่ออกจะฟันทหารคนนั้นเสีย อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นจึงชักกระบี่ออกยืนขวางหน้าไว้แล้วว่า ถ้าตัวท่านฆ่าทหารคนนี้เสีย เราก็จะฆ่าตัวท่านเสียเหมือนกัน

ฝ่ายงันเหลียงกับบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยวซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเห็นดังนั้นก็ ถอดกระบี่ออกไว้ ข้างเทียเภา อุยกาย ฮันต๋ง ทหารฝ่ายซุนเกี๋ยนก็ชักกระบี่ออกคอยทีอยู่

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ออกไปห้ามเสียทั้งสองข้างแลซุนเกี๋ยนก็ขึ้นม้ากลับมาณที่ชุมนุม ก็จัดแจงทหารทั้งปวงพร้อม แล้วจึงยกออกจากเมืองลกเอี๋ยง

ครั้นอ้วนเสี้ยวรู้ดังนั้นก็แต่งหนังสือบอกเนื้อความนั้นให้ม้าใช้ถือไป ถึงเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วว่า ให้เล่าเปียวคุมทหารออกสกัดรบชิงเอาตราหยกซึ่งซุนเกี๋ยนพาหนีไปนั้นไว้ถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้จงได้ ครั้นเวลารุ่งเช้ากองม้าใช้ซึ่งขึ้นไปสอดแนมนั้นกลับมาบอกอ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้ทัพโจโฉซึ่งยกไปตามตั๋งโต๊ะนั้น แตกไปอยู่เมืองโห้ลาย อ้วนเสี้ยวแจ้งดังนั้นจึงแต่งทหารให้ไปรับโจโฉมา ณ เมืองลกเอี๋ยง แล้วให้แต่งโต๊ะเชิญโจโฉกับหัวเมืองทั้งปวงกินโต๊ะ ต่างคนถามข่าวโจโฉ ๆ ทอดใจใหญ่แล้วว่า เดิมข้าพเจ้าคิดอ่านเกลี้ยกล่อมผู้คน แลบอกไปถึงท่านทั้งปวงว่า จะทำนุบำรุงการแผ่นดิน ท่านทั้งปวงเห็นด้วยจึงยกมาช่วยทำการ บัดนี้ตั๋งโต๊ะทิ้งเมืองหลวงเสีย พาพระเจ้าเหี้ยนเต้แลอาณาประชาราษฎรไปข้างทิศตวันตก ข้าพเจ้าได้ว่าให้ท่านทั้งปวงยกตามไป ท่านก็ไม่ยอม ข้าพเจ้ายกทหารตามไปได้รบพุ่งกันเปนสามารถจนข้าพเจ้าเสียทีมาครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด จงเร่งช่วยกันคิด อ้วนเสี้ยวแลหัวเมืองทั้งปวงมิได้ตอบประการใด โจโฉจึงคิดว่าบันดาหัวเมืองทั้งนี้ เห็นจะคิดเอาใจออกจากกันเปนมั่นคง ถึงจะคิดการด้วยสืบไปก็เห็นจะไม่ตลอด โจโฉโกรธจึงออกมาจัดแจงทหารแล้วก็ยกไปเมืองเอ๊งจิ๋ว แลหัวเมืองทั้งนั้นก็กลับไปยังที่ชุมนุม แลกองซุนจ้านจึงว่าแก่เล่าปี่กวนอูเตียวหุยว่า อ้วนเสี้ยวนี้ซึ่งจะคิดการใหญ่นั้นไม่ได้ นานไปเห็นจะมีอันตราย จะพากันได้ความลำบากเสีย เราจงพากันยกไปเมืองจะดีกว่า เล่าปี่กวนอูเตียวหุยเห็นชอบด้วยกองซุนจ้าน ก็ยกทหารไปถึงเมืองเพงงวนก้วน เล่าปี่ก็ลาเข้าอยู่รักษาเมืองดังก่อน กองซุนจ้านก็ยกไปเมืองปักเป๋ง

ฝ่ายเล่าต้ายขาดสเบียง จึงให้ทหารไปยืมสเบียงเตียวเมา ๆ ไม่ให้ เล่าต้ายโกรธ ครั้นเวลากลางคืนก็ยกทหารเข้าตีค่ายฆ่าเตียวเมาตาย แลทหารเตียวเมานั้นก็มาเข้าด้วยเล่าต้ายสิ้น อ้วนเสี้ยวเห็นหัวเมืองทั้งปวงแก่งแย่งทำร้ายแก่กัน ที่ยกกลับไปก็มีบ้าง เห็นการจะทำไม่ตลอด อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารยกไปเมืองโห้ลาย แลหัวเมืองซึ่งยังอยู่นั้นต่างคนต่างยกกลับไปเมือง

ฝ่ายเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วนั้น เปนเชื้อพระเจ้าฮั่นโกโจมาแต่ก่อน แลเล่าเปียวนั้นมีที่ปรึกษาเจ็ดคน ชื่อตันเสียงชาวเมืองยีหลำหนึ่ง คงหลิบชาวเมืองโลก๊กหนึ่ง ห้วนขงชาวเมืองปุดไฮหนึ่ง เตียวลีชาวเมืองซันหยงหนึ่ง เตียวเคียมชาวเมืองซันหยงหนึ่ง หงิมติดชาวเมืองลำหยงหนึ่ง ห้วนหงชาวเมืองยีหลำหนึ่ง ทั้งเจ็ดคนนี้เปนเพื่อนสนิธกันกับเล่าเปียวมาแต่ก่อน แลมีทหารเอกสามคนชื่อ เก๊งเหลียง เก๊งอวด ชัวมอสามคนนี้เปนชาวเมืองเอี้ยงเบ๋ง

แลเล่าเปียวครั้นแจ้งหนังสืออ้วนเสี้ยวซึ่งให้มานั้น จึงให้เก๊งอวดกับชัวมอคุมทหารหมื่นหนึ่ง ยกไปสกัดทางซึ่งซุนเกี๋ยนมา แลเก๊งอวดขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวง ซุนเกี๋ยนจึงถามเก๊งอวดว่า ซึ่งท่านยกทหารมาสกัดทางไว้ทั้งนี้จะปราถนาสิ่งอันใด เก๊งอวดจึงตอบว่า ตัวท่านเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวก็ได้กินเบี้ยหวัดอยู่ แลตัวพาเอาตราหยกสำหรับพระมหากษัตริย์มานั้น จะเอาไปคิดประการใด จงเอาตราส่งมาให้เรา ๆ จะเอาไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าตัวมิให้เราก็ไม่เปิดทางให้ไป ซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้อุยกายออกไปจะรบด้วยเก๊งอวด แลชัวมอเห็นก็ขับม้าออกรบกับอุยกายได้เจ็ดเพลง อุยกายจึงเอากระบองเหล็กสี่เหลี่ยมตีถูกอกชัวมอ ๆ ชักม้าหนี ซุนเกี๋ยนจึงไล่ฟันทหารชัวมอไปถึงหน้าเมืองเกงจิ๋ว ซุนเกี๋ยนได้ยินเสียงม้าฬ่อบนเนินเขา จึงแลเห็นเล่าเปียวยกทหารมาเปนอันมาก ซุนเกี๋ยนคำนับเล่าเปียวแล้วจึงว่า ท่านเชื่อฟังหนังสืออ้วนเสี้ยวแลยกทหารมาทำการทั้งนี้ เหมือนหนึ่งไม่เอ็นดูข้าพเจ้า เล่าเปียวจึงตอบว่า ซึ่งท่านพาเอาตราหยกมานี้จะคิดเปนขบถต่อแผ่นดินหรือ ซุนเกี๋ยนจึงว่าถ้าข้าพเจ้าได้ตราหยกมาเหมือนอ้วนเสี้ยวว่ามานั้น ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยอาวุธต่าง ๆ เถิด เล่าเปียวจึงว่าถ้าท่านจะให้เราสิ้นสงสัย จงเรียกทหารซึ่งสนิธของท่านมาให้เราค้นดูจนสิ้นทุกคนเราจึงจะเชื่อ ซุนเกี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราสาบาลตัวแล้วยังไม่เชื่อเล่า ท่านจะมีฝีมือกล้าหาญประการใดเราจะขอลองดู เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็ยกทหารทำเปนถอยมา ซุนเกี๋ยนขับม้าไล่ไปถึงเขาสองข้างทาง แลทหารเล่าเปียวซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็ออกรบกระหนาบ แลชัวมอเก๊งอวดซึ่งหนีซุนเกี๋ยนนั้น ก็ขับม้าคุมทหารอ้อมทางขึ้นไป ตีกระหนาบหลังซุนเกี๋ยนลงมา เล่าเปียวก็ให้ทหารตีเปนหน้ากระดานขึ้นไป ซุนเกี๋ยนนั้นรบอยู่กลางทหารเล่าเปียว แลอุยกายเทียเภาฮันต๋งเห็นเสียทหารเปนอันมาก แล้วทหารเล่าเปียวล้อมซุนเกี๋ยนไว้ อุยกายเทียเภาฮันต๋งจึงรบหักเข้าไปแก้ซุนเกี๋ยนออกมาได้ แล้วก็พาทหารซึ่งเหลือมานั้นยกไปเมืองกังตั๋ง แต่นั้นมาเล่าเปียวกับซุนเกี๋ยนก็มีใจพยาบาทกัน

[๑] มีในเรื่องเลียดก๊ก
[๒] พระเจ้าจิ๋นอ๋องกับพระเจ้าจิ๋นซีอ๋ององค์เดียวกัน

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 4

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 4

เนื้อหา

• พวกข้าราชการคิดกำจัดตั๋งโต๊ะ
• โจโฉหนีตั๋งโต๊ะ
• โจโฉชวนพวกหัวเมืองไปปราบตั๋งโต๊ะ
• กองทัพหัวเมืองยกไปติดเมืองหลวง
• พวกหัวเมืองยกอ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพ
• ตั๋งโต๊ะต่อสู้กองทัพซุนเกี๋ยน
• พวกหัวเมืองเกิดเกี่ยงแย่งกัน



    ฝ่าย อ้วนเสี้ยวซึ่งเปนเจ้าเมืองปุดไฮนั้น ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่าตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย จึงแต่งหนังสือลับไปถึงอ้องอุ้นซึ่งอยู่ในเมืองหลวง ในหนังสือนั้นว่าทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าขบถต่อแผ่นดินดังนี้ หามีผู้ใดคิดการล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ ซึ่งเราออกมาอยู่ครั้งนี้ ใช่จะนิ่งนอนใจอยู่หามิได้ อุตส่าห์เกลี้ยกล่อมผู้คนฝึกหัดให้ชำนาญในการสงครามอยู่มิได้ขาด เพราะมีกตัญญู เราจะอาสาแผ่นดินกำจัดตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ ถ้าท่านเห็นพร้อมด้วยเราแล้ว จงเร่งคิดการข้างในเถิด เราจะยกกองทัพไปทำการ ครั้นอ้องอุ้นได้ทราบในหนังสือนั้นแล้ว ก็คิดวิตกอยู่มิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่งเวลาออกจากเฝ้าอ้องอุ้นจึงค่อยว่ากับขุนนางเก่า ๆ ทั้งปวงว่า วันนี้เราทำการเชิญท่านไปกินโต๊ะเล่น ณ บ้านเรา ครั้นมาพร้อมกันจึงชวนกันกินโต๊ะเสพย์สุรา แล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็ตกใจจึงถามว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งอันใด อ้องอุ้นจึงตอบว่า แต่ตั๋งโต๊ะเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงทำการหยาบช้า แล้วฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย เรามีความร้อนใจนัก อุปมาดังนอนในกองเพลิง เราเล็งไปไม่เห็นผู้ใดจะช่วยคิดทำนุบำรุงให้แผ่นดินเปนสุขได้เราจึงร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงได้ฟังก็มีความสงสาร ต่างคนต่างร้องไห้

    แต่โจโฉนั้นลุกขึ้นยืนตบมือหัวเราะแล้วว่า เสียแรงเปนขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน คิดการเท่านี้มิตลอดแล้วสิชวนกันมานั่งร้องไห้ อ้องอุ้นโกรธจึงว่าแก่โจโฉว่า ปู่แลบิดาของตัวก็เปนขุนนาง ได้กินเบี้ยหวัดมาแต่ก่อน ตัวหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ เราคิดการจะล้างตั๋งโต๊ะเสีย เหตุด้วยทหารตั๋งโต๊ะมีเปนอันมาก เราคิดยังมิตลอดจึงร้องไห้ เปนไฉนตัวจึงมาตบมือหัวเราะเย้ยดังนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านทั้งปวงเปนขุนนางมาแต่ก่อน คิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน แลจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสียครั้งนี้สิมิได้เล่า ชวนกันมานั่งร้องไห้ ข้าพเจ้าจึงหัวเราะเล่น ซึ่งปู่แลบิดาข้าพเจ้าเปนข้าราชการมาแต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็คิดกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ ทำไมแก่ตั๋งโต๊ะนี้จะฆ่าเสียเมื่อใดก็จะได้

    อ้องอุ้นจึงว่า ที่ตัวว่านี้เรายังไม่เห็นจริง ซึ่งตัวจะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะประการใดนั้นจงว่าให้เราประจักษ์ก่อน โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าทำความเพียรไปฝากตัวให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยจนสนิธมาทุกวันนี้ ใช่จะเห็นแก่ลาภสักการสิ่งใดหามิได้ เพราะคิดกตัญญูต่อแผ่นดิน จะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ แต่ขัดสนด้วยอาวุธดีไม่มีถือ ข้าพเจ้ารู้ว่ากระบี่สั้นอย่างดีของท่านมีอยู่ ถ้าท่านเปนใจด้วยดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอยืมกระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าไปให้ถึงตัวตั๋งโต๊ะ แล้วจะฆ่าเสียจึงจะตัดเอาสีสะมาให้ท่านจงได้ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับแล้วรินสุราให้โจโฉ ๆ รับเอาจอกสุรามาแล้วจึงสาบาลตัวว่า ข้าพเจ้าจะขอฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ อ้องอุ้นมีความยินดี จึงเข้าไปหยิบเอากระบี่สั้นออกมาให้โจโฉ ๆ ก็ลาอ้องอุ้นแลขุนนางทั้งปวงไป


    ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงเอากระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าในเสื้อ แล้วไป ณ บ้านตั๋งโต๊ะ จึงถามนายประตูว่า มหาอุปราชอยู่ที่ไหน นายประตูบอกว่า มหาอุปราชอยู่ในตึกที่ดูหนังสือ โจโฉก็ขึ้นไปเห็นตั๋งโต๊ะดูหนังสือ ลิโป้นั้นคอยรับใช้อยู่ ตั๋งโต๊ะแลมาเห็นโจโฉก็ถามว่า เปนไฉนวันนี้จึงมาสายไป โจโฉบอกว่า ม้าซึ่งข้าพเจ้าขี่นั้นป่วยเท้า จัดหาม้าขี่ก็ยังไม่ได้จึงมาสายไป ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นจึงสั่งลิโป้ว่า ม้าเขาเอามาให้แต่เมืองซีหลงตัวหนึ่ง จงไปเอาม้ามาให้แก่โจโฉ ลิโป้ไปแล้วตั๋งโต๊ะก็เอนลงผินหน้าเข้าไปดูหนังสือข้างผนังตึก โจโฉเห็นดังนั้นก็ดีใจว่าลิโป้ก็ไปแล้ว ทีนี้เห็นจะสมความคิดกูเปนมั่นคง จึงชักกระบี่สั้นออกแล้วเดิรเข้าไปจะฆ่าตั๋งโต๊ะ ๆ แลเห็นเงากระจกซึ่งแขวนอยู่ที่ผนังตึกนั้นจึงตกใจผินหน้าออกมาถามโจโฉว่า ถอดกระบี่ถือเข้ามาจะทำร้ายกูหรือ พอลิโป้ก็มาถึง

    ฝ่ายโจโฉก็ตกใจเห็นจะมิสมคิด จึงคุกเข่าลงชูกระบี่ยื่นด้ามเข้าไปให้ตั๋งโต๊ะแล้วแก้ตัวว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำร้ายท่านหามิได้ ทุกวันนี้ท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจะหาสิ่งใดมาสนองคุณมิได้ มีแต่กระบี่สั้นเล่มนี้มีราคามาก เปนของปู่ย่าตายายได้ต่อ ๆ กันมาจนถึงข้าพเจ้า ๆ จึงเอามาสนองคุณท่าน ตั๋งโต๊ะก็เชื่อมิได้สงสัยจึงรับเอากระบี่มาดูก็เห็นว่าดีจริง จึงส่งให้ลิโป้เก็บไว้ แล้วตั๋งโต๊ะจึงพาโจโฉออกมาดูม้า แล้วว่าม้านี้ท่านเอาไปขี่เถิด โจโฉได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า กูคิดมาว่าจะทำร้ายตั๋งโต๊ะก็ไม่สมคิด ซึ่งจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปเกลือกตั๋งโต๊ะรู้ระคายจะฆ่ากูเสีย อย่าเลยกูจะขี่ม้าแล้วจะหนีไปหาบิดา จึงจะได้คิดการต่อไป แล้วโจโฉจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งท่านให้ม้าใช้ข้าพเจ้าดังนี้พระคุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าจะขอขี่ลองดูฝีเท้าม้าก่อน ตั๋งโต๊ะจึงว่า เครื่องก็ผูกพร้อมอยู่ จะขี่ลองดูก็ตามเถิด โจโฉมีความยินดีนักจึงขึ้นขี่ม้าแล้วควบไป ครั้นถึงประตูเมืองฝ่ายทิศตวันออก จึงบอกแก่นายประตูว่า มหาอุปราชใช้เราไปเปนการเร็ว โจโฉก็ควบม้าออกไปนอกเมืองหลวง

    ฝ่ายลิโป้จึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งโจโฉเอากระบี่มานั้นเห็นจะทำร้ายแก่ท่าน หากบุญท่านมีมากท่านจึงรู้ตัว โจโฉจึงแก้ตัวว่าแกล้งเอากระบี่มาให้ท่าน ตั๋งโต๊ะจึงว่า ซึ่งว่านี้เราก็เห็นแคลงอยู่ด้วย พอลิยูเข้ามา ตั๋งโต๊ะก็เล่าเนื้อความให้ลิยูฟัง ลิยูจึงว่า ข้าพเจ้าก็แคลงอยู่ขอให้คนไปดูที่บ้านโจโฉอาศรัยอยู่นั้น ถ้าพบตัวก็จะเห็นความจริงด้วย แม้ไม่พบก็เห็นว่าโจโฉคิดร้ายต่อท่านแล้วหนีไป ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงให้คนไปดู ณ บ้านที่โจโฉอยู่ คนใช้กลับมาบอกตั๋งโต๊ะว่า ข้าพเจ้าไม่พบโจโฉ แต่ไปสืบได้ความว่าโจโฉควบม้าออกไปทางประตูตวันออก บอกนายประตูว่ามหาอุปราชใช้ไปเปนการเร็ว ลิยูจึงว่าโจโฉคิดร้ายต่อท่านเปนมั่นคง ครั้นไม่สมคิดแล้วจึงหนีไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่าโจโฉนี้เราเลี้ยงเปนคนสนิธไว้เนื้อเชื่อใจ ควรหรือกลับมาทำร้ายแก่เรา มันเปนคนหามีกตัญญูไม่ ลิยูจึงว่าซึ่งโจโฉคิดทำการทั้งนี้ ใช่จะคิดแต่ตัวผู้เดียวนั้นหามิได้ เห็นจะมีพวกเพื่อนคบคิดกันเปนหลายคน จึงทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ จำจะคิดจับโจโฉมาให้ได้ แล้วจะสืบเอาพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดกันฆ่าเสียจึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม ตั๋งโต๊ะเห็นด้วยจึงให้เขียนรูปโจโฉแล้วแต่งหนังสือไปทุกหัวเมืองว่า ผู้ใดเห็นรูปดังนี้ให้จับตัวส่งเข้ามาเราจะปูนบำเหน็จ แล้วจะให้เลื่อนที่เปนขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใดสมรู้ร่วมคิดคบเอาโจโฉซุ่มซ่อนไว้ จะให้ลงโทษทั้งบุตรภรรยาถึงสิ้นชีวิต

    ฝ่ายโจโฉมาถึงเมืองจงพวน ชาวด่านเห็นรูปโจโฉกับรูปซึ่งเขียนมานั้นเหมือนกัน จึงจับเอาตัวโจโฉส่งเข้าไปให้ตันก๋งเจ้าเมืองจงพวน ๆ ถามว่า ตัวชื่อโจโฉหรือ โจโฉบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อฮ่องอูเปนพ่อค้าเที่ยวค้าขายดอก ตันก๋งพิศดูก็จำได้กระหนักแล้วว่า ตัวชื่อโจโฉเปนไฉนจึงว่าชื่อฮ่องอูเล่า ตัวนี้เจรจาไม่จริง วันนี้ค่ำแล้วเอาไปใส่คุกไว้ก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงจะบอกส่งขึ้นไปเมืองหลวง ครั้นเวลาเที่ยงคืนตันก๋งจึงให้ไปเอาตัวโจโฉมาณที่สงัด แล้วถามโจโฉว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชนั้นมีน้ำใจรักใคร่ท่านอยู่เปนอันมาก ท่านทำประการใดให้มหาอุปราชขัดเคืองจึงเกิดเหตุหนีมาทั้งนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านอุปมาดังนกน้อย เปนไฉนจึงจะมาล่วงรู้ความคิดพระยาครุฑ ซึ่งมีหนังสือตั๋งโต๊ะมานั้น ท่านจับตัวเราได้แล้วก็ให้เร่งส่งขึ้นไปยังเมืองหลวงเอาความชอบเถิด อย่าล่วงถามมาถึงความคิดเราเลย ตันก๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้อัชฌาสัย จึงขับคนทั้งปวงเสียสิ้นแล้ว ตอบแก่โจโฉว่า ท่านอย่าดูหมิ่นว่าเราความคิดน้อย ทุกวันนี้ที่เรามาเปนหัวเมืองจัตวาอยู่นี้เพราะเราขัดสน แลใจนั้นจะคิดหาผู้กล้าหาญซึ่งมีสติปัญญาเปนหลักจะได้เปนที่คู่คิดสืบไป โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า แต่ก่อนปู่แลบิดาเราเปนขุนนางได้กินเบี้ยหวัดอยู่ ครั้งนี้บ้านเมืองเปนจลาจลเพราะขันทีสิบคนแลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า ครั้นเราจะนิ่งอยู่มิคิดการก็เหมือนหนึ่งหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ อันเราไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนี้หวังจะล้างมันเสีย ซึ่งทำไม่สมคิดทั้งนี้ก็เปนกรรมของเรา แลวิบากของอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดิน ตันก๋งจึงถามว่า ซึ่งท่านหนีตั๋งโต๊ะมานี้จะไปคิดการสิ่งใด โจโฉบอกว่า เราจะหนีไปหาบิดาเรา แล้วจะลอบแต่งเปนหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงให้ยกทหารมาบัญจบกัน แล้วจะเข้าไปทำการจับตั๋งโต๊ะซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติฆ่าเสีย ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงเข้าถอดเครื่องจำโจโฉออกเสีย จึงเชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้เรายินดีด้วย ราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะสติปัญญาท่าน โจโฉจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด จึงมีความยินดีด้วยเรา ตันก๋งจึงบอกว่าเราชื่อตันก๋งเปนแซ่ตัน เราเห็นท่านนี้มีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงมีความยินดีด้วย ซึ่งที่ของเราเปนเจ้าเมืองจงพวนอยู่นี้เราจะทิ้งเสีย จะไปทำการทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยท่าน แล้วตันก๋งจึงเข้าไปจัดหาทรัพย์สิ่งของซึ่งมีราคากับกระบี่ให้โจโฉถือเล่ม หนึ่ง ตัวถือเล่มหนึ่ง จึงขี่ม้าคนละตัวแล้วพากันออกจากเมืองในกลางคืนนั้น

    ครั้นมาได้สามวันถึงบ้านแห่งหนึ่ง โจโฉจึงบอกแก่ตันก๋งว่า เวลาก็เย็นแล้วบ้านนี้เกลอของบิดามีอยู่คนหนึ่งชื่อว่าแปะเฉีย เราจะเข้าไปอาศรัยนอน จะได้ถามเหตุการณ์ทั้งปวงด้วย แล้วโจโฉก็พาตันก๋งเข้าไปหาแปะเฉีย ๆ เห็นโจโฉจึงบอกว่า บัดนี้มีหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวงว่าให้จับตัวท่านส่งขึ้นไป แลโจโก๋บิดาของตัวนั้นก็หนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว โจโฉจึงเล่าเนื้อความแต่หลังให้แปะเฉียฟังสิ้น แล้วว่าตันก๋งคนนี้เปนเจ้าเมืองจงพวน ละราชการเสียหนีมาคิดการกับข้าพเจ้า ๆ จึงได้รอดชีวิตเพราะตันก๋ง แปะเฉียได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ตันก๋งว่า ขอบใจท่านมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ถ้ามิได้ท่านโจโฉก็ตาย ท่านจงพากันนอนอยู่ที่นี่เถิด ต่อเวลาพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยไป แล้วแปะเฉียก็เข้าไปในเรือนสั่งแก่พ่อครัวว่าให้ทำสุกรแลไก่ แล้วก็กลับออกมาบอกแก่โจโฉว่าสุราที่เรือนนี้ไม่มีดี เราจะไปจัดหาสุราที่ดีมาให้กิน ว่าแล้วก็ไป

    ฝ่ายพ่อครัวจึงถามกันว่า เราจะมัดก่อนหรือ ๆ จะฆ่าทีเดียว โจโฉได้ยินว่าดังนั้นก็กริ่งใจ จึงปรึกษากับตันก๋งว่า แปะเฉียนี้เปนแต่เกลอของบิดา เห็นจะไปบอกนายบ้านให้มาจับเรา จึงสั่งไว้แก่คนที่เรือน คนที่เรือนจึงว่าจะมัดก่อนหรือจะฆ่าทีเดียว ตันก๋งจึงว่าเราไม่รู้จักน้ำใจแปะเฉีย จะประมาณการนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่าเอามันไว้ไม่ได้ ก็ชักกระบี่ออก แล้วก็เข้าไปฟันผู้คนบุตรภรรยาแปะเฉียตายถึงแปดคน ตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้ก็ตกใจ จึงว่าเขามัดสุกรไว้เขาจะฆ่าต่างหาก ท่านมาฆ่าผู้คนบุตรภรรยาแปะเฉียเสียนั้นผิดนัก โจโฉก็กลัวจึงพาตันก๋งหนีออกจากบ้าน ครั้นไปประมาณยี่สิบเส้นพอพบแปะเฉีย ๆ ถามว่าไม่อยู่กินเข้าจะไปไหนเล่า โจโฉตอบว่าข้าพเจ้าเปนคนผิดอยู่ จะรีบไปให้พ้นภัย ก็ขับม้าไปแล้วก็ได้คิด จึงกลับม้ามาเรียกแปะเฉีย ว่าจะสั่งความไว้ แปะเฉียก็หยุดอยู่ โจโฉมาถึงเอากระบี่ฟันแปะเฉียตาย ตันก๋งเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจเปนอันมาก จึงว่าแก่โจโฉว่า เมื่อกี้ฆ่าบุตรรรยาผู้คนเขาเสียแล้ว บัดนี้ซ้ำมาฆ่าตัวแปะเฉียอีกเล่า โจโฉจึงตอบว่าเมื่อกี้เราคิดผิดอยู่แล้ว ครั้นจะละไว้แปะเฉียก็จะโกรธไปบอกนายบ้าน ๆ ก็จะคุมกันมาตามจับเราส่งขึ้นไปเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียหวังจะให้เนื้อความสูญไป ตันก๋งจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านมีความคิดผิดเมื่อมิทันรู้ฆ่าบุตรภรรยาผู้คนเขาเสีย ครั้นรู้ตัวว่าผิดแล้ว มาซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียอีกฉนี้ เปนคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉจึงว่าแก่ตันก๋งว่า ท่านว่าฉนี้ก็ชอบกลอยู่ แต่ว่าธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้ เราจึงทำการทั้งนี้ ว่าแล้วโจโฉก็พาตันก๋งไปถึงที่สำนักแห่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปอาศรัยนอนอยู่ ครั้นโจโฉนอนหลับไป ตันก๋งจึงลุกขึ้นรำพึงคิดว่า เสียแรงตัวกูสู้สละสมบัติพัสถานเสีย อุตส่าห์ติดตามโจโฉมาคิดว่าจะเปนคนดีมีปัญญาจะได้อุปถัมภ์กันสืบไป มิรู้โจโฉเปนคนหยาบช้าสามานหามีความกตัญญูต่อผู้มีคุณอุปการะไม่ ครั้นกูสมาคมด้วยโจโฉสืบไปนั้นไม่ควร จำกูจะฆ่าเสียอย่าให้มีภัยไปภายหน้า จึงถอดกระบี่ออกจะฟันโจโฉ แล้วถอยหลังคิดว่า เหตุทั้งนี้เพราะแรกนั้นเราชอบใจจึงตามมา ครั้นโจโฉทำผิดจะฆ่าโจโฉเสียนั้นก็หาประโยชน์ไม่ เมื่อมิชอบใจแล้วก็จะเอาตัวรอดหนีดีกว่า ตันก๋งก็ขึ้นม้าหนีไปเมืองตองกุ๋น


    ฝ่ายโจโฉครั้นตื่นขึ้นไม่เห็นตันก๋งแล้วก็คิดว่า ตันก๋งเห็นกูกระทำผิดจึงเอาตัวหนี ครั้นจะอยู่ที่นี่ก็มิได้ภัยจะมี ก็รีบไปในเวลากลางคืน ครั้นถึงเมืองตันลิวจึงบอกแก่โจโก๋ผู้บิดา ตามเนื้อความซึ่งมีมาแต่หลัง ซึ่งข้าพเจ้าหนีมานี้หวังจะขอเงินทองของบิดาที่มีอยู่นั้นจะซื้อม้าแลอาวุธ แล้วจะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ได้มากแล้วจะทำการสืบไป โจโก๋จึงว่าเงินทองเรามีอยู่บ้างเห็นจะไม่พอการ เราเห็นคนหนึ่งชื่ออุยหอง มีทรัพย์สินเปนอันมาก น้ำใจก็กว้างขวางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้าได้ไปบอกเนื้อความทั้งปวงก็เห็นจะลงใจด้วย จะให้เงินทองมาจ่ายอาวุธแลม้า จะได้เปนกำลังสืบไป

    โจโฉได้ยินบิดาว่าดังนั้นมีความยินดีนัก จึงให้แต่งโต๊ะแล้วให้ไปเชิญอุยหองมากินโต๊ะ โจโฉจึงบอกเนื้อความแก่อุยหองว่า ทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ แต่ว่ากำลังแลทรัพย์สินข้าพเจ้าน้อยนัก ข้าพเจ้าจึงหนีมาจะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนให้ได้มาก แล้วจะยกเข้าไปทำการล้างตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมีทรัพย์เปนอันมาก แลน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะขอทรัพย์ท่านไปจัดซื้ออาวุธแลม้า จะได้ทำการสืบไป อุยหองได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงว่าแต่รู้ข่าวว่าเมืองหลวงเปนจลาจล ก็มาคิดอยู่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน แต่หามีผู้จะคิดเปนหลักไม่ อันซึ่งท่านคิดอ่านทั้งนี้เรายินดีด้วย ทรัพย์ของเราซึ่งมีอยู่นั้น เราจะให้ท่านทำตามปราถนา โจโฉมีความยินดีนัก จึงทำธงขาวคันหนึ่งแล้วเขียนอักษรลงว่า ให้คนทั้งปวงมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน แล้วปักขึ้นไว้ตรงหน้าบ้าน บันดาชาวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันมาหาโจโฉ ๆ จึงเกลี้ยกล่อมผู้คนได้เปนอันมาก

    ขณะนั้นแฮหัวตุ้นผู้พี่แฮหัวเอี๋ยนผู้น้อง อยู่ ณ เมืองไพก๊ก แลแฮหัวตุ้นเมื่ออายุสิบสี่ปีนั้นไปเรียนการทหารในสำนักอาจารย์ แลมีผู้หนึ่งมาดูหมิ่นอาจารย์ แฮหัวตุ้นโกรธจึงฆ่าผู้นั้นเสีย แล้วหนีไปอยู่บ้านนอก ครั้นรู้ข่าวก็เกลี้ยกล่อมผู้คนได้ประมาณพันเศษ จึงพาแฮหัวเอี๋ยนผู้น้องไปเข้าด้วยโจโฉ

    แล้วโจหยินโจหองพี่น้องคุมคนได้ประมาณพันเศษ กับงักจิ้นชาวเมืองยงเป๋ง ลิเตียนชาวเมืองซันหยง ต่างคนก็มาเข้าด้วยโจโฉ แลอุยหองนั้นเห็นผู้คนมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉก็มีความยินดีนัก จึงเอาเงินทองมาให้โจโฉซื้อม้าแลอาวุธสำหรับการสงคราม แลชาวเมืองทั้งปวงก็ชวนกันจัดเอาม้าแลอาวุธกับเข้าปลาอาหารมาให้เปนอันมาก ขณะนั้นโจโฉมีความยินดีนัก จึงให้ปลูกโรงสำหรับเปนที่ชุมนุมขุนนางแลทหารจะได้ปรึกษาการสงคราม ครั้นเวลาเช้าเย็นให้ทหารซ้อมหัดการอาวุธไว้ให้ชำนาญ

    ฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งตั๋งโต๊ะเกลี้ยกลอ่มเอาใจตั้งไว้เปนเจ้าเมืองปุดไฮรู้ ข่าวดังนั้น ก็ปรึกษาแก่กรมการทั้งปวงว่า เราจะยกไปเข้าด้วยโจโฉ กรมการทั้งปวงเห็นชอบด้วย อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารยกไปเข้าด้วยโจโฉประมาณสามหมื่นเศษ ฝ่ายโจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวมาเข้าด้วยก็มีความยินดี จึงปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้เราสิจะทำการใหญ่ จำจะแต่งเปนหนังสือรับสั่งลอบไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง อ้วนเสี้ยวเห็นด้วย จึงแต่งหนังสือว่า มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้โจโฉลอบออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวง ว่า ทุกวันนี้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แลอาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อน เพราะตั๋งโต๊ะเปนขบถฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย ยกเราให้เปนเจ้าแผ่นดินเหมือนเจว็ด ตั้งตัวมันเปนมหาอุปราช ราชการเมืองทั้งปวงสิทธิอยู่แก่ตั๋งโต๊ะสิ้น แลโจโฉมีกตัญญูต่อแผ่นดิน สาบาลตัวต่อหน้าที่นั่งว่า จะอาสาล้างตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ เราจึงให้โจโฉออกไปประกาศหัวเมืองทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็ให้เข้าคิดอ่านกับโจโฉ แล้วยกเข้ามาล้างตั๋งโต๊ะซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติเสียจงได้

    ครั้นหัวเมืองทั้งห้าสิบเมืองใหญ่นั้น คืออ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงหนึ่ง ฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วหนึ่ง ขงมอเจ้าเมืองเซียงจิ๋วหนึ่ง เล่าต้ายเจ้าเมืองอิวจิ๋วหนึ่ง อองของเจ้าเมืองโห้ลายหนึ่ง เตียวเมาเจ้าเมืองตันลิวหนึ่ง เตียวโป้เจ้าเมืองตองกุ๋นหนึ่ง อ้วนอุ๋ยเจ้าเมืองซุนหยงหนึ่ง เปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักหนึ่ง ขงเล่งเจ้าเมืองปักไฮหนึ่ง เตียวเถียวเจ้าเมืองก่องเล่งหนึ่ง โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วหนึ่ง มาเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงหนึ่ง เตียนเอี๋ยงเจ้าเมืองเสียงต๋งหนึ่ง ซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสาหนึ่ง รู้ในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดี จึงคุมทหารเมืองละหมื่นหนึ่งบ้างสองหมื่นบ้างสามหมื่นบ้างยกไปเข้าด้วยโจโฉ เปนสิบหกหัวเมืองทั้งอ้วนเสี้ยว โจโฉจึงยกกองทัพทั้งปวงไปณแดนเมืองลกเอี๋ยง

    ฝ่ายกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง ครั้นรู้รับสั่งดังนั้นก็จัดทหารได้ประมาณหมื่นห้าพัน ยกมาถึงเมืองเพงงวนก้วนซึ่งเล่าปี่รักษาอยู่

    ฝ่ายเล่าปี่รู้ว่ากองซุนจ้านยกมา ก็พากวนอูกับเตียวหุยออกไปหาถึงนอกเมือง กองซุนจ้านเห็นเล่าปี่มาก็ดีใจจึงถามว่า ซึ่งตามมาด้วยสองคนนั้นชื่อใดแลมานี่จะไปไหน เล่าปี่บอกว่านั้นชื่อกวนอูเตียวหุย เปนทหารม้าถือเกาทัณฑ์แลน้องข้าพเจ้า สองคนนี้กล้าหาญได้เปนกำลังข้าพเจ้ามา แลท่านได้มีคุณแก่ข้าพเจ้าแต่ก่อน ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านยกมาทางนี้จึงออกมารับ หวังจะเชิญท่านเข้าไปพักทหารอยู่ในเมืองสักเวลาหนึ่ง กองซุนจ้านได้ฟังก็ระลึกได้ว่ากวนอูเตียวหุย แล้วก็เข้าไปในเมือง จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า กวนอูเตียวหุยนี้ก็ได้ไปช่วยทำการรบโจรโพกผ้าเหลือง หาผู้ใดว่ากล่าวความชอบไม่ จึงเปนทหารเลวอยู่ฉนี้ กองซุนจ้างจึงเล่าในหนังสือรับสั่งซึ่งให้โจโฉออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้ง ปวงนั้นให้เล่าปี่ฟังสิ้น แล้วชวนเล่าปี่ว่า ทุกวันนี้ท่านได้เปนเจ้าเมืองก็เปนแต่เมืองน้อย ครั้งนี้จงไปกับเราเถิด ถ้าสำเร็จราชการตัวท่านแลน้องทั้งสองคนนั้น ก็จะได้เปนเจ้าเมืองเอกขึ้น เล่าปี่มีความยินดีก็รับคำกองซุนจ้าน เตียวหุยจึงว่าครั้งไปรบโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ข้าเห็นว่าตั๋งโต๊ะหยาบช้ามิรู้จักคุณคน ข้าจะฆ่าเสียพี่ห้ามไว้ ถ้าพี่มิห้ามข้าจะเกิดเหตุใหญ่ถึงเพียงนี้หรือ กวนอูจึงห้ามเตียวหุยว่าอย่าว่าเลย ซึ่งจะไปกับกองซุนจ้านนั้นข้าก็มีความยินดีด้วย เล่าปี่จึงให้จัดแจงทหาร ซึ่งเปนคนสนิธพร้อมแล้ว กองซุนจ้านเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกทหารไปถึงที่ซึ่งโจโฉตั้งทัพอยู่ ณ แดน เมืองหลวง


    ฝ่ายโจโฉกับหัวเมืองทั้งปวงจึงให้ตั้งค่ายเรียงกันไป ทางไกลประมาณสองร้อยเส้น แลโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญหัวเมืองทั้งปวงมากินโต๊ะพร้อมกัน แล้วจะให้ยกเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง อองของจึงว่าบัดนี้เราทั้งปวงมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งมาทำการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ไม่มีผู้ใดถืออาญาสิทธิ์เปนผู้ใหญ่บังคับ บัญชานายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งจะยกเข้าตีนั้นเรายังไม่เห็นด้วย โจโฉฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงว่าอ้วนเสี้ยวนี้เปนคนมีสะกูลเชื้อขุนนางมาถึงสี่ชั่วห้าชั่วคนแล้ว ควรจะให้เปนนายทัพใหญ่ ถืออาญาสิทธิ์บังคับบัญชานายทัพนายกอง อ้วนเสี้ยวไม่ยอม หัวเมืองทั้งปวงจึงว่า ถ้าอ้วนเสี้ยวไม่ยอมเปนนายทัพใหญ่แล้ว ซึ่งจะจัดหาผู้ใดนอกนั้นเห็นขัดสน อ้วนเสี้ยวเห็นหัวเมืองจะแก่งแย่งกันก็รับเปนแม่ทัพใหญ่ โจโฉจึงให้ปลูกโรงใหญ่สำหรับอ้วนเสี้ยวออกว่าราชการในค่าย ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจึงเชิญให้อ้วนเสี้ยวขึ้นนั่งที่สมควร แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็เอากระบี่แลตราสำหรับนายทัพใหญ่มอบให้อ้วน เสี้ยว แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองจึงจุดธูปเทียนขึ้นทำสักการบูชาบวงสรวงเทพารักษ์ แล้วถือน้ำพิพัฒน์สัจจาว่าจะสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินสืบไป โจโฉจึงรินสุราคำนับให้หัวเมืองทั้งปวงกิน แล้วว่าเราจะทำสงครามใหญ่ครั้งนี้ อย่าได้คิดแก่งแย่งกันให้เสียราชการ จงมีใจประนอมกัน การทั้งปวงจึงจะสำเร็จ อ้วนเสี้ยวจึงว่า สติปัญญาเราก็เปนประมาณ ซึ่งท่านทั้งปวงปรึกษาให้เราเปนนายทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์ เราก็จะทำไปตามสติปัญญา อันอย่างธรรมเนียมกฎพิชัยสงครามนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดผิดเราจะให้ลงโทษโดยพระอัยการศึก ท่านทั้งปวงอย่าได้น้อยใจเรา โจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็รับว่าข้าพเจ้าจะทำตาม อ้วนเสี้ยวจึงให้อ้วนสุดผู้น้องเปนทัพลำเลียง สำหรับส่งสเบียงนายทัพนายกองทั้งปวงอย่าให้ขาดได้ แล้วให้ซุนเกี๋ยนเปนกองทัพหน้า คุมทหารยกไปตีด่านกิสุยก๋วน ซุนเกี๋ยนก็ยกไปตั้งค่ายประชิดด่าน

    ฝ่ายนายด่านเห็นดังนั้น จึงแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ลิยูครั้นรู้หนังสือนั้นแล้วก็เอาไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะตกใจจึงปรึกษาลิยูว่า ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไปจับซุนเกี๋ยนมาฆ่าเสียได้ ลิโป้จึงว่าซึ่งหัวเมืองยกมาทั้งนี้เปรียบเหมือนแมลงเม่า ข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพออกไปฆ่าเสีย อย่าให้ท่านวิตกเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจขึ้น จึงว่าทุกวันนี้เราได้ลิโป้ไว้เปนบุตร ถึงมาทว่าจะได้ทหารอื่นมาไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่าลิโป้

    ขณะนั้นทหารคนหนึ่งชื่อฮัวหยง กิริยาดังเสือสูงหกศอกเศษ ครั้นได้ยินลิโป้ว่าจะอาสาดังนั้น จึงคุกเข่าลงคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่า ซึ่งจะฆ่าไก่แลจะเอามีดฆ่าโคมาฆ่านั้นไม่ควร ซึ่งการทั้งนี้เปนแต่หัวเมืองทั้งปวงยกมา อันลิโป้ผู้บุตรท่านจะยกออกไปรบด้วยข้าศึกนั้นเห็นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาสีสะหัวเมืองทั้งปวงมาให้จงได้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้ฮัวหยงเลื่อนที่เปนนายทหารใหญ่ แล้วจัดทหารให้ห้าหมื่น กับลิซกหนึ่ง โฮจิ้นหนึ่ง เตียวหงิมหนึ่ง เปนสี่นายทั้งฮัวหยงให้ยกออกไป ฝ่ายฮัวหยงกับทหารสามคนคุมพลห้าหมื่น รีบยกออกไปตั้งรับอยู่ ณ ด่านกิสุยก๋วน

    ขณะนั้นเปาสิ้นซึ่งอยู่ในกองทัพอ้วนเสี้ยว จึงคิดว่าซุนเกี๋ยนเปนกองหน้ายกไปตีด่านเมืองหลวงนั้น ถ้าได้ทีก็มีความชอบแต่ตัวซุนเกี๋ยน จึงแต่งให้เปาต๋งผู้น้องคุมทหารยกไปทางหนึ่ง ให้เร่งคิดเอาด่านเมืองหลวงให้ได้ก่อน ความชอบจึงจะมีแก่เรา เปาต๋งก็รีบยกทัพไป ครั้นถึงด่านแล้วก็ให้ทหารเข้าตีก่อนทัพซุนเกี๋ยน

    ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้น ก็คุมทหารห้าร้อยเปิดประตูด่านออกไปจึงร้องว่า เปาต๋งนี้เปนพวกโจรมารบกูหรือ เปาต๋งได้ยินดังนั้นก็แลไปดู เห็นฮัวหยงก็ตกใจกลัว ชักม้าบ่ายหน้ากลับไป ฮัวหยงขับม้าไล่ตาม แล้วเอาง้าวฟันถูกเปาต๋งตกม้าตาย จับได้ทหารเปนอันมากแล้วให้ตัดเอาสีสะเปาต๋งใส่ถัง บอกหนังสือส่งขึ้นไปให้ตั๋งโต๊ะ ๆ มีความยินดี จึงแต่งหนังสือลงมาปูนบำเหน็จให้ฮัวหยงเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่

    ฝ่ายซุนเกี๋ยนนั้นมีทหารเอกไปด้วยสี่คน ชื่อเทียเภาถือทวนหนึ่ง อุยกายถือกระบองเหล็กสี่เหลี่ยมหนึ่ง ฮันต๋งถือง้าวหนึ่ง โจเมาถือกระบี่สองมือหนึ่ง ซุนเกี๋ยนแต่งตัวใส่เกราะแล้วถือง้าวใหญ่ พาพวกทหารออกมาหน้าด่านแล้วร้องว่า อ้ายพวกขบถมึงเร่งเปิดประตูออกมาเข้าเกลี้ยกล่อมกูจงเร็ว ถ้าช้าอยู่กูจะหักเข้าไปตัดสีสะเสียให้สิ้น โฮจิ้นได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่ฮัวหยงว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารห้าพันจะอาสาออกไปตี ฮัวหยงเห็นชอบด้วยก็จัดทหารให้โฮจิ้น ๆ ก็ยกทหารเปิดประตูออกไป

    ฝ่ายเทียเภาเห็นโฮจิ้นออกมา จึงขับม้ารำเพลงทวนออกไปรบด้วยโฮจิ้นได้เจ็ดเพลง เทียเภาเอาทวนแทงถูกคอโฮจิ้นตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็ไล่ฟันทหารโฮจิ้นเข้าไปจนถึงเชิงกำแพง

    ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้น ก็ให้ทหารบนหน้าที่เชิงเทินยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงไปดังห่าฝน ซุนเกี๋ยนเห็นจะเข้าหักเอายังมิได้ ก็ให้ถอยทหารมาตั้งค่ายอยู่ตำบลเลียงต๋ง จึงให้แต่งหนังสือตามซึ่งได้รบพุ่งนั้นไปให้อ้วนเสี้ยวแจ้ง แล้วบอกไปถึงอ้วนสุดว่า ในกองทัพนี้ขาดสเบียงให้อ้วนสุดเร่งส่งลำเลียงมาให้จงได้

    ขณะเมื่อหนังสือมานั้น ทหารอ้วนสุดคนหนึ่งจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า ซุนเกี๋ยนคนนี้เมื่ออยู่ในเมืองกังตั๋งนั้น อุปมาดังเสือตัวหนึ่ง แลตั๋งโต๊ะนั้นอุปมาดังหมี ครั้งนี้ซุนเกี๋ยนยกไปทำการเปนกองหน้า ถ้าตีได้เมืองหลวงก็จะจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย ซุนเกี๋ยนก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งจะฆ่าหมีเสียตัวหนึ่ง เสือจะร้ายขึ้นนั้นจะเห็นชอบข้างไหน ข้าพเจ้าคิดว่านิ่งเสียอย่าส่งสเบียงเลย ทหารในกองทัพซุนเกี๋ยนก็จะอิดโรยระส่ำระสายลงเหมือนเสือหากำลังมิได้ อ้วนสุดเห็นชอบด้วยก็มิได้ส่งสเบียง แลในกองทัพซุนเกี๋ยนก็อดเข้าปลาอาหาร ทหารทั้งปวงก็อิดโรยไป

    ฝ่ายคนสอดแนมครั้นรู้ดังนั้น ก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ลิซก ๆ จึงไปบอกแก่ฮัวหยงว่า บัดนี้ในกองทัพซุนเกี๋ยนนั้น ทหารทั้งปวงอดเข้าปลาอาหารอิดโรยอยู่แล้ว เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะคุมทหารอ้อมไปเข้าข้างหลังค่ายซุนเกี๋ยน ขอให้ท่านยกเข้าข้างหน้าค่าย จะตีกระหนาบเข้าไปปล้นเอาค่ายเห็นจะจับตัวซุนเกี๋ยนได้โดยง่าย ฮัวหยงเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารเตรียมไว้เปนสองกอง ครั้นเวลาค่ำจึงเปิดประตูยกทหารออกไปเปนสองกองตามซึ่งคิดไว้นั้น ขณะเมื่อยกไปถึงค่ายซุนเกี๋ยนนั้นเปนเวลาสองยามเศษ ฮัวหยงจึงให้ทหารตีกลองโห่ร้องเข้าปล้นเอาค่าย

    ฝ่ายซุนเกี๋ยนตกใจก็แต่งตัวใส่เกราะ แล้วขึ้นม้าถือง้าวออกมารบกับฮัวหยงได้แปดเพลง แล้วซุนเกี๋ยนแลไปเห็นแสงเพลิงข้างหลังค่ายนั้นสว่างขึ้น แลทหารในค่ายแตกตื่นล้มตายเปนอันมาก แต่โจเมานั้นขี่ม้าตามซุนเกี๋ยนอยู่

    ฝ่ายทหารฮัวหยงเข้าล้อมไว้ ซุนเกี๋ยนกับโจเมาจึงฝ่าฟันทหารออกไปได้ ฮัวหยงควบม้าตาม ซุนเกี๋ยนยิงเกาทัณฑ์มา ฮัวหยงรับลูกเกาทัณฑ์ได้ทั้งสองดอก แล้วซุนเกี๋ยนขึ้นเกาทัณฑ์จะยิงซ้ำ คันเกาทัณฑ์หัก ซุนเกี๋ยนกับโจเมาก็ควบม้าหนีไป ฮัวหยงก็ขับม้าตาม โจเมาจึงว่ากับซุนเกี๋ยนว่า หมวกซึ่งท่านใส่นั้นฝ่ายศัตรูจำได้ถนัด จงถอดมาเปลี่ยนให้ข้าพเจ้าเสียเถิด ซุนเกี๋ยนก็ถอดหมวกออกมาเปลี่ยนกันใส่แล้วควบม้าแยกทางกันไป

    ฝ่ายฮัวหยงกับทหารทั้งปวงควบม้าตามไป มิได้รู้ว่าซุนเกี๋ยนไปแห่งใด จำสำคัญได้แต่หมวก ฮัวหยงคิดว่าซุนเกี๋ยนก็รีบควบม้าไล่โจเมาไป ฝ่ายโจเมาเห็นจวนตัวเข้า จึงถอดหมวกสวมตอไม้ไว้แล้วรีบควบม้าหนีเข้าป่า ขณะเมื่อฮัวหยงไล่ไปนั้นเปนเวลากลางคืนมิได้รู้กลโจเมา เห็นสำคัญแต่หมวก จึงให้ทหารเข้าล้อมตอไม้นั้นไว้ แลทหารทั้งปวงก็เอาเกาทัณฑ์ยิงตอไม้อยู่เปนช้านาน ครั้นเห็นไม่ไหวติง ฮัวหยงจึงพาทหารเข้าไปดู ก็เห็นหมวกสวมตอไม้อยู่

    ฝ่ายโจเมาครั้นหนีเข้าอยู่ในป่าหยุดม้าดู เห็นฮัวหยงกับทหารหลงล้อมตอไม้ไว้ โจเมาจึงชักม้ากลับหลังจะฟันฮัวหยง ๆ เหลือบเห็นจึงชักม้ากลับหน้ามาร้องตวาด แล้วเอาง้าวฟันถูกโจเมาตัวขาดออกสองท่อนตาย ครั้นเวลารุ่งเช้าฮัวหยงก็คุมทหารกลับเข้าไปด่านเมืองหลวง

    ฝ่ายเทียเภา อุยกาย ฮันต๋ง กับทหารทั้งปวงซึ่งเหลือแตกไปนั้นพบซุนเกี๋ยน ๆ จึงพากลับมา ณ ค่ายเลียงต๋ง แล้วบอกหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวตามซึ่งได้รบพุ่ง อ้วนเสี้ยวแจ้งในหนังสือนั้นมีความเสร้าหมองนัก จึงหาหัวเมืองมาปรึกษาว่า ซุนเกี๋ยนนี้เปนทหารกล้าแขง ซึ่งเสียทีแก่ฮัวหยงดังนี้จะคิดประการใด อนึ่งเปาสิ้นลอบใช้เปาต๋งไปชิงรบจนตัวตาย แลเสียทหารไปเปนอันมาก นายทัพนายกองทั้งปวงยังมิได้ว่าประการใด

    ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ยืนอยู่ข้างหลังกองซุนจ้าน ทั้งสามคนนี้รูปร่างใหญ่โตเห็นกิริยาดังยิ้มเยาะ จึงถามกองซุนจ้านว่าสามคนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนั้นชื่อใด กองซุนจ้านจึงจูงมือเล่าปี่ออกไปยืนข้างหน้า แล้วบอกว่าคนนี้ชื่อเล่าปี่ เปนเพื่อนศิษย์เรียนหนังสือกับข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ได้เปนเจ้าเมืองเพงงวนก้วน

    โจโฉจึงว่าเล่าปี่คนนี้ ครั้งโจรโพกผ้าเหลืองนั้นก็ได้ไปช่วยรบ กองซุนจ้านจึงว่า อันเล่าปี่นี้เปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ มีความชอบต่อแผ่นดินมาหลายครั้ง แล้วกองซุนจ้านให้เล่าปี่คำนับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวเชิญให้เล่าปี่มานั่งที่สมควร แลกวนอูกับเตียวหุยก็เข้าไปยืนอยู่หลังเล่าปี่

    ฝ่ายฮัวหยงนั้นคุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายอ้วนเสี้ยว จึงให้ทหารเอาไม้ยาวเสียบหมวกซุนเกี๋ยนแกว่งขึ้นร้องประกาศว่า อ้ายเหล่าหัวเมืองซึ่งเปนขบถ แต่งให้ซุนเกี๋ยนยกไปรบนั้น กูก็ตีแตกฆ่าทหารเสียเปนอันมากแล้ว บัดนี้ใครซึ่งเปนตัวนายเร่งยกออกมารบกัน ม้าใช้ได้ยินดังนั้นก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว ๆ จึงปรึกษาแก่นายทัพนายกองว่า ฮัวหยงยกออกมาทำดังนี้ผู้ใดจะอาสาไปด้วยได้ ยูสิดทหารอ้วนสุดจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบด้วยฮัวหยง อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็เกณฑ์ทหารให้ยูสิด ๆ ยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงได้สามเพลง ฮัวหยงเอาง้าวฟันยูสิดตกม้าตาย ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว ๆ กับหัวเมืองทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า ครั้งนี้ใครจะอาสาออกไปรบด้วยฮัวหยงได้

    ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วจึงว่า ข้าพเจ้ามีทหารเอกคนหนึ่งชื่อพัวหอง จะขออาสาไปตัดเอาสีสะฮัวหยงมาให้จงได้ อ้วนเสี้ยวมีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารให้ พัวหองแต่งตัวใส่เกราะแล้วขี่ม้าถือขวานใหญ่เปนอาวุธ ยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงสามเพลง ฮัวหยงเอาง้าวฟันถูกพัวหองตกม้าตาย ม้าใช้ก็รีบเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว แลนายทัพนายกองทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ตกใจ อ้วนเสี้ยวจึงว่าทหารเอกของเราสองคนชื่องันเหลียงบุนทิวก็ยังไม่เห็นมา ถ้ามาแล้วก็จะกลัวอะไรกับฮัวหยง ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไป

    ขณะนั้นกวนอูจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาสีสะฮัวหยงมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งรับอาสานั้นเปนทหารที่ตำแหน่งใด กองซุนจ้านจึงบอกว่า คนนี้ชื่อกวนอูผู้น้องเล่าปี่ เปนทหารม้าถือเกาทัณฑ์

    ฝ่ายอ้วนเสี้ยวได้ยินกองซุนจ้านว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตวาดว่ากวนอูเปนแต่ทหารม้าเลว มาดูหมิ่นนายทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวง บังอาจเข้ารับอาสา แลทหารหัวเมืองทั้งปวงยังมีอยู่เปนอันมาก พอจะทำการศึกสืบไป จึงให้ทหารขับกวนอูออกไปเสีย

    โจโฉจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธก่อน ท่วงทีกวนอูนี้จะมีฝีมือกล้าหาญอยู่จึงขันอาสา ถ้าไม่สมดังปากว่าจึงจะเอาโทษถึงตาย อ้วนเสี้ยวจึงว่ากวนอูเปนทหารเลว ครั้นจะให้ออกไปรบกับฮัวหยง ๆ ก็จะหัวเราะเย้ยเล่น ว่าในกองทัพเรานี้ไม่มีทหารเอกแล้ว โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าเห็นรูปร่างกวนอูนี้โตใหญ่คมสันอยู่ เห็นสมเปนทหารเอก ฮัวหยงจะไม่รู้ว่าทหารเลว กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะอาสาออกไปครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ตัดสีสะฮัวหยงเข้ามาขอท่านจงเอาสีสะข้าพเจ้าไว้แทนเถิด อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารให้กวนอู โจโฉจึงให้อุ่นสุราแล้วจึงรินใส่จอกยื่นให้กวนอู ๆ คำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเปนแต่ทหารเลว ซึ่งท่านจะให้สุรากินนั้นขอให้ท่านงดไว้ก่อน เมื่อใดข้าพเจ้าออกไปได้สีสะฮัวหยงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับเอาสุราของท่านกิน แล้วกวนอูขี่ม้าถือง้าวออกไปรบด้วยฮัวหยง

    ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้น ได้ยินเสียงกลองแลม้าฬ่ออื้ออึง ก็ชวนกันออกไปดูกวนอูจะรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่ายก็เห็นกวนอูหิ้วสีสะฮัวหยงกลับเข้ามาทิ้งไว้ตรงหน้า ค่าย นายทัพ นายกองทั้งปวงเห็นก็ดีใจ จึงพากวนอูเข้าไปในค่าย โจโฉจึงเอาจอกสุรานั้นมาคำนับ แล้วส่งให้กวนอู กวนอูคำนับตอบ แล้วรับเอาจอกสุรานั้นมากิน สุรานั้นยังอุ่นอยู่

    ขณะนั้นเตียวหุยจึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า กวนอูพี่ข้าพเจ้าได้อาสาตัดเอาสีสะฮัวหยง มาให้แล้ว ข้าพเจ้าผู้น้องจะขออาสาตีเข้าไปในเมืองหลวง แล้วจะจับเอาตัวตั๋งโต๊ะมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องตวาดแล้วว่า บันดานายทัพนายกองทั้งปวงมิได้ปรึกษาว่ากล่าวประการใด ตัวนี้เปนแต่ทหารเลวองค์อาจเข้ามาจะอาสาหักหน้าผู้ใหญ่ทั้งนี้ เห็นเปนคนหยาบช้านัก ให้ขับออกไปเสียนอกที่ชุมนุมขุนนาง

    โจโฉจึงว่าอันอย่างธรรมเนียมศึกนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบในการสงคราม ก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดกระทำความผิดก็จะลงโทษ ซึ่งจะมาถืออิศริยยศในท่ามกลางศึกดังนี้ไม่สมควร อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ถ้าจะนับถือทหารเลวเปนเอกฉนี้ไซ้ เราไม่ทำการสืบไปแล้ว จะยกทหารกลับไปเมือง โจโฉจึงว่าขัดข้องกันแต่เนื้อความเพียงนี้จะละการใหญ่เสียนั้นไม่ควร แล้วให้กองซุนจ้านพาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยกลับไป ณ ค่ายที่อยู่ โจโฉจึงให้เอาสุกรเป็ดไก่ไปลอบให้กำนัลเล่าปี่กวนอูเตียวหุย

    เนื้อเพลง