วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ยอดเขาที่สุงที่สุดในประเทศไทย 10 อันดับ



1. ดอยอินทนนท์  ความสูง  2,600 เมตร



ดอยอินทนนท์ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมมีชื่อว่า "ดอยหลวง" หรือ "ดอยหลวงอ่างกา" ชื่อของ ดอยอินทนนท์ เป็นชื่อของกษัตริย์พระนามว่าพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ทรงเป็นผู้ที่ห่วงใยในป่าทางภาคเหนือและพยายามรักษาไว้ ภายหลังเสด็จพิราลัย พระอัฐิส่วนหนึ่งได้เชิญไปประดิษฐาน ณ พระสถูปบนยอดดอยหลวง และเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติ

ดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ประมาณ 482.4 ตารางกิโลเมตร หรือ 301,500 ไร่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาอินทนนท์ (ทิวเขาถนนธงชัยตะวันออก) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

สภาพภูมิประเทศทั่วไปประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตรยอดเขาที่มีระดับสูงรองลงมาคือ ดอยหัวมดหลวง สูงจากระดับน้ำทะเล 2,330 เมตร ป่าอินทนนท์นี้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่หอย แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงที่ ให้พลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตกต่างๆ โดยเฉพาะน้ำตกแม่ยะ ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของประเทศ



2. ดอยผ้าห่มปก ความสูง 2,285 เมตร


ยอดดอยผ้าห่มปก ตั้งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก จ.เชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,285 เมตร ซึ่งเป็นยอดดอยที่สูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย


บริเวณโดยรอบนั้นจะมีหมอกปกคลุม และมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทำให้ที่นี่กลายเป็นอีกจุดชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากๆ ในการเดินทางขึ้นยอดที่ดอยฟ้าห่มปกนั้น จะต้องติดต่อขออนุญาตจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่ฝางก่อนเสมอ


มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อยู่ในพื้นที่อำเภอฝาง และอำเภอแม่อาย เที่ยวได้ทั้งปี ที่เที่ยวไม่ว่าจะเป็น น้ำพุร้อนฝาง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ หมู่ที่ 15 ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย น้ำตกปู่หมื่น บ้านปู่หมื่น ไร่ชาปู่หมื่น อยู่ที่แม่อาย และม่อนดอยล่าง อยู่แม่อายเช่นกัน  



 

3. ดอยหลวงเชียงดาว ความสูง 2,195 เมตร

ดอยเชียงดาว หรือ ดอยหลวงเชียงดาว  เป็นดอยหรือยอดเขาที่มีความสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย รองมาจากดอยอินทนนท์และดอยผ้าห่มปก ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูง 2,275 เมตร (7,136 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล ชื่อในสมัยก่อนเรียกว่า "ดอยอ่างสลุง" ชื่อกันตามตำนานพื้นเมืองว่าเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาพร้อมพระอรหันต์ 8 รูป ทรงลงสรงน้ำในสลุงทองคำหรือบริเวณอ่างสลุง จึงเรียกดอยแห่งนี้ว่า "ดอยหลวง" เนื่องจากเป็นดอยที่มีขนาดสูงใหญ่ ("หลวง" ในภาษาเหนือ หมายถึง "ใหญ่" ) เพี้ยนเป็น "ดอยหลวงเพียงดาว" (ดอยหลวงเปียงดาวในภาษาเหนือ) จนกลายมาเป็น "ดอยหลวงเชียงดาว" หรือ "ดอยเชียงดาว" ในปัจจุบัน

เป็นที่ตั้งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อุณหภูมิตามปกติจะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกตลอดปีโดยเฉพาะในฤดูหนาวและฤดูฝน อากาศหนาวเย็นตลอดฤดูหนาวและฤดูฝนอากาศชุ่มชื้นมาก เป็นแหล่งที่มีพืชพรรณหลากหลายและมีหลายชนิดที่เป็นพืชถิ่นเดียวไม่พบในส่วนอื่น ๆ ของประเทศไทย มีทั้งพืชเขตร้อน, กึ่งเขตร้อนและพืชเขตอบอุ่น จึงเป็นสถานที่ ๆ พบความหลากหลายทางชีวภาพมาก เนื่องจากเป็นเขาหินปูน เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย เกิดขึ้นในยุคเพอร์เมียน มีอายุระหว่าง 230–250 ล้านปี เป็นหมู่หินราชบุรีของไทย ซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนทะเล และซากสัตว์ที่มีหินปูน สันนิษฐานว่า พื้นที่ในบริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นท้องทะเลมาก่อนที่การตกตะกอนทับถมของซากสิ่งมีชีวิต เช่น ปะการังและหอย เป็นแหล่งนิยมสำหรับการดูนก มีนกอาศัยอยู่ที่นี่มากกว่า 300 ชนิด รวมถึงสัตว์ป่าชนิดอื่นที่หายาก เช่น ผีเสื้อสมิงเชียงดาว, ไก่ฟ้าหางลายขวาง, กวางผา รวมถึงเลียงผา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวน เป็นต้น


4. ภูสอยดาว ความสูง 2,102 เมตร


อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ในตำบลม่วงเจ็ดต้น ตำบลนาขุม ตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก มีเนื้อที่ 125,110 ไร่ หรือ 200.18 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูงจากระดับทะเลปานกลาง 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย สถานที่น่าสนใจภายในอุทยานฯ ได้แก่ - น้ำตกภูสอยดาว มีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นมีชื่อเรียกที่ไพเราะว่า ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์ มีน้ำไหลตลอดปี - น้ำตกสายทิพย์ เป็นน้ำตก 7 ชั้น ความสูงแต่ละชั้นประมาณ 5-10 เมตร สภาพป่าโดยรอบน้ำตกมีความชุ่มชื้นมาก จึงมีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมทั่วไปตามก้อนหินริมน้ำ - ทุ่งดอกไม้ในป่าสน ช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี จะมีดอกไม้ดินชูช่อแย่งกันออกดอกเป็นกลุ่มหนาแน่น เช่น ดอกหงอนนาค ดอกสร้อยสุวรรณา และดอกหญ้ารากหอม ในฤดูหนาวจะมีดอกกระดุมเงิน กล้วยไม้รองเท้านารี อินทนนท์ และต้นเมเปิ้ล ซึ่งใบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงามมาก - ลานสนสามใบภูสอยดาว เป็นที่ราบบนภูเขา ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,633 เมตร สภาพพื้นที่ของลานสนสามใบจะเป็นเนินสูงต่ำสลับกันไป ชั้นล่างเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่สุดในประเทศ บนลานสนยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม แต่ไม่มีบ้านพักและอาหาร หากต้องการพักค้างแรมต้องเตรียมเต็นท์และอาหารไปเอง - หลักเขตไทย-ลาว เป็นหลักเขตที่ปักปันเขตแดนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทำขึ้นหลังสงครามบ้านร่มเกล้า การเดินทางขึ้นสู่ภูสอยดาว ต้องเดินเท้าจากน้ำตกภูสอยดาว ริมเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1268 ขึ้นสู่ยอดภูสอยดาวระยะทางประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-6 ชั่วโมง ต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทางจากอุทยานฯ ซึ่งมีบริการลูกหาบช่วยขนสัมภาระ  



5. ดอยลังกาหลวง ความสูง 2,031 เมตร


   ดอยลังกาหลวง เป็นหนึ่งในยอดดอยของ อุทยานแห่งชาติขุนแจ ซึ่งครอบคลุมรอยต่อของ 3 จังหวัดทางภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง ด้วยความสูงถึง 2,031 เมตร ดอยลังกาหลวง จึงถูกจัดให้เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย ลักษณะของป่าเขารอบๆ จะเป็นป่าดิบเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้และสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด อีกทั้งยังเป็นป่าต้นน้ำของ น้ำตกแม่โถ ก่อนจะไหลลงสู่ แม่น้ำลาว 

จุดเด่นของเส้นทางเดินป่าเส้นนี้คือ การเดินตามแนวสันดอยไปตลอดเส้นทางได้พบได้เห็นป่าสภาพต่างๆ มีทั้งป่าดิบเขา ป่าสน และทุ่งหญ้าบนดอยสูง ป่าที่นี่มีความหลากหลายทำให้นักเดินทางไม่รู้สึกเบื่อหน่าย  ตลอดเส้นทางเดินบนสันดอยจะมองเห็นภาพวิวที่สวยงาม ดอกไม้ก็มีมาก มีทั้งดอกกุหลาบขาวดอยลังกาที่มีลักษณะเฉพาะจะออกดอกสวยงามในฤดูหนาว ดอกหรีดมีเยอะมาก นอกจากนี้ยังมีดอกไม้สวยแปลกตาอีกหลายชนิด    



6. ดอยภูคา ความสูง 1,980 เมตร


อุทยานแห่งชาติดอยภูคามีพื้นที่ครอบคลุมในท้องที่ 8 อำเภอของจังหวัดน่าน ได้แก่ อำเภอปัว อำเภอท่าวังผา อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอบ่อเกลือ อำเภอสันติสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และ อำเภอแม่จริม ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 1,704 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,065,000 ไร่ จึงทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ของสภาพป่าอันจะเห็นได้จากการพบพืชพรรณ และสัตว์ป่าหายากหลากหลายชนิด และนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดน่าน โดยมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่น่าสนใจคือ ดอกชมพูภูคาซึ่งเป็นพันธ์ไม้หายากและมีที่แห่งนี้ที่เดียวในประเทศไทย ต้นเต่าร้างยักษ์ ป่าดึกดำบรรพ์ น้ำตกภูฟ้า พิชิตยอดดอยภูแว ชมถ้ำยอดวิมาน และถ้ำผาฆ้อง

พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน พื้นที่ราบอยู่ตามบริเวณโดยรอบ มียอดดอยภูคาเป็ยยอดเขาที่สูงที่สุดใน จังหวัดน่าน โดยมีความสูง 1,980 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่ปัจจุบันยอดดอยภูคา มีความสูง 1,910 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ลักษณะทั่วไปเป็นภูเขาหิน และหินปนทราย โดยในพื้นที่ป่าแห่งนี้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารชั้น 1 A อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำน่านและแม่น้ำลำธารสาขาหลายสาย

สภาพป่าอุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง และยังมีป่าสนเขากลุ่มเล็กๆ อยู่บริเวณทางตอนใต้ของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ใกล้กับดอยภูหวด นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้าปกคลุมบนภูเขาเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งเป็นผลจากการแผ้วถางป่าของชาวบ้านเมื่อก่อนที่จะมีการประกาศให้ดอยภูคาเป็นพื้นที่อนุรักษ์ มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ก่อ ยาง ตะเคียน จำปีป่า ประดู่ แดง สัก เต็ง รัง เหียง พลวง พะยอม รวมทั้งปาล์มขนาดใหญ่ หวาย ผักกูด ไผ่ และหญ้าเพ็ก เป็นต้น พันธุ์ไม้หายาก เช่น ชมพูภูคา ก่วมภูคา จำปีป่า ไข่นกคุ้ม ค้อเชียงดาว โลดทะนงเหลือง ขาวละมุน เทียนดอย เสี้ยวเครือ มะลิหลวง สาสี่หนุ่ม เหลืองละมุน ประทัดน้อยภูคา กระโถนพระฤาษี กุหลาบแดง กุหลาบขาวเชียงดาว พันธุ์ไม้เฉพาะถิ่น ได้แก่ เต่าร้างยักษ์ หมักอินทร์ คัดเค้าภูคา ประดับหินดาว หญ้าแพรกหิน นมตำเลีย และรางจืดต้นภูคา

สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่มีอย่างชุกชุม ได้แก่ ช้างป่า วัวแดง กระทิง กวางป่า เก้ง หมูป่า เลียงผา ลิง ชะนี ค่าง หมี อีเห็น กระจง นาก ไก่ป่า ไก่ฟ้า เหยี่ยวรุ้ง นกมูม นกพญาไฟใหญ่ ฯลฯ มีนกหายาก 2 ชนิด ซึ่งพบที่ดอยภูคา ได้แก่ นกมุ่นรกคอแดง (และนกพงใหญ่พันธุ์อินเดีย 




7. ดอยช้าง ความสูง 1,962 เมตร 

ดอยช้าง เป็นดอยหนึ่งที่อยู่ในส่วนของอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งหากมองในมุมสูงจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับช้าง 2 เชือก ที่อยู่ด้วยกันแม่ลูก เป็นเหตุให้ชาวบ้านตั้งชื่อดอยนี้ว่า “ดอยช้าง”

  ดอยช้าง จุดสูงที่สุดจะอยู่ที่ผาหัวช้าง เป็นแหล่งต้นน้ำ ที่รายล้อมไปด้วยป่าเขาอุดมสมบูรณ์ ทำให้ดอยช้างมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี สามารถปลูกพืชเมืองหนาวต่างๆ ได้ดี ทั้ง กาแฟ แมคคาเดเมีย ไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ จัดว่าเป็นแหล่งปลูกกาแฟอาราบิก้า ได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยเลย

ดอยช้าง ตั้งอยู่บ้านดอยช้าง ตั้งอยู่หมู่ที่ 3  ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เป็นยอดดอยสูงในเทือก ดอยวาวี เป็นแหล่งต้นน้ำแม่กรณ์ มีชาวเขาเผ่าต่างๆ มาอาศัยอยู่ จัดตั้งเป็นสถานีทดลองเกษตรที่สูง เพื่อส่งเสริม การปลูกพันธุ์ไม้เมืองหนาว ลดการทำไร่เลื่อนลอย ต่อมาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นศูนย์บริการวิชาการด้าน พืชและปัจจัยการผลิต

 ชื่อ “บ้านดอยช้าง” ตั้งขึ้นตามลักษณะของภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนช้างแม่ลูกสองเชือก หันหน้าไปทาง ทิศเหนือ (ตัวจังหวัดเชียงราย) สามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่บริเวณโรงเรียนบ้านดอยช้าง มี ผาหัวช้าง สูง 1,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย 18 องศาเซลเซียส ดอยช้างมีชื่อเสียงในเรื่องของเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย มาเที่ยวที่นี่ นักท่องเที่ยว จะได้ชมสวนกาแฟที่สุกอร่ามเต็มดอย พร้อมๆกับชมดอกซากุระหรือนางพญาเสือโคร่งที่กำลังบาน สีสันสดใส ชมพู อีกทั้งเพลินตา กับศิลปะวิถีชาวบ้าน




8. ยอดเขาโมโกจู ความสูง 1,950 เมตร


เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์และสูงที่สุดในผืนป่าตะวันตกห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 27 กิโลเมตร  คำว่า “โมโกจู” เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า เหมือนฝนจะตก เนื่องจาก บนยอดเขามักถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกและมีอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา 
 ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด คือ กำแพงเพชรและนครสวรรค์ และในพื้นที่อุทยานฯ แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของ “ยอดเขาโมโกจู” ยอดเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ด้วยความสูง 1,964 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี


9. ม่อนจอง ความสูง 1,929 เมตร

  ดอยม่อนจอง ตั้งอยู่บนทิวเขาถนนธงชัยตอนกลาง ปัจจุบันตั้งอยู่ใน อ.นันทบุรี เดิมตั้งอยู่ใน ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยอยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ไม่ได้เปิดใช้เที่ยวชมกันตลอดทั้งปี เพราะต้องระวังภัยเรื่องช้างป่าที่ออกมาหากิน รวมถึงสภาพอากาศที่แห้ง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าได้ง่าย โดยปรกติแล้วจะเปิดให้ขึ้นประมาณวันที่ 1 พฤศจิกายน - 28 กุมภาพันธ์

     สำหรับที่มาของคำว่า ม่อนจอง นั้น คำว่า ม่อน เป็นภาษาคำเมืองที่แปลว่า ดอยหรือเนินเขา ส่วนคำว่า จอง ก็เป็นภาษาคำเมือง แต่จะออกเสียงว่า จ๋อง หมายถึง ลักษณะจั่ว สามเหลี่ยมที่อยู่สูงที่สุด

สิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องไพรมายังดอยม่อนจองก็คือ กวางผาหรือม้าเทวดาซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ที่นี่ และทิวทัศน์ที่สวยงามของทิวเขา และถ้ามาในช่วงเดือน ธ.ค.-ม.ค.จะได้พบดอกกุหลาบพันปีที่กำลังบาน ว่ากันว่าต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เทือกดอยที่ขึ้นกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อยแห่งนี้ มีความสำคัญต่อระบบนิเวศของเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่าบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยสัตว์หายากนานาชนิดมากมาย โดยดอยม่อนจองนั้น ครอบคลุมพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ทั้งนี้ คำว่า ม่อน เป็นภาษาคำเมือง หมายถึง ดอยหรือเนินเขา ส่วนคำว่า จอง ก็เป็นภาษาคำเมืองจะออกเสียงว่า จ๋อง หมายถึง ลักษณะจั่ว สามเหลี่ยมที่อยู่สูงที่สุด และยิ่งกว่านั้น ดอยม่อนจองแห่งนี้ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดยจุดสูงสุดของดอยม่อนจองมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,929 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า หัวสิงห์ เพราะมีลักษณะคล้ายหัวสิงโต ในอดีตดอยม่อนจองเป็นดินแดนแห่งสรรพสัตว์ ที่ใช้ชีวิตอาศัยอยู่อย่างอิสระเสรี เช่นกวางผา หรือ ม้าเทวดาและเลียงผารวมทั้งโขลงช้างป่า แต่ปัจจุบันยังมีอยู่แต่หาชมได้ยากมาก และถ้าใครมีโอกาสได้พบสัตว์เหล่านี้แล้ว ถือว่าโชคดีมากเลยทีเดียว ไฮไลท์แห่งยอดดอย - ชมภูเขาสูงสลับซับซ้อนที่จะมาพร้อมภาพของทุ่งหญ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีทองในช่วงหน้าหนาวงดงามมาก นอกจากนี้ ดอยม่อนจองยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่จะทำให้คุณลืมวินาทีนั้นไม่ลงอีกด้วย - ชมดอกกุหลาบพันปี ซึ่งจะบานในช่วงเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมกราคม ว่ากันว่าต้นกุหลาบพันปีบนดอยม่อนจองต้นนี้ เป็นต้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย - ชมนกหายากหลายชนิด เช่น เหยี่ยวนกเขาท้องขาว นกอินทรีแถบปีกดำ นกอินทรีเล็ก นกเปล้าท้องขาว นกมุ่นรกคอแดง นกเดินดงคอดำ เป็นต้น - เดินป่าชมธรรมชาติขึ้นสู่ยอดดอย การเดินขึ้นดอยม่อนจองสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ แต่ถ้าไม่อยากเหนื่อยเกินไปนัก ควรใช้เวลา 2 วัน 1 คืน โดยต้องติดต่อขอนุญาตจาก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ ฤดูท่องเที่ยว ดอยม่อนจองเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึง 15 กุมภาพันธ์ของทุกปี



10. ยอดเขาหลวง ความสูง 1,835 เมตร

 

เขาอุทยานแห่งชาติเขาหลวง อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอลานสกา อำเภอเมืองฯ อำเภอฉวาง อำเภอพิปูน อำเภอพรหมคีรี อำเภอช้างกลาง และอำเภอนบพิตำ พื้นที่อุทยานแห่งชาติครอบคลุมเทือกเขานครศรีธรรมราชตอนกลาง ประกอบด้วยเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนทอดยาวเหนือจรดใต้ขนานไปกับชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ยอดเขาสูงที่สุดของอุทยานฯ คือยอดเขาหลวง และยังเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้ สูงจากระดับทะเลปานกลาง 1,835 เมตร เป็นต้นกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย เช่น แม่น้ำตาปี แม่น้ำปากพนัง คลองกรุงชิง คลองเขาแก้ว พื้นที่บริเวณอุทยานฯ มีฝนตกตลอดปี สภาพป่าเป็นป่าดิบชื้น ด้วยศักยภาพทั้งทางชีวภาพและกายภาพ อุทยานแห่งชาติเขาหลวงจึงได้รับการขนานนามว่า “หลังคาสีเขียวแห่งภาคใต้” เส้นทางสู่ยอดเขาหลวง ต้องเดินเท้าไปกลับ ใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน 2 คืน ระหว่างทางจะได้พบกับสภาพป่าครบทุกประเภท พรรณไม้ที่แปลกตาหายาก เช่น ต้นมหาสดำ เป็นพืชเด่นที่ขึ้นอยู่ตามหุบเขาที่มีลำธารน้ำไหลผ่าน กล้วยไม้สิงโตอาจารย์เต็ม สิงโตใบพัดสีเหลือง กุหลาบพันปี เฟิร์นบัวแฉกใหญ่ และบัวแฉกใบมน เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566

พระนางสามผิว

 


“พระนางสามผิว” เป็นเรื่องราวที่อาจเป็นตำนานหรือประวัติศาสตร์ของเมืองฝาง ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เนื้อเรื่องเป็นเสมือนนิยายปรำปราหรือตำนาน แต่การสร้างอนุสาวรีย์ของพระนางและพระสวามีผู้สร้างเมืองฝาง ทั้งประชาชนกับทางราชการยังจัดงานรำลึกอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี ย่อมแสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นิยายที่เลื่อนลอย

พระเจ้าฝางอุดมสิน พระนามเดินชื่อ “พระยาเชียงแสน” เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าเมืองเชียงแสน ได้มาปกครองเมืองฝาง ในปี พ.ศ. ๒๑๗๒


เรื่องราวของพระนางสามผิวเริ่มในปี พ.ศ. ๒๑๗๒ เมื่อ พระยาเชียงแสน ราชบุตรพระเจ้าเชียงแสน ได้พาชาวเมืองประมาณ ๕๐๐ ครอบครัวอพยพล่องมาตามลำน้ำกก จนมาถึงบริเวณที่เป็นเมืองร้างแห่งหนึ่ง เห็นว่าเป็นแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์น่าเป็นที่อยู่อาศัย เมืองนี้ก็คือเมืองฝางที่เป็นเมืองโบราณมีอายุราวพันปี และถูกทิ้งร้างมาหลายสมัย จึงช่วยกันปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ จนเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร ชาวเมืองจึงขนานพระนามพระยาเชียงแสนใหม่ว่าว่า พระเจ้าฝางอุดมสิน 

พระเจ้าฝางอุดมสินมีมเหสีที่ทรงพระสิริโฉมโสภาเกินกว่านางใดในหล้า และยังทรงมีความมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครเหมือน ด้วยผิวพระวรกายเปลี่ยนสีได้ตามเวลา ตือ
ยามเช้า ผิวกายพระนางจะมีสีขาวบริสุทธิ์ดุจปุยฝ้าย
ยามบ่าย ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจลูกตำลึงสุก
ยามเย็นตะวันอ่อน ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู

รู้กันแต่ว่าพระนางเป็นราชธิดาพระเจ้าล้านช้าง พระนามเดิมไม่ปรากฏ เรียกกันทั่วไปว่า “พระนางสามผิว”
กิตติศัพท์ความงามและความมหัศจรรย์ของพระนางร่ำลือไปถึง พระเจ้าสุทโธธรรมราชา กษัตริย์พม่า จึงมีพระราชประสงค์ที่จะได้ยลโฉมพระนางด้วยพระองค์เอง ว่าจะทรงพระศิริโฉมสมตามคำเล่าลือเพียงใด จึงปลอมพระองค์เป็นพ่อค้า คุมขบวนสินค้ามาเมืองฝาง และขอเข้าเฝ้าถวายผ้าเนื้อดีต่อพระนาง
ครั้นได้ยลโฉมพระนางสามผิวอย่างใกล้ชิด กษัตริย์พม่าก็ต้องตะลึงในความงาม และเมื่อกลับไปแล้วความงามของพระนางก็ฝังอยู่ในพระราชหฤทัยจนอดรนทนต่อไปไม่ได้ ในที่สุดก็ยกกองทัพมาเมืองฝาง เพื่อจะชิงนางไปให้ได้

พระเจ้าฝาง พระนางสามผิว มีพระราชธิดาองค์หนึ่งมีพระนามว่า “พระนางมัลลิกา” ในขณะที่พระองค์มาปกครองเมืองฝางนั้น เมืองฝางยังคงเป็นเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าฝางจึงทรงมีความคิดที่จะกอบกู้อิสรภาพให้แก่เมืองฝาง โดยให้ซ่องสุมผู้คนและได้ตระเตรียมอาวุธเสบียงกรัง โดยไม่ยอมส่งส่วยและขัดขืนคำสั่งของพม่า ซึ่งทางพม่าได้ล่วงรู้ว่าเมืองฝางคิดจะแข้งข้อต่อตน จึงได้ยกกองทัพมาปราบ โดยกษัตริย์พม่าแห่งกรุงอังวะพระนามว่า “พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชา” เป็นแม่ทัพใหญ่นำกองทัพเข้าตีเมืองฝางในปี พ.ศ. 2176  พระเจ้าฝางนำกองทัพป้องกันเมืองอย่างแข็งขัน ทำให้พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชาเข้าตีเมืองไม่ได้

          พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชาจึงได้เปลี่ยนแผนการรบใหม่โดยนำกำลังทหารล้อมเมืองไว้ พร้อมทั้งตั้งค่ายอยู่บนเนินด้านทิศเหนือของเมืองฝาง คือที่ตั้งศาลจังหวัดฝาง เรือนจำจังหวัดฝาง สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง สถานีตำรวจภูธรอำเภอฝาง หรือที่เราเรียกว่า “เวียงสุทโธ” ในปัจจุบันนี้ แล้วสั่งให้ทหารระดมยิงธนูไฟ (ปืนใหญ่) เข้าใส่เมืองฝางทำให้บ้านเมืองฝางเกิดระส่ำระส่าย ประชาชนเสียขวัญและทหารล้มตายลงเป็นจำนวนมาก

เมืองฝางถูกล้อมอยู่ ๓ ปี ทั้งทหารและราษฎรต่างก็ขาดแคลนอาหาร ขณะเดียวกันพระเจ้าสุทโธธรรมราชาก็เกณฑ์ทัพเมืองต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นของพม่ามาเพิ่มกำลังอีก จนเมืองฝางเห็นทีว่าจะรับทัพพม่าไม่ไหวแล้ว พระเจ้าฝางอุดมสินและพระนางสามผิวดำริว่า ความพินาศของเมืองฝางในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้ราษฎรต้องตกอยู่ในอันตรายและลำบากยากเข็ญ เนื่องมาจากตนเป็นต้นเหตุ อีกทั้งพระนางสามผิวก็ไม่อาจที่จะรับสภาพเป็นบาทบริจาริกาของกษัตริย์พม่าได้ ทั้งสองพระองค์จึงจะขอรับผิดชอบที่จะปลิดชีพด้วยการกระโดดลง “บ่อน้ำซาววา” ที่ลึกถึง๒๐ วาด้วยกัน

และในคืนขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 เหนือปี พ.ศ. 2180  พระเจ้าฝางพร้อมด้วยพระนางสามผิว จึงได้สละพระชนม์ชีพ ด้วยการกระโดดบ่อน้ำซาววา และในตอนรุ่งสางของวันนั้น กองทัพพระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชาก็ตีและบุกเข้าทางกำแพงเมืองด้านทิศเหนือของเมืองฝางได้สำเร็จ เมื่อรำลึกถึงวีรกรรมของพระเจ้าฝาง พระนางสามผิว ที่ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อปกป้องประชาชนของพระองค์ พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชาจึงได้ออกคำสั่งมิให้ทหารของพระองค์ ทำร้ายเข่นฆ่าชาวเมืองฝางอีก และได้ยกกองทัพกลับไปกรุงอังวะ ประเทศพม่า โดยมิได้ยึดครองเมืองฝางแต่ประการใด


แต่อีกกระแสหนึ่งกล่าวว่า ข้าราชบริพารทั้งหลายได้แสดงความจงรักภักดี โดยรับจะตีฝ่าข้าศึกนำทั้งสองพระองค์หนีออกไปให้ได้ และนางข้าหลวงคนหนึ่งจะถวายชีวิตโดยกระโดดลงบ่อซาววาไปเอง เพื่อให้ข้าศึกเชื่อว่าพระนางเสียชีวิตจริง จะได้ไม่ติดตามทั้งสองพระองค์ต่อไป

แต่ทั้ง ๒ กรณี ไม่ว่าพระเจ้าฝางอุดมสินและพระนางสามผิวจะกระโดดลงบ่อหรือหนีไปได้ เมืองฝางก็ต้องเสียแก่พม่า กรณีนี้น่าจะคล้ายกับกรณีของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ได้ช้างเผือกมาสู่บุญบารมีถึง ๗ เชือก ได้รับสมญาว่าเป็น “พระเจ้าช้างเผือก” ทำให้เป็นที่อิจฉาของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนองของพม่า ครั้งพระเจ้าจะเบงชะเวตี้อ้างว่าจะขอแบ่งช้างเผือก ก็ทำให้ต้องสูญเสียพระมเหสี คือ พระศรีสุริโยทัย และเมื่อครั้งพระเจ้าบุเรงนองอิจฉา ก็ต้องเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ก็อ้างเรื่องขอช้างเผือกเหมือนกัน ก็เพราะมีบุญมากไป เช่นเดียวกับพระนางสามผิวสวยเกินไปนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566

ลาวดวงเดือน (ลาวดำเนินเกวียน) ประวัติ

 


เพชร พนมรุ้ง

 

นักร้องเพลงลูกทุ่งที่ใช้ลีลาเพลงโห่

และเล่นเครื่องดนตรีแบนโจ แบบในหนังคาวบอยตะวันตกของไทย



เพชร พนมรุ้ง มีชื่อจริงว่า นายจเร ภักดีพิพัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2484 ที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ บิดา ครูสิน มารดา นางชวน เรียนหนังสือจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบุรีรัมย์วิทยา มีพี่น้อง 11 คน ชาย 6 หญิง 5 เข้ามากรุงเทพฯ และสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 จากโรงเรียนสันติราษฎร์บำรุง กรุงเทพมหานคร แต่งงานมีครอบครัว ภรรยาชื่อ ระพีพรรณ มีบุตรชาย 1 คน

เพชร พนมรุ้ง เป็นศิลปินที่มีความสามารถในการขับร้องเพลงลูกทุ่งอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่น คือการ "โห่" ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ตะวันตก ประเภทขี่ม้ายิงปืน "คาวบอยตะวันตก" ที่มีมาฉายในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2500 ซึ่งจะมีเพลงประกอบที่มีทำนองเนื้อร้อง ที่เราเรียกว่า "โห่" เอาไว้ ทำใหเขาเกิดความสนใจในแนวทางนี้ จึงคิดนำมาประยุกต์และดัดแปลงเข้ากับทำนองเพลงลูกทุ่งไทย

ด้วยความหลงใหลและสนใจในกลิ่นอายของเพลงลูกทุ่งตะวันตก ทำให้ เพชร พนมรุ้ง จำลีลาการร้องลูกคอแบบฮาร์โมนิกจากศิลปินท่านอื่นๆ และยังได้ฝึกหัดเล่น "กีตาร์แบนโจ" จากพี่ชาย ที่ได้เรียนรู้มาจากนักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ที่เข้ามาเล่นดนตรีในประเทศไทย ซึ่งในสมัยนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีการใช้เครื่องดนตรีสากลมากนัก

ต่อมาเพชร พนมรุ้ง ได้เข้าประกวดร้องเพลงโดยใช้ชื่อและนามสกุลจริง ในเวทีงานภูเขาท้อง วัดสระเกศ จนทำให้ ครูพยงค์ มุกดา เห็นแววและชื่นชอบในการร้องเพลงแบบโห่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หล้งจากนั้นไม่นานก็ทำให้ผู้คนรู้จัก เพชร พนมรุ้ง ในนามศิลปินเพลงโห่ของเมืองไทย ผลงานเพลงแรกๆ ที่ครูพยงค์ มุกดา ได้ประพันธ์ให้ เช่น ใกล้รุ่ง, อย่ากลัว เป็นต้น แต่เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้เพชร พนมรุ้ง มากที่สุดคือเพลง "เมื่อเธอขาดฉัน" ประพันธ์โดย ชัยชนะ บุญนะโชติ

นอกจากนี้ยังมีผลงานเพลงอีกมากที่ได้รับความนิยมจากบรรดาแฟนเพลง เช่น ลูกทุ่งเสียงทอง, ธรรมชาติบ้านนา 1, บางปู 1, หนุ่มนักเพลง, ประกายเดือน ฯลฯ จนทำให้ เพชร พนมรุ้ง ได้รับฉายา "ราชาเพลงโห่" หรือที่เราคุ้นเคยในนาม "จังโก้ไทยแลนด์" เพชร พนมรุ้ง ยังได้มีโอกาสร่วมแสดงภาพยนตร์ เสน่ห์บางกอก กับพระเอกนักเพลง พร ภิรมย์ และมีงานโชว์ตัวนอกสถานที่ตามต่างจังหวัดในรูปแบบผจญภัย อย่างเช่น ออกโชว์ตัวบนเรือแพ ตามล่องน้ำเมืองกาญจนบุรี รวมถึงการเดินป่าชมธรรมชาติ อันเป็นสิ่งหนึ่งที่ข้องเกี่ยวกับชีวิตของศิลปินเพลงผู้นี้ นอกเหนือไปจากการวางตัวสมถะ พออยู่พอกินไม่ฟุ้งเฟ้อ กระทั่งเกิดสงครามเวียดนาม เพชร พนมรุ้ง จึงได้ไปขุดทองอยู่ในแคมป์จีไอที่โคราชนานหลายปี จากนั้นก็มารับแสดงตามคลับในกรุงเทพฯ จนถูก กำธร ทัพคัลไลย ชวนให้ไปเล่นหนัง ทายาทป๋องแป๋ง กับพระเอกดัง สมบัติ เมทะนีในปี พ.ศ. 2539

เพชร พนมรุ้ง นับเป็นศิลปินอีกท่านหนึ่งที่มีแนวการร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะการนำทำนองเพลงของตะวันตกมาประยุกต์ให้เข้ากับคำร้อง/เนื้อร้องที่เป็นภาษาไทยได้อย่างลงตัว จนทำให้เพลงในแนวนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ฟังในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2509 ได้รับเหรียญพระราชทานสังคีตมงคล จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ และในปี พ.ศ. 2534 ได้รับพระราชทานเพลงดีเด่น จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2 จากเพลง "ลูกทุ่งเสียงทอง" ซึ่งประพันธ์โดยครูพยงค์ มุกดา

นายจเร ภักดีพิพัฒน์ หรือ เพชร พนมรุ้ง จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกีรตืให้เป็นศิลปินมรดกอีสาน สาขาศิลปะการแสดง (ขับร้องเพลงลูกทุ่ง) ประจำปีพุทธศักราช 2556 จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ครูใหญ่(สมาน) นภายน อธิบายว่า “เพลงโห่” นั้น เอาอย่างมาจากเพลง yodel ของพวกคนเลี้ยงแกะตามภูเขาในในยุโรป ต่อมา yodel ก็ตามพวกอพยพเข้าไปในสหรัฐ และไปแพร่หลายปะปนกับเพลงคันทรี่ของชาวใต้ของสหรัฐ เราจึงได้ยินเพลงคันทรี่หลายเพลงมีการโห่ปะปนอยู่ด้วย ต้นแบบการโห่เร้าใจก็ Jimmie Rodgers ที่มีชื่อเสียงตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพลงโห่นี้คนโห่ต้องมีเสียงสูง ถึงจะ โห่ โฮรีเร ฮี้ เร โฮ ฮี้ เร ฮี้ยย ฮี้ยย ได้เอร็ดอร่อยสนุกนัก

yodel หมายถึงแบบการร้องเพลงชนิดหนึ่งที่ไม่มีคำร้อง (ร้องแบบโห่) นิยมกันในหมู่ชาวเขาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย ลักษณะของเพลงคือเปลี่ยนเสียงจากเสียงต่ำในช่วงอกไปยังเสียงฟอลเซทโต (falsetto : เสียงที่ร้องดัดให้สูงขึ้นกว่าเสียงร้องตามปกติ) อย่างรวดเร็วและสลับไปมา

"เพชร พนมรุ้ง" นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เจ้าของฉายา "ราชาเพลงโห่" เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 เมื่อเวลา 16.15 น. ขณะมีอายุ 79 ปี ด้วยโรคน้ำท่วมปอด หลังจากพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ 3 เส้น แต่ผ่าตัดได้ 2 เส้น  



วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 10

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 10

เนื้อหา

  • เล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว 
  • โจโฉได้เมืองกุนจิ๋วคืน 
  • ลิโป้หนีโจโฉไปอาศัยเล่าปี่ที่เมืองเสียวพ่าย
ฝ่าย โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นอายุหกสิบสามปีป่วยหนักอยู่ จึงหาบิต๊กกับตันเต๋งมาปรึกษาว่าตัวเราชราแล้วก็ป่วยหนักอยู่ ถ้ามีศึกมาเห็นจะขัดสน บิต๊กจึงว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ก็ควรอยู่ ข้าพเจ้าแจ้งว่าทัพโจโฉซึ่งเลิกไปนั้นเพราะเหตุว่าเปนห่วงหลัง ด้วยทัพลิโป้ยกมาตีเมืองกุนจิ๋ว แลโจโฉกับลิโป้ตั้งรบกันอยู่พอเกิดเข้าแพง โจโฉจึงเลิกทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองเอียนเสีย ถ้าเข้าปีใหม่เข้าปลาอาหารบริบูรณ์ขึ้นเห็นโจโฉจะยกมาทำศึก แม้มีชัยชนะลิโป้แล้วก็จะยกมารบเมืองเราเปนมั่นคง ขอท่านให้เชิญเล่าปี่มาว่ากล่าวอ่อนน้อมมอบเมืองให้ ครั้งนี้เห็นเล่าปี่จะรับครองเมือง ราษฎรทั้งปวงก็จะมีความยินดีด้วย โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วยจึงให้คนใช้ไปเชิญเล่าปี่ซึ่งอยู่ ณ เมืองเสียวพ่ายมา เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็พากวนอูเตียวหุยมาหาโตเกี๋ยม ๆ จึงให้เชิญเล่าปี่เข้าไปถึงที่ข้างใน แล้วว่าทุกวันนี้ตัวเราก็ชราทั้งโรคก็บังเกิดป่วยหนัก มิรู้ว่าความตายจะมาถึงวันใด แต่วิตกอยู่ว่าเมืองชีจิ๋วหาผู้ใดว่าราชการเมืองมิได้ จึงให้เชิญท่านมาหวังจะมอบให้ท่าน จงมีใจเมตตาเรารับตราสำหรับที่นี้ไว้ทำนุบำรุงราษฎรชาวเมืองสืบไปให้เราสิ้น วิตก

เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านมีบุตรอยู่ถึงสองคนซึ่งชื่อว่าโตสงผู้พี่ โตเอ๋งผู้น้องนั้น เปนไฉนท่านจึงมิมอบเมืองให้ โตเกี๋ยมจึงว่าบุตรเราทั้งสองหาสติปัญญามิได้ ถ้าจะมอบเมืองให้นานไปราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความเดือดร้อน เราเห็นแต่ท่านมีใจกว้างขวางอารี จะครองเมืองได้ เราจึงเชิญมาว่ากล่าว ถ้าเราหาชีวิตไม่แล้วท่านอย่าให้บุตรเราทั้งสองครองเมืองเลย

เล่าปี่จึงตอบว่าตัวเรากำลังน้อย ซึ่งจะเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นเห็นจะขัดสน โตเกี๋ยมจึงว่าทหารในเมืองนี้ก็มีเปนอันมาก แล้วเราจะให้ซุนเขียนชาวเมืองปักไฮซึ่งมีสติปัญญาไว้เปนที่ปรึกษาด้วย แล้วโตเกี๋ยมจึงว่าแก่บิต๊กว่า ซึ่งเล่าปี่จะเปนเจ้าเมืองสืบไปนั้น ท่านจงฝากตัวอยู่ทำราชการด้วยเล่าปี่เถิด เล่าปี่ยังมิได้รับคำโตเกี๋ยมประการใด โตเกี๋ยมนั้นโรคกำเริบหนักขึ้นมา เจรจาออกมิได้ เอาแต่นิ้วมือชี้เข้าที่ตัวแล้วโตเกี๋ยมก็สิ้นใจตาย แลทหารโตเกี๋ยมก็เอาตราสำหรับที่มามอบให้เล่าปี่ ๆ ก็มิได้รับ ในขณะนั้นชาวเมืองทั้งปวงรู้ ก็พากันเข้ามาคำนับเล่าปี่แล้วว่า ซึ่งท่านไม่รับเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วก็เห็นว่าข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้ความเดือด ร้อนไปภายหน้า

กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็มีใจเอ็นดูแก่ชาวเมือง จึงอ้อนวอนเล่าปี่ว่า ให้ท่านรับตราเปนเจ้าเมืองเถิด เล่าปี่ได้ฟังกวนอูเตียวหุยว่า มีความเอ็นดูก็รับตราเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วตั้งให้ซุนเขียนบิต๊กเปนที่ปรึกษาซ้ายขวา จึงให้กวนอูเตียวหุยไป ณ เมืองเสียวพ่าย รับเอาทหารเข้ามา ณ เมืองชีจิ๋วนั้นสิ้น เล่าปี่กับทหารแลชาวเมืองทั้งปวงนั้นให้นุ่งขาวห่มขาวแล้วแต่งการศพโตเกี๋ยม ตามธรรมเนียม แล้วเอาศพไปฝังไว้ตำบลอุยโห เล่าปี่จึงเอาหนังสือซึ่งโตเกี๋ยมแต่งไว้นั้นบอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยน เต้ ในใจความนั้นว่า โตเกี๋ยมแก่ชราแล้วจึงยกให้เล่าปี่เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว พระเจ้าเหี้ยนเต้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็มิได้ตรัสประการใด


ฝ่ายโจโฉอยู่ ณ เมืองเอียนเสียรู้ข่าวไปว่า โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นตายแล้ว เล่าปี่ได้เปนเจ้าเมือง โจโฉก็โกรธว่าซึ่งความแค้นของเรายังมิได้แก้แค้นโตเกี๋ยม บัดนี้โตเกี๋ยมตายเสีย แลเล่าปี่นั้นมิได้ทำการศึกเสียทหารแลลูกเกาทัณฑ์แต่ดอกหนึ่ง มาได้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋วโดยง่าย เราจำจะยกไปรบจับเล่าปี่ฆ่าเสีย แล้วจะขุดเอาศพโตเกี๋ยมขึ้นสับให้ละเอียดจึงจะหายความแค้น แล้วให้จัดแจงทหารจะยกไปเมืองชีจิ๋ว ซุนฮกจึงห้ามโจโฉว่า ซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองชีจิ๋วนั้น ข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย ธรรมดาผู้คิดการใหญ่ซึ่งจะตั้งตัวขึ้นได้นั้นยากนัก ร้อยคนจึงคิดการตลอดได้คนหนึ่ง เหมือนครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจ แลพระวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อกันมาถึงสิบสองพระองค์ อองมังคิดเปนขบถ ได้ราชสมบัติถึงสิบแปดปี ฮั่นกองบู๊ผู้เปนหลานพระมหากษัตริย์ ซึ่งเสียสมบัติแก่อองมังนั้น คิดฆ่าอองมังเสีย จึงได้ราชสมบัติต่อกันมาอีกสิบสองพระองค์ จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลทุกวันนี้ท่านจะคิดทำการใหญ่จงหาที่มั่นไว้ ให้เหมือนพระมหากษัตริย์แต่ก่อน จึงค่อยคิดการสืบไป ซึ่งท่านจะยกไปเอาเมืองชีจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าราษฎรทั้งปวงมีใจรักเล่าปี่อยู่เปนอันมาก เห็นจะไม่ได้เมืองชีจิ๋วโดยง่าย ฝ่ายเมืองเอียนเสียซึ่งให้ทหารไปอยู่รักษานั้น ลิโป้รู้ก็จะยกมาตีชิงเอาเมือง ท่านยกไปข้างโน้นก็จะไม่สมความคิด จะกลับมาข้างนี้ก็จะเสียที ทหารก็จะน้อยลง กว่าจะหาที่ตั้งตัวขึ้นได้ก็ช้านานไป ซึ่งท่านจะทิ้งที่กว้างจะไปหาที่แคบนั้น ขอท่านดำริห์ดูแต่ควร

โจโฉจึงตอบว่า ฝ่ายแดนหัวเมืองตวันออกก็ขัดสนด้วยอาหาร ซึ่งจะให้ค่อยคิดอ่านการนั้น เราเห็นว่าทหารทั้งปวงจะอดอาหารล้มตายเสียเปล่า

ซุนฮกจึงตอบว่าบัดนี้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่า โฮงีกับอุยเซียวคุมพวกโจรโพกผ้าเหลืองอยู่ ณ เมืองเอ๊งจิ๋ว เที่ยวทำอันตรายแก่ราษฎร ถ้าท่านจะยกไปตีโจรนั้นแตกก็จะได้สเบียงมาเลี้ยงทหาร ราษฎรทั้งปวงก็จะมีความยินดีจะเข้าเกลี้ยกล่อมบ้าง ถ้าทราบไปถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็จะมีความชอบแก่ท่าน โจโฉเห็นชอบด้วย ให้แฮหัวตุ้นกับโจหยินอยู่รักษาเมือง แล้วจัดแจงทหารยกไป ณ เมืองเอ๊งจิ๋ว

ฝ่ายโฮงีอุยเซียวรู้ดังนั้น ก็คุมพวกโจรไปตั้งรับอยู่ตำบลเขาเองสัน โจโฉจึงออกไปดูพวกกองทัพโจรเห็นที่ตั้งผิดกระบวรศึก จึงให้เตียนอุยออกรบด้วยพวกโจร โฮงีจึงให้ทหารรองออกรบด้วยเตียนอุยได้สามเพลง เตียนอุยเอาทวนแทงทหารโจรนั้นตกม้าตาย โจโฉจึงขับทหารไล่ฆ่าฟันพวกโจรข้ามเขานั้นไปแล้วตั้งค่ายลงไว้ ครั้นเวลารุ่งอุยเซียวจึงยกทหารออกมาถึงหน้าค่ายโจโฉ

โฮปันทหารโจรนั้นมีกำลังถือกระบอกเหล็ก จึงวิ่งออกมาหน้าทหารแล้วร้องประกาศว่า ผู้ใดจะสู้กันก็ให้เร่งออกมา โจหองได้ยินดังนั้นก็รำง้าวเข้าไปสู้ด้วยโฮปันได้ห้าสิบเพลง โจหองก็ทำทีถอยหนี โฮปันก็แกว่งกระบองเหล็กเข้าไปจะตีโจหอง ๆ หลบได้ทีจึงเอาง้าวฟันถูกโฮปันตัวขาดออกสองท่อนตาย

ลิเตียนเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนไล่ฆ่าฟันพวกโจรเข้าไปจับตัวอุยเซียวได้ โจโฉก็คุมทหารตามเข้าไปถึงค่ายโจร พวกโจรนั้นแตกตื่นล้มตายบ้าง ทหารโจโฉก็เก็บเอาทรัพย์สิ่งของไว้เปนอันมาก

โฮงีนั้นก็พาพวกเพื่อนประมาณสองร้อยเศษ หนีออกจากค่ายไปถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง แลเห็นเคาทูขี่ม้าถือง้าวยืนขวางทางอยู่ โฮงีควบม้าเข้ารบเคาทูได้เพลงหนึ่ง เคาทูจึงจับตัวโฮงีได้ แลพวกโจรประมาณสองร้อยเศษนั้น ก็เข้าหาเคาทูยอมเปนทหาร เคาทูก็พาโฮงีแลพวกโจรนั้นเข้าไปอยู่ในถ้ำที่เคยอาศรัยอยู่นั้น โจโฉเห็นโฮงีหนีไปดังนั้น ก็ให้เตียนอุยตามไปจับตัว

เตียนอุยคุมทหารขับม้าไปถึงเชิงเขา เห็นเคาทูคุมพวกออกยืนสกัดอยู่จึงถามว่า ท่านเปนโจรโพกผ้าเหลืองหรือ เคาทูตอบว่าเรามิใช่พวกโจร พวกโจรโพกผ้าเหลืองนั้นเราจับมาไว้ในถ้ำ เตียนอุยจึงว่าท่านเร่งส่งพวกโจรมาให้เรา เคาทูจึงว่า ท่านเอาสีสะรับเอาง้าวซึ่งเราถือนี้ได้เราจึงจะส่งพวกโจรให้ เตียนอุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำทวนเข้ารบด้วยเคาทูแต่เช้าคุ้งเที่ยงมิได้แพ้ชนะกัน ต่างคนต่างหยุดหายเหนื่อยแล้ว จึงลุกขึ้นชวนเตียนอุยรบอีก แลเตียนอุยกับเคาทูรบกันแต่เที่ยงจนเย็นม้านั้นสิ้นกำลัง เคาทูเหนื่อยก็กลับเข้าไปในถ้ำ เตียนอุยจึงให้ทหารเอาเนื้อความนั้นไปบอกแก่โจโฉ ๆ รู้ดังนั้นก็ยกทหารมาในเวลากลางคืน

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า เคาทูก็คุมพรรคพวกออกจากถ้ำ โจโฉเห็นรูปร่างเคาทูใหญ่โตสูงประมาณหกศอก สมเปนทหาร โจโฉคิดจะใคร่ได้ไว้เปนทหาร จึงสั่งเตียนอุยว่าท่านออกไปรบแล้วทำถอยเข้ามา เตียนอุยก็ออกไปรบด้วยเคาทูได้สามสิบเพลงแล้วทำถอยหนีเข้ามา เคาทูก็ขับม้าไล่ตาม โจโฉเห็นดังนั้นก็ให้ทหารทั้งปวงยิงเกาทัณฑ์ระดมไปเคาทูเห็นจะต้านทานมิได้ ก็ขับม้าพาพรรคพวกกลับเข้าไปในถ้ำ

ครั้นเวลากลางคืนโจโฉให้ขุดหลุม เอาบ่วงใส่ปากหลุม แล้วเอาหญ้าเกลี่ยไว้มิให้สังเกต ครั้นรุ่งขึ้นเช้าโจโฉจึงให้เตียนอุยคุมทหารร้อยหนึ่ง เข้าไปร้องท้าทายที่ปากถ้ำ ถ้าเห็นเคาทูออกมาก็ให้รบล่อมาทางหลุมซึ่งขุดไว้ เตียนอุยก็คุมทหารร้อยหนึ่งไปทำตามโจโฉสั่ง เคาทูได้ยินดังนั้นก็คุมพวกออกมา เห็นเตียนอุยจึงร้องว่า อ้ายทหารขี้หนีจะมารบกับกูอีกหรือ แล้วก็ขับม้าเข้ารบด้วยเตียนอุยได้สิบเพลง เตียนอุยทำชักม้าหนีไปข้างหลุมซึ่งขุดไว้ เคาทูมิได้รู้กลอุบายก็ขับม้าไล่เตียนอุยไป ม้านั้นก็ถลำหลุมลงเคาทูตกลงในหลุม บ่วงนั้นติดเท้าอยู่กับพวกคนหนึ่ง ทหารโจโฉชักไว้แล้วเข้ากลุ้มรุมกันจับตัวเคาทูมัดไปให้โจโฉ ๆ เห็นดังนั้นทำเปนตกใจ จึงลุกลงไปแก้มัดเคาทูออกเสีย ให้เอาเสื้ออย่างดีมาให้เคาทูใส่แล้วจูงมือมาให้นั่งจึงถามว่า ท่านนี้ชื่อใดอยู่บ้านเมืองไหน เหตุใดจึงมาอยู่ในถ้ำ


เคาทูจึงตอบว่าข้าพเจ้าชื่อเคาทู ชาวเมืองเจียวก๊ก ครั้งเมื่อเกิดโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ข้าพเจ้าคุมครอบครัวสมัครพรรคพวกประมาณห้าร้อยหนีมาซุ่มซ่อนอยู่ในถ้ำนี้ แล้วให้พรรคพวกเก็บเอาก้อนศิลามากองไว้ปากถ้ำเปนอันมาก สำหรับจะได้ต่อสู้พวกโจร ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพวกโจรยกมาตีข้าพเจ้า ๆ จึงเอาก้อนศิลาทิ้งไปก้อนใด ถูกโจรตายทุกก้อน แลพวกโจรนั้นก็ล้มตายเปนอันมาก โจรซึ่งเหลือตายนั้นก็ยกหนีไป

ครั้นอยู่มาข้าพเจ้ากับพวกเพื่อนขาดสเบียง มีโจรพวกหนึ่งยกมาเห็นโคข้าพเจ้า จึงเอาสเบียงนั้นมาแลกเอาโคคู่หนึ่งไป ข้าพเจ้าก็ยอมให้ ครั้นโจรพาเอาโคไปทางไกลประมาณห้าสิบเส้น โคนั้นตื่นหนีเข้าในป่า ข้าพเจ้าจึงตามไป แล้วเอามือซ้ายขวาลากเอาหางโคทั้งคู่กลับมาถึงถ้ำ พวกโจรทั้งนั้นเห็นข้าพเจ้ามีกำลังก็มิอาจตามมา

โจโฉได้พังดังนั้นจึงตอบว่า เราได้ยินกิตติศัพท์เล่าลืออยู่ ซึ่งเรามาพบท่านทั้งนี้เปนบุญของเรา เราจะเลี้ยงท่านไว้เปนทหาร ท่านจะยอมทำราชการด้วยเราหรือประการใด เคาทูจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะอยู่ทำราชการด้วยท่านสืบไป แล้วเคาทูจึงให้พวกคนหนึ่งนั้นเข้าไปพาเอาครอบครัวพรรคพวกกับโฮงีและโจรสอง ร้อยเศษนั้นออกมาให้โจโฉ โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงตั้งให้เคาทูเปนโตอุ้ย แปลภาษาไทยว่านายทหารเอก แล้วให้เงินทองเสื้อผ้าแก่พรรคพวกเคาทูเปนอันมาก จึงให้ทหารเอาตัวโฮงีและอุยเซียวไปฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะเสียบไว้มิให้ผู้ใดดูเยี่ยง แล้วโจโฉก็ยกทหารกลับมา ณ เมืองเอียนเสีย

แฮหัวตุ้นโจหยินได้ยินดังนั้น ก็ออกมารับโจโฉเข้าไปในเมือง แล้วบอกแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าลิฮองซิหลัน ซึ่งลิโป้ให้อยู่รักษาเมืองกุนจิ๋ว ทหารนั้นอดเข้าปลาอาหาร คุมพวกออกเที่ยวตีชิงอาณาประชาราษฎร แลทหารในเมืองนั้นเบาบาง ขอท่านยกกองทัพไปตีเอาเมืองกุนจิ๋วก็จะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วยก็ยกทหารไปจะตีเอาเมืองกุนจิ๋ว

ฝ่ายลิฮองซิหลันรู้ดังนั้น ก็คุมทหารซึ่งมีอยู่นั้นออกมาจะรบด้วยโจโฉ เคาทูเห็นดังนั้นจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งนายทหารทั้งสองยกออกมานี้ ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาสีสะมาให้แก่ท่าน โจโฉได้ฟังก็มีความยินดีจึงว่า ท่านจะอาสาไปก็ตามเถิด เคาทูก็ขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยลิฮองได้สามเพลง เคาทูก็เอาทวนแทงลิฮองตกม้าตาย ซิหลันเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัว พาทหารหนีกลับจะเข้าไปในเมือง พอพบลิเตียนสกัดหน้าไว้ริมคูเมือง ซิหลันก็ขับม้าจะบ่ายหนีเข้าป่า พอลิยอยเห็นก็ขับม้าขึ้นเกาทัณฑ์ยิงถูกซิหลันตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นไป

ขณะนั้นโจโฉก็ได้เมืองกุนจิ๋วคืน แล้วโจโฉให้เคาทูกับเตียนอุยคุมทหารเปนกองหน้า ให้แฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารเปนกองขวา ให้ลิเตียนกับงักจิ้นเปนกองซ้าย โจโฉนั้นคุมทหารเปนกองหลวง แลอิกิ๋มกับลิยอยเปนกองหลัง ยกไปจะตีเอาเมืองปักเอี้ยง

ฝ่ายลิโป้รู้ดังนั้นจะยกทหารออกมารบโจโฉ ตันก๋งจึงห้ามลิโป้ว่า ซึ่งท่านจะรีบยกออกไปนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ชอบ ขอให้งดอยู่กว่าทหารทั้งปวงซึ่งไปหาเข้าปลาอาหารกลับมาพร้อมกันแล้วจึงยกออก ไปรบด้วยโจโฉ ลิโป้จึงตอบว่าเกิดมาเปนชาติทหารแล้วจะคิดกลัวการสงครามใย ลิโป้มิได้ฟังคำตันก๋ง ก็ยกทหารออกไปจากเมือง ลิโป้จึงขับม้ารำทวนไปถึงทัพหน้าโจโฉ แล้วร้องประกาศว่า ผู้ใดมีกำลังกล้าหาญจะสู้ด้วยเราก็เร่งออกมา

ฝ่ายเคาทูได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำทวนออกรบด้วยลิโป้ได้ยี่สิบเพลง มิได้แพ้ชนะกัน โจโฉเห็นดังนั้นจึงว่า เคาทูผู้เดียวจะเอาชนะลิโป้นั้นขัดสน จึงให้เตียนอุยออกช่วยเคาทูรบลิโป้ แลแฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน งักจิ้น ลิเตียน ซึ่งเปนกองซ้ายขวาก็ขับม้าออกไปรบกระหนาบลิโป้ไว้ ลิโป้รบพุ่งป้องกันอยู่กลางทหารทั้งหกนาย ลิโป้เห็นจะต้านทานมิได้ก็ขับม้าหนีไปจะเข้าเมือง

ฝ่ายเตียนซีอยู่บนเชิงเทิน เห็นลิโป้หนีกลับมา จึงเร่งให้พรรคพวกออกไปชักสะพานคูเมืองเสีย หวังมิให้ลิโป้แลทหารทั้งปวงเข้ามาได้ ลิโป้ครั้นถึงคูเมืองเห็นดังนั้น ก็เรียกให้ชาวเมืองทอดสะพานรับ เตียนซีจึงร้องตอบลิโป้ว่า เราเข้าด้วยโจโฉแล้ว ท่านอย่าเข้ามาในเมืองเราเลย ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงร้องด่าเตียนซีเปนข้อหยาบช้า แล้วก็ขับม้าพาทหารหนีกลับไปยังเมืองตันลิว ตันก๋งเห็นดังนั้นก็พาครอบครัวของลิโป้ไปตามลิโป้

โจโฉจึงคุมทหารเข้าไปในเมืองปักเอี้ยงได้ แล้วหาตัวเตียนซีมาว่ากล่าวว่า ซึ่งเตียนซีมีหนังสือไปล่อลวงเราให้มาเสียทีแก่ลิโป้นั้น โทษใหญ่หลวงนัก แลครั้งนี้เตียนซีมีความชอบ มิได้ให้พรรคพวกทอดสะพานรับลิโป้นั้น โทษกับคุณกลบลบกันหาย


เล่าหัวจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งลิโป้หนีไปครั้งนี้ ถ้าจะละไว้ช้าเห็นจะมีกำลังความคิดขึ้น อุปมาดังเสือปล่อยไปอยู่ในป่า นานไปเห็นจะจับยาก โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เล่าหัวคุมทหารอยู่รักษาเมืองปักเอี้ยง โจโฉก็จัดแจงทหารใหญ่น้อยทั้งปวงแล้วยกไปเมืองตันลิว

ฝ่ายเตียวเลี้ยว จงป้า โฮเสง โกซุ่น ซึ่งเปนทหารลิโป้นั้น พาพรรคพวกออกไปหาเข้าปลาอาหาร แลทหารทั้งนี้มิได้รู้ว่าลิโป้แตกหนีกลับไปเมืองตันลิว ก็พากันเที่ยวตีชิงเอาเข้าปลาอาหารของราษฎรชาวเมืองปักเอี้ยง ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน

ฝ่ายลิโป้เมื่อหนีโจโฉมาถึงเมืองตันลิว ครั้นรู้ว่าโจโฉตามมาก็มิได้ออกรบพุ่ง จึงปรึกษากับเตียวเมาผู้เปนเจ้าเมือง แล้วให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ โจโฉนั้นให้ยกทหารเข้าตั้งประชิดเมืองตันลิวอยู่ถึงสิบวัน ก็มิได้เห็นลิโป้ออกมารบ ทหารโจโฉนั้นขาดเข้าปลาอาหาร พอเปนเทศกาลเข้าโภชน์สาลีจะใกล้สุก โจโฉก็ให้เลิกทัพถอยมาตั้งอยู่ทางไกลประมาณสี่ร้อยเส้น จึงให้ทหารทั้งปวงไปเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีมากิน มีผู้เอาเนื้อความไปบอกลิโป้ว่า ทหารโจโฉขาดสเบียงจึงถอยไปเกี่ยวเข้าโภชน์สาลี ลิโป้จึงคุมทหารออกไปจับคนเกี่ยวเข้า ทหารโจโฉเห็นดังนั้นก็พากันวิ่งหนีเข้าค่าย ลิโป้ขับม้าไล่ไปใกล้ค่ายโจโฉ เห็นข้างซ้ายทางนั้นเปนป่าอยู่ ก็คิดเกรงว่าโจโฉจะซุ่มทหารไว้ ลิโป้จึงพาทหารกลับเข้าเมือง

โจโฉรู้ดังนั้นจึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ซึ่งลิโป้ออกมาไล่คนเกี่ยวเข้าแล้วกลับเข้าไป เห็นจะคิดเกรงว่าเราซุ่มทหารไว้ บัดนี้เราจะให้เอาธงไปปักไว้ในป่าจงมาก ให้ทหารอยู่ในค่ายนั้นแต่ห้าสิบคน เรากับทหารทั้งปวงจะได้ไปซุ่มอยู่ริมตลิ่งหลังค่าย ฝ่ายลิโป้เห็นดังนั้นก็จะเอาเพลิงมาจุดป่านั้นเสีย ถ้าลิโป้มาถึงชายป่าเห็นค่ายเราเงียบอยู่ก็จะยกเข้าตีเอาแล้วให้ทหารในค่าย ตีม้าฬ่อแลกลองให้อื้ออึงขึ้น เราจะยกทหารซึ่งซุ่มไว้นั้นออกตีวกหลัง เห็นจะจับลิโป้ได้โดยสดวก ทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย เวลาค่ำโจโฉก็ให้ไปทำตามซึ่งคิดไว้นั้นทุกประการ

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงปรึกษากับตันก๋งว่า วานนี้เราออกไปไล่ทหารโจโฉซึ่งเกี่ยวเข้า เราเห็นโจโฉซุ่มทหารอยู่เปนอันมากเราจึงกลับเข้ามา วันนี้เราจะยกกองทัพใหญ่ออกไปเผาป่าซึ่งซุ่มทหารไว้นั้น แล้วจะยกเข้าตีค่ายโจโฉให้ได้ ตันก๋งจึงห้ามว่า โจโฉนั้นมีความคิดในกลศึกเปนอันมาก ซึ่งท่านจะยกทัพออกไปทำการนั้นให้ดำริห์ดูจงควรก่อน ลิโป้มิได้ฟังคำตันก๋ง ให้ตันก๋งอยู่รักษาเมืองกับเตียวเมา ลิโป้คุมทหารยกออกไปจากเมือง แลเห็นป่าข้างซ้ายทางนั้น ธงปักอยู่เปนอันมาก ลิโป้คิดว่าโจโฉยกทหารมาซุ่มไว้ จึงคุมทหารรีบเข้าล้อมป่านั้นไว้ แล้วลิโป้ให้จุดเพลิงเผาป่านั้นขึ้นทั้งสี่ด้าน ก็มิได้เห็นทหารโจโฉนั้นแต่สักคนหนึ่ง ในขณะนั้นลิโป้เห็นทหารในค่ายโจโฉนั้นเงียบอยู่ จึงยกทหารจะเข้าตีเอา ครั้นมาถึงกลางทางพอได้ยินเสียงกลองม้าฬ่ออื้ออึงขึ้น ลิโป้สดุ้งใจก็หยุดอยู่ แล้วได้ยินเสียงทหารข้างหลังค่ายนั้นโห่ขึ้นแล้วยกทหารอ้อมมา ลิโป้เห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนเข้ารบ พอเสียงประทัดจุดขึ้น แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน เคาทู เตียนอุย ลิเตียน งักจิ้น ทั้งหกนายก็คุมทหารขึ้นจากริมตลิ่ง ตีวกหลังทัพลิโป้เข้ามา ลิโป้รบป้องกันเปนสามารถ เห็นจะต้านทานมิได้ก็ทิ้งทหารทั้งปวงเสีย จึงขับม้าหนีไปกับเซ้งเกี๋ยม งักจิ้นเห็นดังนั้นก็ขับม้าตามไปแล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกเซ้งเกี๋ยมตกม้าตาย ฝ่ายทหารลิโป้นั้นล้มตายเปนอันมาก ซึ่งเหลือนั้นก็หนีรีบกลับเข้าเมือง จึงเอาเนื้อความนั้นบอกแก่ตันก๋ง ๆ รู้ก็ตกใจจึงคิดว่า ทหารในเมืองตันลิวนี้เห็นจะต้านทานกองทัพโจโฉไม่ได้ ตันก๋งก็พาครอบครัวลิโป้หนีออกจากเมือง

ฝ่ายโจโฉจึงคุมทหารเข้ารบหักเอาเมืองตันลิวนั้นได้ ก็ให้ทหารทั้งปวงเอาเพลิงจุดเผาเมืองขึ้น เตียวเจี๋ยวนั้นหนีไปไม่ทันตายในเพลิง แต่เตียวเมาเจ้าเมืองนั้นหนีไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง แลราษฎรชาวเมืองตันลิวนั้น ก็เข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉสิ้น แลโจโฉนั้นก็กลับเปนใหญ่อยู่ในหัวเมืองตวันออก จึงให้แต่งค่ายคูประตูหอรบไว้ให้พร้อมทุกเมือง แล้วซ่องสุมทหารชาวเมืองได้เปนอันมาก

ฝ่ายลิโป้หนีไปถึงกลางทางพอพบเตียวเลี้ยวจงป้าโฮเสงโกซุ่น ซึ่งคุมทหารไปหาเข้าปลาอาหารครั้งเมืองปักเอี้ยง ลิโป้บอกเนื้อความยังมิทันสิ้นคำ พอตันก๋งพาครอบครัวตามมาทัน ลิโป้ค่อยมีความยินดี จึงพาครอบครัวแลทหารทั้งปวงไปตั้งอยู่ริมชายทเลแดนเมืองตันลิว แล้วปรึกษากับตันก๋งแลทหารทั้งสี่นายว่า เราแตกโจโฉมาครั้งนี้ ใช่จะคิดย่อท้อหามิได้ เราคิดจะยกไปรบหักเอาโจโฉให้จงได้

ตันก๋งจึงห้ามว่า โจโฉครั้งนี้มีทหารเปนอันมาก แลราชการฝ่ายหัวเมืองตวันออกก็สิทธิ์ขาดอยู่กับโจโฉ แลทหารเราครั้งนี้ก็น้อยนัก ทั้งกำลังก็อิดโรยอยู่ ซึ่งท่านจะด่วนยกไปรบหักเอานั้นเห็นยังมิได้ก่อน ขอให้พาครอบครัวไปหาที่อาศรัยไว้ให้มั่นคง แล้วจึงค่อยคิดการสืบไป ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงปรึกษาตันก๋งว่า เราจะพาครอบครัวไปอาศรัยอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ท่านจะเห็นดีแลร้ายประการใด ตันก๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ แต่ขอให้แต่งทหารไปพูดจาฟังกิตติศัพท์ชาวเมืองกิจิ๋วดูว่าอ้วนเสี้ยวจะให้ อยู่อาศรัยหรือไม่ ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารรีบไปเมืองกิจิ๋ว

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่า เมื่อโจโฉกับลิโป้ตั้งรบกันอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยง จึงปรึกษากับสิมโพยว่า โจโฉกับลิโป้ตั้งรบกันอยู่ครั้งนี้ ถ้าลิโป้มีชัยชนะแก่โจโฉ ท่านจะเห็นดีแลร้ายประการใด สิมโพยจึงตอบว่า อันน้ำใจลิโป้ร้ายกาจดุจหนี่งเสือ ถ้าได้เมืองปักเอี้ยงแล้วก็จะกำเริบยกล่วงมาทำอันตรายรบเอาเมืองเรา ขอให้ท่านแต่งทหารห้าหมื่นยกไปช่วยโจโฉรบฆ่าลิโป้เสียได้แล้ว เมืองเราก็จะมีความสุข อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงให้งันเหลียงคุมทหารหกหมื่นยกไปช่วยโจโฉ

ขณะนั้นทหารลิโป้ซึ่งให้มาฟังกิตติศัพท์ ณ เมืองกิจิ๋วนั้น ครั้นมาถึงกลางทางรู้ดังนั้น ก็เอาเนื้อความกลับมาบอกลิโป้ว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวให้งันเหลียงคุมทหารไปช่วยโจโฉทำการสงครามด้วยท่าน ลิโป้แจ้งเนื้อความดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับตันก๋งว่า เมื่ออ้วนเสี้ยวเปนใจด้วยโจโฉฉนี้เราจะคิดประการใด ตันก๋งจึงว่าข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่า โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ยกเมืองให้เล่าปี่อันมีน้ำใจกว้างขวางอารีต่อคนทั้งปวง ขอให้ท่านพาครอบครัวไปอาศรัยเล่าปี่อยู่ ณ เมืองชีจิ๋ว เห็นเล่าปี่จะไม่สูญไมตรีท่าน ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงพาครอบครัวไปอาศรัยเล่าปี่อยู่ ณ เมืองชีจิ๋ว แล้วแต่งทหารให้เข้าไปบอกแก่เล่าปี่ว่า เราจะมาอาศรัยอยู่ด้วย

เล่าปี่จึงปรึกษากับบิต๊กว่า ลิโป้เสียทีแก่โจโฉ จะมาอาศรัยเรา ๆ จะออกไปรับเข้ามาในเมือง บิต๊กจึงตอบว่าน้ำใจลิโป้นั้นหยาบช้าร้ายกาจดังเสือ บัดนี้ตกถังอยู่ แลท่านจะไปรับขึ้นมาไว้นั้น นานไปมีกำลังขึ้นก็จะทำอันตรายแก่คนทั้งปวง เล่าปี่จึงตอบว่าโจโฉนั้นน้ำใจก็หยาบช้า แล้วเปนใหญ่อยู่ฝ่ายหัวเมืองตวันออก ฝ่ายลิโป้ไปรบได้เมืองกุนจิ๋ว เมืองเราจึงพลอยได้ความสุขด้วย หาไม่โจโฉก็จะยกมารบเมืองเรา ครั้งนี้ลิโป้ได้บ่ายหน้ามาหาเราแล้ว ครั้นจะมิรับไว้ก็เหมือนคนหาไมตรีไม่ เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า น้ำใจท่านอารีต่อคนทั้งปวงจะรับลิโป้เข้ามาไว้ก็ตามเถิด แต่ให้คิดระวังเหตุผลจงดี

เล่าปี่ก็พากวนอูเตียวหุยแลทหารทั้งปวงออกไปรับลิโป้ทางประมาณสามร้อย เส้น แล้วกลับเข้ามาในเมือง แล้วเชิญให้ลิโป้นั่งที่สมควร ลิโป้จึงเล่าเนื้อความให้เล่าปี่ฟัง ว่าเดิมอ้องอุ้นกับข้าพเจ้าคิดกันฆ่าตั๋งโต๊ะซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติเสีย ครั้นอยู่มาลิฉุยกุยกีได้เปนใหญ่ขึ้นจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจึงหนีไปพึ่งเปนหลายเมือง เจ้าเมืองมิให้อยู่ ข้าพเจ้าจึงไปอยู่ด้วยเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิว โจโฉยกมารบเมืองนี้ ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าท่านยกมาช่วยโตเกี๋ยม ข้าพเจ้าก็มีความยินดี จึงยกทหารไปตีเมืองกุนจิ๋วให้เปนกังวลหวังจะช่วยธุระท่าน ครั้งนี้ข้าพเจ้าแตกโจโฉมาเสียทหารเปนอันมาก ข้าพเจ้าพึ่งท่านหวังจะคิดการใหญ่กับท่านสืบไป แต่ยังไม่แจ้งในใจท่านว่าจะพร้อมร่วมคิดกันด้วยข้าพเจ้าหรือประการใด เล่าปี่จึงตอบว่าโตเกี๋ยมถึงแก่ความตายแล้ว แลเมืองชีจิ๋วนี้เราอยู่ปกป้องรักษาไว้ เพราะหาผู้ใดจะเปนผู้ใหญ่มิได้ บัดนี้ตัวท่านมาแล้วก็สมควรที่จะว่าราชการเมือง เรามีความยินดีจะยกเมืองชีจิ๋วให้ท่าน ๆ จะได้ทำการสืบไป แล้วเล่าปี่ก็ยกเอาตราสำหรับเมืองมอบแก่ลิโป้ ๆ กระหยับมือจะรับเอาตรา พอเหลือบเห็นกวนอูเตียวหุยซึ่งยืนอยู่หลังเล่าปี่นั้นโกรธ ลิโป้จึงทำเปนหัวเราะแล้วตอบเล่าปี่ว่า ตัวข้าพเจ้าเปนแต่ทหาร ซึ่งจะว่าราชการบ้านเมืองนั้นเหลือสติปัญญานัก

ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงว่า ธรรมดาเปนแขกมาหาท่าน แล้วหรือจะบังอาจเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินของเจ้าเรือนไปด้วยนั้นหาควรไม่ แลตัวลิโป้ซึ่งมาอยู่ในสำนักท่าน ซึ่งจะคิดชิงเอาเมืองนี้หามิได้ ท่านอย่าได้สงสัยเลย เล่าปี่จึงให้แต่งโต๊ะเชิญลิโป้แลทหารทั้งปวงกิน แล้วจัดแจงที่บ้านให้ลิโป้อยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้ให้แต่งโต๊ะแล้วให้ไปเชิญเล่าปี่กวนอูเตียวหุยไปกิน โต๊ะ แล้วเชิญเล่าปี่เข้าไปในที่ข้างใน กวนอูเตียวหุยก็ตามเข้าไปด้วย ลิโป้จึงให้บุตร์ภรรยาคำนับเล่าปี่ ๆ เจียมตัวจึงห้ามว่าอย่าคำนับเลย ลิโป้จึงตอบว่า น้องเราจงให้บุตร์ภรรยาเราคำนับเถิด

เตียวหุยได้ฟังลิโป้ว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตวาดว่า ตัวนี้เปนไฉนจึงบังอาจเรียกพี่กูว่าเปนน้อง พี่กูเปนเชื้อพระวงศ์ อุปมาเหมือนต้นไม้ทองใบแก้ว ซึ่งตัวอวดว่ากล้าหาญจงออกไปลองฝีมือกันดูสักสามร้อยเพลง เล่าปี่จึงว่ากล่าวห้ามปรามเตียวหุย กวนอูก็พาเตียวหุยออกไปอยู่ภายนอก เล่าปี่จึงว่าแก่ลิโป้ว่า ซึ่งเตียวหุยหยาบช้าแก่ท่านนั้น เพราะเสพย์สุราเมาเราขออภัยเสียเถิด ท่านอย่าถือโทษเลย ลิโป้ก็สั่นสีสะมิได้ตอบประการใด เล่าปี่ก็ลาลิโป้กลับไป ครั้นมาถึงกลางทาง เตียวหุยจึงขับม้ารำทวนกลับไปถึงหน้าบ้านลิโป้แล้วร้องว่า เมื่อกี้นั้นกูเกรงพี่กูอยู่ บัดนี้พี่กูไปแล้วให้ลิโป้เร่งออกมาลองกันดูสักสามร้อยเพลง ให้รู้จักฝีมือกันไว้ เล่าปี่เหลียวมาไม่เห็นเตียวหุย จึงให้กวนอูตามมาพาเอาตัวเตียวหุยกลับไป

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงไปว่าแก่เล่าปี่ว่า เดิมมาขออาศรัยท่านก็ยอมให้อยู่ บัดนี้เตียวหุยน้องท่านไปว่ากล่าวหยาบช้าดูหมิ่นเรา ๆ จะอยู่สืบไปก็จะเคืองใจท่าน เราจะลาท่านไปอยู่ที่อื่นแล้ว เล่าปี่จึงตอบว่าท่านจะไปอยู่ที่อื่นนั้น ความครหานินทาก็จะอยู่แก่เรา ซึ่งเตียวหุยเปนใจหนุ่มได้ว่ากล่าวหยาบช้าต่อท่านนั้น วันอื่นเราจะพาตัวเตียวหุยไปขอขะมาท่าน ถ้าท่านมิฟังก็ให้ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายเถิด แต่ที่นั้นเปนเมืองน้อยขึ้นแก่เมืองนี้ ถ้าขาดเข้าปลาอาหารเราจะให้เอาไปส่ง ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงคำนับลาเล่าปี่ แล้วพาครอบครัวกับทหารทั้งปวงไปอยู่เมืองเสียวพ่าย

เนื้อเพลง