วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

เครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้ว ของเก่าสะสม / ประวัติเครื่องพิมพ์ดีด

 




วันนี้เป็นสาวออฟฟิศ ใช้เครื่องพิมพ์ดีดสักวันนะคะ ..
รุ่นนี้เป็นเครื่องพิมพ์ดีด Marathon แบบกระเป๋าหิ้ว ่ภาษาไทย ขนาดกระทัดรัดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ตอนซื้อมาใหม่ๆ จะเป็นสีนวลๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นสีเหลือแล้วค่ะ สีก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สภาพทั่วไปก็ยังคงใช้งานได้อยู่นะคะ เพียงแต่ต้องหาผ้าหมึกมาเปลี่ยนใหม่ ผ้าหมึกที่มีอยู่นี้สีจางจนแทบมองไม่เห็นแล้วค่ะ ..

ไหนๆ ก็พูดถึงเครื่องพิมพ์ดีแล้ว 
เราไปฟังประวัติความเป็นมากันหน่อยนะคะ ..

เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกเป็นแบบภาษาอังกฤษจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อปีพ.ศ.2257 ณประเทศอังกฤษโดยวิศวกรชื่อเฮนรี่มิลโดยใช้ชื่อว่า Writing Machine 

ต่อจากนั้นนายวิลเลี่ยมออสตินเบิทชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์เครื่องเขียนหนังสือใช้ชื่อว่า Typographer เครื่องมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมทำด้วยไม้ทั้งสิ้น


พ.ศ. 2376  ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์เครื่องเขียนหนังสือสำหรับคนตาบอด เครื่องนี้ประกอบด้วยที่รวมของแป้นอักษรเมื่อเคาะลงไปบนแป้นอักษรจะดีดก้านอักษรตีไปที่จุดศูนย์กลาง

พ.ศ.2416 มีการผลิตเครื่องพิมพ์ดีดแบบมาตรฐานออกสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกา มีหลายต่อหลายยี่ห้อ มีเครื่องพิมพ์ดีดที่ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายเพียง 4-5 ยี่ห้อคือรอยัลเรมิงตันไอบีเอ็มสมิธโคโรน่าและอันเดอร์วูด

ส่วนในยุโรปมีนักประดิษฐ์ทำเครื่องพิมพ์ดีดออกจำหน่ายหลายยี่ห้อเช่นกัน ในเยอรมันนีมีโอลิมเปียแอดเลอร์ออบติม่านอิตาลีมีโอลิวิตตี้ในฮอลแลนด์มีเฮร์เมสเป็นต้น

ในประเทศไทย
นายเอดวินแมคฟาร์แลนด์เลขานุการส่วนพระองค์ของสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงธรรมการเดินทางไปสหรัฐอเมริกามีแนวความคิดที่จะดัดแปลงเครื่องพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษเป็นเครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทย ต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีดที่มีแป้นอักษรมากกว่าชนิดอื่นในที่สุดก็เลือกได้ยี่ห้อสมิทฟรีเมียร์
เมื่อพ.ศ 2438 นายเอดวินแมคฟาร์แลนด์ก็ถึงแก่กรรมแต่ในขณะที่ป่วยอยู่ได้มอบหมายให้หมอยอร์ชบีแมคฟาร์แลนด์ (พระอาจวิทยาคม) น้องชายหาวิธีแก้ไขปรับปรุงและแพร่เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยให้กว้างขวางต่อไปพระอาจวิทยาคม ๆ มีประชาชนและข้าราชการที่ไปทำฟันได้พบเห็นและได้รับคำแนะนำจำนวนมากต่อมาหน่วยราชการต่างก็สั่งซื้อจำนวนมากโดยท่านได้สั่งให้โรงงานสมิทฟรีเมียร์ในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตและส่งมาถึงเมืองไทยรุ่นแรกพศ. 2440


ต่อมาในปีพ.ศ 2467 พระอาจวิทยาคมได้ปรึกษาและทำการค้นคว้ากับพนักงานบริษัท 2 คนคือนายสวัสดิ์มากประยูรและนายสุวรรณประเสริฐ (กิมเฮง) เกษมณีโดยนายสวัสดิ์มากประยูรเป็นวิศวกรออกแบบประดิษฐ์ตัวอักษรนายสุวรรณประเสริฐ (กิมเฮง) ทำหน้าที่ฝ่ายวิชาการใช้เวลา 7 ปีก็วางแป้นอักษรใหม่สำเร็จและเห็นว่าเหมาะสมที่สุดในพศ. 2474 สามารถพิมพ์ได้ถนัดที่สุดและรวดเร็วที่สุดให้ชื่อว่าแบบ “เกษมณี” และใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้

ต่อมาได้มีผู้วิจัยพบว่าเครื่องพิมพ์ดีดแบบเกษมณียังมีข้อบกพร่องและคิดวางแป้นอักษรใหม่ใช้ชื่อว่าและสภาวิจัยแห่งชาติตรวจสอบแล้วเห็นว่าเครื่องพิมพ์ดีดแบบปัตตะโชติ “ปัตตะโชติ” 258% ในระหว่างปีพ.ศ 2508-2516 ทำให้วงการใช้เครื่องพิมพ์ดีดเกิดความสับสนคณะรัฐมนตรีลงมติให้หน่วยราชการที่ได้รับงบประมาณค่าเครื่องพิมพ์ดีดจัดซื้อเครื่องพิมพ์ดีดไทยแบบปัตตะโชติหลังวันที่ 16 ตุลาคม 2516





 

แป้นพิมพ์เกษมณี


แป้นพิมพ์ปัตตะโชติ

จะสังเกตุเห็นว่าแป้นพิมพ์ไม่มี  ฃ (ขวด) และ ฅ (คน) คงเนื่องมาจจากก้านอักษรมีไม่พอกับจำนวนสระพยัญชนะและวรรณยุกต์ในภาษาไทย จึงต้องตัดคำบางคำ หรือเครื่องหมายบางตัวออกไปบ้าง




วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2565

สายตาโกหก เนื้อเพลง

โปรดทำใจเป็นกลางฟังฉัน
และใคร่ครวญทบทวนดูใหม่

คิดดูว่ามีใครที่ไหน

ห่วงใยจริงใจอย่างฉัน

อย่าปิดบังไปเลยคนดี

ก็ตาเธอฟ้องใจเธอนั่น

ว่าใจเธอมีใครผูกพัน

เพิ่มเติมมาอีกคน

จะฟูมฟายร้องไห้ครวญคร่ำทำไม

รักใครก็พูดออกไปไม่ต้องปิดบัง

ใครที่เธอรักและมีใจให้กัน

นั้นคือคนใดบอกได้ไหม

หากใจเธอรักเขาก็โปรดลืมฉัน

มิต้องมาห่วงใยกันฉันพร้อมจากไป

เพียงเพื่อเธออย่างไรฉันยอมเสมอ

อย่าปิดบังไปเลยคนดี
ก็ดวงตาฟ้องใจเธอนั่น
ว่าเธอกำลังโกหกฉัน
สายตาเธอส่อแวว

จะฟูมฟายร้องไห้ครวญคร่ำทำไม

รักใครก็พูดออกไปไม่ต้องปิดบัง

ใครที่เธอรักและมีใจให้กัน

นั้นคือคนใดบอกได้ไหม

หากใจเธอรักเขาก็โปรดลืมฉัน

มิต้องมาห่วงใยกันฉันพร้อมจากไป

เพียงเพื่อเธออย่างไรฉันยอมเสมอ

อย่าปิดบังไปเลยคนดี
ก็ดวงตาฟ้องใจเธอนั่น
ว่าเธอกำลังโกหกฉัน
สายตาเธอส่อแวว

***

โน้ตเพลง Broken heart Woman ท่อน 1 - ร - ม - ซ - ซ ซ - - ล - ท - - - - - ท รํ มํ มํ - ฟํ# - - มํ รํ - ท - - - - รํ - ล - - - ล ซ ม ร ม - - - - - ร - ซ - - - ซ - ล - ล - - - ร - ม - ซ - ซ ซ - - ล - ท - - - - - ท รํ มํ มํ - ฟํ# - - มํ รํ - ท - - - - รํ - ล - - - ล ซ ม ร ม - - - - - ซ - ฟ# - - - ม - ร - ม - - ท่อน 2 - ซ - ล - ท - รํ - ท ล ซ ล ท - มํ - ท ล ซ ล ท ฟํ# - - - ท รํ มํ - - - มํ - รํ - มํ - รํ มํ - - รํ - ท - - - - - รํ - ล - - - ซ - ล - ท - - - - ซ - ล - ท - รํ - ท ล ซ ล ท - มํ - ท ล ซ ล ท ฟํ# - - - ท รํ มํ - - - มํ - รํ - มํ - - - - - ซํ - ซํ - ซํ มํ - รํ ท - รํ - - - - - - - - - ร - ม - ซ - ซ ซ - - ล - ท - - - - - ท รํ มํ มํ - ฟํ# - - มํ รํ - ท - - - - รํ - ล - - - ล ซ ม ร ม - - - - - ซ - ฟ# - - - ม - ร - ม - -


วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2565

หนองหาร ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ อันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากบึงบระเพ็ด

และอันดับ 1 ในภาคอีสาน มีเนื้อที่กว่า 77,000 ไร่

ความลึกเฉลี่ยประมาณ 2.0-10.0 เมตร มีเกาะน้อยใหญ่ เกือบ 30 เกาะ
ความเชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

 
มีตำนานมากมายเกี่ยวกับพญานาคหนึ่งในนั้นคือ
" ตำนานผาแดง นางไอ่"

      ครั้งหนึ่งยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อ นครเอกชะทีตา มีพระยาขอมเป็นกษัตริย์ ปกครองเมืองด้วยความร่มเย็น พระยาขอมมีพระธิดาสาวสวยนามว่า "นางไอ่คำ" ซึ่งเป็นที่รักและหวงแหนมาก พระยาขอมจึงสร้างปราสาท 7 ชั้นให้อยู่ พร้อมเหล่าสนม นางกำนัล ให้คอยดูแลนางอย่างดี

ความงามของนางเป็นที่เลืองลือไปทั่ว เป็นที่หมายปองของบรรดาเจ้าชายเมืองต่างๆ มากมาย

ขณะเดียวกันยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อ เมืองผาโพง มีเจ้าชายนามว่า ท้าวผาแดง เป็นกษัตริย์ ปกครองอยู่ ท้าวผาแดงได้ยิน กิตติศัพท์ความงามของธิดาไอ่คำก็ใคร่อยากจะเห็นหน้า จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้า พเนจรมาจนถึงนครเอกชะทีตา ก็ให้มหาดเล็กนำของขวัญลอบ เข้าไป ให้นางไอ่คำ เมื่อมหาดเล็กนำสิ่งของไปมอบให้และเล่าถึงความงามของท้าวผาแดงให้นางไอ่คำฟัง นางก็เกิดความพึงพอใจ และฝากเครื่องบรรณาการไปให้ท้าวผาแดงเป็นการตอบแทนด้วยเช่นกัน ก่อนที่มหาดเล็กจะเดินทางกลับ นางไอ่คำได้ฝากคำกล่าวเชิญท้าวผาแดงซึ่งรออยู่นอกเมืองให้เข้าไปในเมืองขอมเพื่อพบกับนางด้วย ทันทีที่ทั้งสองได้พบกันก็เกิดเป็นความรักขึ้นมา

            กล่าวถึง “ท้าวพังคี โอรสของ “ท้าวสุทโธนาคราช เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ท้าวพังคีก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเห็นความงามของนางไอ่คำ ด้วยเช่นกัน 

อาจจะเป็นเพราะผลกรรมที่ทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนก็เป็นได้ ด้วยท้าวพังคีได้เคยเกิดเป็นชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ยากจนและเป็นใบ้ เขาเดินขอทานไปตามหมู่บ้านต่างๆ จนมาถึงบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง จึงได้ไปขออาศัยอยู่และช่วยเศรษฐีทำงานโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เศรษฐีพอใจและรักใคร่เป็นอย่างมากถึงกับยกลูกสาวคนหนึ่งให้แต่งงานเป็นภรรยา ซึ่งก็คือนางไอ่คำในชาติปัจจุบัน เมื่อแต่งงานแล้วชายหนุ่มแทนที่จะดูแลรักใคร่ภรรยาของตน เขากลับไม่สนใจใยดีนางเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยหลับนอนด้วยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนภรรยาก็ไม่เคยปริปากบอกใครเฝ้าปรนนิบัติสามีด้วยดีเสมอมา

            กระทั่งวันหนึ่งชายหนุ่มเกิดคิดถึงบ้าน จึงขอพาภรรยาเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านของตน เศรษฐีจึงให้บ่าวไพร่เตรียมเสบียงอาหารให้ในการเดินทาง ตลอดทางชายหนุ่มไม่สนใจดูแลนางอีกเช่นเคย และด้วยระยะทางที่ไกลมาก ทำให้เสบียงที่เตรียมมาหมดลงกลางทาง ทั้งสองรู้สึกหิวมาก ขณะนั้นเองเขาก็เห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งมีผลสุกเต็มต้นเขาจึงปีนขึ้นไปเก็บกินด้วยความหิว โดยไม่คิดจะเก็บลงมาแบ่งให้นางบ้าง เมื่อสามีปีนลงมาจากต้นมะเดื่อ นางจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปเก็บกินเอง เมื่อกินอิ่มแล้วนางก็ปีนกลับลงมาจากต้นมะเดื่อ แต่ทว่านางกลับไม่พบสามีเสียแล้ว นางรู้สึกทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง นางจึงเดินไปเพียงลำพัง พอเดินมาถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง นางจึงลงไปอาบน้ำและดื่มกินจนรู้สดชื่น การที่สามีทำกับนางเช่นนี้นางรู้สึกเสียใจมาก นางจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ชาติหน้าเมื่อเขาเกิดมา ขอให้นอนตายอยู่บนกิ่งไม้ อย่าได้เป็นสามีภรรยากันอีกเลย ด้วยแรงอธิษฐานของนาง ในชาติต่อมาสามีของนางจึงเกิดมาเป็นท้าวพังคี ส่วนนางได้เกิดมาเป็นนางไอ่คำ

เมื่อนางไอ่คำเติบโตเป็นสาว พระยาขอมผู้เป็นบิดาได้มีประกาศแจ้งข่าวไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ให้จัดบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันเพื่อบูชาพระยาแถนให้บันดาลฝนตกลงมาตามฤดูกาล และหากบั้งไฟของผู้ใดขึ้นสูงกว่า คนๆ นั้นจะได้แต่งงานกีบนางไอ่คำ โดยกำหนดวันขึ้น 15 เดือน 6 เป็นวันงาน ในวันงานมีเจ้าชายจากเมืองน้อยใหญ่ส่งบั้งไฟมาแข่งกันมากมาย มีผู้คนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก 
ท้าวผาแดงก็ได้นำบั้งไฟมาร่วมด้วย พระยาขอมให้การต้อนรับท้าวผาแดงเป็นอย่างดี ฝ่ายท้าวพังคีโอรสเจ้าเมืองบาดาล รู้ข่าวอยากมาร่วมงานที่เมืองมนุษย์ด้วย ท้าวบาดาลผู้เป็นบิดาห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ก่อนเดินทางมาถึงเมืองเอกชะทีตา ท้าวพังคีสั่งให้บริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง ส่วนตนเองแปลงร่างเป็นกระรอกเผือก ออกติดตามชมความงามของนางไอ่คำในขบวนแห่ของเจ้าเมืองไปอย่างหลงใหล

         การแข่งขันบั้งไฟเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ซึ่งการแข่งขันบั้งไฟครั้งนั้น พระยาขอมประกาศว่า ถ้าบั้งไฟของใครชนะบั้งไฟของพระยาขอมได้ พระยาขอมจะยกนางไอ่คำให้เป็นคู่ครอง ผลการแข่งขันปรากฏว่าไม่มีบั้งไฟของใครชนะพระยาขอมได้เลย  ส่วนบั้งไฟของท้าวผาแดง จุดไม่ขึ้นพ่นควันดำอยู่ 3 วัน 3 คืน จึงระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ความหวังท้าวผาแดงหมดสิ้นลง การแข่งขันเพื่อได้นางไอ่คำเป็นรางวัลจึงต้องล้มเลิกไป

            เมื่องานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้ว ท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลไม่ได้ เพราะหลงใหลในความงามของนางไอ่คำจึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอีกครั้งและแขวนกระดิ่งทองไว่ที่คอไว้ เมื่อกระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่ กระดิ่งทองมีเสียงดังกังวาลขึ้น นางไอ่ได้ยินเสียงก็เกิดความสงสัยเปิดหน้าต่างออกไปเห็นกระรอกเผือกและเกิดอยากได้ นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย นายพรานออกติดตามกระรอกเผือกตามไปติดๆ แต่ยังจับไม่ได้สักที จึงไล่ตามไปเรื่อยๆ จนมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้น กระรอกเผือกก้มหน้าก้มตากินผลมะเดื่อด้วยความหิว และด้วยกรรมในชาติปางก่อน ในที่สุดพรานจึงได้โอกาสยิ่งกระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งมีลูกดอกอาบยาพิษ

            เวลานั้นท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้ตัวว่าตนเองต้องตายแน่ๆ จึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาทราบก่อนตาย และตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคนทั้งเมืองได้ทั่วถึง เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตายร่างของกระรอกเผือกก็ใหญ่โตขึ้น นายพรานได้ชำแหละเนื้อกระรอกเผือกแจกจ่ายไปให้ผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงกินโดยทั่วกัน ยกเว้นเหล่าแม่ม่ายที่ชาวบ้านรังเกียจไม่ให้เนื้อกระรอกกิน เมื่อบริวารไปบอกท้าวสุทโธนาคราช เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ก็ทรงโกรธแค้นมาก จึ่งสั่งบ่าวไพร่จัดพลขึ้นไปอาละวาดเมืองพระยาขอมให้ถล่มทลายด้วยความแค้น ใครที่กินเนื้อกระรอกให้ฆ่าเสียให้หมด ขณะที่พญานาคออกอาละวาดทำลายบ้านเมืองอยู่นั้น ท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า “บักสาม” มุ่งหน้าไปหานางไอ่คำ ระหว่างทางเห็นพญานาคเต็มไปหมด และเล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่คำฟัง แต่นางไม่สนใจและนำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ท้าวผาแดงกิน ท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไร นางตอบว่า เป็นเนื้อกระรอกเผือก ท้าวผาแดงจึงไม่ยอมกิน

พอตกกลางคืนเหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จู่ๆ แผ่นดินเมืองเอกชะทีตาก็ถล่มทลายลง  ท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาคจึงคว้าแขนนางไอ่คำขึ้นหลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองเพื่อให้ปลอดภัย แต่เนื่องจากนางไอ่คำกินเนื้อกระรอกเผือกเข้าไป แม้จะหนีไปทางไหนก็ถูกพวกพญานาคติดตามไปอย่างไม่ลดละในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินทันทีนางไอ่จมดินหายไปต่อหน้าต่อตา 

ส่วนท้าวผาแดงเมื่อกลับถึงเมืองผาโพง เกิดตรอมใจคิดถึงนางไอ่คำตลอดเวลา จนล้มป่วยตรอมใจตายตามนางไอ่คำไป 

เมื่อท้าวผาแดงตายไปเป็นผี มีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วาย ครั้นมีโอกาสเหมาะ ผีท้าวผาแดงได้รวบรวมบริวารกองทัพผีเป็นแสนๆ ไปรบกับพญานาคให้หายแค้น โดยล้อมเมืองบาดาลไว้รอบด้าน ผีท้าวผาแดงและท้าวสุทโธนาคราชเจ้าเมืองบาดาล ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่มีใครแพ้ใครชนะ ฝ่ายเจ้าเมืองบาดาล ซึ่งแก่ชรามากแล้วไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไป เพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรย จึงไปขอร้อง ท้าวเวสสุวัณ ผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินให้ ท้าวเวสสุวัณทราบว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่า จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกัน อโหสิกรรมให้กัน เมื่อผีท้าวผาแดงและพญานาคราชได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณก็เข้าใจ เหตุการณ์ทั้งหมดจึงยุติลงนับแต่นั้นมา

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

โสนน้อยเรือนงาม

     

     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ. นครแก้วนพรัตน์ เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งซึ่งปกครองโดยท้าวกาลศึกและพระมเหสีประไพลักษณา  ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสรูปงาม  พระนามว่า พระวิจิตรจินดา ครั้นพระวิจิตรจินดาเจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่นได้ขออนุญาตพระบิดาและพระมารดาไปประพาสป่า

    พระวิจิตรจินดาชมนกชมไม้  จนกระทั่งเดินมาถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง  จึงสั่งให้เสนาอำมาตย์และทหารหยุดพัก  ส่วนพระองค์ไปนั่งพักบนแท่นศิลาใต้ต้นไทร  ทันใดนั้นพระองค์ก็ล้มลงและสิ้นพระชนม์ทันที

   เหล่าทหารต่างตกใจรีบพากันเข้าไปช่วยนวดเฟ้นแต่ก็ไม่สามารถทำให้พระวิจิตรจินดารู้สึกพระองค์เสนาอำมาตย์จึงสั่งให้ทหารกลับไปแจ้งข่าวร้ายให้พระราชาและพระมเหสีทราบ  ทั้งสองพระองค์ฟังเรื่องราวด้วยความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก

   ท้าวกาลศึกสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่จัดขบวนไปอัญเชิญพระศพกลับพระนคร  เมื่อมาถึง  ท้าวกาลศึกเห็นพระศพและแปลกใจที่พระโอรสสิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุ  จึงให้โหรหลวงทำนายดวงชะตาของพระโอรส

   โหรหลวงกราบทูลว่า   เมื่อชาติปางก่อน  พระโอรสเคยฆ่าพญานาคตาย พญานาคคิดอาฆาตพยาบาท  จึงมาคายพิษไว้บนแท่งศิลาเพื่อรอเวลาแก้แค้น  เมื่อพระโอรสประทับบนแท่นศิลาจึกถูกพิษร้ายของพญานาค  ทำให้สิ้นพระชนม์  ซึ่งถือเป็นการชดใช้หนี้กรรมเก่าที่พระองค์ได้กระทำไว้

   โหรหลวงกราบทูบต่อว่าพระโอรสมีโอกาสฟื้นโดยจากนี้ไปอีกเจ็ดปี  จะมีพระธิดาจากต่างเมืองมาช่วยชุบชีวิต   กษัตริย์ทั้งสองจึงนำพระศพของพระโอรสตั้งไว้บนพลับพลาในพระราชอุทยานเพื่อรอคอยพระธิดาจากต่างเมืองมาช่วย

   กล่าวถึงนครโรมวิสัย  มีพระราชาปกครองนคร  พระนามว่า ท้าวหัสวิชัยและพระมเหสีคู่พระทัยพระนามว่า เกศิณี ต่อมานางได้ให้กำเนิดพระธิดาพร้อมมีเรือนไม้โสนติดมาด้วย  ท้าวหัสวิชัยจึงประทานนามให้ว่า โสนน้อยเรือนงาม

   ต่อมาเมื่อพระธิดาโสนน้อยเจริญวัยได้สิบห้าปีบ้านเมืองเกิดข้าวยากหมากแพง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล  ท้าวหัสวิชัยให้โหรหลวงทำนาย พบว่าบัดนี้ดวงชะตาพระธิดาเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมืองหากให้อยู่ในพระนครต่อไปราษฎรจะได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส   กษัตริษย์ทั้งสองตกใจมากแต่ไม่มีทางเลือกอื่นใด  เพื่อหพระธิดาโสนน้อยเห็นแก่บ้านเมืองและราษฎร   จึงให้ออกจากพระนครไปก่อน

   พระธิดาโสนน้อยแต่งเป็นหญิงชาวบ้านพร้อมนำเครื่องทรงห่อผ้าออกเดินทางเข้าป่าเพียงลำพัง           กล่าวถึงพระอินทร์บนสวรรค์ เห็นว่าพระธิดาโสนน้อยกำลังตกระกำลำบาก  จึงแปลงกายเป็นชีปะขาวลงมาช่วยและมอบยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟี้นขึ้นมาได้

   ระหว่างทาง   พระธิดาโสนน้อยได้พบหญิงชาวป่าคนหนึ่งถูกงูกัดนอนตายอยู่  พระธิดาเกิดความสงสารจำนำยาวิเศษชโลมที่บาดแผลทำให้หญิงสาวฟื้นขึ้นมา  นางขอบใจพระธิดาโสนน้อยที่ช่วยชีวิตตนไว้และขอติดตามเป็นทาสรับใช้และแนะนำตนเองว่าชื่อ  กุลา

  แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางจนกระทั่งถึงเมืองแก้วนพรัตน์และได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระวิจิตรจินดา  พระธิดาโสนน้อยจึงขออาสารักษาพระโอรส ทหารจึงพาหญิงสาวทั้งสองเข้าเฝ้าพระราชและพระมเหสี  พระธิดาโสนน้อยกราบทูลว่านางเป็นธิดากษัตริย์แห่งนครโรมวิสัยชื่อโสนน้อยเรือนงามและกุลาเป็นสาวใช้ผู้ติดตาม

   ก่อนเริ่มพิธี  พระธิดาโสนน้อยนำเครื่องทรงมาสวมใส่แล้วนำยาวิเศษไปชโลมตัวพระวิจิตรจินดาเมื่อยาออกฤทธิ์   พิษของพญานาคก็เป็นไอออกมา  พระธิดาโสนน้อยรู้สึกร้อนไปทั่วกายจึกถอดเครื่องทรงและฝากผอบยาไว้กับกุลาแล้วออกไปอาบน้ำ

   ฝ่านกุลาเห็นพระวิจิตรจินดารูปงามก็เกิดหลงรักจึงคิดแผนร้ายปลอมเป็นพระธิดาโสนน้อย       เมื่อพระธิดาโสนน้อยชำระร่างกายเสร็จแล้วกลับเข้าไปเห็นกุลาแต่งเครื่องทรง  จึงถามกุลาว่าทำไมเอาเปาเสื้อผ้าของนางมาใส่  กุลากลัวพระวิจตรจินดารู้ความจริง  จึงด่าว่าพระธิดาโสนน้อยว่านางเป็นเพียงททาวรับใช้ชื่อกุลา  พระธิดารู้สึกเสียทีกุลาแล้วจำต้องนิ่งเงียบ

   พระวิจิตรจินดาและพระบิดาและพระมารดาก็ยังมีความสงสัยในนางกุลา จึงให้นางเย็บกระทงใบตองถวาย นางกุลาทำไม่ได้โยนใบตองทิ้งไป โสนน้อยเรือนงามเก็บใบตองมาเย็บเป็นกระทงสวยงาม นางกุลาก็แย้งไปถวายพระราชบิดามารดาของพระวิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษกกับนางกุลาจึงขอลาพระบิดาพระมารดาไปเที่ยวทางทะเล พระบิดาพระมารดาให้นางกุลาย้อมผ้าผูกเรือ นางกุลาก็ทำไม่เป็น โยนผ้าและสีทิ้ง โสนน้อยเรือนงามเก็บผ้าและสีไปย้อมได้สีงดงาม นางกุลาก็แย้งนำไปถวายพระบิดาพระมารดาอีก
    เมื่อพระวิจิตรจินดาจะออกเรือก็ปรากฎว่าเรือไม่เคลื่อนที่พระวิจิตรจินดาทรงคิดว่าคงมีผู้มีบุญในวังต้องการฝากซื้อของ เรือจึงไม่เคลื่อนที่จึงให้ทหารมาถามรายการของที่คนในวังจะฝากซื้อ ทุกคนก็ได้มีโอกาสฝากซื้อ แต่โสนน้อยเรือนงามอยู่ใต้ถุนถึงไม่มีใครไปถาม เรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารกลับไปค้นหาคนในวังที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของ ทหารจึงได้ไปค้นหานางโสนน้อยเรือนงามได้ นางจึงฝากซื้อ " โสนน้อยเรือนงาม " เมือพระวิจิตรจินดาเดินทางไป ลมก็บันดาลให้พัดไปยังเมืองโรมวิสัยของพระบิดาของโสนน้อยเรือนงาม พระวิจิตรจินดาซื้อของฝากได้จนครบทุกคน ยกเว้นโสนน้อยเรื่อนงาม พระวิจิตรจินดาจึงสอบถามจากชาวเมือง ชาวเมืองบอกว่าโสนน้อยเรือนงามมีอยู่แต่ในวังเท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงเข้าไปในวังและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงามไปให้นางข้าทาส พระบิดาของโสนน้อยเรือนงามทรงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาส ก็ทรงทราบว่าเป็นพระธิดา จึงมอบโสนน้อนเรือนงามให้พระวิจิตรจินดาและให้ทหารตามมาสองคน.
    เมื่อพระวิจิตรจินดากลับถึงบ้านเมือง ทหารสองคนก็ไปทำความเคารพนางโสนน้อยเรือนงาม และเรือนวิเศษก็ขยายเป็นเรือนใหญ่มีข้าวของเครื่องใช้พระธิดาครบถ้วน โสนน้อยเรือนงามก็เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น พระวิจิตรจินดาจึงแน่ใจว่าโสนน้อยเรือนงามเป็นพระราชธิดาที่รักษาตน จึงจะฆ่านางกุลาแต่โสนน้อยเรือนงามขอชีวิตไว้ พระวิจิตรจินดาก็ได้อภิเษกกับนางโสนน้อยเรือนงาม ชาวเมืองทุกคนต่างร่วมแสดงความยินดีกับทั้งสองพระองค์


    หลายเดือนผ่านไป  พระวิจิตรจินดาพาพระธิดาโสนน้อยกลับไปเยี่ยมพระบิดาและพระมารดาที่นครโรมวิสัยโดยทางเรือ  ระหว่างทางเกิดพายุอย่างแรงทำให้เรือถล่ม  พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยถูกกระแสน้ำพัดไปคนละทิศละทาง   พระธิดาโสนน้อยถูกพัดขึ้นชายฝั่งเขตชาตแดนเมืองยักษ์ที่มีท้าวจตุรพักตร์และพระมเหสีสร้องทองปกครอง นางออกตามหาพระสวามีจนเจอกับเงาะหญิงที่กำลังร่ำไห้กับศพของเงาะชายผู้เป็นสามี  จึงเข้ามาช่วยชุบชีวิตเงาะชายให้ฟื้นเงาะทั้งสองดีใจมากขอเป็นทาสรับใช้และช่วยตามหาพระวิจิตรจินดา

      วันหนึ่ง  ท้าวจตุรพักตร์ออกมาหาอาหารจได้เจอพระธิดาโสนน้อยและเงาะทั้งสอง   จึงจับทั้งสามไปขังไว้  ท้าวจตุรพักตร์เห็นความงามของพระธิดาโสนน้อยก็เกิดหลงรัก  จึงจับนางไปขังไว้ในปราสาท ขณะที่ท้าวจตุรพักตร์พูดหว่านล้อมให้พระธิดาโสนน้อยยอมเป็นพระชายา  และหมายจะแตะเนื้อต้องตัวพระธิดา แต่พระธิดาโสนน้อยไม่ยอมจึงทำให้ท้าวจตุรพักตร์โกรธมากที่ทำอะไรไม่ได้  จึงสั่งทหารให้นำเอาพระธิดาโสนน้อย   ไปขังไว้บนหอคอย

      กล่าวถึงพระวิจิตรจินดา ซึ่งถูกพัดไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ขณะที่ออกตามหาพระธิดาโสนน้อยได้เจอกับพระฤๅษี พระฤๅษีทราบเรื่องทั้งหมดด้วยญาณวิเศษ จึงบอกให้พระวิจิตรจินดารีบไปช่วยพระธิดาโสนน้อยซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายที่เมืองจตุรพักตร์แล้วพระฤๅษีก็ช่วยชี้ทางไปเมืองยักษ์  พระวิจิตรจินดาเดินทางมาถึงเมืองจตุรพักตร์เกิดการต่อสู้กับเหล่าทหารยักษ์  ซึ่งสู่พระวิจิตจินดาไม่ได้ ล้มตายเป็นจำนวนมาก หนึ่งในทหารหนีรอดไปรายงานท้าวจุตรพักตร์ ท้าวจุตรพักตร์โกรธมาก จึงออกมาสู้กับพระวิจิตรจินดา แต่พลาดท่าเสียทีถูกพระวิจิตรจินดาใช้พระขรรค์แทงตาย

     หลังจากนั้น  พระวิจิตรจินดาเข้าไปช่วยพระธิดาโสนน้อยและเงาะทั้งสอง  ก่อนออกเดินทางพระธิดาโสนน้อยได้ใช้ยาวิเศษช่วยชุบชีวิตของท้าวจตุรพักตร์ให้ฟื้นขึ้นมา  พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยก็ออกเดินทางไปยังนครโรมวิสัย  ส่วนเงาะทั้งสองก็แยกกลับเข้าไปอยู่ในป่าพระวิจิตรจินดาพาพระธิดาโสนน้อยมาถึงเมืองโรมวิสัยและพักผ่อนได้ระยะหนึ่ง  ทั้งสองก็ทูลลากลับนครแก้วนพรัตน์

    พระวิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยครองรักกันอย่างมีความสุข  จนกระทั่งวันหนึ่ง กลาได้คิดแผนให่พระวิจิตรจินดาเข้าใจพระธิดาโสนน้อยผิด  จึงจับงูพิษมาใส่กล่องไม้จันทน์หอมแล้วนำเอามาให้พระธิดาโสนน้อยพร้อมบอกว่ากล่องนี้มีของวิเศษ ให้นำถวายพระวิจิตรจินดา     พระธิดาโสนน้อยหลงเชื่อกุลา  เมื่อถึงเวลาเข้าบรรทม  จึงมอบกล่องเห็นเป็นงูพิษคิดว่านางต้องการฆ่าตน  จึงเนรเทศพระธิดาโสนน้อยและกุลาให้ออกจากพระนคร  แม้ว่านางว่าอธิบายความจริงให้ฟังอย่างไร พระองค์ก็ไม่เชื่อ

     พระธิดาโสนน้อยจำต้องออกจากพระนครพร้อมลูกในครรภ์โดนมีกุลาติดตามไปด้วย  ทั้งสองเดินทางมาจนพบพระฤๅษีปู่เจ้า  จึงขอนั่งพักเหนื่อยระหว่างนั้น  กุลาเดินไปพบบ่อน้ำสองบ่อ ซึ่งเป็นน้ำสีเหลืองและสีดำ นางสงสัยเลยเอานิ้วจุ่มลงในบ่ปรากฎว่าเอามือจุ่มลงน้ำสีดำเกิดเป็นแผลออกร้อน ต่อมานางเอามือไปจุ่มลงน้ำสีเหลืองนิ้วนางกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

     ขณะนั้นความคิดชั่วร้ายก็เกิดขึ้น  กุลาจึงไปเรียกพระธิดาโสนน้อยมาดูบ่อน้ำวิเศษ  เมื่อกุลากระโดดลงไปบ่อน้ำสีทองพอกลับขึ้นมาด้วยหน้าตาที่สวยงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นจากนั้นกุลาเดินไปใกล้ๆ พระธิดาโสนน้อยที่ยืนอยู่ปากบ่อน้ำสีดำ เมื่อนางเผลอกุลาจึงผลักตกลงในบ่อน้ำสีดำพระธิดาโสนน้อยกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ มีแผลเต็มตัว  เช้าวันต่อมา ทั้งสองกราบลาพระฤๅษีปู่เจ้าแล้วออกเดินทางมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชายแดนเมืองโรมวิสัย  ทั้งสองได้พักอาศัยบ้านสองตายายคู่หนึ่ง พระธิดาโสนน้อยช่วยสองตายายทำงานแต่กุลาไม่ช่วยอะไรเลยเที่ยวอวดความงามของตน

    วันหนึ่ง กุลาได้เจอกับลูกเศรษฐีรูปหล่อประจำหมู่บ้านชื่อวิไล ทั้งสองต่างถูกใจกัน วิไลชวนกุลาไปอยู่ด้วย กุลานึกถึงแก้วแหวนเงินทองและความสุขสบายจึงตกลงไปอยู่ด้วยพร้อมเอาพระธิดาโสนน้อยไปเป็นทาสรับใช้  หลายเดือนพาไปครรภ์ของพระธิดาโสนน้อยใหญ่ขึ้น กุลาคิดที่จะกำจัดลูกของนาง เมื่อครบกำหนดครอด พระธิดาโสนน้อยให้กำเนิดบุตรชายและสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย หมอตำแยนำผ้ามาห่อพระกุมารแล้วส่งให้บ่าวรับใช้ใส่ตะกร้านำพระกุมารไปโยนทิ้งลงแม่น้ำ กล่าวถึงพระกุมาร ด้วยความเป็นผู้มีบุญญาธิการเกิดปาฏิหาริย์ ตะกร้าไม่จมน้ำแต่ลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่งและได้รับการช่วยเหลือจากพระฤๅษีจึงนำพระกุมารมาเลี้ยงและตั้งชื่อว่า ไพรวัลย์ พระฤๅษีเลี้งดูไพรวัลย์จนเติบใหญ่พร้อมสอนวิชาป้องกันตัวให้กับไพรวัลย์

    พระวิจิตรจินดารอนแรมตามหาพระธิดาโสนน้อยด้วยความมุ่งมั่น จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้เจอกับไพรวัลย์ที่กำลังเล่ากวางป่า จึงถามว่าเป็นลูกใคร  ไพรวัลย์จึงบอกว่าตนเองอาศัยอยู่กับพระฤๅษี  พระวิจิตรจินดาแปลกใจและหลุดพูดออกมาว่า พระฤๅษีมีลูกได้อย่างไรคำพูดของพระวิจิตรจินดาสร้างความไม่พอใจให้กับไพรวัลย์ เพราะคิดว่าพระวิจิตรจินดาพูดจาลบหลู่พระฤๅษีไพรวัลย์จึงแผลงศรไปยังพระวิจิตรจินดาแต่ศรกลายเป็นดอกไม้ร่วงหล่นลงตรงหน้าพระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์จึงลองแผลงศรอีกครั้ง ปรากฏว่าเปลี่ยนทิศเหินขึ้นฟ้า พระฤๅษีจึงรีบออกมาห้ามและบอกไพรวัลย์ว่าชายผู้นี้เป็นพ่อของไพรวัลย์ ชื่อว่า วิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดากราบขอบพระคุณพระฤๅษีที่ได้ช่วยชีวิตไพรวัลย์และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี

     พระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์ และทหารเดินทางจนเข้าเขตเมืองโรมวิสัย  พระวิจิตรจินดาสังให้ทหารไปสืบหาพระธิดาโสนน้อย แต่กลับเจอแต่พระธิดาโสนน้อยที่แสนจะอัปลักษณ์และกุลาแสนสวย หนึ่งในทหารจำได้ว่าหญิงอัปลักษณ์ก็คือพระธิดาโสนน้อยพระวิจิตรจินดาจึให้นำนางมาเข้าเฝ้านางเล่าเรื่องราวในอดีตตั่งแต่เคยช่วยพระองค์จนถึงเรื่องที่พระวิจิตรจินดาเข้าใจผิดเรื่องงูพิษได้อย่างถูกต้อง

 

    เมื่อเรื่องราวทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยแล้วพระวิจิตรดาพาพระธิดาโสนน้อยไปหาพระฤๅษีปู่เจ้าเพื่อให้ท่านช่วย พระฤๅษีได้ให้พระธิดาโสนน้อยลงไปชุบตัวในบ่อน้ำสีเหลือง นางก็กลับมางดงามเหมือนเดิมทางไปยังนครโรมวิสัย รัลไพรวัลย์เดินทางไปยังนครแก้วนพรัตน์และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2565

สอยดาว สาวเดือน

 

เรื่องย่อ

เรื่องของความรักและความใฝ่ฝัน ระคนการต่อสู้อันยิ่งใหญ่

บ้านลานเท พระนครศรีอยุธยา สมิง (ชนะ ศรีอุบล) ชายหนุ่มเลือดนักสู้ฆ่าโจรตายเพื่อชำระแค้นให้กับพ่อแม่ตัวเอง แต่สมิงก็ได้รับบาดเจ็บและหลบหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านกำนันธง (จำรูญ หนวดจิ๋ม) ศรีนวล (เพชรา เชาวราษฎร์) ลูกสาวเพียงคนเดียวของกำนันธง ที่เก่งการร้องลำตัดจนมีชื่อเสียงลือเลื่อง สมิงปองรักศรีนวลอยู่ แต่ศรีนวลรักสมิงเหมือนพี่ชายเท่านั้น

เลอสรร (มิตร ชัยบัญชา) ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านข้าหลวงเมืองอยุธยา (ม.ล.รุจิรา อิศรางกูร) จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เดินทางมาที่ลานเทเพื่อหาประสบการณ์ เลอสรรได้พบศรีนวลก็เกิดความรักใคร่กัน จนกระทั่งทั้งคู่ลักลอบได้เสียกัน เลอสรรสัญญาว่าเมื่อกลับไปถึงกรุงเทพฯแล้วจะกลับมาแต่งงานกับศรีนวล แต่ทว่าเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ แม่ของเลอสรรกลับไม่ยินยอม พร้อมกับบีบบังคับให้แต่งงานกับสร้อยเพชร (ชฎาพร วชิรปราณี) ลูกสาวของเพื่อนสนิทตัวเอง ศรีนวลตั้งท้องและคลอดออกมาเป็นผู้หญิงชื่อ สอยดาว โดยสมิงรับเป็นพ่อบุญธรรม ขณะที่เลอสรรก็มีลูกสาวกับสร้อยเพชร ชื่อ สาวเดือน และลูกชายชื่อ เกียรติกล้า

20 ปีผ่านไป เลอสรรได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และได้รับคำสั่งจากกรมตำรวจให้เดินทางไปลานเท เพื่อปราบปรามเหล่าโจรที่อาละวาดสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างหนัก คุณยายของเลอสรรได้เดินทางมาพ้กผ่อนที่บ้านในจังหวัดอยุธยาด้วย คุณยายได้พบกับสอยดาว (โสภา สถาพร) ที่โตเป็นสาวก็รู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมากโดยไม่ทราบว่าสอยดาวคือเหลนของตนเอง ท่านเข้าใจว่าสอยดาวเป็นลูกของชาวบ้านยากจนจึงต้องการจะอุปการะ จึงให้เลอสรรและท่านข้าหลวงไปเจรจากับพ่อแม่ของสอยดาวเพื่อขอรับสอยดาวไปอุปการะ

เมื่อตามสอยดาวมาจนถึงบ้านทำให้เลอสรรทราบว่าแท้จริงแล้ว สอยดาวคือลูกของตนเอง เลอสรรอ้อนวอนขอโทษจนศรีนวลและกำนันธงใจอ่อน ท่านข้าหลวงจึงเจรจาขอรับสอยดาวไปให้คุณแม่ของท่านอุปการะ แต่เมื่อสอยดาวมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ถูกกลั่นแกล้งจากสร้อยเพชร (ชฎาพร วชิรปราณี) และเกียรติกล้า (จีระศักดิ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา) ลูกชาย แต่สาวเดือน (วิภาวดี ตรียะกุล) กลับรักสอยดาวเหมือนพี่น้อง

สร้อยเพชรและเกียรติกล้าหาทางกลั่นแกล้งสอยดาว ด้วยการจ้างคนเข้ามาปลุกปล้ำสอยดาวแต่กลับพลาดพลั้งทำให้คุณยายเสียชีวิต สร้อยเพชรใส่ร้ายว่าสอยดาวนัดแนะผู้ชายให้เข้าไปหาและทำให้คุณยายเสียชีวิต เลอสรรโกรธมากจึงไล่สอยดาวออกจากบ้าน สมิงทราบเรื่องก็โกรธแค้นมากจึงนำสมุนเข้ามาปล้นสร้อยเพชรและเพชรกล้า แต่สมุนของสมิงพลั้งมือฆ่าสร้อยเพชรตาย เลอสรรได้ทราบความจริงเรื่องสร้อยเพชรคิดร้ายต่อสอยดาวก็รู้สึกเสียใจ

เลอสรรนำกำลังตำรวจเข้าปราบปรามชุมโจรของสมิง โดยมีศรีนวลติดตามไปด้วยเพื่อเกลี้ยกล่อมสมิงให้ยอมมอบตัว แต่ขณะที่เลอสรรกำลังจะถูกสมุนโจรลอบยิง สมิงกลับยอมสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องเลอสรร เพื่อชดใช้ความผิดทั้งหลายที่ได้ทำมา และเพื่อศรีนวลและสอยดาวหญิงสองคนที่สมิงรักยิ่งจะได้มีครอบครัวที่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ปมขัดแย้ง ยูเครน vs รัสเซีย



ความขัดแย้งอันรุนแรงของ 2 ชาติ รัสเซีย กับยูเครน อาจกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่กลายเป็นสงครามโลก 

จุดเริ่มต้นคืออะไร 

ทำไมรัสเซียกับยูเครนถึงทำสงครามกัน

1) ยูเครนเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียมาก่อน แต่ในปี 1917 หรือประมาณ 105 ปีมาแล้ว เมื่อราชวงศ์โรมานอฟหมดอำนาจ กลุ่มชาตินิยมยูเครนจึงขอแยกตัวออกไปเป็นประเทศ โดยมีเยอรมนีหนุนหลัง แต่พอเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 พร้อมทั้งมีการก่อตั้งสหภาพโซเวียต ยูเครนจึงถูกรวมอยู่ในโซเวียต และสถาปนาเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน

2) ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นในปี 1991 หรือประมาณ 31 ปีที่แล้ว เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย แต่ละประเทศแยกกันไปมีเอกราชของตัวเอง และยูเครนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตาม โรงงานจัดเก็บอาวุธนิวเคลียร์ของโซเวียตตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ประเทศยูเครน แปลว่า หัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมด 1,249 หัว จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของยูเครนไปโดยปริยาย

3) การมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในมือ เป็นเครื่องการันตีความปลอดภัยของยูเครน ว่าจะไม่ปล่อยให้เพื่อนบ้านอย่างรัสเซียเข้ามารุกรานได้ อย่างไรก็ตาม สังคมโลกก็ไม่สบายใจนัก เพราะถ้าวันดีคืนดี ยูเครนโมโหขึ้นมาเมื่อไหร่ อาจใช้อาวุธนิวเคลียร์ในทางที่ผิดก็ได้ เช่นยิงถล่มใส่ประเทศอื่น ดังนั้นจึงต้องการให้ยูเครนทำการกำจัดหัวรบนิวเคลียร์ให้หมด (Denuclearization)

4) วันที่ 5 ธันวาคม 1994 ยูเครน รัสเซีย สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา เซ็นสนธิสัญญาร่วมกันในชื่อ ข้อตกลงบูดาเปสต์ ว่ายูเครนจะกำจัดหัวรบทิ้งเพื่อเปลี่ยนตัวเองเป็น Non-Nuclear-Weapon State (รัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์) เพื่อความมั่นคงของโลก
โดยสิ่งที่ยูเครนจะได้คืนมา คือ “เอกราช” ในการบริหารประเทศ ในข้อตกลงบูดาเปสต์ ระบุว่าในเมื่อยูเครนยอมทำลายหัวรบนิวเคลียร์ทิ้งแล้ว รัสเซียจะไม่สามารถใช้กำลังบุกรุกแทรกแซงได้

5) ในมุมหนึ่ง นี่เป็นการแสดงจุดยืนชัดเจนของยูเครนในประชาคมโลกว่าไม่สนับสนุนการทำสงคราม เศรษฐกิจต่างๆ จะได้เดินหน้าไปได้ อย่างไรก็ตาม ประชาชนยูเครนบางส่วนก็วิจารณ์ว่า เป็นทางเลือกที่ผิดพลาด เพราะไม่มีใครรู้ว่ารัสเซียจะรักษาสัญญาจริงไหม ถ้าเก็บนิวเคลียร์ไว้ ก็อาจเป็นเครื่องมือ ป้องกันไม่ให้รัสเซียมารุกรานได้ง่ายๆ

6) ทิศทางการเมืองของประชาชนยูเครน ในช่วงนั้นก็แบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่มองว่ายูเครนควรเป็นเอกราชเติบโตด้วยตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป กับอีกฝ่ายคือ โปร-รัสเซีย คือมองว่ายูเครนกับรัสเซียมีวัฒนธรรมร่วมกันเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นควรมีรัสเซียเป็นพี่ใหญ่ ที่คอยสนับสนุนทั้งเรื่องเงินทุน และการต่อรองในสังคมโลก

7) จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อ EU (สหภาพยุโรป) เสนอเงื่อนไขให้ประเทศยูเครน เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของ EU ซึ่งถ้ายูเครนตอบตกลง ประชาชนจะสามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานทั่วยุโรปได้อย่างอิสระ สินค้าของยูเครนจากที่เคยโดนจำกัดข้อภาษี สามารถเข้าไปวางขายในประเทศอื่นๆ ใน EU ได้โดยไม่โดนกำแพงภาษี ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วมาก

8 ) อย่างไรก็ตาม ฝั่งรัสเซียเองไม่ต้องการให้ยูเครนไปรวมตัวกับ EU เพราะรัสเซียมีกลุ่มเศรษฐกิจของตัวเองอยู่ ชื่อ EAEU (Eurasia Economic Union) และต้องการให้ยูเครนอยู่ใน EAEU ต่อไป โดยที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย แนะนำว่า “การเป็นส่วนหนึ่งของ EU จะเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจของยูเครน”

9) สุดท้ายในปี 2014 วิคเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดีของยูเครน ที่โดนสื่อมองว่าเป็นสายโปร-รัสเซีย ตัดสินใจล้มข้อเสนอของ EU และเลือกจงรักภักดีกับรัสเซียต่อ พร้อมทั้งรับเงินสนับสนุน 15,000 ล้านดอลลาร์จากรัสเซีย ซึ่งจุดนี้ทำให้ประชาชนยูเครนเดือดดาล เหมือนผู้นำประเทศเอายูเครนไปขายให้รัสเซีย แทนที่จะเข้าร่วม EU ให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้

วิตาลี คลิตช์โก้ แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท ขวัญใจชาวยูเครนกล่าวว่า “วันนี้รัฐบาลขโมยความฝันของพวกเรา ความฝันที่จะได้ใช้ชีวิตในประเทศที่ปกติสุข”

10) จากเรื่องนี้ ทำให้ประชาชนรวมตัวกันประท้วงทั่วประเทศ ในชื่อการปฏิวัติ Euromaidan การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด จนรัฐบาลสั่งใช้กำลังสลายการชุมนุมจนเหตุการณ์บานปลาย สุดท้ายประธานาธิบดียานูโควิชอยู่ไม่ได้ 22 กุมภาพันธ์ 2014 เขาโดนสภาขับจากตำแหน่ง (Impeachment) ก่อนลี้ภัยหนีไปอยู่รัสเซีย แต่เจ้าตัวบอกว่า เหตุการณ์นี้เหมือนเขาโดนฝ่ายอื่นลอบทำรัฐประหาร

11) เมื่อฝั่งยูเครนแสดงเจตจำนงว่า ไม่อยู่ฝั่งเดียวกับรัสเซีย เพียง 1 วันหลังยาคูโนวิช โดนไล่จากตำแหน่ง รัสเซียตอบโต้ด้วยการยึดแผ่นดินของยูเครน ที่ชื่อไครเมีย (Crimea) มาเป็นของตัวเอง โดยวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวว่า “เราจะเริ่มกระบวนการเอาไครเมียกลับคืนมาให้รัสเซียอีกครั้ง”

12) ไครเมีย เป็นคาบสมุทร (Peninsula) ที่อยู่ในทะเลแบล็คซี มีเขตแดนติดกับยูเครน ไม่ติดกับรัสเซีย อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์ไครเมียเคยเป็นดินแดนของรัสเซียมาก่อน แต่ในปี 1954 หรือเมื่อ 68 ปีที่แล้ว นิกิต้า ครุสเชฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียตตัดสินใจมอบไครเมียให้ยูเครน โดยให้เหตุผลว่า “เป็นสัญลักษณ์ในการเชื่อมสัมพันธ์พี่น้องของชาวยูเครน และชาวรัสเซีย”

โดยเชิงเศรษฐกิจ การค้าใดๆ ของไครเมียจะยกให้ยูเครนเป็นฝ่ายได้ผลประโยชน์ โดยรัสเซียจะขอพื้นที่ส่วนหนึ่งเพื่อวางกองทัพทหารเอาไว้เท่านั้น
แต่ ณ เวลานั้น ทั้งยูเครนและรัสเซีย ต่างก็อยู่ในสหภาพโซเวียตทั้งคู่ การโอนย้ายไครเมียให้ยูเครน จึงยังไม่ได้เห็นความแตกต่างอะไรนัก ปัญหาคือหลังจากโซเวียตล่มสลาย ยูเครนแยกเป็นเอกราช คราวนี้ไครเมียจึงกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของยูเครนอย่างสมบูรณ์

13) หลังเกิดเหตุการณ์ขับไล่ประธานาธิบดียานูโควิชที่เป็นฝ่ายโปร-รัสเซีย ทำให้รัสเซียตอบโต้ด้วยการยึดไครเมีย พร้อมทั้งจัดการเลือกตั้งทันทีในเวลาไม่ถึง 1 เดือน เพื่อถามประชาชนไครเมียว่า จะเลือกอยู่ยูเครนต่อหรือเลือกย้ายไปอยู่รัสเซีย ผลโหวตปรากฏว่า ฝั่งรัสเซียชนะด้วยคะแนนโหวต 96.77%

14) ในมุมของวลาดิเมียร์ ปูติน นี่คือการปลดปล่อยชาวไครเมีย ให้มาอยู่กับประเทศที่อยากอยู่จริงๆ แต่ในมุมของชาติอื่น มันคือวิธีที่รัสเซียทำการยึดพื้นที่ของประเทศคนอื่น (Annexation) จริงอยู่ว่าในประวัติศาสตร์ ไครเมียเคยเป็นของรัสเซียมาก่อน และผู้คนก็ยังมีความผูกพันกับประเทศรัสเซีย แต่ในทางกฎหมาย มันคือแผ่นดินของยูเครนตั้งแต่ปี 1954 แล้ว  

15) สังคมโลกตอบโต้รัสเซียด้วยการแบนออกจากกลุ่ม G8 ที่เป็นการประชุมของผู้นำชาติมหาอำนาจโลก (แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย) ซึ่งเมื่อรัสเซียออกไป จึงเหลือเป็นแค่กลุ่ม G7 จนถึงปัจจุบัน

16) ความขัดแย้งของ 2 ประเทศนี้ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการการันตีความปลอดภัยของคนรัสเซียถ้าเข้าไปในยูเครน และความปลอดภัยของคนยูเครนถ้าเข้าไปในรัสเซีย นั่นส่งผลให้ทางสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ออกกฎว่า สโมสรของสองชาตินี้ จะไม่จับสลากเจอกัน ในถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก, ยูโรป้าลีก และแม้แต่ในฟุตบอลโลก กับฟุตบอลยูโรรอบคัดเลือก เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้

17) สำหรับประเทศยูเครนนั้น มีพรมแดนฝั่งตะวันตกติดกับ โปแลนด์,สโลวะเกีย, โรมาเนีย และ ฮังการี ซึ่งเป็นชาติที่อยู่ใน EU ดังนั้นจะมีความใกล้ชิดกับฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ฝั่งตะวันตกจะมีความรู้สึกต่อต้านรัสเซีย

อย่างไรก็ตามในประเทศฝั่งตะวันออกที่มีพรมแดนติดกับรัสเซีย ประชากรส่วนมากมีเชื้อสายรัสเซีย มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน และผูกพันกับรัสเซียมานาน ดังนั้นฝั่งนี้ต้องการจะผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียมากกว่า

18) ฝั่งตะวันออกสุดของยูเครน จะเรียกว่าแคว้นดอนบาส (Donbas) ในแคว้นแบ่งเป็น 2 จังหวัดใหญ่คือ ลูฮันส์ (Luhansk) และ โดเนตส์ (Donetsk) แม้ในทางทฤษฎี 2 จังหวัดนี้จะเป็นของยูเครน แต่ในทางปฏิบัตินี่เป็นเขตแดนที่มีคนเชื้อสายรัสเซียอาศัยอยู่มาก เมื่อเห็นไครเมียไปอยู่กับรัสเซียได้ จึงเกิดกลุ่มกบฎแบ่งแยกดินแดน (Seperatist) เพื่อขอแยก 2 จังหวัดนี้ ไปตั้งตัวเป็นประเทศตัวเอง

19) กลุ่มแบ่งแยกดินแดนของจังหวัดโดเนตส์ ต้องการแยกออกมาเป็นประเทศใหม่ชื่อ สาธารณรัฐประชาชนโดเน็ตส์ (DPR) ส่วนของจังหวัดลูฮันส์ ต้องการแยกออกมาในชื่อ สาธารณรัฐประชาชนลูฮันส์ (LPR) โดยสื่อรายงานตรงกันว่า รัสเซียให้การสนับสนุน 2 กลุ่มแบ่งแยกดินแดนอยู่เบื้องหลัง

เหตุการณ์ใหญ่ที่พิสูจน์ให้เห็นว่ารัสเซียมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือเมื่อสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ MH-17 บินผ่านเขตพรมแดนยูเครน ถูกมิสไซล์ยิงตกจนมีคนตาย 298 คน การสืบสวนนานาชาติระบุว่า มิสไซล์ถูกยิงจากฐานทัพของรัสเซีย แต่ทางมอสโกได้ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

20) เรื่องราวยุติความรุนแรงลงชั่วคราวในวันที่ 19 กันยายน 2014 เมื่อยูเครน รัสเซีย และหัวหน้ากลุ่มกบฏ ทำข้อตกลงสันติภาพมินส์ก (Minsk Protocol) คือให้หยุดยิงทันที และต่างฝ่ายต้องถอนอาวุธหนักห่างกันด้วยรัศมี 15 กิโลเมตร

แต่ข้อตกลงสันติภาพรอบแรก ก็ยังไม่ช่วยการหยุดยิงได้จริง สุดท้ายฝรั่งเศสกับเยอรมนี ต้องเข้ามาเป็นคนกลาง ให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องทำข้อตกลงฉบับใหม่คือ Minsk II ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2015 ซึ่งแม้สงครามใหญ่จะยุติลง แต่ก็ยังมีการสู้รบประปรายต่อเนื่องจนมีคนตายนับร้อยอยู่ดี

21) ในแง่การปกครอง ข้อตกลง Minsk II บีบให้ยูเครนต้องยอมโอนอ่อนเพื่อให้เกิดความสงบ โดยอนุญาตให้ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนจัดการเลือกตั้งขึ้นมาเองที่จังหวัดลูฮันส์ และโดเนตส์ พร้อมให้ตั้งศาล และตำรวจของตัวเองด้วย แม้ในทางทฤษฎียังเป็นพรมแดนของยูเครนอยู่ก็ตาม

22) สถานการณ์ในทิศตะวันออกของยูเครนก็ยังคงไม่สงบ ในส่วนของแหลมไครเมีย  เมื่อรัสเซียสร้างสะพานไครเมียน (Crimean Bridge) ขึ้นในปี 2018 ซึ่งนี่คือสะพานขนาดใหญ่ที่มีทั้งถนนและทางรถไฟ ใช้สำหรับข้ามช่องแคบเคิร์ช เชื่อมต่อดินแดนระหว่างไครเมีย กับประเทศรัสเซีย

กล่าวคือเมื่อก่อนรัสเซียไม่มีพรมแดนติดกับไครเมีย แต่การสร้างสะพานเชื่อมกันแบบนี้ ก็เท่ากับว่าแสดงความเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ และไม่ใช่แค่ประเด็นสะพานไครเมียน แต่ทั้งสองฝ่ายยังมีข้อพิพาทเรื่องการบุกรุกน่านน้ำในเขตทะเลแบล็คซีกันอย่างต่อเนื่อง

23) จุดที่ทำให้ยูเครนเป็นรองรัสเซียอย่างมาก คือเรื่องกำลังทหาร ยูเครนมีทหารอยู่ 200,900 นาย ส่วนรัสเซียมีมากกว่า 900,000 นาย เช่นเดียวกับอาวุธหนักเช่นรถถัง ที่ยูเครนมี 2,596 คัน ส่วนรัสเซีย มีมากถึง 12,420 คัน คือถ้าเข้าสู่สงครามหรือต้องปะทะกันจริงๆ ยูเครนไม่มีเหลี่ยมชนะได้เลย

24) ในปี 2019 เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญ เมื่อโวโลดิเมียร์ ซีเลนสกี้ ถูกเลือกเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของยูเครน ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย 73.22% และเขาแสดงตัวอย่างชัดเจนว่า ต่อต้านการรุกคืบของรัสเซียในภาคตะวันออกของประเทศ รวมถึงมีแผนการที่จะพายูเครน เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ NATO (นาโต้)

25) NATO ย่อมาจากชื่อเต็มคือ “องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ” เป็นพันธมิตรทางการทหารของชาติใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, แคนาดา, สเปน ฯลฯ โดยองค์กรนี้มีข้อตกลงที่สำคัญว่า “หากชาติพันธมิตรใด โดนศัตรูโจมตีก็จะถือว่าเป็นการโจมตีชาติสมาชิกทั้งหมด” กล่าวคือ ถ้ายูเครนเป็นสมาชิก NATO ได้ แล้วรัสเซียบุกมาโจมตี คราวนี้จะไม่ได้สู้ 1 ต่อ 1 อีกแล้ว แต่จะเป็นการปะทะกับชาติอื่นๆ ใน NATO รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย
จริงๆแล้วทาง NATO ยังไม่เคยส่งจดหมายเชิญยูเครนเข้าเป็นสมาชิกเลยด้วยซ้ำ แต่วลาดิเมียร์ ปูติน ต้องการเบรกทุกอย่างเอาไว้เพียงแค่นี้ โดยอเล็กเซ มาคาร์คิน นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวว่า “ถ้าหากไม่แก้ไขเรื่องความมั่นคงตั้งแต่วันนี้ ยูเครนจะกลายเป็นสมาชิกของ NATO ในช่วง 10-15 ปีข้างหน้า”

26) ประธานาธิบดีปูตินกล่าวจุดยืนอย่างชัดเจนว่า จะไม่ยอมให้ยูเครนเข้าร่วม NATO เด็ดขาด และต้องการคำยืนยันจาก NATO ว่าจะไม่รับยูเครนเป็นชาติสมาชิก

“ถ้ามีการยิงอาวุธทางอากาศจากดินแดนยูเครน มันจะบินมาถึงมอสโกในระยะเวลา 7-10 นาที และถ้าเป็นอาวุธเหนือเสียงจะใช้เวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น ลองจินตนาการดูละกัน ว่าเราจะทำอะไรได้ในสถานการณ์แบบนั้น” ปูตินกล่าว

ปูตินกล่าวว่า ยูเครนเอาจริงๆ ถูกสร้างโดยรัสเซียด้วยซ้ำ “ยูเครนสมัยใหม่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยรัสเซีย หรือพูดให้ตรงๆ คือบอลเชวิคอมมิวนิสต์ หลังปี 1917 จากนั้นพวกเขาก็อยู่ภายใต้โซเวียต เป็นโซเวียตยูเครน ดังนั้นเราจะเรียกว่ายูเครนของเลนินก็ไม่ใช่เรื่องผิด”

ปูตินยังย้ำด้วยว่า “คนรัสเซีย กับ คนยูเครน เปรียบเสมือนคนเดียวกัน จะแบ่งแยกกันไม่ได้” เป็นคำยืนยันว่า 2 ประเทศมีวัฒนธรรม ภาษาและประวัติศาสตร์ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เกินกว่าจะปล่อยให้ไปสานสัมพันธ์กับฝั่ง NATO ที่มีอเมริกาเป็นชาติสมาชิก

นอกจากนั้นยูเครนเป็นดินแดนที่เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของรัสเซีย 2 ประเทศมีพรมแดนติดกันมากกว่า 2,000 กิโลเมตร นอกจากนั้นยังเป็นพื้นที่การวางแนวท่อก๊าซจากรัสเซียส่งตรงถึงสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศ นอกจากนั้นยังมีประวัติศาสตร์ร่วมกันอย่างใกล้ชิด หากยูเครนไปเข้ากับฝั่งสหรัฐอเมริกา หรือกลุ่ม NATO มองในแง่เศรษฐกิจและความมั่นคง ถือว่ารัสเซียจะเสียเปรียบมาก

27) การไม่ได้รับการรับรองจาก NATO ว่าจะไม่รับยูเครนเป็นสมาชิก นำมาสู่เหตุการณ์สำคัญ โดยรัสเซียส่งทหารราว 130,000 นายไปประชิดพรมแดนยูเครน ยังไม่นับทหารอีกมากกว่า 30,000 นายที่ซ้อมรบอยู่ที่เบลารุสด้วย ที่พร้อมจะบุกเข้าไปทุกเมื่อ เป็นการแสดงแสนยานุภาพว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

28) ชาติตะวันตกจำนวนมาก ไม่พอใจการกระทำของรัสเซีย กล่าวคือยูเครนเป็นประเทศอิสระ มีความคิดของตัวเอง ถ้าอยากจะร่วมกับ NATO หรือไม่ ก็เป็นอธิปไตยของชาตินั้น รัสเซียจะสามารถแทรกแซงได้อย่างไร เออร์ซูล่า ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป กล่าวว่า “ยูเครนมีความตั้งใจจะกำหนดอนาคตของประเทศตัวเอง แต่รัสเซียพยายามจะขัดขวาง”

29) เหตุการณ์รุนแรงถึงขีดสุด เมื่อรัสเซียเปิดหน้าแลกเต็มตัว ประธานาธิบดีปูติน ประกาศมอบอำนาจอธิปไตยสาธารณรัฐประชาชนโดเนตส์ และ สาธารณรัฐประชาชนลูฮันส์ โดยเตรียมยก 2 จังหวัดนี้เป็นประเทศทันที พร้อมเตรียมส่งความช่วยเหลือให้ 2 จังหวัดนี้ตั้งตัวเป็นรัฐได้ โดยปูตินกล่าวว่า “ผมขอเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจในเคียฟ เลิกคิดที่จะสู้รบในพื้นที่ดังกล่าวโดยทันที”

จากนั้นปูตินสั่งให้กองทหารรัสเซีย บุกเข้าไปในเขตจังหวัดโดเนตส์ และ ลูฮันส์ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเข้าไป “ป้องกันสันติภาพ” จากการรุกรานของยูเครน

30) ฝั่งยูเครนยอมไม่ได้กับเรื่องนี้ เพราะโดเนตส์ และ ลูฮันส์ ในทางทฤษฎีเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนอยู่ การที่รัสเซียทำแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการบุกรุกดินแดนของยูเครนกันตรงๆ

ดิมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของยูเครนกล่าวว่า “ปูตินไม่ได้สนใจแค่ส่วนหนึ่งของยูเครน เขาไม่ได้สนใจจะรักษาสันติภาพอะไรทั้งนั้น ความคิดของเขาคือไม่ต้องการให้ยูเครนได้เป็นประเทศอย่างแท้จริงแค่นั้นเอง”

31) สถานการณ์ในตอนนี้กำลังอยู่ในจุดตึงเครียดถึงขีดสุดและอาจมีสงครามได้ทุกเมื่อ ฝั่งรัสเซียอาจโจมตียูเครน โดยใช้เหตุผลว่าป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับ 2 รัฐใหม่ที่พวกเขารับรอง ขณะที่ฝั่งยูเครนเมื่อโดนแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของตัวเอง แล้วความอดทนสิ้นสุดลง ก็อาจตอบโต้ด้วยความรุนแรงได้เช่นกัน

32) ขณะที่ท่าทีของต่างชาติ ก็แตกต่างกันออกไป สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ยืนยันว่าถ้ารัสเซียก่อความรุนแรง จะมีการแทรกแซงแน่นอน เช่นระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่อกัน แต่อีกหนึ่งในชาติมหาอำนาจอย่างจีน โฆษกกระทรวงต่างประเทศ หัว ชุนหยิง กล่าวว่า “การแทรกแซงไม่เคยเป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผล จุดยืนของประเทศจีนคือต่อต้านการแทรกแซงจากชาติอื่น”

33) ดร.แจ๊ค แวตลิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับ NBC ว่า “ถ้าสงครามเริ่มขึ้นจริงๆ ไม่มีทางที่มันจะเป็นการสู้รบในวงแคบๆ เหมือนตอนสงครามชิงเกาะฟอล์กแลนด์ มันจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 และมีความเสี่ยงที่จะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์กันด้วย โลกเรายังไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงแบบนั้น”

34) ดังนั้นยังต้องจับตากันต่อไป ว่าบทสรุปของการต่อสู้จะลงเอยอย่างไร ชาติตะวันตกจะเข้ามาสนับสนุนกองกำลังให้ยูเครนหรือไม่ แม้จะยังไม่ได้เข้าร่วม NATO ขณะที่รัสเซียจะกล้าเสี่ยงไหม หากเริ่มการโจมตีแล้วจะโดนแบนจากชาติมหาอำนาจทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศเตรียมอพยพคนไทยในยูเครนหากเกิดกรณีฉุกเฉิน และเปิดช่องทางติดต่อเพื่อให้อัพเดทข่าวสารที่ เฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตไทยในโปแลนด์ รวมถึง Hotline (+48 696642348) ที่สามารถติดต่อได้ 24 ชั่วโมง

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วันมาฆบูชา

 


ความหมายวันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระภิกษุจำนวน ๑,๒๕๐ รูป 

"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมีบูชา" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม

มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ 4 ประการคือ

  1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
  2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
  3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 
  4. วันนั้นเป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง

นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต 

เดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศไทย จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น การประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น ในช่วงแรก พิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป ต่อมา ความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

 

เนื้อเพลง