นิราศเมืองเพ็ชร
๏ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริฉาย | |
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย | พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน |
อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ | ไปเมืองเพ็ชร์บุรินที่ถิ่นสถาน |
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ | อธิฐานถึงคุณกรุณา |
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ | ถึงต่างเขตรของประสงค์คงอาสา |
จึงจดหมายรายทางกลางคงคา | แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อย |
ได้เห็นแต่แพแขกที่แปลกเพศ | ขายเครื่องเทศเครื่องไทยได้ใช้สอย |
ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงลอย | เปนหงส์ห้อยห่วงธงใช่หงส์ทอง |
ถึงวัดพลับลับลี้เปนที่สงัด | เห็นแต่วัดสังข์กระจายไม่วายหมอง |
เหมือนกระจายพรายพลัดกำจัดน้อง | มาถึงคลองบางลำเจียกสำเนียกนาม |
ลำเจียกเอ๋ยเคยชื่นระรื่นรส | ต้องจำอดออมระอาด้วยหนาหนาม |
ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม | คิดถึงยามปลูกรักมักเปนเตย |
จนไม่มีที่รักเปนหลักแหล่ง | ต้องคว้างแคว้งคว้าหานิจาเอ๋ย |
โอ้เปลี่ยวใจไร้รักที่จักเชย | ชมแต่เตยแตกหนามเมื่อยามโซ |
ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก | ล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข |
เมียขาวขาวสาวสวยล้วนรวยโป | หัวอกโอ้อายใจมิใช่เล็ก |
ไทยเหมือนกันครั้นว่าขอเอาหอห้อง | ต้องขัดข้องแขงกระด้างเหมือนอย่างเหล็ก |
มีเงินงัดคัดง้างเหมือนอย่างเจ๊ก | ถึงลวดเหล็กลนร้อนอ่อนละไม |
ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์ | ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน |
ฤๅหลวงชีมีบ้างเปนอย่างไร | คิดจะใคร่แวะหาปฤกษาชี |
ก็มืดค่ำอำลาทิพาวาส | เลยลีลาสล่วงทางกลางวิถี |
ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมี | มาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา |
ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นไม่เปนห่วง | แต่เศร้าทรวงสุดหวังที่ฝั่งฝา |
ที่เห็นเห็นเปนแต่ปะได้ประตา | ก็ลอบรักลักลาคิดอาไลย |
จะแลเหลียวเปลี่ยวเนตรเปนเขตสวน | มะม่วงพรวนหมากมะพร้าวสาวสาวไสว |
พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้ | หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบลออง ฯ |
๏ โอ้รื่นรื่นชื่นเชยเช่นเคยหอม | เคยถนอมนวลปรางมาหมางหมอง |
ถึงบางหว้าอารามนามจอมทอง | ดูเรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม |
สาธุสะพระองค์มาทรงสร้าง | เปนเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม |
ในพระโกษฐ์โปรดปรานประทานนาม | โอรสราชอารามงามเจริญ |
มีเขื่อนรอบขอบคูดูพิลึก | กุฏิตึกเก๋งกุฏิ์สุดสรรเสริญ |
ที่ริมน้ำทำศาลาไว้น่าเพลิน | จนเรือเดินมาถึงทางบางขุนเทียน |
โอ้เทียนเอ๋ยเคยแจ้งแสงสว่าง | มาหมองหมางมืดมิดตะขวิดตะเขวียน |
เหมือนมืดในใจจนต้องวนเวียน | ไม่ส่องเทียนให้สว่างหนทางเลย ฯ |
๏ บางประทุนเหมือนประทุนได้อุ่นจิตร | พอป้องปิดเปนหลังคานิจาเอ๋ย |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย | ได้พิงเขนยนอนอุ่นประทุนบัง ฯ |
๏ ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา | ใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง |
ทุกวันนี้วิตกเพียงอกพัง | แนะให้มั่งแล้วก็เห็นจะเปนการ ฯ |
๏ ถึงวัดไทรไทรใหญ่ใบชอุ่ม | เปนเซิงซุ้มสาขาพฤกษาศาล |
ขอเดชะพระไทรซึ่งไชยชาญ | ช่วยอุ้มฉานไปเช่นพระอนิรุท |
ได้ร่วมเตียงเคียงนอนแนบหมอนหนุน | พออุ่นอุ่นแล้วก็ดีเปนที่สุด |
จะสังเวยหมูแนมแก้มมนุษย์ | เทพบุตรจะได้ชื่นทุกคืนวัน ฯ |
๏ ถึงบางบอนบอนที่นี่มีแต่ชื่อ | เขาเลื่องฦๅบอนข้างบางยี่ขัน |
อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมัน | แต่ปากคันแก้ไขมิใคร่ฟัง ฯ |
๏ ถึงวัดกกรกร้างอยู่ข้างซ้าย | เปนรอยรายปืนพม่าที่ฝาผนัง |
ถูกทลุปรุไปแต่ไม่พัง | แต่โบสถ์ยังทนปืนอยู่ยืนนาน |
แม้นมั่งมีมิให้ร้างจะสร้างฉลอง | ให้เรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร |
ด้วยที่นี่ที่เคยตั้งโขลนทวาร | ได้เบิกบานประตูป่าพนาไลย ฯ |
๏ โอ้อกเอ๋ยเลยออกประตูป่า | กำดัดดึกนึกน่าน้ำตาไหล |
จะเหลียวหลังสั่งสาราสุดาใด | ก็จนใจด้วยไม่มีไมตรีตรึง |
ช่างเปนไรไพร่ผู้ดีก็มิรู้ | ใครแลดูเราก็นึกรำฦกถึง |
จะปรับไหมได้ฤๅไม่อื้ออึง | เปนที่พึ่งพาสนาพอพาใจ |
โอ้นึกนึกดึกเงียบยะเยียบอก | เห็นแต่กกกอปรงเปนพงไสว |
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มใบ | เรไรไพเราะร้องซ้องสำเนียง |
เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเคี้ยว | เหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง |
หริ่งหริ่งแหร้แม่หม้ายลองไนเรียง | แซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวญ |
เหมือนดนตรีปี่ป่าประสายาก | ทั้งสองฟากฟังให้อาไลยหวน |
ดังขับขานหวานเสียงสำเนียงนวล | เมื่อโอดครวญคราวฟังให้วังเวง ฯ |
๏ ถึงศีร์ษะกระบือเปนชื่อบ้าน | ระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง |
ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพานเกรง | ให้วังเวงวิญญาเอกากาย |
ถึงศิษย์หามาตามเมื่อยามเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวแดนไพรน่าใจหาย |
ถึงศีร์ษะละหานเปนย่านร้าย | ข้างฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน |
ถึงโคกขามคร้ามใจได้ไต่ถาม | โคกมะขามดอกมิใช่อะไรอื่น |
ไม่เห็นแจ้งแคลงทางเปนกลางคืน | ยิ่งหนาวชื้นช้ำใจมาในเรือ |
ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด | ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ |
เปนป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ | เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน |
ถึงบ้านขอมลอมฟืนดูดื่นดาษ | มีอาวาสวัดวาที่อาไศรย |
ออกชวากปากชลามหาไชย | อโณไทยแย้มเยี่ยมเหลี่ยมพระเมรุ ฯ |
๏ ข้างฝั่งซ้ายชายทเลเปนลมคลื่น | นภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน |
แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเปนเชิงเลน | ลำภูเอนอ่อนทอดยอดระย้า |
หยุดประทับยับยั้งอยู่ฝั่งซ้าย | แสนสบายบังลมร่มรุกขา |
บรรดาเรือเหนือใต้ทั้งไปมา | คอยคงคาเกลื่อนกลาดไม่ขาดคราว |
บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิง | บ้างแกงปิ้งปากเรียกกันเพรียกฉาว |
เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราว | เหมือนเสียงส้าวเกราะโกร่งที่โรงงาน |
เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ | มาคอยขอโภชนากระยาหาร |
คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทาน | ต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว |
เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย | กจ้อยร่อยกจิริดจิดจีดจิ๋ว |
บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิว | ดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลย |
โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร | เพราะแสนสุดเสนหานิจาเอ๋ย |
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย | กระไรเลยแลเห็นน่าเอนดู |
แต่ลิงใหญ่อ้ายทโมนมันโลนเหลือ | จนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู |
ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้ | ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว |
บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร | ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว |
เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้ว | กลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตา |
ได้ชมเล่นเห็นแต่นกวิหคกลุ้ม | เที่ยวดุ่มดุ่มเดินดินกินมัจฉา |
กลางสมุทผุดโผล่ล้วนโลมา | ดูหน้าตาแต่ละตัวน่ากลัวเกรง |
ล้วนหัวบาดวาดหางไปกลางคลื่น | ศีร์ษะลื่นเลี่ยนโล่งดูโจ่งเหม่ง |
ดูมากมายหลายอย่างยิ่งวางเวง | จนน้ำขึ้นครื้นเครงเปนคราวเรือ |
บ้างถอนหลักชักถ่อหัวร่อร่า | บ้างก็มาบ้างก็ไปทั้งใต้เหนือ |
บ้างขับร้องซ้องสำเนียงจนเสียงเครือ | ต่างเลี้ยวเรือลงหน้าบ้านท่าจีน |
เปนประมงค์หลงละโมภด้วยโลภลาภ | ไม่กลัวบาปเลยช่างนับแต่ทรัพย์สีน |
ตลิ่งพังฝั่งชลาล้วนปลาตีน | ตะกายปีนเลนเล่นออกเปนแปลง |
ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูก | ทลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง |
ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพง | เขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด ฯ |
๏ ถึงบ้านบ่อกอจากมิอยากสิ้น | เหมือนจากถิ่นท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิตร |
อันใบจากรากกอไม่ขอคิด | แต่ลูกชิดชอบใจจะใคร่ชม |
ถึงคลองที่อีรำท่าแร้งเรียก | สุดสำเนียกที่จะถามความปฐม |
เขาทำน้ำทำนาปลาอุดม | เปนนิคมเขตรบ้านพวกพรานปลา |
ที่ปากคลองกองฟืนไว้ดื่นดาษ | ดูเกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ถึงบางขวางข้างซ้ายชายชลา | ไขคงคาขังน้ำไว้ทำเกลือ ฯ |
๏ ฤๅบ้านนี้ที่เขาว่าตำราร่ำ | ช่างปั้นน้ำเปนตัวน่ากลัวเหลือ |
ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาเครือ | ล้วนรกเรื้อรำเริงเปนเซิงซุ้ม |
ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้า | ดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม |
เปนคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุม | ดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม |
ลำภูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อม | มีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม |
เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม | บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน |
โอ้เอนดูปูไม่มีซึ่งศีร์ษะ | ท้าวระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน |
ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน | เปนเพศพันธุ์ไร้ผัวเพราะมัวเมา |
แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ | เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา |
ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า | อุส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย |
ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ | เมียมันคาบคีบเนื้อเปนเหยื่อเสีย |
จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย | ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ |
สมเพชสัตว์ทัศนาพฤกษาสล้าง | ล้วนโกงกางกุ่มแกมแซมแสม |
สงัดเหงาเปล่าเปลี่ยวเมื่อเหลียวแล | เสียงแอ้แจ้จักระจั่นหวั่นวิญญา ฯ |
๏ ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง | ชวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา |
ให้หนูน้อยคอยนับในนาวา | แต่หนึ่งมาถ้วนสามสิบสองคด |
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ | เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด |
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด | ถึงคลองคดก็ยังไม่เหมือนใจคน ฯ |
๏ ถึงปากช่องคลองชื่อสุนัขหอน | ทั้งเรือแพแลสลอนเสลือกสลน |
ต่างแขงข้อถ่อค้ำที่น้ำวน | คงคาข้นขุ่นตื้นแต่พื้นเลน |
เข้ายัดเยียดเสียดแซกบ้างแตกหัก | บ้างถ่อผลักอึดอัดขัดเขมน |
บ้างทุ่มเถียงเสียงหญิงขึ้นเกนเกน | ล้วนโคลนเลนเปื้อนเปรอะเลอะทั้งตัว |
ที่น้อยตัวผัวเมียลงลากฉุด | นางเมียหยุดผัวโกรธเมียโทษผัว |
ด้วยยากเย็นเข็นฝืดทั้งมืดมัว | พอตึงตัวเต็มเบียดเข้าเสียดแซะ |
ทั้งยุงชุมรุมกัดปัดเปรียะประ | เสียงผัวะผะพึบพับปุบปับแปะ |
ที่เข็นเรียงเคียงลำขยำขแยะ | มันเกาะแกะกันจริงจริงหญิงกับชาย ฯ |
๏ จนตกทางบางสะใภ้ครรไลยล่อง | มีบ้านช่องซ้ายขวาเขาค้าขาย |
ปลูกทับทิมริมทางสองข้างราย | ไม่เปล่าดายดกระย้าทั้งตาปี |
บ้างดิบห่ามงามงอมจนค้อมกิ่ง | เปนดอกติ่งแตกประดับสลับสี |
บ้างแตกร้าวพราวเม็ดเพ็ชรโนรี | เขาขายดีเก็บได้ใส่กระเฌอ |
มาตั้งขายฝ่ายเจ้าของไม่ต้องถือ | เห็นเรือล่องร้องว่าซื้อทับทิมเหนอ |
จะพูดจาคารวะทั้งคะเออ | เสียงเหน่อเหน่อหน้าตาน่าเอ็นดู |
นึกเสียดายหมายมั่นใคร่พันผูก | ไว้เปนลูกสะใภ้ให้เจ้าหนู |
พอนึกหยุดบุตรเราก็เจ้าชู้ | อุส่าห์รู้ร้องต่อจะขอชิม |
เขาอายเอียงเมียงเมินทำเดินเฉย | ไม่เกินเลยลวนลามงามหงิมหงิม |
ได้ตอบต่อล้อเหล่าเจ้าทับทิม | พอแย้มยิ้มเฮฮาประสาชาย ฯ |
๏ ถึงแม่กลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | น่าสำราญเรือนเรือดูเหลือหลาย |
บ้างย่างปลาค่าเคียงเรียงเรียงราย | ดูวุ่นวายวิ่งไขว่กันใหญ่น้อย |
ขายสำเร็จเป็ดไก่ทั้งไข่พอก | กระเบนกระบอกปลาทูทั้งปูหอย |
ลูกค้ารับนับกันเปนพันร้อย | ปลาเล็กน้อยขมงโกรยโกยกะบุง |
นางแม่ค้าปลาเค็มก็เต็มสวย | กำไรรวยรวมประจบจนครบถุง |
บ้างเหน็บท้องป่องปุ่ยตุ่ยตุ่ยตุง | ต่างบำรุงรูปร่างสำอางตา ฯ |
๏ พอออกช่องล่องลำแม่น้ำกว้าง | บ้านบางช้างแฉกแชไปแควขวา |
ข้างซ้ายตรงลงทเลพอเวลา | พระสุริยามืดมัวทั่วแผ่นดิน |
ดูซ้ายขวาป่าปะโลงหวายโป่งเป้ง | ให้วังเวงหวั่นไหวฤทัยถวิล |
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน | ไปหากินแล้วก็พากันมารัง |
บ้างเคียงคู่ชูคอเสียงซ้อแซ้ | โอ้แลแลแล้วก็ให้อาไลยหลัง |
แม้นร่วมเรือนเหมือนนกที่กกรัง | จะได้นั่งแนบข้างเหมือนอย่างนก |
นี่กระไรไม่มีเท่ากี่ก้อย | โอ้บุญน้อยนึกน่าน้ำตาตก |
ต้องลมว่าวหนาวหนังเหมือนคั้งคก | จะได้กกกอดใครก็ไม่มี |
จนเรือออกนอกอ่าวดูเปล่าโว่ง | ทเลโล่งแลมัวทั่ววิถี |
ไม่เห็นหนสนธยาเปนราตรี | แต่ลมดีดาวสว่างกระจ่างตา |
สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรี่ยม | ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา |
ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภา | แสงคงคาเค็มพราวราวกับพลอย |
เห็นปลาว่ายกายสล้างกระจ่างแจ่ม | แลแอร่มเรืองรุ่งชั้นกุ้งฝอย |
เปนหมู่หมู่ฟูฟ่องขึ้นล่องลอย | ตัวน้อยน้อยนางมังกงขมงโกรย |
ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลาดึก | หวนรำฦกแล้วเสียดายไม่วายโหย |
แม้นเห็นปลาวารินจะดิ้นโดย | ทั้งลมโชยเฉื่อยชื่นระรื่นเย็น |
จะเพลินชมยมนาเวหาห้อง | เช่นนี้น้องไหนเลยจะเคยเห็น |
ทเลโล่งโว่งว่างน้ำค้างกระเซ็น | ดูดาวเด่นดวงสว่างเหมือนอย่างโคม |
จะเปรมปรีดิ์ดีใจมิใช่น้อย | น้องจะพลอยเพลินอารมณ์ด้วยชมโฉม |
โอ้อายจิตรคิดรักลักประโลม | ทรวงจะโทรมตรงช่องปากคลองโคน |
ด้วยมืดค่ำสำคัญที่นั่นแน่ | เรียกแสมตายห่าพฤกษาโกร๋น |
ลำพูรายชายเลนดูเอนโอน | วายุโยนยอดระย้าริมสาคร |
หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลือง | ดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัศร |
เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกร | ยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตา ฯ |
๏ ถึงคลองช่องล่องเลียบเงียบสงัด | เห็นเมฆกลัดกลางทเลบนเวหา |
เสียงโครมครื้นคลื่นกระทั่งฝั่งชลา | ลมสลาตันตึงหึ่งหึ่งฮือ |
นาวาเหเซหันให้ปั่นป่วน | ต้องแจวทวนท้ายหันช่วยกันถือ |
ถึงสี่แจวแล้วเรือยังเหลือมือ | ลมกระพือพัดโงงดูโคลงเคลง |
ทั้งคลื่นซ้ำน้ำซัดให้ปัดปั่น | โอ้แต่ชั้นคลื่นลมยังข่มเหง |
น่าอายเพื่อนเหมือนคำเขาทำเพลง | มาเท้งเต้งเรือลอยน่าน้อยใจ |
ยิ่งแจวทวนป่วนปั่นยิ่งหันเห | ลมทเลเหลือจะต้านทานไม่ไหว |
เสียงสวบเสยเกยตรงเข้าพงไพร | ติดอยู่ใต้ต้นโกงกางแต่กลางคืน |
พอจุดเทียนเชี่ยนขันน้ำมันคว่ำ | ต้องวิดน้ำนาวาไม่ฝ่าฝืน |
เสื่อที่นอนหมอนนวมน้ำท่วมชื้น | เหลือแต่ผืนผ้าแพรของแม่น้อง |
ได้กันลมห่มหนาวเมื่อเช้าตรู่ | ยังรักรู้จักคุณการุญสนอง |
ลมรินรินกลิ่นกลบอบลออง | ได้ปกครองคุมเครือเมื่อเรือค้าง |
เขาหลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท | พี่นี้คิดใคร่ครวญจนจวนสว่าง |
เสียงนกร้องซ้องแซ่ครอแครคราง | ทั้งลิงค่างครอกโครกละโอกโอย |
เสียงชนีที่เหล่าเขายี่สาน | วิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย |
หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดย | ชนีโหยหาคู่ไม่รู้วาย |
เหมือนวิตกอกน้องที่ตรองตรึก | เหลือลำฦกอาไลยมิใคร่หาย |
จะเรียกบ้างอย่างชนีก็มีอาย | ต้องเรียกสายสวาทในใจรำจวญ |
จนรุ่งแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น | ต้องค้างตื้นติดป่าพากันสรวล |
จะเข็นค้ำล้ำเหลือเปนเรือญวน | พอเห็นจวนน้ำขึ้นค่อยชื่นใจ |
ต้นแสมแลดูล้วนปูแสม | ขึ้นไต่แต่ต้นกิ่งวิ่งไสว |
เขาสั่นต้นหล่นผอยผลอยผลอยไป | ลงมุดใต้ตมเลนเห็นแต่ตา |
โอ้เอนดูหนูน้อยร้องหอยเหาะ | ขึ้นไปเกาะกิ่งตลอดยอดพฤกษา |
ล้วนจุบแจงแผลงฤทธิ์เขาปลิดมา | กวักตรงหน้าเรียกให้มันได้ยิน |
จุบแจงเอ๋ยเผยฝาหาเข้าเปียก | แม่ยายเรียกจะให้ไปกฐิน |
ทั้งงวงทั้งงาออกมากิน | ช่วยปัดริ้นปัดยุงกระทุงราย |
เขาร่ำเรียกเพรียกหูได้ดูเล่น | มันอยากเปนลูกเขยทำเงยหงาย |
เยี่ยมออกฟังทั้งตัวกลัวแม่ยาย | โอ้นึกอายด้วยจุบแจงแกล้งสำออย |
เหมือนจะรู้อยู่ในเล่ห์เสน่หา | แต่หากว่าพูดยากเปนปากหอย |
เปรียบเหมือนคนจนทุนทั้งบุญน้อย | จะกล่าวถ้อยออกไม่ได้ดังใจนึก |
พอลอยลำน้ำมากออกจากป่า | ได้แอบอาไศรยแสมอยู่แต่ดึก |
ในดงฟืนชื่นชุ่มทุกพุ่มพฤกษ์ | ผู้ใดนึกฟันฟาดให้คลาดแคล้ว |
แล้วเคลื่อนคลาลาจากปากคลองช่อง | ไปตามร่องน้ำหลักปักเปนแถว |
ข้ามยี่สานบ้านสองพี่น้องแล้ว | ค่อยคล่องแคล่วเข้าชะวากปากตะบูน |
น้ำยังน้อยค่อยค้ำพอลำเลื่อน | ไม่มีเพื่อนเรือปลาดช่างขาดสูญ |
ในคลองลัดทัศนายิ่งอาดูร | เปนดินพูนพานจะตื้นแต่พื้นโคลน |
ป่าปะโลงโกงกางแกมแสม | แต่ล้วนแต่ตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น |
ตลอดหลามตามตลิ่งล้วนลิงโลน | อ้ายทโมนนำหน้าเที่ยวคว้าปู |
ครั้นล้วงขุดสุดอย่างเอาหางยอน | มันหนีบนอนร้องเกลือกเสือกหัวหู |
เพื่อนเข้าคร่าหน้าหลังออกพรั่งพรู | ลากเอาปูออกมาได้ไอ้กะโต |
ทั้งหอยแครงแมลงดามันหาคล่อง | ฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่ |
ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซ | อกเอ๋ยโอ้เอนดูหมู่แมลงดา |
ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง | ตามหล้าแหล่งเลนเคมเลมภักษา |
เขาจับเปนเหนสมเพชเวทนา | ทิ้งแมลงดาผัวเสียเอาเมียไป |
ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด | เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน |
ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ | ก็บรรไลยแลกลาดดาษดา |
แม้นเดี๋ยวนี้มีหญิงไม่ทิ้งผัว | ถึงรูปชั่วฉันจะรักให้นักหนา |
โอ้อาลัยใจอย่างนางแมลงดา | แต่ดูหน้าในมนุษย์เห็นสุดแล |
จนออกช่องคลองบางตะบูนใหญ่ | ล้วนป่าไม้ตีนเป็ดเสม็ดแสม |
นกกระลางยางกรอกรอกกะแต | เสียงซ้อแซ้สองข้างทางกันดาร |
ถึงที่วังตั้งประทับรับเสด็จ | มาทรงเบ็ดกะโห้ไม่สังหาร |
ให้ปล่อยไปในทเลเอาเพดาน | แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา |
แต่เดี๋ยวนี้ที่วังก็รั้งร้าง | เปนรอยทางทุบปราบราบรุกขา |
ยังแลเลี่ยนเตียนดีที่พลับพลา | นึกระอาอนิจจังไม่ยั่งยืน |
เดิมเปนป่ามาเปนวังตั้งประทับ | แล้วก็กลับไปเปนป่าไม่ฝ่าฝืน |
เหมือนมียศลดลงไม่คงคืน | นึกสอื้นอายใจมาในเรือ |
ถึงบางหอหอใครที่ไหนหนอ | มาปลูกหอเสนหาในป่าเสือ |
อันย่านนี้ที่บนบกก็รกเรื้อ | ทั้งทางเรือจรเข้ก็เฉโก |
ถึงเจ้าสาวชาวสวรรค์ฉันไม่อยู่ | จะโศกสู้เอกาอนาโถ |
ด้วยพรั่นตัวกลัวเสือก็เหลือโซ | เห็นแต่โพทเลจรเข้ลอย |
ทั้งเหลืองดำคร่ำคร่าล้วนกล้าแกล้ว | จนเรือแจวจวนใกล้มิใคร่ถอย |
ดูน่ากลัวตัวใหญ่มิใช่น้อย | ต่างคนคอยภาวนาอุส่าห์สำรวม |
เห็นนกบินกินปลาล้วนน่ารัก | นกปักหลักลงน้ำเสียงต้ำป๋วม |
นกกระเต็นเต้นตามนกกามกวม | กับเหี้ยต้วมเตี้ยมต่ายตามชายเลน ฯ |
๏ ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท | มีอาวาสวัดวามหาเถร |
มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ | พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ |
กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้ | จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิพิศถาน |
เขานับถือฦๅอยู่แต่บุราณ | ใครบลบานพระรับช่วยดับร้อน |
ขึ้นลานวัดทัศนาดูอาวาส | ศิลาลาดเลียบเดินเนินสิงขร |
พฤกษาออกดอกช่ออรชร | หอมขจรจำปาสารภี |
ต้นโพไทรไม้งอกตามซอกหิน | อินทนิลนางแย้มสอดแซมศรี |
เหล่าลั่นทมร่มรอบขอบคิรี | สุมาลีหล่นกลาดดาษดิน |
ได้ชมเพลินเดินมาถึงน่าโบสถ์ | สมาโทษถือเทียนเวียนทักษิณ |
เคารพสามตามกำหนดหมดมลทิน | กับหนูนิลหนูพัดเข้ามัสการ |
ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ | ถวายธูปเทียนอุทิศพิศถาน |
ขอเดชะพระสัมฤทธิพิสดาร | ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง |
ให้ได้แหวนแทนทรงสักวงหนึ่ง | กับแพรซึ่งหอมห่มให้สมหวัง |
แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง | จะแต่งตั้งบายศรีมีลคร |
ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย | เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร |
สาธุสะพระสัมฤทธิประสิทธิพร | ให้ได้นอนฟูกฟูเหมือนชูชก |
แล้ววันทาลาเลียบลงเหลี่ยมเขา | พอบังเงาแดดร่มทั้งลมตก |
ออกนาวามาทางบ้านบางครก | มะพร้าวดกดูสล้างสองข้างคลอง |
มีส้มสูกลูกไม้เหมือนในสวน | ตลอดล้วนเรียงรายเรียกขายของ |
เขาเลียนล้อต่อถามตามทำนอง | ไม่ยิ้มย่องนิดหน่อยอร่อยใจ |
จนเรือออกนอกชวากปากบางครก | ต้องเลี้ยววกไปตามลำแม่น้ำไหล |
เปนถิ่นฐานบ้านนาป่ารำไร | เขาทำไร่ถั่วผักปลูกฟักแฟง |
แต่ฟักทองร้องเรียกว่าน้ำเต้า | ฟักเขียวเล่าเรียกว่าขี้พร้าแถลง |
ล้วนเลี้ยงวัวทั่วถิ่นได้กินแรง | แต่เสียงแปร่งเปรี้ยวหูไม่รู้กลัว |
เจ้าสำนวนชวนตีแต่ฝีปาก | พูดด้วยยากชาวบางกอกจนกลอกหัว |
แสนแสงอนค้อนว่าค่อนด่าวัว | เขาตัดหัวแขนห้อยร้อยประการ |
ล้วนแช่งซ้ำล้ำเหลืออ้ายเสือขบ | ลำเลิกทบทวนชาติเสียงฉาดฉาน |
อ้ายวัวเถ้าเขาล้มคือสมภาร | มันขี้คร้านทดเข้าเขาจึ่งแทง |
ถึงบ้านใหม่ไถ่ถามตามสงไสย | ว่ายังไกลอยู่หรือบ้านท่านขุนแขวง |
ไม่บอกก่อนย้อนถามเปนความแคลง | จะพายแรงฤๅว่านายจะพายเบา |
ถ้าพายหนักสักครู่หนึ่งก็ถึงดอก | สำนวนนอกน้ำเพ็ชรแล้วเข็ดเขา |
บ้างโห่ฉาวกราวเกรียวเกี่ยวเข้าเบา | บ้างตั้งเตาเคี่ยวตาลพานอุดม ฯ |
๏ ถึงบางกุ่มหนุ่มแก่สาวแซ่ซ้อง | มีบ้านสองฟากข้ามนามประถม |
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านสท้านยายนม | น่าใคร่ชมชื่นจิตรคิดรำพึง |
อย่างไรฤๅชื่อเช่นนั้นขันหนักหนอ | ฤๅแกล้งล้อจะให้นึกลำฦกถึง |
ถึงบ้านโพโอ้นึกไปฦกซึ้ง | เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร |
กับขุนรองต้องเปนแพ่งตำแหน่งพี่ | สถิตย์ที่ทับนาพออาไศรย |
เปนคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ | จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ |
นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง | เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเปนหอ |
จนผู้เถ้าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ | เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอน ฯ |
๏ โอ้สงสารท่านรองเคยครองรัก | เมื่อมาพักบ้านโพธิ์สโมสร |
เคยร่วมใจไหนจะร่วมน่วมที่นอน | ทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย |
แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง | ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย |
เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชาย | แสนเสียดายดูหน้านึกอาไลย |
ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุนนาค | เมื่อยามยากจนมาได้อาไศรย |
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไลย | มาทำไร่ทำนาท่านการุญ |
เมื่อเจ็บป่วยช่วยรักษาจะหาคู่ | จะขอสูให้เปนเนื้อช่วยเกื้อหนุน |
ยังยากไร้ไม่มีของสนองคุณ | ขอแบ่งบุญให้ท่านทั่วทุกตัวตน |
ทั้งนารีที่ได้รักลักลำฦก | เปนแต่นึกลับหลังหลายครั้งหน |
ขอสมาอย่าได้มีราคีปน | เปนต่างคนต่างแคล้วแล้วกันไป |
แต่ปรางทองน้องหญิงยังจริงจิตร | แนบสนิทนับเชื้อว่าเนื้อไข |
จะแวะหาสารพัดยังขัดใน | ต้องอายใจจำลากลัวช้าการ ฯ |
๏ ถึงอารามนามที่กุฎีทอง | ดูเรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร |
ริมอารามข้ามน้ำทำตะพาน | นมัสการเดินมาในวารี |
ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลดชื่อคดอ้อย | ตวันคล้อยคล้ำฟ้าในราศี |
ค่อยคล่องแคล่วแจวรีบถึงพริบพรี | ประทับที่หน้าท่าพลับพลาไชย |
ด้วยวัดนี้ที่สำหรับประทับร้อน | นรินทรท้าวพระยามาอาไศรย |
ขอเดชะอานุภาพช่วยปราบไภย | ให้มีไชยเหมือนเช่นนามอารามเมือง |
ดูเรือแพแซ่ซ้องทั้งสองฟาก | บ้างขายหมากขายพลูหนวกหูเหือง |
นอนค้างคืนตื่นเช้าเห็นชาวเมือง | ดูนองเนืองนาวาบ้างมาไป |
ได้เยี่ยมเยือนเรือนบ้านท่านขุนแพ่ง | มาปลูกแปลงแปลกกว่าเมื่ออาไศรย |
ด้วยศึกลาวคราวนั้นเธอบรรไลย | ไม่มีใครครอบครองจึ่งหมองมัว |
แสนสงสารท่านผู้หญิงมิ่งเมียหลวง | เฝ้าค่อนทรวงเสียใจอาไลยผัว |
ทั้งเมียน้อยอ้อยอิ่งหญิงคนครัว | พากันมัวหมองคล้ำระกำตรอม |
เมื่อมาเรือนเยือนศพได้พบพักตร์ | ไม่หมองนักคราวนี้รูปช่างซูบผอม |
เพราะครวญคร่ำกำสรดสู้อดออม | เหมือนแก่งอมหงิมเงียบเซียบสำเนียง |
โอ้อกเอ๋ยเคยสำราญอยู่บ้านนี้ | ได้ฟังปี่พาทย์เพราะเสนาะเสียง |
ทั้งหญิงชายฝ่ายเพื่อนริมเรือนเรียง | เคยพร้อมเพรียงเพรางายสบายใจ |
โอ้คิดคุณขุนแพ่งเสียแรงรัก | ไม่พบพักตร์พลอยพาน้ำตาไหล |
ได้สวดทั้งบังสกุลแบ่งบุญไป | ให้ท่านได้สูสวรรค์ชั้นวิมาน |
แล้วอำลาอาไลยใจจะขาด | จำนิราสแรมร้างห่างสถาน |
ลงเรือจอดทอดท่าหน้าตะพาน | แสนสงสารศิษย์หาออกมาอึง |
เห็นหน้าน้องทองมีอารีรัก | ครั้นจะทักเล่าก็กลัวผัวจะหึง |
ได้เคยเห็นเปนฝีมือมักดื้อดึง | จะตูมตึงแตกช้ำระยำเยิน |
ทั้งที่ปรางค์นางใหญ่ได้ให้ผ้า | เมื่อครั้งมาสอนบุตรสุดสรรเสริญ |
ได้ห่มหนาวคราวระกำจงจำเริญ | ยังเชื้อเชิญชวนชักรักอารมณ์ ฯ |
๏ แล้วไปบ้านท่านแพ่งตำแหน่งใหม่ | ยังรักใคร่ครองจิตรสนิทสนม |
ที่ธุระจะใคร่ได้ใจนิยม | เขารับสมปราถนาสามิภักดิ์ |
จะกลับหลังยังมิได้ดั่งใจชั่ว | ต้องไปทั่วบ้านเรือนเพื่อนรู้จัก |
เมื่อเปนบ้ามาคนเดียวเที่ยวสำนัก | เขารับรักรู้คุณกรุณา |
ที่ไหนไหนไมตรียังดีสิ้น | เว้นแต่อินวัดเกศของเชษฐา |
ช่างตัดญาติขาดเด็ดไม่เมตตา | พอเห็นหน้าน้องก็เบือนไม่เหมือนเคย |
โอ้คิดแค้นแหวนประดับกับแพรเพลาะ | เปนคราวเคราะห์เพราะเปนบ้านิจาเอ๋ย |
จนรักตายกลายตอเปนกอเตย | ไม่เห็นเลยว่าจะเปนไปเช่นนั้น |
โอ้คิดถึงพึ่งบุญท่านขุนแพ่ง | ไปหน้าแล้งรับแขกแรกวัสสันต์ |
ตำเข้าเม่าเคล้าน้ำตาลทั้งหวานมัน | ได้ช่วยกันคั้นขยำน้ำกะทิ |
เขาไปเที่ยวเกี่ยวเข้าอยู่เฝ้าห้อง | เหมือนพี่น้องนึกโอ้อโหสิ |
เนื้อเอ๋ยเนื้อเหลือเจ็บจนเล็บลิ | ยังปริปริปริ่มพร้อยเปนรอยราย |
ครั้นไปเยือนเรือนหลานบ้านวัดเกาะ | ยังทวงเพลาะแพรดำที่ทำหาย |
ต้องใช้สีทับทิมจึ่งยิ้มพราย | วิลาสลายลอยทองสนองคุณ |
แล้วไปบ้านตาลเรียงเคียงบ้านไร่ | ที่นับในน้องเนื้อช่วยเกื้อหนุน |
พอวันนัดซัดน้ำเขาทำบุญ | เห็นคนวุ่นหยุดยั้งยืนรั้งรอ |
เขาว่าน้องของเราเปนเจ้าสาว | ไม่รู้ราวเรื่องเร่อมาเจอหอ |
เหมือนจุดไต้ว่ายน้ำมาตำตอ | เสียแรงถ่อกายมาก็อาภัพ |
จะแทนบุญคุณมาประสายาก | ต้องกระดากดังหนึ่งศรกระดอนกลับ |
ได้ฝากแต่แพรผ้ากับป้าทรัพย์ | ไว้สำรับหนึ่งนั้นทำขวัญน้อง |
ไปปีหนึ่งครึ่งปีเมื่อมีลูก | จะมาผูกมือบ้างอย่าหมางหมอง |
แล้วมาเรือเหลือลำฦกเฝ้าตรึกตรอง | เที่ยวฉลองคุณท่านทุกบ้านเรือน ฯ |
๏ แค้นแต่ขำกรรมอะไรไฉนน้อง | เฝ้าท้องท้องทุกทุกปีไม่มีเหมือน |
ช่างกระไรใจจิตรไม่บิดเบือน | จะไปเยือนเล่าก็รู้ว่าอยู่ไฟ |
จึงฝากคำทำกลอนไว้สอนสั่ง | เมื่อมิฟังพี่ห้ามตามวิไสย |
พอวันพระศรัทธาพากันไป | เที่ยวแวะไหว้พระอารามตามกำลัง |
สาธุสะพระนอนสิงขรเขา | พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลัง |
ยี่สิบวาฝากั้นเปนบัลลังก์ | ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย |
พระเนตรหลับทับพระบาทไสยาสน์เหยียด | อ่อนละเมียดอาสนะพระเขนย |
พระเจ้างามยามประธมน่าชมเชย | ช่วยรำเพยพัชนีนั่งวีลม |
แล้วนึกว่าหน้าหนาวมาคราวนี้ | ถึงแท่นที่พระสถิตย์สนิทสนม |
ยังมีแต่แพรหอมถนอมชม | ได้คลี่ห่มหุ้มอุระพระประธาน |
อุทิศว่าผ้านี้ของพี่น้อง | ฝ่ายเจ้าของขาดรักสมัคสมาน |
มาห่มพระจะให้ผลดลบันดาล | ได้พบพานภายน่าสถาพร |
ทั้งรูปงามทรามประโลมโฉมแฉล้ม | ขอให้แก้มสองข้างอย่างเกสร |
ทั้งเนื้อหอมพร้อมสิ้นกลิ่นขจร | คนแสนงอนให้มาง้อมาขอชิม |
หนึ่งผ้าข้าได้ห่มประธมพระ | ขอทิฏฐะจงเห็นเปนปัจฉิม |
ให้มีใหม่ได้ดีสีทับทิม | ทั้งขลิบริมหอมฟุ้งปรุงสุคนธ์ |
ทั้งศิษย์หาผ้ามีต่างคลี่ห่ม | คลุมประธมพิศถานการกุศล |
ขอเนื้อหอมพร้อมกันเหมือนจันทน์ปน | ได้เยาะคนขอจูบรักรูปเรา |
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวไปบันไดอิฐ | ต่างเพลินพิศเพิงผารุกขาเขา |
จิกจันทน์แจงแทงทวยกรวยกันเกรา | โมกข์แมงเม่าไม้งอกซอกศิลา |
เหล่าลั่นทมยมโดยร่วงโรยกลิ่น | ระรวยรินรื่นรื่นชื่นนาสา |
โบสถ์วิหารลานวัดทัศนา | ล้วนศิลาแลสอาดด้วยกวาดเตียน |
มีกุฎีที่พระสงฆ์ทรงสถิตย์ | พฤกษาชิดชั้นไผ่เหมือนไม้เขียน |
น่าสนุกรุกขชาติดาษเดียร | เที่ยวเดินเวียนวงรอบขอบคีรี |
พอแดดร่มลมชายสบายจิตร | เที่ยวชมทิศทุ่งทางกลางวิถี |
ทั่วประเทศเขตรแคว้นแดนพริบพรี | เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล |
ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ | มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร |
พะโองยาวก้าวตีนปีนทะยาน | กระบอกตาลแขวนก้นคนละพวง |
แต่ใจดีที่ว่าใครเข้าไปขอ | ให้กินพออิ่มอุทรบห่อนหวง |
ได้ชื่นฉ่ำน้ำตาลหวานหวานทรวง | ขึ้นเขาหลวงเลียบเดินเนินบันได |
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ | รุกขชาติช่อดอกออกไสว |
บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาไลย | ต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง |
ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้อง | เหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง |
เวียนประเวศเกสราบุบผาพวง | ได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจง ฯ |
๏ โอ้อกน้องท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิตร | ไม่มีมิตรที่จะชมสมประสงค์ |
กับหนูน้อยพลอยเพลินเที่ยวเดินวง | ขึ้นถึงองค์พระเจดีย์บนคีริน |
ต่างเหนื่อยบอบนอบน้อมอยู่พร้อมพรั่ง | บ้างหยุดนั่งเอนนอนกับก้อนหิน |
เห็นประเทศเขตรแคว้นในแดนดิน | มีบ้านถิ่นทิวไม้ไรไรราย |
คีรีรอบขอบเขื่อนดูเหมือนเมฆ | แลวิเวกหวาดหวั่นยิ่งขวัญหาย |
เห็นทเลเคหาหน้าหาดทราย | ดูเรียงรายเรี่ยเรี่ยเตี้ยติดดิน |
ได้ชมเพลินเมินมุ่งดูทุ่งกว้าง | มีแถวทางเถื่อนท่าชลาสินธุ์ |
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | บ้างโบยบินว้าว่อนบ้างร่อนเรียง |
ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวร้อง | ประสานซ้องสกุณาภาษาเสียง |
กินปลีเปล้าเขาไฟจับไม้เรียง | กรอดเคียงคู่กรอดแล้วพลอดเพลิน |
รอกกระแตแลโลดกระโดดแล่น | กระต่ายเต้นตามลำเนาภูเขาเขิน |
ที่ทุ่งกว้างกลางหนเห็นคนเดิน | หาบน้ำตาลคานเยิ่นหยอกเอินกัน |
ทั้งล้อเกวียนเดียรดาษดูกลาดเกลื่อน | ทุกถิ่นเถื่อนทุ่งแถวแพ้วจังหัน |
โสมนัสทัศนาจนสายัณห์ | แล้วพากันเข้าในถ้ำน่าสำราญ |
มีพระไสยาสน์พระบาทเหยียด | คนมันเบียดเบียนขุดสุดสงสาร |
พระทรวงพังทั้งพระเพลาก็ร้าวราน | โอ้ชาวบ้านช่างไม่สร้างขึ้นบ้างเลย |
ทั้งผนังพังทับอยู่กับถ้ำ | โอ้นึกน้ำตาตกเจียวอกเอ๋ย |
ดูว้างเวิ้งเชิงพนมน่าชมเชย | ต่างแหงนเงยชมฉง้อนก้อนศิลา |
เปนลดหลั่นชั้นช่องมีห้องหับ | แลสลับเลื่อมคล้ายลายเลขา |
กลางคิรินหินห้อยย้อยระย้า | ดาษดาดูดูดังพู่พวง |
ฉะเช่นนี้มีฤทธิ์จะคิดช้อน | เอาสิงขรเข้าไปตั้งริมวังหลวง |
เห็นหนุ่มสาวชาวบุรินสิ้นทั้งปวง | จะแหนหวงห้องหับถึงจับกุม |
เขาตั้งอ่างกลางถ้ำมีน้ำย้อย | ดูผอยผอยเผาะลงที่ตรงหลุม |
เปนไคลคล้ำน้ำแท่งกลับแขงคุม | เปนหินหุ้มอ่างอิฐสนิทดี |
แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม | บ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี |
เปนห้องน้อยรอยหนังสือลายมือมี | คิดถึงปีเมื่อเปนบ้าเคยมานอน |
ชมลูกจันทน์กลั่นกลิ่นระรินรื่น | จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเปนหมอน |
เห็นห้องหินศิลลาน่าอาวรณ | เคยกล่าวกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี |
พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง | เรไรซ้องเสียงจังหรีดดังดีดสี |
คิดคนึงถึงตัวกลัวต้องตี | ต่อช้าปีจึงค่อยวายฟายน้ำตา |
โอ้ยามยากจากบุรินมาถิ่นเถื่อน | ไม่มีเรือนแรมอยู่ในคูหา |
เดือนสว่างต่างไต้เมื่อไสยา | แผ่นศิลาต่างฟูกกระดูกเย็น |
ยังรินรินกลิ่นกลั่นจันทน์กระแจะ | เหมือนจะแนะนำจิตรให้คิดเห็น |
เหลือรำฦกนึกน่าน้ำตากระเด็น | โอ้จำเปนเปนกรรมจึงจำไกล |
มาเห็นถ้ำน้ำตาลงพรากพราก | แต่เพื่อนยากยังไม่เห็นว่าเปนไฉน |
จะไปเรือนเยือนเยี่ยมก็เจียมใจ | ขอสั่งไว้เถิดถ้ำที่ช้ำทรวง |
อันถ้ำนี้ที่มนุษย์หยุดกินน้ำ | มิใช่ถ้ำของอิเหนาถ้ำเขาหลวง |
เขาช่วยเล่าเถิดว่าเขาไม่ล่อลวง | แต่เขาหวงเขาห้ามต้องขามใจ |
จึงเขียนกลอนนอนค้างไว้ต่างพักตร์ | หวังประจักษ์มิ่งมิตรพิสมัย |
จะภิญโญโมทนาให้อาไภย | อย่าน้อยใจเลยถ้ำขออำลา |
แล้วลัดออกนอกลำเนาภูเขาหลวง | ดูเด่นดวงเดือนสว่างกลางเวหา |
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างที่กลางนา | เสียงปักษาเพรียกพลอดบนยอดตาล |
มาตามทางหว่างโตนดลิงโลดจิตร | แต่พวกศิษย์แสนสุขสนุกสนาน |
เห็นกระต่ายไล่โลดโดดทยาน | เสียงลูกตาลกรากตึงตลึงแล |
ต่างชิมชมดมเดินเจริญรื่น | เที่ยวชมชื่นเขตแขวงด้วยแสงแข |
ต่างลดเลี้ยวเที่ยวเด็ดดอกแคแตร | ได้เห็นแต่นกน้อยต้อยตีวิด |
สักสองยามตามทักล้วนปักษา | เสียงแจ้วจ้าจ้อยเจี๋ยวเตี๋ยวเตี๋ยวติด |
โอ้ฟังฟังหวังสวาทไม่ขาดคิด | ช่างไม่ผิดเสียงสาวชาวพริบพรี ฯ |
๏ แล้วเลี้ยวลงตรงหน้าวัดพระธาตุ | พอเดือนคลาดคล้อยจำรัสรัศมี |
ดูพระปรางค์กลางอารามก็งามดี | แต่ไม่มีเงาบ้างเปนอย่างไร |
สาธุสะพระมหาตถาคต | ยังปรากฏมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส |
พอไก่ขันวันทาลาครรไลย | ลงเรือใหญ่ล่องมาถึงธานี |
จึงจดหมายรายความตามสังเกต | ถิ่นประเทศแถวทางกลางวิถี |
ให้อ่านเล่นเปนเรื่องเมืองพริบพรี | ผู้ใดมีคุณก็ได้ไปแทนคุณ |
ทั้งผ้าหอมย้อมเหลืองได้เปลื้องห่ม | พระประธมที่ลำเนาภูเขาขุน |
กุศลนั้นบรรดาที่การุญ | รับส่วนบุญเอาเถิดท่านที่อ่านเอย ฯ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น