วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566

นางอุทัยเทวี

 




อุทัยเทวี เป็นนิทานพื้นบ้านของไทยเรื่องหนึ่ง โดยตัวละครเอกของเรื่องนี้คือ นางอุทัยเทวี หญิงสาวชาวบ้านที่มีเชื้อชาติเป็นพญานาค ต่อมาได้อภิเษกกับ เจ้าชายสุทธราช โอรสกษัตริย์แห่งการพนคร โดยมีบันทึกในลักษณะกลอนสวด (ประพันธ์ด้วยกาพย์สุรางคนาค์ 28 - กาพย์ยานี 11) ซึ่งได้รับความนิยมมากในอดีต แต่ในภายหลังก็มีการแต่งให้มีการเพิ่มเติมเนื้อเรื่องให้มีความวิจิตรพิศดารขึ้น เช่น การกลับชาติมาเกิด ฯลฯ เพื่อให้เหมาะกับการเล่าแบบนิทานชาดก
 

 เรื่อง อุทัยเทวี      
           กล่าวถึงนครบาดาลอันเป็นเขตปกครองของ พญานาคราช พระองค์ทรงมีพระมเหสีทรงพระนามว่าวิมาลา มีพระธิดาผู้มีสิริโฉมงดงามองค์หนึ่งนามว่า สมุทมาลา ซึ่งเป็นที่รักดังดวงตาดวงใจ 
เมื่อพระธิดาสมทมาลาเจริญวัยขึ้นถึงคราวจะได้คู่ครอง ธิดาพญานาคเกิดนึกอยากจะขึ้นไปเที่ยวเล่นบนเมืองมนุษย์ พญานาคและพระมเหสีจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง เนื่องด้วยเกรงว่าจะถูกพญาครุฑที่เป็นศัตรูเก่าจับตัวไป พญานาคราชจึงสั่งให้เหล่านางนาคพี่เลี้ยงคอยดูแลพระธิดาอย่าให้คลาดสายตา แต่ด้วยความดื้อรั้นในที่สุดนางสมุทมาลาก็แอบหนีขึ้นไปบนโลกพิภพจนได้แล้วแปลงตัวเป็นหญิงสาวสวย ขณะที่ธิดาพญานาคราชซึ่งแปลงร่างเป็นหญิงสาวกำลังเดินเล่นเที่ยวอยู่ในป่าตามลำพัง รุกขเทวดาเห็นความงามของนาง ก็มี ใจปฏิพัทธ์ จึงจำแลงกายเป็นมานพรูปงามลงมาหาแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้นางเป็นชายา ครั้นพระอินทร์ทราบเรื่องเห็นว่ารุกขเทวดาเอาแต่มัวเมาในความรักไม่ทำหน้าที่พิทักษ์ป่าตามที่ได้รับมอบหมาย จึงเรียกตัวไปสอบสวนและลงโทษให้ไปอยู่นอกฟ้าป่าหิมพานต์ ส่วนธิดาพญานาคเมื่ออยู่คนเดียวตามลำพังนางก็เกิดความหวั่นกลัว ครั้นจะกลับไปยังเมืองบาดาลก็เกรงว่าพระบิดาจะลงโทษเพราะบัดนี้ตนกำลังตั้งครรภ์อยู่ นางจึงตัดสินใจสำรอกลูกในท้องออกมาเป็นไข่ฟองหนึ่ง พร้อมพ่นพิษนาคคุ้มครองไว้ไม่ให้ไข่ถูกทำลาย แล้วใช้ผ้าสไบของตนห่อไข่ไว้พร้อมกับนำไปซุกไว้ในพงหญ้าริมหนองน้ำโดยถอดแหวนวิเศษไว้ให้ลูกในห่อนั้นด้วย ครั้นรออยู่อีกระยะหนึ่งเห็นว่ารุกขเทวดาไม่กลับมาหาตนแน่ นางจึงกลับไปอยู่ในบาดาลตามเดิม


             ขณะนั้นมีคางคกใหญ่ตัวหนึ่งกำลังหิวจนตาลาย ครั้นเห็นฟองไข่ของธิดาพญานาคด้วยความหิวคางคกก็รีบกินแล้วกลืนลงท้องทันที พิษของพญานาคทำให้คางคกตัวนั้นถึงแก่ความตาย เป็นเวลาเดียวกับที่ไข่ครบกำหนดคลอดพอดี พอเปลือกไข่แตกออกภายในก็มีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งออกมา เด็กน้อยจึงอาศัยอยู่ในซากคางคกตัวนั้น ด้วยเข้าใจว่าเป็นแม่ของตน ที่ชายป่าใกล้หนองน้ำแห่งนั้นมีกระท่อมปลูกอยู่หลังหนึ่ง เจ้าของเป็นชายชราชื่อว่า ตาโถถาด มีภรรยาชื่อว่า ยายกาวัล ทั้งสองมีฐานะยากจนไร้บุตรหลานคอยดูแล ต้องเก็บผักหักฟืนหาปูหาปลาเลี้ยงชีวิตกันตามลำพัง
              วันหนึ่งสองตายายมาช่วยกันหาปลาในหนองน้ำนั้น หากันตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่พบปลาสักตัวพบแต่ซากคางคกตัวเดียวเท่านั้น จึงจะโยนทิ้งแต่ซากคางคกนั้นกลับพูดขึ้นเป็นเสียงเด็กผู้หญิงบอกกับสองตายายว่า "ตาจ๋ายายจ๋าได้โปรดเมตตาสงสารหนู พาหนูไปอยู่ด้วยนะจ๊ะ" 
 สองตายายเกิดเมตตาสงสารเห็นว่าซากคางคกนั้นพูดภาษาคนได้ก็นำกลับบ้านไปด้วย วันนั้นสองตายายไม่มีอาหารเย็นเลย เพราะว่าจับปลาไม่ได้สักตัว จึงชวนกันไปเก็บผักจากข้างรั้วหมายจะนำมาทำอาหารกินกันตามมีตามเกิด เด็กหญิงลูกธิดาพญานาคจึงออกจากซากคางคก ใช้แหวนวิเศษที่แม่ทิ้งไว้ให้เนรมิตข้าวปลาอาหารล้วนแต่ของดีๆ ขึ้นมามากมาย แล้วรีบกลับเข้าไปหลบอยู่ในซากคางคกอย่างเดิม สองตายายกลับมาก็นึกแปลกใจว่าใครกันนะนำอาหารมาให้ วันรุ่งขึ้นสองตายายจึงได้แกล้งทำทีออกไปหาผักหาปลา แล้วย่องกลับมาแอบดูจึงรู้ความจริง จึงช่วยกันอ้อนวอนให้เด็กหญิงออกจากซากคางคกมาอยู่ข้างนอก่เสีย แต่เด็กหญิงลูกธิดาพญานาคยังอาลัยซากคางคกอยู่ จึงขอกลับไปอาศัยอยู่อย่างเดิม ตายายก็ตามใจ 

             15 ปีผ่านไป เด็กหญิงเติบโตเป็นสาว มีรูปร่างหน้าตางดงาม ผิวขาวเหมือนแสงอาทิตย์ยามอุทัย ตายายจึงได้ตั้งชื่อให้ว่า อุทัยเทวี 
วันหนึ่งถึงคราวที่จะได้พบเนื้อคู่ นางอุทัยเทวีนึกอยากไปทำบุญที่วัดจึงเนรมิตดอกไม้ธูปเทียนแล้วให้ตายายพาไป ความงามของนางเป็นที่ร่ำลือของผู้ที่ได้พบเห็นโดยเฉพาะหนุ่มๆ ในครั้งนั้นเผอิญ เจ้าชายสุทราชกุมาร โอรสท้าวการพ และ พระนางกาวิล ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองเมือง ได้มาเที่ยวงานบุญที่วัดด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้าชายทอดพระเนตรเห็นนางอุทัยเกิดมีใจรักใคร่เสน่หา จึงสั่งให้ข้าราชบริพารไปสืบเรื่องราวของหญิงสาวที่พบ ครั้นนางอุทัยเทวีเห็นมีคนตามมาถึงบ้านนางก็รีบเข้าไปซ่อนตัวในซากคางคก ทหารคนสนิทของเจ้าชายสุทราชกุมารสอบถามตายายว่า "นางที่ไปวัดกับตายายนางเป็นใครอยู่ที่ไหนหรือ" ตายายไม่ยอมบอกความจริง ทหารคนสนิทของเจ้าชายสุทราชกุมารจึงได้ข่มขู่ตายาย ว่าเจ้าชายต้องการตัวหลานสาวไปเป็นชายา ตายายได้ฟังดังนั้นก็โกรธที่ทหารของเจ้าชายมาแสดงอำนาจจึงบอกว่าจะยอมยกนางให้ก็ต่อเมื่อเจ้าชายสามารถสร้างสะพานเงินสะพานทองจากวังมาสู่ขอที่บ้านของตนเท่านั้น
        เมื่อพระเจ้าการพเจ้าเมืองฯ ทราบเรื่องทรงพิโรธยิ่งนักสั่งให้ทหารไปจับตัวสองตายายมาลงโทษฐานลบหลู่พระเกียรติยศ แต่พระนางกาวิลทูลคัดค้านเพราะเกรงว่าจะเป็นที่ครหา ด้วยไปขอลูกหลานชาวบ้านแต่เขาไม่ยกให้แล้วพาลหาเรื่องประหารเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พระเจ้าการพ เลยแก้เผ็ดด้วยการมีรับสั่งให้ตายายสร้างตำหนักเงินตำหนักทองรอรับเสด็จเจ้าชายภายใน 7 วัน หากสร้างเสร็จไม่ทันต้องมีโทษ นางอุทัยเทวีเห็นว่าสองตายายต้องมาเดือดร้อนเพราะตน เที่ยงคืนคืนนั้นจึงออกมาจากซากคางคกใช้แหวนวิเศษของธิดาพญานาคผู้เป็นมารดา เนรมิตปราสาทเงินปราสาททองที่พระเจ้าการพต้องการแล้วเสร็จในชั่วพริบตา 
      ฝ่ายเจ้าชายสุทราชกุมารด้วยความรักที่มีต่อนางอุทัยเทวีจึงอธิษฐานขอให้พระอินทร์มาช่วยเนรมิตสะพานเงินสะพานให้ พระอินทร์เล็งญาณวิเศษเห็นว่าทั้งสองคนเป็นเนื้อคู่กัน สร้างสมบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนจึงเนรมิตสะพานเงินสะพานทองให้ พระเจ้าการพเห็นว่าทั้งสองต่างเป็นผู้มีบุญญาธิการเสมอกัน จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางอุทัยเทวีเป็นราชเทวีของเจ้าชายสุทราชกุมารอย่างสมพระเกียรติ นางอุทัยเทวีได้เนรมิตสระน้ำไว้ริมพระราชวังเพื่อใช้เป็นที่สรงน้ำ เนื่องจากนางชอบเล่นน้ำตามเชื้อสายนาคราช  
กล่าวฝ่ายพระเจ้ากัญจาราช และพระนางสันตา แห่งจุโลมนคร พระธิดาของพระองค์คือเจ้าหญิงฉันนา เป็นคู่หมั้นกับเจ้าชายสุทราชกุมาร ด้วยพระเจ้าการพเคยให้สัญญากับพระเจ้ากัญจาราชไว้ว่า เมื่อพระราชบุตรและพระราชธิดาของทั้งสองถึงวัยครองเรือนก็จะให้อภิเษกสมรสกัน แต่เหตุการณ์ผ่านมาเนิ่นนานถึง 15 ปี จนพระเจ้าการพทรงลืมเลือน 
        พระเจ้ากัญจาราชจึงมีราชสาสน์มาทวงถาม พระเจ้าการพขอให้เจ้าชายสุทราชกุมารไปอภิเษกกับเจ้าหญิงฉันนาคู่หมั้นเดิม ด้วยเกรงว่าหากผิดใจกับพระเจ้ากัญจาราชอาจเกิดศึกสงครามขึ้นได้ ซึ่งเมืองการพเป็นเมืองเล็กกว่าย่อมเสียเปรียบ เจ้าชายสุทราชกุมารเกรงอาณาประชาราษฎร์จะเดือดร้อนจึงรีบนำความไปปรึกษากับนางอุทัยเทวี นางอุทัยเทวีเชื่อในน้ำพระทัยของเจ้าชายสุทราชกุมารและเห็นแก่บ้านเมืองก็อนุญาตให้พระสวามีไปอภิเษกสมรสตามข้อผูกมัด เจ้าชายสุทราชกุมารจึงได้ให้ช่างปั้นรูปเหมือนของตนไว้ให้นางอุทัยเทวี และนำรูปเหมือนของพระชายาไปยังจุโลมนครด้วยเพื่อเป็นที่ระลึก พร้อมรับสั่งว่าอีกไม่นานจะกลับมาหานางเช่นเดิม 
        หลังจากอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงฉันนาด้วยความจำเป็นแล้ว เจ้าชายสุทราชกุมารก็ไม่ได้สนใจไยดี ด้วยมีใจรักคงมั่นต่อนางอุทัยเทวีเท่านั้น เจ้าหญิงฉันนาเกิดความน้อยพระทัยเมื่อทราบความจริงจากข้าหลวงคนสนิทก็คิดริษยา จึงสั่งให้นำรูปนางอุทัยเทวีไปทิ้งน้ำเสีย แต่แทนที่เจ้าชายสุทราชกุมารจะลืมเลือนนางอันเป็นที่รัก กลับยิ่งเฝ้าเพ้อคร่ำครวญถึงแต่นางอุทัยเทวีไม่สร่างซา มิหนำซ้ำยังพลอยโกรธเคืองเจ้าหญิงฉันนาทำให้หมางเมินยิ่งกว่าแต่ก่อนเข้าไปอีก เจ้าหญิงฉันนายังไม่ยอมสำนึกตัวหันมาสร้างความดีเอาชนะใจเจ้าชาย กลับเชื่อแรงยุยงของข้าหลวงคนสนิท นางทำการว่าจ้างสองตายายผู้วิเศษให้ไปลวงจับเอานางอุทัยเทวีมากักขังไว้สองตายายขี่เรือพยนต์เหาะมาหานางอุทัยเทวีถึงเมืองการพแล้วลวงว่าเจ้าชายสุทราชกุมารให้มารับไปอยู่ด้วยกัน นางอุทัยเทวีหลงเชื่อจึงนั่งเรือไปกับสองตายาย นางจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าหญิงฉันนา ด้วยความแค้นเจ้าหญิงฉันนาสั่งให้เฆี่ยนนางอุทัยเทวีจนสลบ แล้วให้สองตายายเจ้าเล่ห์นำไปทิ้งแม่น้ำเพราะเข้าใจว่านางอุทัยเทวีนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว นางอุทัยเทวีมีเชื้อสายนาคราชพอร่างถูกน้ำนางก็ฟื้นขึ้นมา 
        ขณะนั้นเองแม่ค้าขายขนมพายเรือผ่านมาพบจึงช่วยเอาไว้ และพาไปเลี้ยงไว้ที่บ้านของตนซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ นางอุทัยเทวีอาสาพายเรือขายขนมแทนแม่ค้าโดยแปลงกายเป็นหญิงชราแต่มีผมดำสนิท แล้วพายเรือไปขายแถวท่าน้ำพระราชวังที่เจ้าชายสุทราชกุมารประทับอยู่ ส่วนเจ้าหญิงฉันนานั้นผลกรรมได้ตามสนองทำให้ผมหงอกขาวโพลนหมดทั้งศีรษะ นางข้าหลวงคนสนิทเห็นหญิงชราพายเรือมาขายขนมแต่มีผมดำสนิท จึงพาหญิงชรามาเฝ้าเจ้าหญิงฉันนาเพื่อให้ช่วยรักษาผมที่หงอกขาวให้ หญิงชราจึงโกนผมเจ้าหญิงฉันนาและเอาปลาร้าพอกจนทั่วแล้วใช้หม้อดินครอบเอาไว้ บอกว่าเป็นยาวิเศษอีก 7 วัน จะมาเอาหม้อที่ครอบไว้ออก ในที่สุดแผลที่ถูกมีดโกนผมบาดทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจนเจ้าหญิงฉันนาสิ้นใจในเวลาต่อมาเพราะหมอหลวงทำการรักษาไม่ทัน 
เจ้าชายสุทราชกุมารบวชอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าหญิงฉันนา เมื่อสึกแล้วจึงลาพระเจ้ากัญจาราชกลับไปยังเมืองการพของตนตามเดิม พระเจ้าการพได้มอบราชสมบัติให้เจ้าชายสุทราชกุมารและนางอุทัยเทวีครอบครอง บ้านเมืองก็สงบสุขเจริญรุ่งเรืองนับแต่นั้นมา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เนื้อเพลง