วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 3

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 3

เนื้อหา

• โฮจิ๋นเรียกตั๋งโต๊ะเข้าไปเมืองหลวง
• พวกขันทีฆ่าโฮจิ๋น
• พรรคพวกโฮจิ๋นจับขันที
• พวกขันทีพาหองจูเปียน หองจูเหียบหนีจากวัง
• ตั๋งโต๊ะเข้าถืออำนาจในเมืองหลวง
• ตั๋งโต๊ะได้ลิโป้เป็นทหารเอก
• ตั๋งโต๊ะยกหองจูเหียบขึ้นเป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้
• ตั๋งโต๊ะได้เป็นที่เซียงก๊กสำเร็จราชการ




ฝ่าย ตั๋งโต๊ะเปนเจ้าเมืองซีหลง ได้คุมทหารยี่สิบหมื่น มีใจหยาบช้าคิดจะเอาราชสมบัติเนือง ๆ ครั้นรู้หนังสือรับสั่งให้มาดังนั้น มีความยินดีนักเห็นจะสมคิดครั้งนี้ จึงให้เยียวหูลูกเขยอยู่รักษาเมือง แล้วจัดลิฉุยหนึ่ง กุยกีหนึ่ง เตียวเจหนึ่ง หวนเตียวหนึ่ง ซึ่งเปนทหารเอกกับทหารเลวสิบหมื่น สรัพด้วยเครื่องศัสตราวุธพร้อม แล้วยกไปเมืองลกเอี๋ยง ครั้นมาถึงกลางทางปลงทัพอยู่ ลิยูเปนที่ปรึกษาจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า หนังสือซึ่งให้มาครั้งนี้เห็นจะมีผู้แอบรับสั่งให้มาถึงท่าน ซึ่งจะยกเข้าไปเห็นไม่ควร จำจะแต่งหนังสือเข้าไปให้กราบทูล ให้มีรับสั่งออกมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงยกเข้าไปในเมือง ถ้าจะคิดการสิ่งใดก็จะได้สดวก ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ก็แต่งหนังสือเข้าไปให้กราบทูล ในหนังสือนั้นว่า อาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เพราะขันทีสิบคนทำการหยาบช้าให้ผิดขนบธรรมเนียม บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพเข้าไปในเมืองหลวง แล้วจะจับตัวเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนฆ่าเสีย พระองค์แลอาณาประชาราษฎรจะได้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป

ฝ่ายโฮจิ๋นรู้ในหนังสือตั๋งโต๊ะดังนั้น ก็ปิดไว้มิให้ขันทีสิบคนรู้ แล้วหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า จะให้ตั๋งโต๊ะเข้ามาดีหรือประการใด แตะถ้ายจึงว่า ตั๋งโต๊ะนี้น้ำใจดังเสือ ซึ่งจะให้เข้ามาในเมืองนี้เห็นจะมีอันตรายแก่คนทั้งปวง โฮจิ๋นจึงว่าท่านนี้จะคิดการใหญ่ด้วยเราไม่ได้ ได้ยินแต่ข่าวมิทันเห็นตัวเสือก็ครั่นคร้าม โลติดได้ยินจึงว่า ข้าพเจ้าได้เคยรู้น้ำใจตั๋งโต๊ะมาแต่ก่อนว่าเปนคนหยาบช้า ถ้าปล่อยให้เข้ามาในเมืองเห็นจะเกิดจลาจลเหมือนคำแตะถ้ายว่าเปนมั่นคง โฮจิ๋นจึงตอบว่าท่านทั้งปวงอย่าว่าเลยเราหาฟังไม่ โลติดกับแตะถ้ายแลขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงได้ยินโฮจิ๋นว่าดังนั้นก็เสียใจนัก ต่างคนต่างเวนตราจำนำเสียแล้วก็ออกจากราชการไปอยู่ ณ บ้านเปนอันมาก โฮจิ๋นจึงแต่งคนว่ามีรับสั่งให้ออกไปรับตั๋งโต๊ะมาตั้งอยู่ตำบลลุดคี นอกกำแพงเมือง

ฝ่ายขันทีสิบคนครั้นรู้ว่าตั๋งโต๊ะยกทหารมาตั้งอยู่นอกเมืองแล้ว จึงคิดกันว่า เหตุทั้งนี้เพราะโฮจิ๋นคิดอ่านแอบรับสั่ง ให้กองทัพหัวเมืองยกมาทำร้ายแก่เรา ครั้นเราจะนิ่งอยู่บัดนี้อันตรายก็จะถึงชีวิตเรา จำเราจะคิดฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อน ครั้นคิดกันแล้วจึงแต่งคนสนิธห้าสิบคนถือศัสตราวุธจึงสั่งว่า ถ้าเห็นโฮจิ๋นเข้ามาก็ให้ฆ่าเสียเถิด แล้วก็พาพวกห้าสิบคนลอบเข้าไปแอบอยู่ข้างซุ้มประตูวังข้างใน เตียวเหยียงก็เข้าไปทูลนางโฮเฮาว่า โฮจิ๋นแอบรับสั่งให้หากองทัพหัวเมืองเข้ามาจะจับเอาข้าพเจ้าทั้งสิบคนไปฆ่า เสีย ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่พระองค์จะช่วยชีวิตข้าพเจ้าได้ นางโฮเฮาจึงว่าให้ออกไปอ้อนวอนง้องอนโฮจิ๋นเถิด โฮจิ๋นจะมีความกรุณาอยู่ เห็นจะไม่ทำอันตรายดอก เตียวเหยียงจึงทูลว่า โฮจิ๋นนั้นมีใจชังข้าพเจ้าทั้งสิบคนนัก ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าออกไปหานั้นเหมือนหนึ่งเอาเนื้อไปสู่เสือ อันจะมีชีวิตคืนมานั้นหามิได้ ถ้าพระองค์เมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้ ขอให้เชิญโฮจิ๋นเข้ามาตรัสขอชีวิตข้าพเจ้าต่อพระโอษฐ์ ถึงมาทว่าโฮจิ๋นจะไม่เมตตาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตายอยู่ต่อหน้าที่นั่งพระองค์ นางโฮเฮาได้ยินดังนั้นมีความกรุณา จึงให้ไปหาโฮจิ๋นเข้ามา ฝ่ายโฮจิ๋นเมื่อจะเข้าไปหานางโฮเฮานั้น ตันหลิมห้ามว่า ซึ่งนางโฮเฮาให้มาเชิญนี้ข้าพเจ้าแคลงอยู่ เข้าไปเห็นจะมีอันตราย โฮจิ๋นจึงตอบว่า นางโฮเฮากับเราเปนพี่น้องกัน ซึ่งจะคบคิดเปนใจด้วยขันทีนั้นผิดไป อ้วนเสี้ยวจึงว่า การซึ่งคิดไว้นั้นเห็นขันทีสิบคนจะรู้ตระหนัก ซึ่งจักเข้าไปนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่าถ้าท่านจะเข้าไปก็ไปเถิด แต่ให้ตัวขันทีสิบคนออกมาเสียจากวังก่อน ท่านจึงจะไม่มีอันตราย โฮจิ๋นได้ยินสามคนว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า เราเปนผู้สำเร็จราชการอยู่ในแผ่นดินหาผู้ใดเสมอมิได้ แลขันทีสิบคนนี้ความคิดความอ่านกล้าหาญเปนกระไรอาจทำร้ายแก่เราได้ อ้วนเสี้ยวจึงว่า ท่านจะขืนเข้าไปก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าจะขอเข้าไปด้วย อ้วนเสี้ยวจึงให้อ้วนสุดผู้น้องคุมทหารห้าร้อย เข้าไปอยู่ที่ประตูวังข้างหน้า อ้วนเสี้ยวกับโจโฉแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่เข้าไปกับโฮจิ๋นถึงประตูข้างใน โปอี้นายประตูจึงห้ามอ้วนเสี้ยวกับโจโฉไว้แต่ภายนอก โฮจิ๋นจึงเดิรเข้าไปแต่ผู้เดียว ครั้นถึงซุ้มประตูภายในเตียวเหยียงต๋วนกุยเห็นโฮจิ๋นเข้ามา จึงเดิรขวางหน้าออกไปพยักให้พวกห้าสิบคนล้อมโฮจิ๋นเข้าไว้ แล้วเตียวเหยียงร้องว่าตัวแต่ก่อนนั้นก็เปนผู้น้อยอยู่ เราได้ช่วยทำนุบำรุงว่ากล่าวพิททูล ตัวจึงได้เปนผู้ใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แลตัวกำเริบให้คนไปลอบฆ่านางตังไทฮอซึ่งเปนมารดาพระเจ้าเลนเต้อันหาความผิด มิได้นั้นเสีย แล้วตัวแอบรับสั่งออกไปให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาจะจับเราซึ่งมีคุณ แก่ตัวฆ่าเสียนั้น ตัวหามีกตัญญูต่อเราไม่ กลับว่าเราเปนศัตรูราชสมบัติอีกเล่า ตัวจะทำร้ายกูแล้วกูจะเอาชีวิตมึงเสียบัดนี้ก่อน

ครั้นโฮจิ๋นเห็นวุ่นวายดังนั้นก็ตกใจ จะแลหาที่พึ่งก็มิได้ เหลียวหลังดูประตูก็ปิดเสีย แลคนห้าสิบคนก็ฆ่าโฮจิ๋นตาย ฝ่ายอ้วนเสี้ยวโจโฉคอยอยู่นอกประตูเห็นช้านัก จึงเรียกโฮจิ๋นเข้าไปว่า เชิญออกมาจงเร็วเถิด เตียวเหยียงได้ยินดังนั้น จึงตัดสีสะโฮจิ๋นโยนออกไปแล้วร้องว่า โฮจิ๋นนี้คิดขบถเราฆ่าเสียแล้วเอาแต่สีสะไปเถิด ผู้ใดซึ่งมิได้ร่วมคิดเปนขบถด้วยนั้นก็ให้เร่งกลับไปที่อยู่ อย่ามาวุ่นวายเลย อ้วนเสี้ยวโจโฉได้ยินดังนั้น จึงร้องประกาศว่าโฮจิ๋นเปนเสนาบดีผู้สำเร็จราชการ ขันทีสิบคนคบคิดกันฆ่าโฮจิ๋นเสียนั้น เราจะทำลายประตูวังเข้าไปฆ่าขันทีสิบคนเสีย ผู้ใดจะเข้าด้วยเราบ้าง เง่าของเปนทหารโฮจิ๋นซึ่งมากับอ้วนสุด ครั้นได้ยินอ้วนเสี้ยวโจโฉร้องประกาศดังนั้น ก็เอาเพลิงจุดประตูวังขึ้น แล้วอ้วนสุดก็คุมทหารเข้ามาในวัง พบขันทีเลวทั้งปวงก็จับฆ่าเสีย อ้วนเสี้ยวโจโฉก็ฟันประตูวังเข้าไป แลเตียวต๋งหนึ่ง เทียควงหนึ่ง เห้หุยหนึ่ง กุยเสงหนึ่ง ขันทีสี่คนเห็นอ้วนเสี้ยวโจโฉทำลายประตูวังเข้ามา ก็วิ่งหนีเข้าไปในสวนดอกไม้ อ้วนเสี้ยวโจโฉก็ไล่ตามเข้าไปฆ่าเสีย แล้วสับเนื้อขันทีสี่คนละเอียดมิให้กากลืนแค้น แลเพลิงนั้นก็ไหม้ลามเข้าไปถึงที่ข้างใน เตียวเหยียงหนึ่ง ต๋วนกุยหนึ่ง เทาเจียดหนึ่ง เหาลำหนึ่ง เห็นเพลิงไหม้ลามเข้ามา จึงพานางโฮเฮากับหองจูเปียนหองจูเหียบหนีร้นเข้าไปที่เพลิงยังไม่ถึงนั้น

ฝ่ายโลติดซึ่งออกจากที่ขุนนาง ครั้นเห็นเพลิงไหม้ในพระราชวังก็แต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธมายืนแอบประตูท้าย สนมอยู่ ครั้นแลเข้าไปเห็นต๋วนกุยพานางโฮเฮาหนีเพลิงวุ่นวายอยู่ดังนั้น จึงร้องเข้าไปว่าอ้ายศัตรูราชสมบัติ มึงจะพานางโฮเฮาไปไหน ต๋วนกุยได้ยินแลไปเห็นโลติดก็ตกใจกลัววิ่งหนีเอาตัวรอด แลนางโฮเฮาก็ตกใจโดดลงมาจากชาลา โลติดวิ่งเข้ารับทัน ฝ่ายเง่าของคุมทหารเข้าไปถึงในวังพบโฮเบี้ยว เง่าของจึงร้องว่าอ้ายนี่ศัตรูราชสมบัติ มึงคบคิดกับขันทีสิบคนฆ่าโฮจิ๋นผู้พี่เสีย เราฆ่าอ้ายนี่เสียจึงจะชอบ แล้วให้ทหารล้อมจับโฮเบี้ยวฆ่าเสียในที่นั้น ขุนนางแลทหารทั้งปวงมาเข้ากับอ้วนเสี้ยวโจโฉเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวจึงใช้ทหารกองหนึ่งออกไปล้อมบ้านขันทีสิบคน จับพรรคพวกชายหญิงใหญ่น้อยฆ่าเสียสิ้น โจโฉจึงคุมทหารเข้าดับเพลิงซึ่งไหม้วังนั้น แล้วจึงเชิญเสด็จนางโฮเฮามาให้ว่าราชการเมืองอยู่พลาง ครั้นเวลาค่ำต๋วนกุยซึ่งหนีไปพบเตียวเหยียง จึงชวนกันพาหองจูเปียนหองจูเหียบหนีออกไปนอกเมืองซุ่มอยู่ ณ ป่าเชิงเขาปักคู สาน

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวโจโฉจึงเกณฑ์ทหารสองกอง กองหนึ่งให้ตามจับขันทีหกคน กองหนึ่งให้ไปหาหองจูเปียนหองจูเหียบณป่านอกเมือง ฝ่ายต๋วนกุยกับเตียวเหยียง ได้ยินเสียงทหารตามมาค้นหาเปนอันมาก คิดกลัวว่าจะมิพ้นความตาย จึงทิ้งพระราชบุตรทั้งสองเสีย ต่างคนต่างก็หนีไปในเวลาเที่ยงคืน แต่เตียวเหยียงนั้นหนีบุกป่ามาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง พอพบทัพบินของเจ้าเมืองโห้หล้ำ ทหารทั้งปวงมิได้เห็นตัว ได้ยินแต่เสียงสาก ๆ ในพง จึงล้อมไว้ริมแม่น้ำ แล้วจุดคบใส่ปลายไม้ส่องเข้าไปจะจับตัว เตียวเหยียงเห็นจะหนีไม่พ้นก็โจนน้ำตาย

ฝ่ายหองจูเปียนหองจูเหียบซึ่งขันทีทิ้งเสียในป่า ครั้นได้ยินเสียงพลอื้ออึงมาก็ตกใจกลัว ครั้นเวลาสามยามน้ำค้างตกหนัก จึงปรึกษากันว่าเราจะอยู่ที่นี่มิได้จำจะหนีไปให้พ้นภัย แล้วก็พากันบุกป่าไปในเวลากลางคืนมืดมิได้เห็นหนทาง มิรู้ที่จะไปแห่งใดจึงเอาชายเสื้อทรงผูกกันเข้าไว้ พอเห็นหิงห้อยบินนำหน้าไปเปนหมู่ก็เห็นทาง จึงพากันไปตามแสงหิงห้อย หองจูเหียบผู้น้องจึงว่าหิงห้อยนี้เปนเทวดาช่วยนำทางให้เราเปนมั่นคง ภายหน้าไปเห็นเราจะยังมีบุญอยู่ ครั้นเวลาจะใกล้รุ่งก็มาถึงชายเขาแห่งหนึ่ง พระบาทพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ชอกช้ำพุพองเดิรไปมิได้ เห็นกองหญ้ากองหนึ่งก็พากันเข้าหยุดนอนอยู่ ที่นั้นมีบ้านตำบลหนึ่งนายบ้านนั้นชื่อซุยก๊ก ในเวลากลางคืนนั้นซุยก๊กฝันว่า เห็นพระอาทิตย์สองดวงตกอยู่ที่หลังบ้าน ครั้นเวลารุ่งขึ้นซุยก๊กเดิรออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน เห็นรัสมีสว่างที่ตรงกองหญ้าจึงเดิรเข้าไปดู เห็นพระราชบุตรทั้งสองนอนอยู่ จึงปลุกขึ้นถามว่าท่านนี้มาแต่แห่งใด หองจูเหียบจึงบอกว่า นั่นชื่อหองจูเปียนซึ่งเสวยราชย์ในเมืองลกเอี๋ยง เราเปนน้องชื่อตันลิวอ๋อง เปนเหตุเพราะขันทีสิบคนบ้านเมืองจึงเกิดจลาจลวุ่นวาย เราจึงหนีภัยมาอาศรัยอยู่ที่นี้ ซุยก๊กนายบ้านได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลงกราบถวายบังคมแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าชื่อซุยก๊ก แต่ก่อนนั้นก็ได้ทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ครั้งพระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบิดาแห่งพระองค์ อ้ายขันทีสิบคนมันมาทำหยาบช้าต่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงออกจากราชการมาทำมาหากินอยู่ที่นี่ แล้วซุยก๊กจึงเชิญเสด็จเข้าไปบ้าน แล้วแต่งที่อยู่แลเครื่องเสวยถวาย พระราชบุตรทั้งสองก็อาศรัยอยู่ ณ บ้านซุยก๊ก

ฝ่ายบินของก็ยกล่วงเข้ามา พอพบต๋วนกุยขันทีจึงจับเอาตัวมาถามว่าเกิดจลาจลครั้งนี้เพราะพวกมึงทั้งสิบ คน บัดนี้มึงพาพระราชบุตรทั้งสองไปไว้แห่งใด ต๋วนกุยจึงบอกว่าเมื่อเกิดเพลิงขึ้นในพระราชวังข้าพเจ้าพาพระราชบุตรหนีมา อยู่ในป่า ครั้นได้ยินเสียงทหารอื้ออึงมา ข้าพเจ้าตกใจกลัวต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด บินของได้ฟังก็โกรธจึงให้ฆ่าต๋วนกุยเสียแล้วตัดเอาสีสะผูกคอม้ามา จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ยกแยกกันไปเที่ยวหาพระราชบุตรทั้งสอง บินของก็ขี่ม้าเที่ยวค้นในป่ามาจนถึงหน้าบ้านซุยก๊ก

ฝ่ายซุยก๊กเห็นสีสะต๋วนกุยก็วิ่งออกมาถามบินของว่า ท่านจับต๋วนกุยได้แห่งใดจึงตัดเอาสีสะผูกคอม้ามา บินของจึงบอกเนื้อความแต่หลังให้ฟังสิ้น แล้วว่าข้าจะมาเที่ยวหาพระราชบุตรทั้งสององค์ ซุยก๊กก็พาเข้าไปเฝ้าในบ้าน แล้วซุยก๊กกับบินของจึงทูลพระราชบุตรทั้งสองว่า อย่างธรรมเนียมในเมืองหลวงถ้าหาเจ้าเสวยราชสมบัติแต่วันหนึ่งไม่ บ้านเมืองมักเกิดอันตราย ขอเชิญเสด็จเข้าไปเสวยราชสมบัติอยู่ดังเก่า แผ่นดินจึงจะเปนปรกติสืบไป พระราชบุตรทั้งสององค์เห็นชอบด้วย ซุยก๊กกับบินของก็ผูกม้าถวายสองม้าแล้วเชิญเสด็จไป ครั้นมาทางประมาณสามร้อยเส้น พอพบอ้องอุ้นหนึ่ง อิวปิ๋วหนึ่ง ซุนเขนหนึ่ง เตี๋ยวเปงหนึ่ง เปาสุ้นหนึ่ง อ้วนเสี้ยวหนึ่ง คุมทหารประมาณห้าร้อย ครั้นเห็นพระราชบุตรทั้งสองมา ก็ลงจากม้าร้องไห้เข้าไปรับเสด็จ แล้วซุยก๊กกับบินของก็เล่าเนื้อความให้ฟัง ขุนนางทั้งหกคนแจ้งแล้ว จึงเอาสีสะต๋วนกุยขันทีให้ม้าใช้เอาเข้าไปประกาศแก่ราษฎรในเมืองหลวง แล้วแต่งรถรับเสด็จพระราชบุตรทั้งสอง ไปทางประมาณร้อยเส้นเศษพบทหารกองหนึ่งยกมาเปนอันมากมิได้รู้ว่าเปนทัพผู้ใด ขุนนางทั้งปวงตกใจ แต่อ้วนเสี้ยวนั้นขี่ม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวงแล้วร้องถามว่า ทัพผู้ใดยกมา ทหารมิได้ตอบประการใด แลตั๋งโต๊ะได้ยินก็ขับม้าขึ้นมาหน้าทหาร แล้วร้องถามว่า พระราชบุตรอยู่แห่งใด มาด้วยในกองทัพนี้หรือหาไม่ หองจูเปียนตกใจนิ่งอยู่ แต่หองจูเหียบผู้น้องจึงร้องบอกว่า ทัพผู้ใดมาถามหาหองจูเปียน ตั๋งโต๊ะบอกว่าข้าพเจ้าชื่อตั๋งโต๊ะเปนเจ้าเมืองซีหลง หองจูเหียบจึงว่า มานี้จะขบถหรือจะประสงค์สิ่งใด ตั๋งโต๊ะจึงว่าข้าพเจ้ามิได้เปนขบถจะมารับเสด็จดอก หองจูเหียบจึงว่าจะมารับเสด็จแล้วเปนไฉนจึงไม่ลงจากม้าเล่า ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงลงจากม้าแล้วเข้ามากราบถวายบังคม หองจูเหียบจึงว่า ท่านนี้มิเสียแรงเปนขุนนางผู้ใหญ่ใจสัตย์ซื่อคำต้นกับคำปลายต้องกัน ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่าหองจูเหียบมีสติปัญญาพูดจาหลักแหลม นัก กูจะคิดอ่านยกหองจูเปียนออกเสีย จะให้หองจูเหียบเปนเจ้าแผ่นดินในเมืองลกเอี๋ยง แลตั๋งโต๊ะกับขุนนางทั้งปวงส่งพระราชบุตรทั้งสองเข้าไปถึงในวัง แล้วตั๋งโต๊ะก็กลับออกไปตั้งทัพอยู่นอกเมือง

ฝ่ายนางโฮเฮาครั้นเห็นพระราชบุตรกลับมาได้ก็มีความยินดี จึงได้ตรวจตราเครื่องอานทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังก็ดีอยู่สิ้น หายไปแต่ตราหยกสำหรับว่าราชการเมือง แลตั๋งโต๊ะนั้นคุมทหารมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงเนือง ๆ อยู่ แลพรรคพวกทั้งปวงเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินทั้งปวงของอาณาประชาราษฎรเปนอันมาก ผู้ใดมิได้ว่ากล่าว แลตั๋งโต๊ะเข้าเฝ้ามิได้คำนับเสนาบดีผู้ใหญ่ เปาสิ้นเห็นดังนั้นไปปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่าตั๋งโต๊ะนี้นานไปเห็นจะทำการ กำเริบขึ้น เราจำจะคิดล้างมันเสียให้ได้ก่อน อ้วนเสี้ยวจึงว่าการแผ่นดินพึ่งสงบ ครั้นเราจะด่วนทำดังนั้นไม่ควร เปาสิ้นจึงไปหาอ้องอุ้นปรึกษาเหมือนว่ากับอ้วนเสี้ยวนั้น อ้องอุ้นจึงว่าคิดดังนี้ก็ชอบอยู่แล้ว ของดแต่พอปรึกษากันดูก่อน เปาสิ้นคิดความมิตลอดมีความน้อยใจ ก็พาพรรคพวกออกไปอยู่ป่า

ฝ่ายตั๋งโต๊ะจึงเกลี้ยกล่อมนายทหารทั้งปวงซึ่งอยู่กับโฮจิ๋นแต่ก่อนนั้น เข้าอยู่ในอำนาจสิ้น ตั๋งโต๊ะจึงกำเริบขึ้น แล้วปรึกษากับลิยูว่า เราจะยกหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ ราชการแลขุนนางทั้งปวงก็จะเปนสิทธิ์แก่เรา ภายหน้าไปจะคิดการสิ่งใดก็จะได้สดวก ลิยูจึงตอบว่า ทุกวันนี้มีเจ้าก็เหมือนหนึ่งหาไม่ เสนาบดีสำเร็จราชการก็ไม่มี แผ่นดินพึ่งสงบ ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ให้ท่านเร่งคิดทำเถิด แล้วว่าให้ท่านหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปณสวนดอกไม้ตำบลอุนเบงหุ้ย ถ้าขุนนางพร้อมแล้วจึงปรึกษาว่า จะให้ยกหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ ถ้าขุนนางผู้ใดไม่ยอมก็ให้จับตัวฆ่าเสีย ท่านก็จะมีอาญาสิทธิ์สืบไป ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก

อยู่มาวันหนึ่งให้แต่งโต๊ะแล้ว ให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมา แลขุนนางทั้งปวงเกรงตั๋งโต๊ะสิ้น ก็พากันไปณสวนดอกไม้นั่งล้อมจะกินโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นขุนนางพร้อมแล้วก็ถือกระบี่ออกมา จึงห้ามว่าอย่าเพ่อเสพย์สุรา เราจะปรึกษาราชการข้อหนึ่งก่อน ขุนนางทั้งปวงก็นิ่งคอยฟังอยู่สิ้น ตั๋งโต๊ะจึงว่าทุกวันนี้หองจูเปียนได้เสวยราชสมบัติ อุปมาดังสีสะแลหัวใจเสนาบดีกับอาณาประชาราษฎรทั้งปวง แต่ไม่มีสง่าอาญาสิทธิ์ให้ขุนนางแลราษฎรเกรงกลัว บัดนี้เราเห็นหองจูเหียบมีสติปัญญาแหลมหลักกล้าหาญ เราจะให้ถอดหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเปนสุข ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งนั้นนิ่งเสียสิ้น แต่เต๊งหงวนเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วนั้นยืนขึ้นแล้วร้องว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ตัวเปนแต่ขุนนางหัวเมืองมาทำองค์อาจจะถอดเจ้าเสีย แลหวงจูเปียนนั้นเปนพระราชบุตรเอก พระเจ้าเลนเต้จึงยกราชสมบัติให้ แล้วหองจูเปียนมิได้มีความผิด ตัวคิดอ่านทั้งนี้จะเปนขบถหรือจึงว่ากล่าวดังนี้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องว่า เราปรึกษาราชการที่ดีสิไม่เห็นด้วย ผู้ใดซึ่งองค์อาจเข้ามาว่ากล่าวขัดขวางนั้น กูจะเอาชีวิตเสียบัดนี้ แล้วก็ถอดกระบี่ออกจะฆ่าเต๊งหงวนเสีย ลิยูเห็นลิโป้ยืนอยู่ข้างหลังเต๊งหงวนนั้น รูปร่างสูงใหญ่มือถือทวน ท่วงทีเห็นแขงแรงนัก ลิยูจึงห้ามตั๋งโต๊ะไว้แล้วว่า วันนี้หาท่านทั้งปวงมากินโต๊ะจะฟังขับรำให้สบายใจสิมาวิวาททุ่มเถียงกันเล่า สิ้นวันแล้วหรือ ถ้าจะปรึกษากันก็งดไว้ก่อนเถิด จึงค่อยไปปรึกษาณ ศาลาลูกขุน วันนี้เชิญกินโต๊ะเล่นดีกว่า แลขุนนางทั้งนั้นก็ห้ามเต๊งหงวน เต๊งหงวนก็ขึ้นม้าพาลิโป้กลับไป

ฝ่ายตั๋งโต๊ะนั้นจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เราปรึกษาเมื่อกี้นั้นท่านทั้งนี้เห็นผิดหรือชอบ โลติดจึงตอบตั๋งโต๊ะว่า ท่านปรึกษาข้อราชการนั้นผิดนัก พระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบิดาเห็นว่าหองจูเปียนมีสติปัญญาแล้วก็เปนพระ ราชบุตรเอก จึงให้เสวยราชสมบัติ ตัวท่านเปนขุนนางหัวเมืองมิได้แจ้งกฎหมายในพระราชฐาน จะมาถอดหองจูเปียนซึ่งมิได้มีความผิดเสียนั้นไม่ชอบ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธถอดกระบี่ออกจะฟันโลติดเสีย แพ่เป๊กจึงห้ามว่า โลติดนี้เปนขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน น้ำใจก็สัตย์ซื่อมั่นคง ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรมีน้ำใจรักโลติดเปนอันมาก ซึ่งท่านจะฆ่าโลติดเสียนั้น เห็นว่าราษฎรทั้งปวงจะมีความเดือดร้อนนัก แล้วอ้องอุ้นจึงว่าวันนี้เปนหน้าเหล้าหน้าเข้าอยู่ ถ้าจะปรึกษาข้อราชการก็ให้งดไว้วันอื่นเถิด ขุนนางทั้งปวงก็ลาตั๋งโต๊ะกลับไปสิ้น

ฝ่ายลิโป้ครั้นไปถึงที่อยู่กับเต๊งหงวนแล้ว จึงถือทวนขี่ม้ากลับมาคอยฟังราชการณสวนดอกไม้ แลตั๋งโต๊ะนั้นครั้นขุนนางไปสิ้นแล้ว ก็ถือกระบี่เดิรออกไปณประตูสวนดอกไม้ แลเห็นลิโป้ขี่ม้าควบไปมาอยู่ริมระเนียด จึงถามลิยูว่าทหารผู้ใด ลิยูจึงว่าให้ท่านหลบเข้ามาเสียก่อนแล้วบอกว่า คนนี้ชื่อลิโป้เปนบุตรเลี้ยงเต๊งหงวน มีกำลังกล้าแขงนัก ตั๋งโต๊ะก็ถอยเข้ามา ครั้นเวลารุ่งเช้ามีผู้มาบอกตั๋งโต๊ะว่า บัดนี้เต๊งหงวนกับลิโป้คุมทหารยกมาจะรบด้วยท่าน ตั๋งโต๊ะโกรธก็จัดแจงทหารแล้วยกออกไปตั้งรับ

ฝ่ายเต๊งหงวนกับลิโป้มายืนอยู่หน้าทหาร เห็นตั๋งโต๊ะยกมาจึงร้องว่าครั้งก่อนอ้ายเหล่าขันทีสิบคนทำการหยาบช้าให้ได้ ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดินจนเกิดอันตรายขึ้น บ้านเมืองพึ่งจะสงบ แลตัวเปนแต่ขุนนางหัวเมืองยังมิได้มีความชอบประการใด มาตั้งตัวเปนผู้ใหญ่คิดบังอาจจะถอดหองจูเปียนเสีย จะให้แผ่นดินเกิดจลาจลเหมือนครั้งขันทีนั้นหรือ ตั๋งโต๊ะมิได้ตอบประการใด พอลิโป้ควบม้ารำทวนเข้ามาจะแทงเอาตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นก็กลัวถอยหลังไปหลังทหาร เต๊งหงวนก็ขับทหารหนุนไล่ฟันขึ้นไป ตั๋งโต๊ะกับทหารก็แตกพ่ายไปทางประมาณห้าสิบเส้น จึงให้ตั้งค่ายมั่นรับไว้ แล้วตั๋งโต๊ะจึงปรึกษากับนายทหารซึ่งเปนพรรคพวกว่า แต่เราเห็นผู้กระทำศึกมานี้ก็เปนอันมาก ไม่มีผู้ใดเข้มแขงกล้าหาญเหมือนลิโป้เลย ถ้าเราได้ลิโป้มาไว้เปนทหารของเราการทั้งปวงก็จะคิดได้สดวก ลิซกนายทหารคนหนึ่งจึงว่า ข้าพเจ้ากับลิโป้อยู่บ้านเดียวกัน แล้วก็เปนมิตสหายวิสาสะกัน อันลิโป้นั้นกล้าแข็งก็จริง แต่เปนคนใจหยาบช้าหารู้จักคุณคนไม่ โลภเห็นแต่จะได้สิ่งของอันดี ข้าพเจ้าจะขอไปเกลี้ยกล่อมลิโป้ให้มาอยู่กับท่านจงได้ ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าท่านจะไปเกลี้ยกล่อมลิโป้นั้นประการใดจะได้ ลิซกจึงตอบว่าขอให้ท่านจัดทรัพย์สิ่งของอันดี กับม้าซึ่งชื่อว่าเซ็กเธาว์อันมีกำลังเดิรทางได้วันละหมื่นเส้นมาเถิด ข้าพเจ้าจะเอาไปให้ลิโป้ แล้วจะเกลี้ยกล่อมให้ลิโป้มาอยู่กับท่านจงได้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นจึงปรึกษากับลิยูว่า ซึ่งลิซกว่ากล่าวทั้งนี้ท่านยังเห็นประการใด ลิยูจึงว่าท่านสิจะคิดการใหญ่ เสียดายกับสิ่งของกับม้าตัวหนึ่งใยเล่า ถ้าสมความคิดแล้วท่านจะปราถนาสิ่งใดก็จะได้โดยสดวก ตั๋งโต๊ะได้ฟังมีความยินดีนัก จึงจัดทองคำพันตำลึงกับพลอยสิบยอด เข็มขัดประดับหยกสายหนึ่ง กับม้าซึ่งชื่อเซ็กเธาว์ให้แก่ลิซกแล้วสั่งว่า ท่านเอาไปให้ลิโป้ตามท่านคิดนั้นเถิด ลิซกรับของทั้งปวงกับม้าแล้วก็ลาตั๋งโต๊ะไปยังค่ายเต๊งหงวน พอพบบ่าวลิโป้ออกมาตระเวน จึงจับเอาตัวลิซกไว้ถามว่ามาทำไม ลิซกบอกว่าเราชื่อลิซก เปนเพื่อนรักกันกับลิโป้มาแต่น้อย บัดนี้ระลึกถึงลิโป้จึงมาหา ท่านทั้งปวงช่วยพาเราไปหาลิโป้จงได้ ทหารกองตระเวนจึงให้คุมเอาตัวไว้ แล้วเอาเนื้อความไปบอกลิโป้ ๆ ครั้นแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงออกมารับลิซกเข้าไปถึงในค่าย แล้วจึงว่าเรากับท่านรักกันมาแต่น้อย จากกันมาช้านานแล้ว บัดนี้ท่านมาอยู่ทำราชการตำแหน่งใด ลิซกจึงตอบว่าเราเปนตงลงเจี้ยงนายทหาร รู้ว่าท่านทำราชการเปนนายทหารแล้วได้ช่วยอาสาแผ่นดินทั้งนั้น เรามีความยินดีด้วย หาสิ่งใดจะให้มิได้มีแต่ม้าตัวนี้ชื่อเซ็กเธาว์ มีฝีเท้าเดิรทางได้วันละหมื่นเส้น ถ้าขึ้นเขาแลข้ามน้ำก็เหมือนกับเดิรที่ราบ ท่านจงเอาไว้เถิดจะได้ทำราชการอาสาแผ่นดินสืบไป ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงจูงเอาม้ามาดูลักษณ เห็นขนนั้นแดงดังถ่านเพลิงทั่วทั้งตัวมิได้มีสีใดแกม สูงสี่ศอกเศษ ได้ลักษณเปนม้าศึก เข้มแข็งกล้าหาญ ลิโป้ก็มีความยินดีนักคำนับแล้วว่าท่านเอาม้าตัวนี้มาให้เรานี้ เราชอบใจสมความปราถนาเรานัก ยิ่งกว่าให้ทรัพย์สิ่งของทั้งปวง เรามิได้มีสิ่งของสนองคุณท่านเลย ลิซกจึงตอบว่า ซึ่งเราเอาม้ามีฝีเท้ามาให้ท่านทั้งนี้ จะได้คิดเอาสิ่งของตอบหามิได้ คิดว่าท่านเปนทหารทำราชการซื่อสัตย์อยู่จึงเอามาให้

ลิโป้จึงให้แต่งโต๊ะ แล้วเชิญให้ลิซกกิน ขณะเมื่อลิซกเสพย์สุราอยู่นั้นจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ท่านผู้ใหญ่นั้นอยู่แห่งใด เอนดูช่วยพาเราไปหาเราจะได้คำนับให้ท่านรู้จักไว้ ลิโป้ตอบว่าท่านอยู่หาไหนไม่รู้ บิดาเราตายช้านานแล้ว ลิซกจึงว่าจงไปหาเต๊งหงวนซึ่งเปนบิดาท่าน ลิโป้จึงขับคนทั้งปวงเสีย แล้วค่อยกระซิบว่า ท่านเสพย์สุราเมากระมัง เรากับท่านรู้จักบิดามารดากันมาแต่น้อย เปนไฉนจึงว่าดังนี้เล่า ซึ่งเรามาอยู่กับเต๊งหงวนทุกวันนี้เรียกว่าเปนบิดานั้น เพราะจำใจอยู่ดอก ลิซกจึงว่าท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญในการสงครามลือชาปรากฎทุกหัวเมือง จะคิดเอาสิ่งใดก็จะได้ดังปราถนา เปนไฉนมาจำใจอยู่ดังนี้ ลิโป้ตอบว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็จริงอยู่ แต่เราแสวงหาที่พึ่งจะเปนหลักนั้นยังมิได้ ลิซกยิ้มแล้วจึงตอบว่า ธรรมดานกก็ย่อมอาศรัยป่าซึ่งมีผลไม้มากจึงเปนสุข ประเพณีขุนนางทำราชการ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมแล้วก็มีความสุข ซึ่งท่านว่าจำใจอยู่ด้วยเต๊งหงวนนั้นจะเอาประโยชน์อันใด ภายหน้าไปเห็นจะมีอันตราย จงผ่อนผันหาที่อยู่ให้เปนสุขดีกว่า

ฝ่ายลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงถามลิซกว่า ท่านสิทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ยังเห็นขุนนางผู้ใดกล้าหาญสัตย์ซื่อว่ากล่าวสิทธิ์ขาดบ้าง ลิซกจึงตอบว่า เราเล็งดูขุนนางในเมืองหลวงนั้น ซึ่งจะมีสติปัญญากล้าแขงหาพร้อมเหมือนตั๋งโต๊ะไม่ อันตั๋งโต๊ะนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญากล้าหาญ สัตย์ซื่อมั่นคง แล้วน้ำใจก็รักทหารปูนบำเหน็จให้มิได้รักทรัพย์สิ่งของ เอาใจคนเปนประมาณ สืบไปข้างหน้าเห็นตั๋งโต๊ะจะได้เปนใหญ่ ลิโป้ได้ยินดังนั้นมีความยินดี จึงตอบว่า เราก็คิดอยู่จะหาที่พึ่งดังนี้ แต่หาช่องซึ่งจะไปนั้นยังมิได้ ลิซกนั้นจึงเอาทองกับพลอยแลเข็มขัดนั้นมาตั้งไว้ ลิโป้เห็นจึงถามว่า ของทั้งนี้ท่านเอามาทำไม ลิซกจึงบอกว่า ตั๋งโต๊ะมีน้ำใจรักใคร่ท่านเปนอันมาก จึงให้เราเอาม้าแลของทั้งนี้มาให้แก่ท่าน ลิโป้เปนคนโลภ ครั้นเห็นของก็มีความยินดีนัก จึงตอบว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะมีใจรักเราให้เอาม้าแลสิ่งของมาให้เราทั้งนี้ เราจะมีสิ่งอันใดไปสนองคุณท่าน ลิซกจึงตอบว่า แต่ตัวเราฝีมือเปนประมาณ ตั๋งโต๊ะยังมีใจรักช่วยเสนอความชอบให้ เราจึงได้เปนนายทหาร แลตัวท่านมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญยิ่งกว่าเรา ถ้าไปอยู่ด้วยเห็นจะได้เปนขุนนางใหญ่ขึ้นกว่านี้ ลาภสการความสุขก็จะมีเปนอันมาก ลิโป้จึงตอบว่า เราจะเอาความชอบอันใดไปเปนกำนัลตั๋งโต๊ะ ลิซกจึงตอบว่า ถ้าท่านจะเอาความชอบนั้นก็ได้ง่าย เกรงอยู่แต่ว่าท่านจะไม่ทำ ถ้าท่านจะทำแล้วก็จะได้ในลัดนิ้วมือเดียว ลิโป้ได้ยินก็นิ่งคิดอยู่ แล้วตอบว่าอันจะเอาความชอบสิ่งใดไปนั้นก็ไม่มี แลเต๊งหงวนกับตั๋งโต๊ะผิดใจกันอยู่ เราจะตัดสีสะเต๊งหงวนไปเปนกำนัลตั๋งโต๊ะ เห็นจะควรหรือไม่ควร ลิซกจึงตอบว่า ถ้าท่านทำดังนี้ความชอบจะมีแก่ท่านเปนอันมาก แลซึ่งจะคิดทำนั้นก็อย่านอนใจ ถ้าช้าไปเกลือกจะเสียท่วงที ลิโป้จึงรับคำว่าท่านไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะเถิด พรุ่งนี้เราจะตัดเอาสีสะเต๊งหงวนไปให้ตั๋งโต๊ะ ตัวเราก็จะอยู่ทำราชการด้วย ลิซกก็ลากลับไปบอกเนื้อความแก่ตั๋งโต๊ะทุกประการ ครั้นเวลาค่ำประมาณสองยามเศษ ลิดป้จึงเอากระบี่สั้นเหน็บซ่อนเดิรเข้าไปในที่นอนเต๊งหงวน เห็นเต๊งหงวนอ่านหนังสืออยู่

ฝ่ายเต๊งหงวนครั้นเห็นลิโป้เข้ามาจึงถามว่า ลูกเอ๋ยเข้ามาทำไม ลิโป้จึงร้องตอบว่า ตัวกูก็เปนชายมีฝีมือลือชาปรากฎ ซึ่งมึงจะมาเรียกกูว่าลูกนั้นไม่สมควร เต๊งหงวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่า เปนไฉนเจ้าจึงคิดกลับใจเปนดังนี้ ลิโป้มิได้ตอบประการใด ชักกระบี่ออกวิ่งเข้าฟันเอาเต๊งหงวนตาย ตัดเอาสีสะหิ้วไว้แล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เต๊งหงวนนี้มิได้มีใจสัตย์ซื่อทำการหยาบช้า บัดนี้เราฆ่าตายเสียแล้ว ทหารทั้งปวงใครจะยอมอยู่ด้วยก็ตาม หรือผู้ใดจะกลับไปบ้านเมืองก็ไป แลทหารทั้งปวงได้ฟังลิโป้ร้องประกาศดังนั้น ซึ่งมีใจชังลิโป้นั้นก็แตกตื่นไปประมาณกึ่งหนึ่ง แต่ซึ่งมีใจรักนั้นก็เข้าอยู่กับลิโป้ประมาณกึ่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงขึ้นม้า หิ้วเอาสีสะเต๊งหงวนไปหาลิซก ณ ค่ายตั๋งโต๊ะ ลิซกครั้นเห็นลิโป้หิ้วเอาสีสะเต๊งหงวนมาก็ดีใจ จึงพาลิโป้ไปหาตั๋งโต๊ะ

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเห็นลิซกพาลิโป้ซึ่งหิ้วสีสะเต๊งหงวนเข้ามาก็มีความยินดีเดิ รออกมารับลิโป้แล้วว่า ตัวเรานี้อุปมาเหมือนทำนาตกกล้าลงแล้วฝนแล้วกล้านั้นใบแดงไป ซึ่งท่านมาหาเราบัดนี้เหมือนฝนตกลงห่าใหญ่ น้ำท่วมเลี้ยงต้นกล้าชุ่มชื่นขึ้นใบนั้นเขียวสดขึ้น ลิโป้เห็นตั๋งโต๊ะคุกเข่าลงคำนับก็ตกใจ ลิโป้เข้าอุ้มเอาตั๋งโต๊ะขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วกราบคำนับจึงว่าข้าพเจ้านี้มีใจภักดีมาจะทำราชการด้วยท่าน ซึ่งท่านมีใจเมตตาข้าพเจ้านั้นก็เห็นประจักษ์สิ้น ข้าพเจ้าจะขอเอาท่านเปนบิดากว่าจะสิ้นชีวิต ตั๋งโต๊ะได้ฟังมีความยินดีนัก จึงเอาเสื้ออย่างดีกับเกราะทองคำมาให้ลิโป้

ตั้งแต่ตั๋งโต๊ะได้ลิโป้มาไว้เปนกำลัง จะคิดอ่านราชการสิ่งใดมีใจกำเริบหยาบช้าขึ้นกว่าแต่ก่อน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลทหารทั้งปวงในเมืองหลวงก็อยู่ในบังคับบัญชาตั๋งโต๊ะ สิ้น แล้วให้ตั๋งบุ่นผู้น้องเปนนายทหารซ้าย ให้ลิโป้ซึ่งเปนบุตรเลี้ยงนั้นเปนนายทหารขวา ตั๋งโต๊ะก็ยกเข้ามาตั้งอยู่ในเมือง

ครั้นอยู่มาลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ราชการในเมืองหลวงทุกวันนี้ก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่านสิ้น ซึ่งจะคิดประการใดนั้นขอให้เร่งคิดเสียเถิด ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ครั้นเวลาเช้าตั๋งโต๊ะจึงให้ลิโป้คุมทหารพันเศษให้เข้าไปล้อมวงอยู่ใน พระราชวัง แล้วตั๋งโต๊ะเข้าไปในที่เสด็จออก จึงสั่งให้แต่งโต๊ะหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะในที่เฝ้า แล้วตั๋งโต๊ะถือกระบี่เข้าไปร้องประกาศในที่ชุมนุมขุนนางทั้งปวงว่า หองจูเปียนนั้นหาสติปัญญามิได้ จะให้ถอดเสีย เราจะให้ตั้งหองจูเหียบซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลมขึ้นเสวยราชสมบัติ ถ้าผู้ใดมิลงใจพร้อมด้วยเราจะฆ่าเสีย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงนิ่งอยู่สิ้น แต่อ้วนเสี้ยวนั้นลุกยืนขึ้นแล้วร้องว่าหองจูเปียนเปนพระราชบุตรเอก พระราชบิดายกราชสมบัติให้หองจูเปียนเสวยราชย์ก็มิได้มีความผิดสิ่งใด ตัวจะมาถอดเสียแล้วจะยกหองจูเหียบพระราชบุตรโทขึ้นเสวยราชย์นั้น ตัวจะคิดอ่านเปนขบถหรือ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงตอบว่า ราชสมบัติทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือเรา ๆ เห็นไม่ชอบจึงจะทำให้ชอบ ถ้าตัวมิฟังจะขืนขัดอยู่ฉนี้ ตัวจงแลดูกระบี่ที่เราถืออยู่นี้จะคมหรือไม่ อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่ากระบี่เราถือมาก็มีอยู่ ถ้าตัวมิฟังจะขืนตั้งหองจูเหียบขึ้นให้ผิดอย่างธรรมเนียม ตัวจงดูกระบี่ซึ่งเราถือมานี้เห็นจะคมหรือไม่คมเล่า ตั๋งโต๊ะก็โกรธถอดกระบี่ออกจะฟันอ้วนเสี้ยว ๆ ก็ถอดกระบี่ออกจะสู้ตั๋งโต๊ะ ลิยูเห็นดังนั้นจึงเข้าห้ามตั๋งโต๊ะไว้ แล้วค่อยกระซิบว่า เราจะคิดการใหญ่อยู่ ครั้นจะฆ่าฟันกันขึ้น การซึ่งคิดไว้นั้นก็จะเสียไป ตั๋งโต๊ะก็ฟังลิยูห้าม ขุนนางทั้งปวงก็ห้ามอ้วนเสี้ยวไว้ อ้วนเสี้ยวจึงลาขุนนางทั้งปวงแล้วถือกระบี่เดิรออกมา พาทหารแลพรรคพวกยกไปเมืองกิจิ๋ว

ฝ่ายตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่อ้วนหงุยผู้เปนอาว์อ้วนเสี้ยวว่า อ้วนเสี้ยวทำองอาจขัดขวาง นี่หากว่าเราคิดถึงท่าน หาไม่เราจะฆ่าเสีย ซึ่งเราคิดการทั้งนี้ท่านยังเห็นชอบผิดประการใด อ้วนหงุยจึงว่า ซึ่งท่านเปนผู้ใหญ่คิดจะกลับแผ่นดินเสียนั้นก็เห็นชอบด้วย ตั๋งโต๊ะจึงว่าบันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งพร้อมกันทั้งปวง ผู้ใดจะขัดขวางเราเหมือนอ้วนเสี้ยวนั้นเราจะฆ่าเสียบัดนี้ ขุนนางทั้งปวงกลัวตั๋งโต๊ะสิ้น จึงว่าท่านคิดทำการนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนก็ลาไปบ้าน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะอยู่ในที่เฝ้าจึงถามเจียวปีกับเหงาเค่งว่า อ้วนเสี้ยวยกไปเมืองกิจิ๋วเห็นจะคิดอ่านประการใด บ้าง เจียวปีจึงว่า อ้วนเสี้ยวไปครั้งนี้ด้วยโกรธเห็นจะมีความคิดอยู่ อนึ่งแซ่อ้วนนั้นได้เปนขุนนางต่อ ๆ กันมาถึงสี่ชั่วคน อาณาประชาราษฎรหัวเมืองทั้งปวงก็นับถืออ้วนเสี้ยวเปนอันมาก น้ำใจอ้วนเสี้ยวก็มานะเห็นจะเกลี้ยกล่อมผู้คนตั้งตัวเปนใหญ่อยู่ตำบลหนึ่ง เกรงแต่ว่าท่านจะปราบไปมิได้ ขอให้มีหนังสือรับสั่งให้ไปตั้งอ้วนเสี้ยวเปนเจ้าเมืองตำบลหนึ่ง เห็นอ้วนเสี้ยวจะปรกติไปต่อท่าน

ฝ่ายเหงาเค่งจึงว่า อันอ้วนเสี้ยวนั้นมีความคิดอยู่ แต่คิดสิ่งใดไม่ตลอด ซึ่งท่านจะให้มีหนังสือรับสั่งไปตั้งเปนเจ้าเมืองนั้น เหมือนหนึ่งเอาใจราษฎรไว้ ทั้งจะสิ้นความคระหานินทาท่านด้วย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบจึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งแล้วให้ทหารถือไป ให้อ้วนเสี้ยวเปนเจ้าเมืองปุดไฮ แต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาตั๋งโต๊ะสิ้น

ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะจึงให้หองจูเปียนเสด็จออกณพระที่นั่งแกเต๊กเตี้ยน แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาในที่เฝ้า แล้วตั๋งโต๊ะจึงถือกระบี่ร้องประกาศว่า ทุกวันนี้อาญาสิทธิ์ก็อยู่แก่เรา เราเห็นว่าหองจูเปียนสติปัญญาน้อยไม่ควรจะอยู่ในราชสมบัติ เราเห็นหองจูเหียบนั้นกล้าหาญ สติปัญญาก็หลักแหลม ควรจะว่าราชการเมืองได้ เราจะตั้งให้เปนเจ้าแผ่นดิน ขุนนางทั้งปวงมิได้ขัดขวางประการใด ตั๋งโต๊ะจึงสั่งขันทีให้อุ้มหองจูเปียนออกมาจากที่เสด็จออก แล้วถอดเอาตราสำหรับราชสมบัติจากพระศอหองจูเปียน แล้วให้หองจูเปียนเฝ้าอยู่ตำแหน่งลูกหลวง แล้วให้หาตัวนางโฮเฮามาถอดเอาเครื่องประดับสำหรับที่ตำแหน่งมารดาหองจูเปีย นเสียสิ้น แลนางโฮเฮากับหองจูเปียนก็ร้องไห้รักกันอยู่ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็กลั้นน้ำตามิได้

เต๊งกวนขุนนางเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงลุกขึ้นร้องว่าอ้ายตั๋งโต๊ะนี้เปนศัตรูราชสมบัติ คิดการใหญ่หลวงบังอาจถอดหองจูเปียนซึ่งเปนเจ้าเสีย แล้วเต๊งกวนเอาง้าวซึ่งถือตามตำแหน่งเข้าเฝ้านั้นลุกไปจะตีตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นก็โกรธ จึงสั่งให้บู๋ซูตำรวจจับเอาตัวเต๊งกวนไปฆ่าเสีย บู๋ซูเข้ากุมเอาตัวเต๊งกวน เต๊งกวนมิได้กลัวความตายด่าตั๋งโต๊ะเปนข้อหยาบช้ามิได้ขาดปาก บู๋ซูก็พาเอาตัวเต๊งกวนไปฆ่าเสีย ตั๋งโต๊ะจึงให้เชิญหองจูเหียบขึ้นณพระที่นั่งเสด็จออก ขุนนางทั้งปวงก็กราบถวายบังคมสิ้น แล้วให้เอาหองจูเปียนกับนางโฮเฮาซึ่งเปนมารดา แลนางพระสนมหองจูเปียนนั้นไปขังไว้ณพระตำหนักในวังลั่นกุญแจเสีย ห้ามมิให้ขุนนางทั้งปวงไปมาหาสู่ แลขุนนางทั้งปวงกับอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้นมีความสงสารหองจูเปียนกับ นางโฮเฮาเปนอันมาก เมื่อขณะตั๋งโต๊ะตั้งหองจูเหียบขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ( พ.ศ. ๗๓๓) พระชันสาได้เก้าขวบ ถวายพระนามชื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้

แลตั๋งโต๊ะนั้นตั้งตัวเปนเซียงก๊ก ภาษาไทยว่าพระยามหาอุปราช[๑] ถือกระบี่เข้าเฝ้ามิได้เปนเวลา ตามแต่จะชอบใจเข้าออก ถืออาญาสิทธิ์กำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน แลทหารพรรคพวกทำการหยาบช้าข่มเหงชาวเมืองได้ความเดือดร้อนนัก แลโจโฉนั้นก็ไปฝากตัวอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอย

ฝ่ายลิยูซึ่งเปนที่ปรึกษานั้นจึงว่ากับตั๋งโต๊ะว่า ทุกวันนี้ราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่ในท่านสิ้น แต่ท่านอย่ากำเริบให้ขุนนางแลราษฎรมีความชิงชัง จงผ่อนใจกระทำให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเปนสุข แล้วตั้งแต่งขุนนางให้คนทั้งปวงมีใจรักสรรเสริญท่าน ท่านก็จะได้เปนใหญ่จำเริญขึ้นทุกวัน

อนึ่งยังมีคนหนึ่งอยู่บ้านนอกชื่อซัวหยง ซัวหยงนั้นมีสติปัญญาดี ขอท่านให้หาตัวเข้ามาตั้งเปนขุนนางในเมืองหลวง ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ให้คนไปหาตัวซัวหยง ๆ บิดพลิ้วอยู่มิเข้ามา ตั๋งโต๊ะจึงให้ออกไปว่า ถ้าซัวหยงขัดอยู่มิเข้ามา เราจะให้ทหารไปจับฆ่าเสียให้สิ้นทั้งพรรคพวก ซัวหยงกลัวจึงเข้ามาหาตั๋งโต๊ะ ๆ ก็ตั้งซัวหยงเปนขุนนาง เดือนหนึ่งเลื่อนที่ขึ้นไปถึงสามที่ ขณะเมื่อซัวหยงเปนขุนนางนั้น ตั๋งโต๊ะไว้เนื้อเชื่อใจเอาเปนที่ปรึกษาราชการทั้งปวง

ฝ่ายหองจูเปียนกับนางโฮเฮาแลพระสนม ซึ่งตั๋งโต๊ะให้ขังไว้นั้นมีความทรมานทุกข์โศกอดหยากอยู่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเห็นนกนางแอ่นบินอยู่ในตำหนักทั้งคู่ หองจูเปียนจึงผูกโคลงปิดไว้ที่ฝาตำหนักเปนใจความว่า ที่ในพระราชฐานนี้ของพระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบิดายกให้เปนสิทธิ์แก่เรา บัดนี้เรากับมารดาได้ทุกข์ทรมานขังอยู่เหมือนนกทั้งคู่นี้ ถ้าผู้ใดสัตย์ซื่อต่อบิดาเรา ช่วยแก้แค้นในอกเราได้ คุณนั้นหาที่อุปมามิได้เลย

ฝ่ายตั๋งโต๊ะใช้คนซึ่งสนิธมาสอดดูหองจูเปียนอยู่เนือง ๆ ว่าจะทำประการใดบ้าง คนใช้ครั้นมาเห็นโคลงก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ๆ ได้ฟังก็โกรธจึงว่า ซึ่งหองจูเปียนทำโคลงปิดไว้ทั้งนี้ หวังจะใคร่หาคนสนิธมาแก้แค้นเรา บัดนี้ถึงมาทว่าเราจะฆ่าเสีย ก็หามีผู้ใดติฉินนินทาไม่ แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้ลิยูคุมบู๋ซูสิบคนไปฆ่าหองจูเปียนกับนางโฮเฮาแลพระสนม เสียจนได้ ลิยูก็พาบู๋ซูสิบคนเปิดประตูตำหนักเข้าไป สนมนั้นแลเห็นก็บอกแก่หองจูเปียน ๆ ก็ตกใจ ลิยูเข้าไปถึงจึงยื่นจอกสุราซึ่งใส่ยาพิษให้หองจูเปียน หองจูเปียนจึงถามว่าอะไร ลิยูตอบว่ามหาอุปราชเห็นว่าบ้านเมืองเปนสุขแล้ว จึงให้ข้าพเจ้าเอาสุรามาให้เสวย

ฝ่ายนางโฮเฮาได้ยินดังนั้นก็กริ่งใจ จึงว่าซึ่งตั๋งโต๊ะให้เอาสุรามาให้บุตรเรากินก็ขอบใจแล้ว ตัวท่านผู้เอามาจงกินเข้าไปให้เราเห็นก่อนเราจึงจะให้บุตรเรากิน ลิยูได้ยินก็โกรธ จึงเรียกบู๋ซูให้เอากระบี่กับโซ่มาวางไว้ตรงหน้า แล้วว่าซึ่งมหาอุปราชให้เอาสุรามาให้กิน นางโฮเฮาขัดมิกินนั้น จงเลือกเอาของสองสิ่งนี้ จะเอาโซ่หรือกระบี่ นางสนมนั้นจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งจะให้หองจูเปียนเสวยสุรานั้นข้าพเจ้าจะรับกินแทน แต่ว่าของชีวิตนางโฮเฮากับหองจูเปียนให้คงไว้เถิด ลิยูได้ฟังร้องตวาดแล้วว่า ไม่ควรที่เองจะมารับตายแทนนั้นไม่ได้ แล้วลิยูจึงเอาจอกสุรานั้นยื่นให้นางโฮเฮากินก่อน นางโฮเฮามิได้รับแล้วลำเลิกว่า เพราะอ้ายโฮจิ๋นผู้พี่ไม่มีความคิด พาเอาพวกโจรเข้ามาในพระราชฐานอันตรายจึงมาถึงกูกับบุตรครั้งนี้

ฝ่ายลิยูจึงเตือนหองจูเปียนว่า จะเลือกกระบี่หรือโซ่ก็เร่งเลือกเอาจงเร็ว หองจูเปียนจึงว่า ตัวเรากับมารดาจะตายวันนี้ก็รู้อยู่แล้ว แต่ขอทุเลาให้เราลามารดาเราเสียหน่อยหนึ่งเถิด ว่าเท่านั้นแล้วก็เข้ากอดเอาเท้ามารดาร้องไห้รักกัน ลิยูจึงร้องว่า ซึ่งจะบิดพลิ้วอยู่นั้นไม่มีผู้ใดจะช่วยชีวิตแล้ว จะสั่งความกันก็สั่งเร็ว ๆ มหาอุปราชจะคอยเรา นางโฮเฮาจึงว่า อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเปนนายโจรขบถต่อแผ่นดิน ซึ่งมันจะให้ทำร้ายแก่กูกับหองจูเปียนผู้บุตรในวันนี้ ถึงมาทว่ากูแม่ลูกจะตายเทวดาแลมนุษย์ทั้งปวงก็หาสรรเสริญมันไม่ ทั้งอ้ายลิยูเปนพวกขบถก็หาเจริญไม่ ถึงกูทำมึงมิได้นานไปก็จะมีผู้ฆ่ามึงเสียเปนมั่นคง ลิยูได้ยินดังนั้นก็มีใจโกรธ จึงเข้าลากนางโฮเฮามือหนึ่ง ๆ ลากนางสนมออกไปยังที่ชาลา แล้วให้บู๋ซูตำรวจมัดนางโฮเฮากับนางสนมจนตาย แล้วลิยูจึงกลับเข้าไปจับหองจูเปียนไว้ จึงเอาสุราซึ่งใส่ยาพิษนั้นกรอก จนหองจูเปียนตาย แล้วให้เอาศพไปฝังเสียนอกเมืองทั้งสิ้น แล้วก็กลับมาบอกตั๋งโต๊ะ ๆ มีความยินดีนัก ตั้งแต่นั้นตั๋งโต๊ะมีใจกำเริบมิได้ยำเกรงผู้ใด บางทีเวลาค่ำเข้าไปนอนในที่พระเจ้าเลนเต้บรรธม แล้วทำอันตรายแก่นางห้ามทั้งปวง

ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะคุมทหารไปเมืองหยงเซีย แล้วให้ทหารหักเข้าไปในเมืองเก็บเอาทรัพย์สิ่งของ แล้วฆ่าผู้ชายเสียเปนอันมาก จับเอาผู้หญิงมาไว้ จึงให้ตัดเอาสีสะคนซึ่งตายนั้น บันทุกเกวียนกลับเข้ามาถึงเมืองหลวง แล้วให้ร้องประกาศแก่ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรว่า เรายกไปจับพวกโจรได้ตัดเอาสีสะมาเปนอันมาก แล้วก็ให้เผาเสีย จึงเอาทรัพย์สิ่งของแลหญิงชายทั้งนั้นแจกทหารทั้งปวง

ฝ่ายเงาฮูซึ่งเปนขุนนาง ครั้นเห็นตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าก็มีความแค้นใจคิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียมิได้ขาด ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเงาฮูจึงเอามีดเหน็บซ่อนไปในเสื้อ แล้วเข้าไปเฝ้าคอยทีอยู่ พอตั๋งโต๊ะออกมาถึงประตูวัง เงาฮูถอดมีดเหน็บออกจะแทงตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นรับไว้ทัน ลิโป้จึงวิ่งเข้าช่วยจับเงาฮูไว้ได้ แล้วว่าเหตุใดตัวจึงมาคิดทำร้ายมหาอุปราชผู้เปนบิดาของเราดังนี้ เงาฮูมิได้กลัวจึงตอบว่าอ้ายตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า กูจะตัดเอาสีสะประกาศแก่เทวาแลมนุษย์ให้เห็นประจักษ์จงทั่ว ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งบู๋ซูให้เอาตัวเงาฮูไปแล่เนื้อเสียให้สิ้นชีวิต บู๋ซูเข้ากุมเอาตัวเงาฮู ๆ มิได้กลัวตายด่าตั๋งโต๊ะเปนข้อหยาบช้า จนบู๋ซูลงดาบสิ้นใจ แต่นั้นมาตั๋งโต๊ะให้ทหารล้อมวงรักษาเปนกวดขันยิ่งกว่าแต่ก่อน

[๑] คำว่า “มหาอุปราช” คือตำแหน่งวังน่าหรือรัชทายาทนั้น แต่ในที่นี้หมายความว่า อัครมหาเสนาบดี ซึ่งสำเร็จราชการบ้านเมือง

คำคม จูล่ง

 

คำคม จูล่ง


ประวัติย่อของ จูล่ง

    จูล่ง (จีนตัวย่อ: 子龙; จีนตัวเต็ม: 子龍; พินอิน: Zǐlóng) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ที่มีตัวตนจริง มีชื่อจริงว่า เตียวหยุน (จีนตัวย่อ: 赵云; จีนตัวเต็ม: 趙雲; 
พินอิน: Zhào Yún) แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ และเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของจ๊กก๊ก

     จูล่ง ได้รับฉายาว่าเป็น "สุภาพบุรุษแห่งเสียงสาน" เกิดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2 ประมาณปี ค.ศ. 161 ที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเสียงสาน มีแซ่เตียว (จ้าว) ชื่อ หยุน (แปลว่าเมฆ) ชื่อรอง จูล่ง หรือ จื่อหลง (แปลว่าบุตรมังกร) สูงประมาณ 6 ศอก (1.89 เมตร) หน้าผากกว้างดั่งเสือ ตาโต คิ้วดก กรามใหญ่กว้างบ่งบอกถึงนิสัยซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ สวมเกราะสีขาว ใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ 
พาหนะคู่ใจ คือ ม้าสีขาว

คำคม จูล่ง

  • “ความแค้นข้างโจผีนี้ให้เจ็บใจทั่วกัน ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวง ฝ่ายความแค้นข้างซุนกวนนี้ให้เจ็บใจ แต่พระองค์เป็นแต่พี่น้อง ขอให้พระองค์ไปแก้แค้นโจผีเถิด เห็นว่าจะชอบใจคนทั้งปวง”
  •  “ข้าพเจ้าทำศึกแต่หนุ่มจนอายุเพียงนี้ ก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทีให้ข้าศึกดูหมิ่นได้ เกิดมาเป็นชาติทหารแล้วถึงจะตาย ก็ไม่เสียดายแก่ชีวิต จะให้ปรากฏชื่อไปภายหน้า”
  • “แม้จะฆ่ามึงเสียบัดนี้ก็เหมือนฆ่าสตรีหาต้องการไม่ กูปล่อยเสียให้ทานชีวิต แล้วมึงเร่งกลับไปบอกให้นายมึง รีบยกมาสู้กับกูเถิด กูจะคอยท่าอยู่”
  • “แต่ข้าพเจ้าเที่ยวมาทุกเมือง จะหาที่พึ่งซึ่งมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเหมือนท่านนี้ก็ไม่มี บัดนี้เป็นบุญของข้าพเจ้าได้กลับมาพบท่าน ข้าพเจ้าจะขออยู่เป็นบ่าวท่าน ถึงมาตรว่าจะได้ยากลำบากเป็นประการใด ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกว่าจะสิ้นชีวิต”
  • “บัดนี้นางกำฮูหยินพลัดไป ยังหาตัวไม่ เราจะสืบเสาะหาให้จงได้จึงจะกลับไป ถ้าเรามิได้นางกำฮูหยิน แม้จะเป็นตายประการใดก็มิได้คิดชีวิต”
  • “อันตัวข้าพเจ้านี้ ถึงตายก็จะเอาโลหิตทาแผ่นดินไว้ให้ปรากฏ จะขอสนองคุณท่าน”
  • “เรามานี่ก็พ้นเมืองฉสองกุ๋น จะเข้าแดนเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว เหมือนหนึ่งหนีเสือออกจากจั่นได้ ท่านอย่าวิตกเลย เราทำสงครามสำเร็จครั้งนี้เพราะความคิดขงเบ้ง บัดนี้เรามาถึงแดนเมืองเราแล้ว เห็นขงเบ้งจะคิดอ่านมาช่วยเราเป็นมั่นคง”
  • “เล่าปี่นายข้าพเจ้ามีบุตรผู้เดียว ที่เป็นสายโลหิตในอกรักดังดวงใจ แลเมื่อครั้งทุ่งเตียงปันโบ๋ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ตีฝ่าทหารร้อยหมื่น เข้าไปมิได้คิดแก่ชีวิต ก็เพราะประสงค์อาเต๊าแก้วตาของเล่าปี่ ปิ้มตัวข้าพเจ้าจะตายในท่ามกลางทหารโจโฉ ควรหรือท่านจะมาพาอาเต๊าดวงใจของเล่าปี่ไปด้วย”
  • “แม้ท่านจะขืนเอาอาเต๊าไป ถึงชีวิตข้าพเจ้าจะตายอยู่ที่นี่ก็ตามเถิด ข้าพเจ้าก็มิให้เอาไป”
  • “เมื่อครั้งเรารบที่เมืองลกเอี๋ยง เราขี่ม้าถือทวนอยู่แต่ผู้เดียว ทหารโจโฉถึงแปดสิบหมื่นดูเหมือนหญ้าแพรก บัดนี้มีทั้งนายแลพลทหาร เหตุใดจะกลัวข้าศึกอีกเล่า”
  • “ถ้ามิกำจัดโจผีเสียก่อนแล้ว จะยกไปตีซุนกวนทีเดียว เห็นว่าโจผีจะยกไปช่วยซุนกวน เห็นการเราจะทำไปนั้นจะขัดสน การทั้งนี้เป็นการใหญ่ ขอให้พระองค์ตรึกตรองพิเคราะห์จงละเอียด”
  • “ตัวเราทำศึกมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ก็ไม่เคยอัปยศแก่ผู้ใด ควรหรือมาเสียทีแพ้รู้อ้ายแฮหัวหลิมลูกเล็กได้ หากว่าเตียวเปา กับกวนหินหลานเรายกมาช่วย เราจึงรอดจากความตาย บัดนี้เตียวเปากับกวนหิน เขาก็ยกตามแฮหัวหลิมขึ้นไปแล้ว ตัวเราคนแก่นี้จะลากกายตามไปแก้แค้นให้จงได้”
  • “มหาอุปราชดูหมิ่นว่าเราแก่ กลัวจะได้ความอัปยศแก่ข้าศึก ตัวเราถึงมาตรว่าแก่ฉะนี้แล้ว แม้จะให้สู้กับทหารหนุ่มที่มีวิชา แลฝีมือ เราก็ไม่กลัว”


วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 2

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 2

เนื้อหา

• เล่าปี่ได้เป็นผู้รักษาเมืองอันห้อก้วน
• เตียวหุยทำให้เล่าปี่ต้องหนีจากเมืองอันห้อก้วน
• พวกขันทีในเมืองหลวงกำเริบ
• เล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน
• พระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์
• เกิดเกี่ยงแย่งด้วยเรื่องรัชทายาท
• โฮจิ๋นกำจัดศัตรูหองจูเปียนราชบุตรองค์ใหญ่
• โฮจิ๋นคิดกำจัดพวกขันที

วัน หนึ่งเล่าปี่จึงชวนกวนอูเตียวหุยไปเที่ยวชมบ้านเมืองจะให้หายรำคาญใจ พอพบเตียวกิ๋นซึ่งเปนขุนนางอยู่ในพระเจ้าเลนเต้ขี่เกวียนมา เล่าปี่มีความยินดียกมือขึ้นคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้านี้มีความชอบได้ช่วยจูฮีทำการปราบโจรหาผู้ใดจะทูลเสนอความชอบให้ไม่ เตียวกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงพาเล่าปี่เข้าไปเฝ้า แล้วทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นทั้งนี้เพราะเหตุด้วยพระองค์เชื่อฟังขันทีสิบคน ขันทีสิบคนนั้นตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎร กลับจริงเปนเท็จ เท็จเปนจริง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเปนยุติธรรมนั้นให้ถอดเสีย เอาสินบนผู้หาสัตย์ไม่เอามาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย บ้านเมืองก็เกิดจลาจลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาคุมเท่าบัดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้เอาขันทีสิบคนไปตัดสีสะตระเวนประกาศแก่อาณาประชาราษฎร ทั้งปวงให้ทั่วทุกหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ใครมีสติปัญญาเปนยุติธรรมมีความชอบก็ให้ตั้งเปนขุนนางโดยยศถาศักดิ์ตามสมควร บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเปนสุขสืบไป ขันทีสิบคนเฝ้าอยู่ได้ยินจึงกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า เตียวกิ๋นเปนแต่ขุนนางผู้น้อย บังอาจมิได้กลัวพระราชอาญา เข้ามาทูลสั่งสอนพระองค์นั้นไม่ควร พระเจ้าเลนเต้จึงสั่งบู๋ซูให้ขับเตียวกิ๋นออกไปเสียจากที่เฝ้า ขันทีสิบคนจึงคิดกันว่า เตียวกิ๋นมากราบทูลกล่าวโทษเราทั้งนี้เปนข้อใหญ่ ชรอยมันไปทำการศึกรบโจรมีความชอบหาผู้ใดจะทูลความชอบให้ไม่ มันจึงโกรธอาจใจเข้ามาทูลเองดังนี้ ครั้นเราจะให้ทำโทษตอบบัดนี้ ความนินทาก็จะมีแก่เรา อย่าเลยเราจะนิ่งไว้ก่อน ต่อนานไปจึงคิดอ่านฆ่าเสียก็จะไม่พ้นมือเรา พระเจ้าเลนเต้จึงทรงพระดำริห์ว่า เล่าปี่ก็มีความชอบอยู่จึงสั่งให้เสนาบดีปูนบำเหน็จเล่าปี่ เสนาบดีปรึกษาให้เล่าปี่เปนผู้รักษาเมืองอันห้อก้วน เล่าปี่จึงให้ทหารซึ่งมาด้วยนั้นกลับไปที่อยู่ จัดเอาแต่คนสนิธประมาณยี่สิบคนไว้ แล้วพากวนอูเตียวหุยกับคนยี่สิบคนนั้น ไปอยู่ ณ เมืองอันห้อก้วนได้ประมาณเดือนเศษ เล่าปี่เกลี่ยไกล่อาณาประชาราษฎรซึ่งวิวาทมีคดีแก่กันนั้น มากให้น้อยลง น้อยนั้นให้หายเสีย ราษฎรทั้งปวงได้ความสุข ยกมือไหว้สรรเสริญเล่าปี่เปนอันมาก แล้วกวนอูเตียวหุยนั้นมีใจภักดีต่อเล่าปี่เปนอันมาก เวลาเล่าปี่ออกว่าราชการ กวนอูเตียวหุยมิได้ขาดหน้า อุตส่าห์พิทักษ์รักษากัน ครั้นอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง มีหนังสือรับสั่งให้ต๊กอิ้วถือมาถึงเล่าปี่ว่า ถ้าเปนไพร่ได้เลื่อนที่เปนขุนนางหัวเมืองขึ้นแล้ว จะเรียกเอาส่วย เล่าปี่รู้ข่าวก็ออกไปรับถึงนอกเมือง เล่าปี่คำนับหนังสือรับสั่งตามธรรมเนียมแล้วถามข้อราชการแก่ต๊กอิ้ว ๆ มิได้เกรงเล่าปี่ บอกข้อราชการแล้วเอาแซ่ม้าชี้หน้าเล่าปี่ กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็โกรธ แต่มิได้ว่าประการใด แล้วเล่าปี่เชิญต๊กอิ้วเข้าไปในเมือง จัดแจงที่ให้อยู่ตามธรรมเนียม แลต๊กอิ้วนั่งอยู่บนที่สูง เล่าปี่นั้นยืนอยู่ตามตำแหน่ง ต๊กอิ้วจึงถามเล่าปี่ว่า ตัวมีความชอบสิ่งใดจึงได้เปนผู้รักษาเมือง เล่าปี่ตอบว่าข้าเปนเชื้อพระเจ้าฮั่นโกโจอยู่ แต่ว่าบุญน้อยจึงได้เปนผู้น้อยอยู่ ณ เมืองตุ้นก้วน ครั้งโจรโพกผ้าเหลืองเปนขบถนั้น ข้าก็ได้อาสาแผ่นดินออกรบโจรถึงสามสิบสี่สามสิบห้าครั้ง มีความชอบหน่อยหนึ่งจึงโปรดให้มารักษาเมืองนี้ ต๊กอิ้วได้ยินดังนั้นตวาดเพิดให้เล่าปี่แล้วว่า เองนี้ทนงศักดิ์อ้างอวดว่าเปนเชื้อพระวงศ์ ข้อว่าได้ไปรบโจรถึงสามสิบสี่สามสิบห้าครั้งนั้น เราพิเคราะห์ดูรูปร่างเช่นนี้ไม่เห็นสมทำการศึก อย่าพูดโกหกเราหาเชื่อตัวท่านไม่ ซึ่งว่าเปนผู้รักษาเมืองก็ดีแล้ว บัดนี้มีรับสั่งให้เราลงมาเรียกเอาส่วยแก่ขุนหมื่นที่เปนขึ้นใหม่ เล่าปี่รับคำแล้วมิได้ตอบคำประการใดก็ลาไปที่อยู่ เล่าปี่จึงหาปลัดมาปรึกษาว่า ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาว่าดังนี้เราจะทำประการใด ปลัดจึงว่าต๊กอิ้วทำสง่าทั้งนี้ ปราถนาจะเอาสินบนเปนประโยชน์แก่ตัว เล่าปี่จึงว่าตั้งแต่เรามาอยู่เมืองนี้จะได้ค่าธรรมเนียมแลเบียดเบียฬด้าย เส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งแก่อาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะเอาสิ่งใดมาให้สินบนแก่ต๊กอิ้วนั้นก็ขัดสนอยู่แล้ว ครั้นรุ่งขึ้นต๊กอิ้วจึงเอาตัวปลัดลอบมาขู่เข็นโบยตี จะให้ปลัดนั้นว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร ปลัดจะได้ว่าตามคำต๊กอิ้วหามิได้ เล่าปี่รู้ก็มาจะเข้าไปหาต๊กอิ้ว นายประตูห้ามมิให้เข้าไป เล่าปี่ก็กลับมาที่อยู่

ฝ่ายเตียวหุยเสพย์สุราแล้วขี่ม้าจะไปเที่ยวเล่น ครั้นมาถึงตรงประตูที่อยู่ต๊กอิ้ว เห็นคนแก่ยืนร้องไห้อยู่ประมาณห้าสิบหกสิบคน เตียวหุยจึงถามว่ามาร้องไห้อยู่นี่ด้วยเหตุอันใด คนทั้งปวงจึงบอกว่าต๊กอิ้วให้เอาปลัดมาโบยตี ให้ซัดว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร ครั้นข้าพเจ้าชวนกันจะเข้าไปขอโทษ นายประตูมิให้เข้าไปแล้วซ้ำตีข้าพเจ้าอีกเล่า ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายจึงร้องไห้อยู่ฉนี้ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธโจนลงจากหลังม้าวิ่งเข้าไปถึงประตู นายประตูห้ามก็มิฟัง ครั้นเตียวหุยเข้าไปในประตูเห็นปลัดต้องมัดมือมัดเท้าอยู่ ต๊กอิ้วนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ เตียวหุยตวาดแล้วร้องว่า อ้ายขี้ฉ้อใหญ่มึงรู้จักกูหรือไม่ ต๊กอิ้วตกใจเงยขึ้นเห็นเตียวหุยยังมิทันจะตอบประการใด เตียวหุยเข้าจับจิกผมกระชากต๊กอิ้วตกลงจากเก้าอี้ แล้วเอาผมกระหมวดมือลากออกมาถึงศาลากลาง จึงเอาผมต๊กอิ้วผูกกับหลักม้า แล้วหักเอากิ่งสนธิ์มาตีต๊กอิ้วเจ็บปวดเปนสาหัส ฝ่ายเล่าปี่กลับเข้ามานั่งทุกข์อยู่ พอได้ยินเสียงต๊กอิ้วร้องอื้ออึงขึ้น จึงถามทนายว่าเสียงอันใดอึงอยู่นั้น ทนายบอกว่าเสียงเตียวจงกุ๋นน้องท่านเอาผู้ใดมาตีนั้นไม่แจ้ง เล่าปี่กริ่งใจเดิรออกไปเห็นเตียวหุยเอาต๊กอิ้วมาผูกตีอยู่ เล่าปี่ตกใจจึงวิ่งเข้าไปถามเตียวหุยว่า เอาท่านข้าหลวงมาตีด้วยเหตุอันใด เตียวหุยจึงบอกว่าอ้ายนี้มันขี้ฉ้อใหญ่ แล้วเปนคนหยาบช้าไว้มันมิได้ ชอบตีเสียให้ตาย ต๊กอิ้วเห็นเล่าปี่มาจึงร้องว่าเล่าปี่เอ๋ยช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เล่าปี่ได้ยินดังนั้นมีใจเมตตาสัตว์หาความพยาบาทมิได้ จึงห้ามเตียวหุย ๆ ก็หยุดมือลง พอกวนอูเดิรออกมาจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เราทำความชอบอาสาแผ่นดินมาเปนหลายครั้งก็ได้เปนแต่เพียงนี้ แต่ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาแล้วว่าหยาบช้าดูหมิ่นนอกรับสั่งให้ได้อัปยศดังนี้ อันเราพี่น้องสามคนอุปมาประดุจหงส์ ซึ่งจะอาศรัยในป่านี้ไม่สมควร เราจะฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วชวนกันไปอยู่บ้านเมืองที่อาศรัยแห่งเราดีกว่า ภายหลังจึงจะค่อยคิดการใหญ่สืบไป เล่าปี่ได้ยินกวนอูว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงกลับเข้าไปเอาตราสำหรับที่มาผูกคอต๊กอิ้วไว้แล้วจึงว่า ตัวเองเปนข้าหลวงมาทำขี้ฉ้อดังนี้ควรแต่เราตัดสีสะเสีย นี่เราให้ชีวิตตัวไว้ บัดนี้เราไม่พอใจอยู่ทำราชการแล้ว เองจงเอาตรานี้กลับไปเมืองด้วยเถิด เราก็จะไปบ้านเมืองที่อาศรัยแห่งเรา แล้วเล่าปี่ก็พากวนอูเตียวหุยกับพรรคพวกยี่สิบคนนั้นออกจากเมืองอันห้อก้วน

ฝ่ายต๊กอิ้วจึงเอาตราสำหรับที่เล่าปี่ พาพรรคพวกมาถึงเมืองเต๊งจิ๋วแล้วเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่เจ้าเมืองเต๊ง จิ๋ว ๆ จึงให้มีหนังสือไปทุกหัวเมือง ให้จับเล่าปี่กวนอูเตียวหุยสามคนผู้กระทำผิดส่งเข้ามา ฝ่ายเล่าปี่ครั้นมาถึงกลางทาง ได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วให้มีหนังสือมาให้จับตัวส่งนั้น ครั้นจะไปให้ถึงเมืองตุ้นก้วนเห็นจะไม่ทันที เล่าปี่รู้ว่าเล่าเก๊งซึ่งเปนเจ้าเมืองไต้จิ๋วนั้นเปนแซ่เดียวกัน จึงคิดว่า อย่าเลยจะเข้าไปอาศรัยเล่าเก๊งเห็นจะพ้นภัย คิดแล้วก็พากวนอูเตียวหุยกับพรรคพวกเข้าไปหาเล่าเก๊ง ณ เมืองไต้จิ๋ว แล้วบอกเนื้อความแต่หลังให้ฟ้ง เล่าเก๊งนั้นแจ้งในหนังสือเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วซึ่งให้มา ครั้นแจ้งคำซึ่งเล่าปี่มาบอกดังนั้นก็คิดสงสารว่าเปนแซ่เดียวกัน แล้วเปนเชื้อพระวงศ์อยู่ เล่าเก๊งจึงเอาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยเปลื่ยนชื่อเสียซ่อนไว้ในบ้าน

ฝ่ายขันทีสิบคนนั้นพระเจ้าเลนเต้โปรดปรานนัก จะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาด แลเตียวต๋งเตียวเหยียงขันทีสองนายนั้น จึงใช้ทนายสองคนไปว่ากล่าวแก่ขุนนางแลทหารทั้งปวงซึ่งได้ไปรบโจรโพกผ้า เหลืองนั้นว่า ถ้าผู้ใดมีทรัพย์เข้าของเงินทองเอาไปให้แก่ขันทีนายเรา แล้วนายเราจะช่วยทูลเสนอความชอบให้ ถ้าใครมิได้ให้นายเราจะทูลให้ถอดเสียจากที่ขุนนาง ฝ่ายห้องหูโก๋แลจูฮีซึ่งเปนทหารผู้ใหญ่นั้น มิได้ทำตามคำทนายทั้งสองว่านั้น เตียวต๋งเตียวเหยียงจงกราบทูลยุยงพระเจ้าเลนเต้ให้ถอดห้องหูโก๋จูฮีออกเสีย จากที่ขุนนาง พระเจ้าเลนเต้ก็ทำตาม แล้วตั้งให้เตียวต๋งเตียวเหยียงเปนที่แทนห้องหูโก๋ แลขันทีแปดคนก็เลื่อนขึ้นไปเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่สิ้น ราชการนั้นก็ฟั่นเฟือนไป ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน

ฝ่ายคูเสงเปนพวกโจรโพกผ้าเหลือง หนีมาอยู่ ณ เมืองเตียงสาเกลี้ยกล่อมชักชวนพวกเพื่อนปล้นตีอาณาประชาราษฎรทั้ง ปวงเปนหลายตำบล หาผู้ใดจะต้านต่อจับกุมมิได้ แลเตียวกีเตียวซุ่นอยู่ ณ เมืองยีหยงเกลี้ยกล่อมผู้คนได้เปนอันมากคิดขบถ เตียวกีนั้นตั้งตัวเปนเจ้า เตียวซุ่นเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ทำการหยาบช้าต่าง ๆ แลหัวเมืองทั้งปวงจึงบอกหนังสือขึ้นไปถึงเมืองหลวงเปนหลายครั้ง ขันทีสิบคนปิดเสียมิได้เอาเนื้อความกราบทูล

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้จึงเสวยไชย บานอยู่ แลขันทีสิบคนก็กินสุราอยู่หน้าที่นั่ง แลเล่าโต๋พระพี่เลี้ยงพระเจ้าเลนเต้นั้นรู้ว่าพวกโจรเปนขบถขึ้นอีก พระเจ้าเลนเต้มิได้ทราบ เล่าโต๋ตกใจจึงตามเสด็จเข้าไปในสวน พระเจ้าเลนเต้เห็นจึงตรัสถามว่า เล่าโต๋ทำหน้าตื่นตกใจเข้ามาว่าไร เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า พระองค์ไม่แจ้งหรือ บัดนี้หัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจลขึ้นอีก บ้านเมืองจะเปนอันตรายอยู่แล้ว พระองค์ยังมาเสวยสุราอยู่อีกเล่า พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่าหัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจล เราใช้ให้ทหารไปปราบสงบแล้วเปนไฉนมาซ้ำว่าดังนี้เล่า เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า หัวเมืองทั้งปวงซึ่งเกิดจลาจลครั้งนี้ เพราะเหตุขันทีสิบคนว่าราชการตัดสินคดีราษฎรมิได้เปนยุติธรรม ข้าพเจ้าแจ้งเนื้อความแล้วครั้นจะมิกราบทูลก็เหมือนหนึ่งหามีกตัญญูต่อ พระองค์ไม่ แลขันทีสิบคนได้ยินเล่าโต๋ทูลก็ตกใจ เข้าไปหน้าที่นั่งทำอุบายถอดหมวกแล้วร้องไห้ทูลว่า ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงเห็นว่าพระองค์โปรดเลี้ยงข้าพเจ้า ๆ ก็ทำราชการโดยสุจริต ขุนนางทั้งปวงกับเล่าโต๋มีใจริษยาข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการสืบไปนั้นเห็นจะไม่รอดชีวิต ข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้จะขอออกจากที่เอาแต่ชีวิตรอดไว้ แลทรัพย์สิ่งสินของข้าพเจ้าทั้งปวงนั้น ขอถวายพระองค์ให้พระราชทานทแกล้วทหารซึ่งทำราชการ แต่ตัวข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอกราบถวายบังคมลาไปทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต พระเจ้าเลนเต้ได้ฟังขันทีทูลดังนั้นก็ทรงพระโกรธเล่าโต๋นัก จึงตรัสว่าตัวเปนพี่เลี้ยงที่บ้านเรือนของตัวนั้นก็ย่อมมีคนสนิธใช้สอยอยู่ แลตัวเราเปนเจ้าอยู่ในราชสมบัติมีคนซึ่งสนิธใช้สอยบ้าง ตัวมาริษยาว่ากล่าวให้เราขัดเคืองดังนี้ ซึ่งว่ามีกตัญญูนั้นเราเห็นไม่จริง แล้วสั่งบู๋ซูฝ่ายซ้ายให้เอาตัวเล่าโต๋ไปฆ่าเสีย บู๋ซูก็เข้าลากเอาตัวเล่าโต๋ เล่าโต๋จึงร้องขึ้นหน้าพระที่นั่งว่า ซึ่งรับสั่งให้ฆ่าข้าพเจ้านั้นไม่เสียดายชีวิต ข้าพเจ้าคิดเสียดายแต่ราชสมบัติของพระเจ้าฮั่นโกโจ ซึ่งสั่งสมมาแต่ก่อนได้ถึงสี่ร้อยปีเศษมาแล้ว[๑] บ้านเมืองหาเปนจลาจลมิได้ ครั้งนี้จะเปนอันตรายเสียมั่นคง บู๋ซูก็พาเอาตัวเล่าโต๋ออกไปถึงตำแหน่งฆ่าคนเงื้อดาบขึ้นจะฆ่า พอตันต๋ำเห็นก็ร้องห้ามไว้ว่า อย่าเพ่อฆ่าเสียก่อน เราจะเข้าไปทูลสนองพระเจ้าเลนเต้ให้รู้ความผิดแลชอบก่อน ตันต๋ำเข้าไปยังสวนดอกไม้ ทูลถามพระเจ้าเลนเต้ว่า เล่าโต๋เปนพระพี่เลี้ยงได้ทำนุบำรุงสั่งสอนพระองค์มาแต่ก่อน แลเล่าโต๋กระทำความผิดสิ่งใดพระองค์จึงสั่งให้ประหารชีวิต พระเจ้าเลนเต้ได้ฟังตันต๋ำทูลถามดังนั้นจึงตรัสว่า เล่าโต๋เปนผู้ใหญ่หาความคิดมิได้ เอาความมิจริงมาว่ากล่าวยุยงใส่โทษขันทีสิบคนซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วหยาบช้าต่อเรา ตันต๋ำจึงทูลว่าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งอาณาประชาราษฎรในเมืองแลหัวเมือง ได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก มีใจชังจะใคร่กินเนื้อขันทีสิบคนเสีย แลพระองค์มีพระทัยรักขันทีสิบคนดุจหนึ่งพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ แลจะได้มีความชอบสิ่งใดหามิได้ พระองค์ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่นั้นไม่สมควร อนึ่งฮองสีขันทีก็คิดการขบถเปนไส้ศึกเข้าด้วยพวกโจรโพกผ้าเหลือง มีผู้มากราบทูลพระองค์ ๆ มิได้ชำระให้เห็นเท็จจริง พระองค์แกล้งนิ่งเสีย จะให้ราชสมบัติเปนอันตราย พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่า มีผู้มากราบทูลว่าฮองสีเปนขบถนั้นหาจริงไม่ แลขันทีสิบคนนี้เราเลี้ยงถึงขนาด ถ้าฮองสีเปนขบถจริงขันทีเก้าคนหาเปนขบถสิ้นไม่ ดีร้ายจะมีใจสุจริตต่อเราสักคนหนึ่งสองคน เห็นจะเอาเนื้อความมาบอกเรา ตันต๋ำเห็นว่าพระเจ้าเลนเต้รักขันทีสิบคนอยู่ ซึ่งจะพิททูลว่ากล่าวไปนั้นเห็นขัดสน ตันต๋ำมีความแค้นใจ จึงเอาสีสะชนแท่นซึ่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จประทับอยู่นั้นจนสีสะแตกโลหิตไหล พระเจ้าเลนเต้ทรงพระโกรธ จึงสั่งบู๋ซูฝ่ายซ้ายให้เอาตัวตันต๋ำกับเล่าโต๋ซึ่งจะให้ฆ่าเสียนั้นเอาไปจำ ใส่คุกไว้ ครั้นเวลาคํ่าขันทีสิบคนคิดกันแล้วจึงเรียกผู้คุมมาสั่งว่า ถ้าเวลาเที่ยงคืนให้ลอบฆ่าตันต๋ำเล่าโต๋เสีย ผู้คุมก็ไปทำตามขันทีสั่ง แล้วขันทีสิบคนจึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งไปถึงซุนเกี๋ยนว่า ให้ซุนเกี๋ยนไปกินเมืองเตียงสาแล้วให้ปราบคูเสงซึ่งเปนพวกโจรนั้นเสียให้ราบ คาบ แลซุนเกี๋ยนรู้หนังสือรับสั่งแล้วก็ยกไปปราบพวกโจร ปราบแล้วก็บอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ทราบจึงทรงพระดำริห์ว่า ซุนเกี๋ยนมีความชอบ เมืองกังแฮเปนหัวเมืองเอก จึงให้แต่งหนังสือรับสั่งให้ซุนเกี๋ยนไปกินเมืองกังแฮ แล้วให้เล่าหงีเปนเจ้าเมืองอิจิ๋ว ให้ยกไปตีเตียวกีเตียวซุ่นซึ่งตั้งตัวเปนเจ้า ณ เมืองยีหยง

ฝ่ายเล่าเก๊งรู้ในรับสั่งว่าเล่าหงีจะไปรบเตียวกีเตียวซุ่น เล่าเก๊งจึงเขียนหนังสือให้เล่าปี่ถือไปหาเล่าหงี ในหนังสือนั้นว่า เล่าเก๊งเล่าปี่กับเล่าหงีเปนแซ่เดียวกัน จะขอให้เล่าปี่ไปทำการศึกด้วย เล่าหงีรู้หนังสือนั้นแล้วก็มีความยินดีนัก จึงจัดแจงทหารทั้งปวง ตั้งให้เล่าปี่เปนนายทหารแล้วยกไปเมืองยีหยง เล่าหงีจึงให้เล่าปี่คุมทหารเข้าหักค่ายเมืองยีหยงเปนสามารถ ทหารทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันตายเปนอันมาก แลเล่าปี่ตั้งรบอยู่นั้นเปนหลายวัน แลเตียวซุ่นนั้นใจหยาบช้าร้ายกาจนัก พรรคพวกบ่าวไพร่ทั้งปวงมีความเจ็บแค้นเปนอันมาก ครั้นเวลากลางคืนเตียวซุ่นนอนหลับอยู่ ทหารซึ่งสนิธนั้นจึงลอบฆ่าเตียวซุ่นเสียแล้วตัดเอาสีสะพาพวกเพื่อนออกไปให้ เล่าปี่ เตียวกีครั้นเห็นเตียวซุ่นตาย แลทหารทั้งปวงเอาใจออกหากเปนอันมาก ก็สิ้นความคิด จึงเอาดาบเชือดคอตาย แลราษฎรในเมืองยีหยงค่อยมีความสุขราบคาบ

เล่าหงีจึงแต่งหนังสือบอกความชอบเล่าปี่ไปให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่าเล่าปี่มีความผิดอยู่ครั้งตีต๊กอิ้ว เอาความชอบนั้นยกโทษเสีย แล้วให้ไปรักษาบ้านแฮปิดปลายด่าน กองซุ่นจ้านจึงทูลว่า เล่าปี่นี้แต่ก่อนก็มีความชอบอยู่ ขอให้ไปกินเมืองเพงงวนก๋วนเถิด พระเจ้าเลนเต้ก็โปรดให้ เล่าปี่ก็ไปอยู่เมืองเพงงวนก๋วน เมืองนั้นมีทหารเปนอันมาก เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ เล่าปี่ค่อยมีใจกว้างขวางกว่าแต่ก่อน ฝ่ายพระเจ้าเลนเต้จึงให้เล่าหงีซึ่งมีความชอบมาเปนนายทหารอยู่ในเมืองหลวง

พระเจ้าเลนเต้มีอัคมเหษีคนหนึ่งชื่อนางโฮเฮา มีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อห้องจูเปียน แลนางอองบีหยินสนมเอกมีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อหองจูเหียบ แลนางโฮเฮานั้นมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อโฮจิ๋น ๆ นั้นพระเจ้าเลนเต้ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่เปนที่ปรึกษา แต่พระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์ได้หกปีเศษแล้ว แลนางโฮเฮานั้นมีความหึงสาแก่นางอองบีหยิน นางโฮเฮาจึงพาลเอาความผิดเปนข้อใหญ่ สั่งให้เอานางอองบีหยินไปฆ่าเสีย นางตังไทฮอผู้เปนมารดาพระเจ้าเลนเต้นั้นจึงเอาหองจูเหียบผู้หลานไปเลี้ยงไว้ แล้วขึ้นไปว่าแก่พระเจ้าเลนเต้ว่า สมบัตินี้ขอให้หองจูเหียบเสวยราชย์เถิด แต่นางตังไทฮอขึ้นอ้อนวอนพระเจ้าเลนเต้เปนหลายครั้ง พระเจ้าเลนเต้มีความรักแก่หองจูเหียบ จึงรับคำนางตังไทฮอผู้มารดา

ครั้นอยู่มาณเดือนหกพระเจ้าเลนเต้ทรงพระประชวรหนัก จึงมีขันทีคนหนึ่งชื่อเกนหวน นอกจากขันทีสิบคน กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า ซึ่งพระองค์รับคำตังไทฮอผู้เปนพระมารดาว่า จะให้หองจูเหียบเสวยราชสมบัตินั้น ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วย แต่ว่าจะมิฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อนนั้นเห็นไม่ได้ พระเจ้าเลนเต้เห็นชอบด้วย จึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามาจะปรึกษาราชการด้วย โฮจิ๋นก็เข้ามาถึงประตูวังพอพบขุนนาง พัวอิ๋นจึงบอกว่า บัดนี้เกนหวนคิดอ่านจะฆ่าท่านเสีย ท่านอย่าเข้าไปเลย โฮจิ๋นได้ยินข่าวก็ตกใจกลับมาบ้าน จึงให้หาขุนนางทั้งปวงมากินโตะแล้วปรึกษาว่า เราจะคิดฆ่าเกนหวนเสีย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด โจโฉได้ยินดังนั้นจึงว่า อันเกนหวนนั้นพระเจ้าเลนเต้ก็โปรดปราน พรรคพวกในวังก็มีเปนอันมาก ท่านคิดการทั้งนี้เกลือกจะมิสำเร็จจะไม่ตายแต่ตัว จะพาญาติพี่น้องตายเสียสิ้น ขอท่านจงดำริห์ดูให้ควรก่อน โฮจิ๋นได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวเปนแต่ผู้น้อยเราคิดการใหญ่หลวงตัวไม่รู้ ตัวมาว่าดังนี้ไม่ควร ขุนนางทั้งปวงยังนิ่งอยู่

ฝ่ายพระเจ้าเลนเต้ทรงพระประชวรหนักก็สวรรคต พัวอิ๋นแจ้งเนื้อความซึ่งขันทีคิดนั้นจึงไปบอกโฮจิ๋นว่า บัดนี้พระเจ้าเลนเต้สวรรคตแล้ว ขันทีสิบคนกับเกนหวนคิดกันปิดเนื้อความเสีย จะให้มีรับสั่งพระเจ้าเลนเต้มาหาท่านให้เข้าไปในวังแล้วจะจับฆ่าเสีย เพราะจะให้หองจูเหียบขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงจะสิ้นเสี้ยนหนามไปภายหน้า โฮจิ๋นยังมิได้ตอบประการใด พอขันทีเลวมาบอกว่า มีรับสั่งให้หาโฮจิ๋นเข้าไปข้างในจะปรึกษาราชการเปนการเร็ว โจโฉจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า เราจำจะตั้งให้หองจูเปียนผู้เปนพระราชบุตรเอกให้เสวยราชสมบัติเสียก่อน เราจึงคิดฆ่าเกนหวนกับพรรคพวกเหล่าร้ายเสีย โฮจิ๋นจึงตอบว่าเมื่อเปนดังนี้ผู้ใดจะอาสาฆ่าอ้ายเหล่าศัตรูราชสมบัติเสีย ได้บ้าง อ้วนเสี้ยวได้ยินโฮจิ๋นว่าดังนั้น จึงว่าข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารห้าพันเข้าทำการจับขันทีสิบคนกับเกนหวนฆ่าเสีย แล้วจึงยกหองจูเปียนขึ้นเสวยราชสมบัติตามราชประเพณี โฮจิ๋นได้ยินมีความยินดีนัก จึงจัดทหารห้าพันถือเครื่องศัสตราวุธครบมือกันให้แก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารเข้าไป โฮจิ๋นให้โหหยองซุนสิวแตะถ้ายกับขุนนางใหญ่น้อยสามสิบเศษ ตามอ้วนเสี้ยวเข้าไปถึงตำหนักซึ่งไว้พระศพพระเจ้าเลนเต้ แล้วเชิญเสด็จหองจูเปียนขึ้นณที่นั่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จออก ขุนนางทั้งปวงกราบถวายบังคมแล้วเฝ้าที่นั่น แต่อ้วนเสี้ยวกับโฮจิ๋นคุมทหารห้าพันเปิดประตูเข้าไปไล่จับเกนหวน ๆ รู้ตัวหนีเข้าไปอยู่ในสวนดอกไม้ที่ข้างใน แลกุยเสงขันทีคนหนึ่งนอกกว่าขันทีสิบคนมีใจพยาบาทเกนหวน ครั้นเกนหวนหนีกุยเสงก็ฆ่าเกนหวนตายในสวนดอกไม้ เหล่าทหารล้อมวังซึ่งเกนหวนได้คุมอยู่นั้น ครั้นเห็นเกนหวนตายต่างคนต่างวิ่งเข้าหาอ้วนเสี้ยวเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า ได้ทำการถึงเพียงนี้แล้ว จำจะฆ่าขันทีสิบคนกับพรรคพวกของมันเสียให้สิ้นทีเดียวราชการจึงจะปรกติ แลเตียวเหยียงพวกขันทีสิบคนได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าแก่โฮจิ๋นดังนั้นก็ตกใจกลัว วิ่งหนีไปหานางโฮเฮาผู้เปนน้องโฮจิ๋น แล้วทูลอ้อนวอนว่า การซึ่งจะยกหองจูเหียบให้เปนใหญ่นั้น ข้าพเจ้าทั้งสิบคนหาได้คบคิดรู้เห็นด้วยไม่ การทั้งนี้เกนหวนคิดอ่านแต่ผู้เดียว บัดนี้โฮจิ๋นกับอ้วนเสี้ยวคิดอ่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย พระองค์จงช่วยชีวิตข้าพเจ้าทั้งนี้ให้รอดไว้ด้วย นางโฮเฮาจึงว่า เตียวเหยียงอย่าเปนทุกข์เราจะช่วย จึงสั่งให้ไปเชิญโฮจิ๋นเข้ามาแล้วว่า เตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนหาความผิดมิได้ เปนไฉนพี่จะให้อ้วนเสี้ยวฆ่าเสีย แลเกนหวนซึ่งคิดมิชอบก็ตายแล้ว อันขันทีสิบคนนี้พี่อย่าให้ทำวุ่นวายเลย โฮจิ๋นก็รับคำนางโฮเฮา แล้วก็ออกมาว่าแก่อ้วนเสี้ยวแลขุนนางทั้งปวงว่า เกนหวนซึ่งคิดร้ายต่อหองจูเปียนกับเรานั้นก็ตายแล้ว แลขันทีสิบคนนั้นจะได้คบคิดกับเกนหวนนั้นหามิได้ เราจะฆ่าเสียนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ธรรมดาจะทำการสิ่งใด การนั้นมิสำเร็จก็หาสิ้นวิตกไม่ เกนหวนกับขันทีสิบคนเปนพวกเดียวกัน เกนหวนคิดการครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หากท่านรู้ตัวจึงรอดชีวิตอยู่ ซึ่งฆ่าเกนหวนเสียนั้นเหมือนหนึ่งฟันต้นหญ้าจะให้ตาย ขันทีสิบคนเหมือนหนึ่งรากหญ้า ตายแต่ต้นนั้นเห็นไม่สิ้นเชิง รากก็จะงอกแทนขึ้นมา ภายหน้าไปเห็นอันตรายจะมีแก่ท่านเปนมั่นคง โฮจิ๋นจึงตอบว่าความข้อนี้ท่านอย่าวิตกเลยไว้เปนธุระเรา แล้วต่างคนก็ออกไปบ้าน ครั้นเวลารุ่งขึ้นเช้านางโฮเฮาจึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามาปรึกษาราชการ แล้วตั้งให้เปนเสนาบดีผู้สำเร็จราชการ แล้วตั้งขุนนางทั้งปวงซึ่งขันทีสิบคนถอดออกเสียจากราชการนั้น ให้คงอยู่ตามตำแหน่งที่แต่ก่อน

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางตังไทฮอจึงให้หาเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนมาว่า แต่ก่อนเราก็ได้ทำนุบำรุงนางโฮเฮาให้อยู่เย็นเปนสุข จนได้เปนพระมเหษีพระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบุตรเรา บัดนี้หาบุญพระเจ้าเลนเต้ไม่ หองจูเปียนได้ว่าราชการเมือง นางโฮเฮาดูหมิ่นเราตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมิได้ปรึกษาเรา แล้วเห็นกิริยานางโฮเฮากำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อนเรามีความอัปยศนัก ท่านทั้งปวงเห็นประการใด เตียวเหยียงจึงทูลว่าเวลาพรุ่งนี้เช้าเชิญพระองค์เสด็จออกไปยังพระแกลที่พระ เจ้าเลนเต้เสด็จออก แล้วจึงตรัสว่าให้หองจูเหียบเปนเจ้าชื่อตันลิวอ๋อง แปลภาษาไทยว่าต่างกรม แล้วให้ตั้งต๋งผู้น้องพระองค์เปนเสนาบดีผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร ขอให้ตั้งข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งราชการทั้งปวงนั้นจะได้คิดการสืบไป นางตังไทฮอได้ฟังแล้วมีความยินดีนัก ครั้นเวลาเช้าจึงอุ้มหองจูเหียบเสด็จออกไปณที่พระแกลมิได้เปิดมู่ลี่ขึ้น จึงตรัสตามคำเตียวเหยียงว่าทุกประการแล้วเสด็จเข้า ฝ่ายนางโฮเฮาเห็นนางตังไทฮอทำดังนั้น จึงคิดเห็นว่าราชการเมืองจะแก่งแย่งกัน จึงแต่งโต๊ะแล้วเชิญนางตังไทฮอมากินโต๊ะ จึงเอาจอกสุราคำนับส่งให้นางตังไทฮอแล้วว่า แผ่นดินแต่ก่อนครั้งนางลิเฮา ซึ่งเปนมเหษีพระเจ้าเล่าปัง[๒] ๆ สวรรคตนางลิเฮาออกว่าราชการเมืองให้ผิดขนบธรรมเนียม ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดรัอน จึงเกิดจลาจลขึ้น นางลิเฮากับญาติวงศ์ทั้งปวงก็ตายเปนอันมาก แลพระองค์กับข้าพเจ้าเปนสัตรี จะออกว่าราชการเมืองนั้นไม่ควร ถ้ามิฟังข้าพเจ้าเห็นจะเปนอันตรายเหมือนนางลิเฮา ฝ่ายนางตังไทฮอได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วตอบว่า ตัวมิได้มีสัตย์กอปด้วยหึงสา พาลเอาความผิดนางอองบีหยินแล้วให้เอาไปฆ่าเสีย บัดนี้ลูกของตัวได้เปนใหญ่ ตัวมิได้ยำเกรงเรา มาว่ากล่าวถ้อยคำหยาบช้าดูหมิ่นเปรียบเทียบเราดังนี้เราหาฟังไม่ ถึงมาทว่าโฮจิ๋นพี่ของตัวซึ่งได้เปนเสนาบดีผู้ใหญ่นั้น เพียงแต่ตั๋งต๋งผู้น้องเราจะตัดเอาสีสะโฮจิ๋นก็จะได้ในลัดนิ้วมือเดียวด้วย ง่าย นางโฮเฮาได้ยินดังนั้นก็โกรธแล้วตอบว่า เราเห็นผิดช่วยเตือนสติกลับมาโกรธเราอีกเล่า นางตังไทฮอจึงว่า ตัวเปนผู้น้อยแต่ก่อนมาหาผู้ใดนับถือไม่ แลตัวได้เปนพระมเหษีพระเจ้าเลนเต้ผู้บุตรเรา ตัวก็เคยอ่อนง้อเรา มาบัดนี้ลูกของตัวได้ว่าราชการเมือง ตัวตั้งตัวว่ารู้ขนบธรรมเนียมแผ่นดิน

ขณะนั้นเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนรู้ก็มาห้ามทั้งสองข้าง นางตังไทฮอก็กลับไปที่อยู่ ครั้นเวลาคํ่านางโฮเฮาจึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามา แล้วบอกเนื้อความซึ่งนางตังไทฮอว่ากล่าวให้โฮจิ๋นฟัง โฮจิ๋นได้ฟังแล้วกลับมาบ้าน จึงหาขุนนางผู้ใหญ่มาปรึกษาว่า นางตังไทฮอนั้นจะได้เปนมเหษีพระเจ้าฮั่นเต้หามิได้ ซึ่งเข้ามาอยู่ในพระราชวังนี้ เพราะพระเจ้าเลนเต้ผู้บุตรได้เสวยราชสมบัติ นี่หาบุญพระเจ้าเลนเต้ไม่แล้ว ซึ่งจะให้นางตังไทฮออยู่ในพระราชวังนั้นราชการเมืองจะเสียไป เราจะให้ออกไปอยู่ ณ ตำหนักกลางสระนอกเมือง ขุนนางทั้งปวงก็เห็นด้วย ครั้นเวลาเช้าจึงชวนกันไปเฝ้านางตังไทฮอ ๆ เสด็จมา ขุนนางจึงเชิญเสด็จนางตังไทฮอให้ออกไปอยู่ ณ ตำหนักกลางสระนอกเมือง แล้วโฮจิ๋นจึงแต่งทหารไปล้อมบ้านตั๋งต๋งผู้น้องนางตังไทฮอ ตั๋งต๋งเห็นก็ตกใจหนีไปเชือดคอตายณสวนดอกไม้หลังตึก แลทหารโฮจิ๋นนั้นก็ริบราชบาทว์เข้าของแลตราสำหรับที่มาส่งให้โฮจิ๋น

ฝ่ายเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนจึงคิดพร้อมกันว่า บัดนี้นางตังไทฮอออกไปอยู่นอกเมืองแล้ว เราหาที่พึ่งมิได้ จึงเอาเงินทองไปให้โฮเบี้ยวผู้น้องโฮจิ๋นหวังจะฝากตัว แล้วจัดทรัพย์สิ่งของทั้งปวงซึ่งมีราคามากนั้นไปให้นางบูยงกุ๋นผู้มารดาโฮ จิ๋นว่า ท่านจงกรุณาข้าพเจ้าทั้งสิบคนด้วย ช่วยว่ากล่าวเสนอความชอบความดีข้าพเจ้า ให้นางโฮเฮามีความกรุณาข้าพเจ้าด้วย นางบูยงกุ๋นรับคำแล้วไปว่ากล่าวนางโฮเฮาผู้บุตรตามคำขันทีสิบคน ๆ ก็ได้ทำราชการปรกติอยู่ในพระราชวังเหมือนแต่ก่อน

ครั้นอยู่มาณเดือนแปด โฮจิ๋นจึงแต่งทหารซึ่งสนิธไปลอบฆ่านางตังไทฮอณตำหนักกลางสระ เจ้าพนักงารแลขุนนางทั้งปวงไปส่งสักการศพนางตังไทฮอ แต่โฮจิ๋นนั้นทำเฉยเสียมิได้ไป อ้วนเสี้ยวจึงมาเยือนแล้วบอกว่า ขันทีสิบคนนินทาว่า ท่านให้ทหารไปลอบฆ่านางตังไทฮอเสียหวังจะคิดเอาราชสมบัติ ซึ่งท่านจะนอนใจอยู่จะมิคิดฆ่าขันทีสิบคนเสียภายหน้าไปเห็นจะเปนอันตรายเปน มั่นคง ครั้งนี้ท่านกับโฮเบี้ยวผู้น้องก็เปนผู้สำเร็จราชการสิทธิ์ขาด ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่านสิ้น ถ้าท่านคิดประการใดเห็นจะสมปราถนา อุปมาเหมือนพลิกแผ่นดินกลับ ขอให้เร่งคิดฆ่าขันทีสิบคนเสียจงได้ โฮจิ๋นจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่เราขอทุเลาตรึกตรองดูสักเวลาหนึ่งก่อน แลคนใช้โฮจิ๋นได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าดังนั้นคิดเอาใจออกหากโฮจิ๋น จึงเอาเนื้อความลอบไปบอกเตียวเหยียง เตียวเหยียงรู้เนื้อความดังนั้นจึงคิดกับขันทีสิบคน แล้วจัดหาเงินทองของตระการไปให้โฮเบี้ยว แล้วบอกว่าโฮจิ๋นนั้นทำการหยาบช้า ฆ่าผู้ฟันคนเสียตามอำเภอใจ เห็นจะเสียขนบแผ่นดินไป อนึ่งข้าพเจ้าสิบคนนี้หามีความผิดสิ่งใดไม่ โฮจิ๋นฟังคำคนยุยงจะฆ่าข้าพเจ้าทั้งสิบคนเสีย ขอท่านได้เอาเนื้อความทั้งนี้ไปทูลนางโฮเฮาให้แจ้ง ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงจะรอดชีวิต โฮเบี้ยวรับคำเตียวเหยียง แล้วเข้าไปทูลนางโฮเฮาตามคำเตียวเหยียง

ฝ่ายนางโฮเฮาได้ยินดังนั้นมิได้พิจารณาก็เชื่อ พอโฮจิ๋นเข้าไปหานางโฮเฮา แล้วบอกเนื้อความว่า ขันทีสิบคนนี้ถ้าเอาไว้สืบไปจะมีอันตราย เราจะคิดฆ่าเสียให้สิ้น นางโฮเฮาตอบว่าขันทีสิบคนได้ทำราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าเลนเต้ จะได้มีความผิดสิ่งใดหามิได้ จะมาฆ่าเขาเสียนั้นไม่ควร ซึ่งว่าจะช่วยทำนุบำรุงการแผ่นดินนั้นเห็นไม่สม เหมือนหนึ่งจะแกล้งให้บ้านเมืองเปนจลาจล โฮจิ๋นมิได้ตอบประการใดก็กลับมาบ้าน อ้วนเสี้ยวจึงถามว่า ซึ่งข้าพเจ้าว่านั้นท่านได้คิดประการใด โฮจิ๋นจึงตอบว่า เราเข้าไปบอกนางโฮเฮา ๆ ไม่ยอม แลการทั้งนี้เราจะคิดประการใดดี อ้วนเสี้ยวจึงว่าขอให้มีหนังสือท่านออกไป ให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาเปนกระบวรทัพ แล้วประกาศว่าจะเอาตัวขันทีสิบคนฆ่าเสีย นางโฮเฮากลัวจะเปนอันตราย เห็นจะให้จับขันทีส่งออกมาให้โดยสดวก โฮจิ๋นเห็นชอบด้วยจะทำตามอ้วนเสี้ยวว่า แลตันหลิมได้ยินดังนั้น จึงเขียนเปนกระบวรโคลงบทหนึ่งว่า ผู้หนึ่งกำเริบใจว่าตัวชำนาญการกระสุนหลับตายิงนก ถ้าลูกกระสุนถูกมือเข้าก็จะเสียการ แล้วตันหลิมจึงทักโฮจิ๋นว่า ตัวท่านทุกวันนี้ราชการเมืองก็จะสิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่าน อันขันทีสิบคนเหมือนหนึ่งแมลงเม่า ตัวท่านเหมือนกองเพลิงอันใหญ่ แมลงเม่าหรือจะสู้เพลิงได้ ถ้าท่านจะคิดประการใดก็จะสมดังปราถนา ตัวท่านเหมือนพระยาหงส์ คิดการใหญ่แล้วจะมาเคร่าท่าฝูงกาอยู่นั้นไม่ควร อันหัวเมืองทั้งปวงจะยกทหารเปนกระบวรทัพเข้ามา ถ้าได้ตัวขันทีสิบคนแล้ว เห็นหัวเมืองทั้งปวงจะกำเริบเกิดศึกกลางเมืองขึ้น การซึ่งคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินนั้นก็จะเสียท่วงทีไป โฮจิ๋นได้ยินดังนั้นหัวเราะเยาะแล้วตอบว่า ตัวท่านจะมาร่วมคิดการใหญ่กับเรานั้น ความคิดท่านน้อยนัก อุปมาดังเด็กเลี้ยงโค พอโจโฉก็อยู่ที่นั่นด้วย ได้ยินตันหลิมกับโฮจิ๋นตอบกันดังนั้น โจโฉตบมือหัวเราะแล้วว่า การลัดนิ้วมือเดียวไม่ควรที่จะเถียงกันอื้ออึง อย่างธรรมเนียมแผ่นดินแต่ก่อนก็มีมา พระมหากษัตริย์เชื่อฟังตั้งแต่งขันทีเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ ราชการเมืองก็ผันแปรไปมีเนือง ๆ มาอยู่ ครั้งนี้ขันทีสิบคนซึ่งหยาบช้านั้น มีสติปัญญาเปนใหญ่อยู่คนเดียวสองคนดอก ถ้าจะคิดจับเอาแต่นายใหญ่นั้นฆ่าเสียก็จะได้โดยง่าย ทำไมจะให้ร้อนถึงหัวเมืองยกเปนกระบวรทัพเอิกเริกมาเล่า โฮจิ๋นได้ฟังโจโฉว่าก็โกรธ แล้วตอบว่า เราจะทำการใหญ่ตัวมาว่าดังนี้ คบคิดเปนใจเดียวกันกับขันทีสิบคนหรือ โจโฉได้ยินก็โกรธ มิได้ตอบประการใด จึงเดิรออกมาถึงนอกบ้านแล้วว่า แผ่นดินครั้งนี้จะเกิดอันตรายเพราะโฮจิ๋น ฝ่ายโฮจิ๋นก็แต่งเปนหนังสือรับสั่ง ลอบให้ทนายรีบถือไปให้แก่หัวเมืองทั้งปวง ตามซึ่งคิดไว้แต่ก่อนนั้น

[๑] รัชกาลพระเจ้าฮั่นโกโจ พ.ศ. ๓๓๘ อยู่ในเรื่องไซ่ฮั่น
[๒] ในเรื่องไซ่ฮั่น

อาณาจักรสามก๊ก

 


ความเป็นมาของ สามก๊ก

สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ ที่เรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ของจีน (ค.ศ. 220-280) ซึ่งเนื้อหาโดยรวมเป็นการเล่าแบบบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น มีที่มาจากสามก๊กจี่ จดหมายเหตุประวัติศาสตร์ที่ตันซิ่วเป็นผู้บันทึกในสมัยราชวงศ์จิ้น แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 เรื่อง คือ จดหมายเหตุก๊กวุ่ย (วุ่ยก๊ก) จดหมายเหตุก๊กจ๊ก (ก๊กถ๊ก) จดหมายเหตุก๊กง่อ (ง่อก๊ก) ใช้เวลารวบรวมนานกว่า 30 ปี จนได้จดหมายเหตุสามก๊กที่มีความยาวถึง 65 เล่มสมุด ต่อมาสมัยราชวงศ์เหม็ง (หมิง) นักปราชญ์จีนหลอกว้านจง ได้นำเอาจดหมายเหตุของตันซิ่วมาแต่งเป็นนิยายให้มีความสนุกสนานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองเรียกว่า สามก๊กจี่ทงซกเอี้ยนหงี ที่มีความหมายว่า จดหมายเหตุสามก๊กสำหรับสามัญชน

การแปลสามก๊กในประเทศไทย

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีพระราชดำรัสให้แปลพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทย 2 เรื่องคือไซฮั่น แปลโดย กรมพระราชวังหลัง และสามก๊ก ที่แปลโดย เจ้าพระยาคลัง (หน) มีความยาว 95 เล่มสมุดไทย

อาณาจักรสามก๊ก

"สามก๊ก มีก๊ก อะไรบ้าง ? อาณาจักรสามก๊ก นั้นเริ่มขึ้นจากการปกครองบ้านเมืองของจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งถือเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ราชวงศ์หนึ่ง ฮั่นได้แผ่ขยายอาณาเขตออกไปไกล ขับไล่ชนเผ่านอกด่านออกไปจากภาคเหนือของประเทศได้ ด้านทิศเหนือครอบครองแมนจูเรียและเกาหลีบางส่วน ทิศใต้ครองมณฑลกวางตุ้งและกว่างซีรวมถึงตอนเหนือของเวียดนาม
     ครั้นถึงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกหรือตงฮั่น จักรพรรดิทรงอ่อนแอ ขันทีมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ขุนศึกหัวเมืองต่าง ๆ พากันกระด้างกระเดื่องและตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้น ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านไปทั่วแผ่นดิน ราษฎรได้รับความเดือนร้อนไปทั่วจนทำให้เกิดกบฏโจรโพกผ้าเหลืองขึ้น

     กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันโดยไม่สนใจรัฐบาลกลาง ในที่สุดแผ่นดินจีนแตกออกเป็นสามก๊กอย่างชัดเจนภายหลังจากที่โจโฉพ่ายแพ้ให้แก่ เล่าปี่และซุนกวน ในการศึกที่ผาแดง 
เมื่อปี พ.ศ. 751

     ตั้งแต่นั้นแผ่นดินเมืองจีนจึงแบ่งแยกออกเป็นสามก๊ก อันได้แก่

วุยก๊ก

วุยหรือเฉาเว่ย (曹魏)

     วุยหรือเฉาเว่ย (曹魏) จัดเป็นก๊กที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามก๊ก ในระหว่างปี พ.ศ. 763 - พ.ศ. 808 (ปี ค.ศ. 220-265)

     วุยก๊กครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศจีน ปกครองโดยโจโฉ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นราชวงศ์วุยโดยพระเจ้าโจผี และในภายหลังได้สถาปนาโจโฉเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์วุยอีกพระองค์หนึ่ง วุยก๊กปกครองอาณาจักรโดยจักพรรดิสืบต่อกันมาทั้งหมด 5 พระองค์ ได้แก่
  1. พระเจ้าโจผี ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 763 - 769
  2. พระเจ้าโจยอย ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 769 - 782
  3. พระเจ้าโจฮอง ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 782 - 797
  4. พระเจ้าโจมอ ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 797 - 803
  5. พระเจ้าโจฮวน ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 803 - 808
     วุยก๊กถูกยึดอำนาจโดยครอบครัวขุนนางตระกูลสุมา ซึ่งโค่นล้มราชวงศ์วุยโดยสุมาเอี๋ยน ซึ่งต่อมาภายหลังได้สถาปนาราชวงศ์จิ้นขึ้นแทนและรวบรวมแผ่นดินที่แบ่งเป็นก๊กต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

จ๊กก๊ก

จ๊กหรือสู่ฮั่น (蜀汉)

     จ๊กหรือสู่ฮั่น (蜀汉) เป็นหนึ่งในอาณาจักรสามก๊ก ปกครองโดยพระเจ้าเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ฮั่น ในระหว่างปี พ.ศ. 764 - พ.ศ. 806 (ปี ค.ศ. 221-263)

     จ๊กก๊กครอบครองพื้นที่ทางภาคตะวันตกของประเทศจีน บริเวณมณฑลเสฉวน จ๊กก๊กปกครองอาณาจักรโดยจักรพรรดิสืบต่อกันมาทั้งหมด 2 พระองค์ ได้แก่
  1. พระเจ้าเล่าปี่ ปกครองจ๊กก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 764 - 766
  2. พระเจ้าเล่าเสี้ยน ปกครองจ๊กก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 766 - 806
     จ๊กก๊กมีอายุได้แค่เพียง 42 ปีก็ล่มสลายลงด้วยกองทัพของวุยก๊ก เนื่องจากการปกครองแผ่นดินที่ล้มเหลวเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ ที่วัน ๆ เอาแต่เสพสุขของพระเจ้าเล่าเสี้ยน

ง่อก๊ก

ง่อหรืออาณาจักรหวูตะวันออก (東吳)

    ง่อหรืออาณาจักรหวูตะวันออก (東吳) เป็นหนึ่งในอาณาจักรสามก๊ก ปกครองโดยพระเจ้าซุนกวน ในระหว่างปี พ.ศ. 765 - พ.ศ. 823 (ปี ค.ศ. 222-280)

     ง่อก๊กครอบครองพื้นที่ทางด้านตะวันออกของประเทศจีน ทางบริเวณตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี ซึ่งคือพื้นที่บริเวณรอบ ๆ เมืองหนานจิงในปัจจุบัน ง่อก๊กปกครองอาณาจักรโดยจักรพรรดิสืบต่อกันมาทั้งหมด 4 พระองค์ ได้แก่
  1. พระเจ้าซุนกวน ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 765 - 795
  2. พระเจ้าซุนเหลียง ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 795 - 801
  3. พระเจ้าซุนฮิว ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 801 - 807
  4. พระเจ้าซุนโฮ ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 807 - 823
     ง่อก๊กเป็นอาณาจักรสุดท้ายในบรรดาอาณาจักรสามก๊กที่ล่มสลาย ถูกปราบโดยกองทัพของสุมาเอี๋ยนและราชวงศ์จิ้น


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 1

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 1


เนื้อหา

• อธิบายพงศาวดารก่อนเรื่องสามก๊ก
• พระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์
• เกิดโจรโพกผ้าเหลือง
• พระเจ้าเลนเต้ประกาศบำเหน็จการปราบโจรโพกผ้าเหลือง
• เริ่มกล่าวถึงเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
• เริ่มกล่าวถึงโจโฉ
• เริ่มกล่าวถึงตั๋งโต๊ะ
• เริ่มกล่าวถึงซุนเกี๋ยน

เดิมแผ่นดินเมืองจีนทั้งปวงนั้น เปนสุขมาช้านานแล้วก็เปนศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เปนสุข มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามพระเจ้าจิวบูอ๋อง[๑] แลพระวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อ ๆ ลงมาเปนหลายพระองค์ ได้ความสุขมาถึงเจ็ดร้อยปี จึงมีผู้ตั้งแขงเมืองถึงเจ็ดหัวเมือง ครั้งนั้นพระเจ้าจิ๋นอ๋องได้เสวยราชย์ในเมืองจิ๋นก๊กให้ไปตีเอาหัวเมืองทั้ง เจ็ดนั้น เข้าอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าจิ๋นอ๋องทั้งสิ้น[๒] ครั้นอยู่มาพระเจ้าจิ๋นอ๋องเสียแก่ฮั่นฌ้อ แล้วฮั่นโกโจกับฮั่นฌ้อรบกัน จึงได้ราชสมบัติแก่ฮั่นโกโจ ฮั่นโกโจแลพระราชวงศ์ได้เสวยราชสมบัติต่อ ๆ มาในแผ่นดินจีนนั้นถึงสิบสององค์ มีขุนนางคนหนึ่งชื่ออองมังเปนขบถชิงเอาราชสมบัติได้ เปนเจ้าแผ่นดินอยู่สิบแปดปี แล้วจึงมีหลานพระเจ้าฮั่นโกโจชื่อฮั่นกองบู๊จับอองมังฆ่าเสียชิงเอาราช สมบัติได้เสวยราชย์สืบวงศ์มาสิบสององค์ พระองค์ได้เสวยราชย์ที่สุดนั้น ทรงพระนามพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงแตกเปนสามเมือง ภาษาจีนเรียกว่า สามก๊ก

เหตุทั้งนี้เพราะพระเจ้าฮั่นเต้[๓] หาพระราชบุตรมิได้ ขอเลนเต้มาเลี้ยง จนเลนเต้ได้เสวยราชย์มีพระราชบุตรสององค์ ชื่อหองจูเปียนหนึ่ง หองจูเหียบหนึ่ง แลเมืองพระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์นั้น มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี แลมิได้คบหาคนสัตย์ธรรม เชื่อถือแต่คนอันเปนอาสัตย์ ประพฤติแต่ตามอำเภอใจแห่งพระองค์เสียราชประเพณีไป จึงมีขันทีผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อเทาเจียดกับพวกขันทีทั้งปวง เห็นว่าพระเจ้าเลนเต้รักใคร่ไว้พระทัย จึงคิดกันกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ แต่บันดาราชกิจสิ่งใดนั้น ขันทีว่ากล่าวเอาผิดเปนชอบ ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนนัก จึงมีขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองชื่อเตาบูตันผวนเห็นผิดคิดอ่านจะจับขันทีฆ่าเสีย เทาเจียดขันทีรู้ตัวจึงให้พัครพวกจับเตาบูตันผวนไปฆ่าเสีย เทาเจียดแลพวกขันทีทั้งปวงยิ่งทำการกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน

ครั้นอยู่มาพระเจ้าเลนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสองปี (พ.ศ. ๗๒๒) ณเดือนสี่ขึ้นสิบห้าคํ่าเสด็จอยู่บนพระเก้าอี้ณพระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน เวลาตะวันเที่ยงเกิดลมพายุหนัก มีงูสีเขียวใหญ่ตกลงมาพันอยู่ที่เท้าพระเก้าอี้ซึ่งเสด็จอยู่นั้น พระเจ้าเลนเต้ตกพระทัยล้มลงจากพระเก้าอี้หาพระสติมิได้ ชาวรักษาพระองค์เข้าช่วยพยุงเชิญเสด็จเข้าไปที่ข้างใน บันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเฝ้าอยู่นั้น เห็นงูก็ตกใจกลัวต่างคนก็วิ่งหนีไป อยู่หน่อยหนึ่งงูนั้นก็หายไป จึงเกิดฟ้าร้องฝนตกห่าใหญ่ ลูกเห็บตกลงตึกแลเรือนราษฎรทั้งปวงหักทลายเปนอันมาก จนเวลาเที่ยงคืนฝนจึงหยุด ครั้นอยู่มาได้สี่ปี (พ.ศ. ๗๒๖) ณเดือนยี่ เมืองลกเอี๋ยงแผ่นดินไหว นํ้าทเลเกิดใหญ่ท่วมตึกแลเรือนอาณาประชาราษฎร ซึ่งอยู่ตีนท่านั้นถล่มลอยไปเปนอันมาก ไก่ตัวเมียกลายเปนตัวผู้

ครั้นถึงเดือนหกขึ้นค่ำหนึ่ง เกิดนิมิตเปนควันเพลิงพลุ่งขึ้นไปสูงประมาณยี่สิบวา แล้วควันเพลิงนั้นพลุ่งเข้าไปในพระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน ครั้นณเดือนเจ็ดเกิดนิมิตรัศมีรุ้งตกลงในพระราชวัง แลเขารันซัวสูงใหญ่บันดาลแตกทลายลง พระเจ้าเลนเต้จึงถามขุนนางทั้งปวงว่า นิมิตวิปริตดังนี้จะดีร้ายประการใด ยีหลงขุนนางจึงเขียนหนังสือลับกราบทูลว่า เหตุทั้งปวงนี้เพราะขันทีประพฤติล่วงพระราชอาญา จึงเกิดนิมิตให้พระองค์ปรากฎ

พระเจ้าเลนเต้เห็นหนังสือนั้น ทอดพระทัยอยู่มิได้ตรัสประการใด แล้วเสด็จลุกขึ้นผลัดฉลองพระองค์ใหม่ เทาเจียดขันทีเฝ้าอยู่หลังพระที่นั่งมองเห็นหนังสือนั้น จึงคิดอ่านกับพรรคพวกว่า จะหาความผิดข้อใหญ่ใส่โทษยีหลงให้ออกจากที่ขุนนาง แลพวกเทาเจียดขันทีซึ่งเปนผู้ใหญ่นั้นเก้าคน ชื่อเตียวต๋งหนึ่ง เตียวเหยียงหนึ่ง ฮองสีหนึ่ง ต๋วนกุยหนึ่ง เหาลำหนึ่ง เกียนสิดหนึ่ง เห้หุยหนึ่ง ก๊กเสงหนึ่ง เชียกง[๔]หนึ่ง เปนสิบคนทั้งเทาเจียด ถ้าขุนนางผู้ใดมิได้อยู่ในโอวาทก็ให้ถอดเสีย ผู้ใดอยู่ในบังคับบัญชานั้นก็ให้ยกตั้งแต่งขึ้น แลเทาเจียดกับพวกเก้าคนนั้นตั้งชื่อตัวเปนสิบเสียงสี แลพระเจ้าเลนเต้นั้นเชื่อถือถ้อยคำเตียวเหยียงเรียกเปนบิดาเลี้ยง ราชการกฎหมายแผ่นดินก็ผันแปรไป อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมภ์เปนอันมาก

ฝ่ายเมืองกิลกกุ๋นนั้น มีชายพี่น้องสามคน ชื่อเตียวก๊กหนึ่ง เตียวโป้หนึ่ง เตียวเหลียงหนึ่ง แลเตียวก๊กนั้นไปเที่ยวหายาบนภูเขา พบคนแก่คนหนึ่ง ผิวหน้านั้นเหมือนทารก จักษุนั้นเหลืองมือถือไม้เท้า คนนั้นพาเตียวก๊กเข้าไปในถํ้าจึงให้หนังสือตำราสามฉบับ ชื่อไทแผงเยาสุด แล้วว่าตำรานี้ท่านเอาไปช่วยทำนุบำรุงคนทั้งปวงให้อยู่เย็นเปนสุข ถ้าตัวคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน ภัยอันตรายจะถึงตัว เตียวก๊กกราบไหว้แล้วจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด คนแก่นั้นจึงบอกว่า เราเปนเทวดา บอกแล้วก็เปนลมหายไป

ฝ่ายเตียวก๊กก็กลับมาบ้าน จึงเรียนตามตำราทั้งกลางวันกลางคืน ก็เรียกลมเรียกฝนได้สาระพัดทุกประการ จึงตั้งตัวเปนโต๋หยิน แปลภาษาไทยว่าพราหมณ์มีความรู้ ครั้งนั้นห่าลงเมืองกิลกกุ๋น ชาวเมืองทั้งปวงเกิดความไข้ เตียวก๊กจึงเขียนเลขยันตร์ตามตำรา ไปแจกให้ชาวเมืองบำบัดความไข้ คนก็นับถือเตียวก๊กมาเปนศิษย์ให้สั่งสอนอยู่ประมาณร้อยเศษ เตียวก๊กจึงไปเที่ยวรักษาไข้ตามเมืองใหญ่น้อย คนทั้งปวงได้เลขยันตร์ซึ่งเตียวก๊กให้นั้น ความไข้อันตรายนั้นก็หาย ชาวเมืองทั้งนั้นก็นับถือไปอยู่เปนศิษย์เตียวก๊กทวีมากขึ้นทุกวัน เตียวก๊กครั้นมีศิษย์มากแล้ว จึงตั้งศิษย์ไว้เปนนายบ้านซ่องสามสิบตำบล ตำบลใหญ่คนประมาณหมื่นเศษ ตำบลน้อยมีคนประมาณหกพันเจ็ดพัน มีนายคุมไพร่มีธงสำหรับรบศึกทุกตำบล

เตียวก๊กตั้งตัวเปนจงกุ๋น แปลว่าพระยา แล้วจึงแต่งอุบายให้ปรากฎไปว่า แผ่นดินจะผันแปรปรวนไปแล้ว จะมีผู้มีบุญมาครองแผ่นดินใหม่บ้านเมืองจะเปนสุข แล้วให้เอาปูนขาวเขียนเปนอักษรไว้ที่ประตูบ้านเรือนสองตัว อักษรว่า ปีชวดบ้านเมืองจะเปนสุข แลเมืองเฉงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองชิวจิ๋ว เมืองเกงจิ๋ว เมืองยังจิ๋ว เมืองกุนจิ๋ว เมืองอิจิ๋ว ชาวเมืองทั้งแปดเมืองนี้นับถือเขียนเอาชื่อเตียวก๊กไว้บูชาทุกบ้านเรือน เตียวก๊กจึงใช้ม้าอ้วนยี่เอาเงินทองไปให้ฮองสีขันทีเปนกำนัล แล้วม้าอ้วนยี่บอกความลับแก่ฮองสีขันทีว่า เตียวก๊กสั่งมาว่าให้ฮองสีช่วยทำการเปนไส้ศึกในเมือง แล้วเตียวก๊กจึงคิดอ่านกับน้องชายสองคนว่า ถ้าจะคิดอ่านการสิ่งใดเอาใจไพร่เปนประมาณ บัดนี้ชาวเมืองทั้งแปดเมืองก็รักใคร่นับถืออยู่ในโอวาทเราสิ้นแล้ว เมื่อการพร้อมฉนี้ ควรจะคิดเอาแผ่นดิน ครั้นจะมิคิดการบัดนี้ก็เสียดายดูมิควร น้องสองคนก็ยอมด้วย เตียวก๊กจึงซ่องสุมทหาร แลเครื่องศัสตราวุธพร้อมเตรียมไว้ ถึงกำหนดแล้วจะได้ทำการสดวก

แล้วเตียวก๊กจึงใช้ศิษย์คนหนึ่งชื่อตองจิ๋ว ถือหนังสือลับไปบอกฮองสี ตองจิ๋วมิได้เอาหนังสือนั้นไปให้ฮองสี เอาหนังสือนั้นไปให้ขุนนางกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ๆ จึงให้โฮจิ๋นขุนนางผู้ใหญ่ ยกกองทัพไปจับม้าอ้วนยี่ซึ่งเอาของกำนัลไปให้ฮองสีขันทีมาฆ่าเสีย จับฮองสีขันทีใส่คุกไว้

ฝ่ายเตียวก๊กครั้นรู้ข่าวก็ไปเตรียมทหารไว้พร้อม แล้วจึงตั้งตัวเปนเทียนก๋งจงกุ๋นแปลว่าเปนเจ้าพระยาสวรรค์ แล้วตั้งเตียวโป้ผู้น้องเปนแตก๋งจงกุ๋น แปลว่าเจ้าพระยาแผ่นดิน ตั้งเตียวเหลียงน้องผู้น้อยเปนยินก๋งจงกุ๋น แปลว่าเจ้าพระยามนุษย์ เตียวก๊กป่าวประกาศแก่ทหารแลไพร่พลทั้งปวงว่า เมืองพระเจ้าเลนเต้จะสาบสูญฉิบหายแล้ว ผู้มีบุญจะมาเสวยสมบัติใหม่ คนทั้งปวงจงทำตามคำเทวดาทำนายเถิด จะได้อยู่เย็นเปนสุขพร้อมมูลกัน

ไพร่พลทั้งปวงก็ยินดีด้วย เตียวก๊กให้เอาผ้าเหลืองโพกสีสะเปนสำคัญ คนประมาณสี่สิบห้าสิบหมื่น เตียวก๊กกับทหารทั้งปวงพร้อมใจกันเปนโจร หาผู้ใดจะต้านทานมิได้มีกำลังมากขึ้น โฮจิ๋นจึงเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ๆ ให้มีตราไปทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลือง ได้แล้วจะปูนบำเหน็จให้เปนขุนนาง แล้วสั่งจงลงเจียงทหารเอกหนึ่ง โลจิ๋นหนึ่ง ฮองฮูสงหนึ่ง จูฮีหนึ่ง ให้คุมทหารยกออกไปเปนสามด้าน ให้จับตัวเตียวก๊กจงได้

ฝ่ายเตียวก๊กยกทหารเข้าตีปลายแดนเมืองอิวจิ๋ว เล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองอิวจิ๋วนั้นเปนชาวเมืองกังแฮ เปนเชื้อฮั่นโกโจเปนหลานหลังจงฮอง รู้ข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองมาตีปลายแดนเมืองอิวจิ๋ว จึงให้หาเจาเจ้งนายทหารมาปรึกษา เจาเจ้งจึงว่าโจรมีกำลังมากนักทหารเมืองเราน้อย จำจะให้มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมป่าวร้องชาวเมืองซึ่งอยู่ปลายแดนว่า ถ้าผู้ใดกล้าหาญมีปัญญาจับโจรได้ จะบอกความชอบไปให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ เล่าเอี๋ยนเห็นชอบด้วยจึงให้ทำตาม แล้วแต่งเปนหนังสือเกลี้ยกล่อมแจกไปทุกหัวเมือง ให้เจ้าเมืองเอาหนังสือปิดไว้ทุกประตูเมือง

แลเมืองตุ้นก้วนมีชายคนหนึ่งชื่อเล่าปี่ เมื่อน้อยชื่อเหี้ยนเต๊ก ก็ไม่สู้รักเรียนหนังสือแต่มีปัญญานํ้าใจนั้นดี ความโกรธความยินดีมิได้ปรากฎออกมาภายนอก ใจนั้นอารีย์นักมีเพื่อนฝูงมาก ใจกว้างขวาง หมายจะเปนใหญ่กว่าคนทั้งปวง กอปด้วยลักษณรูปใหญ่สมบูรณ์สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้ม จักษุชำเลืองไปเห็นหู แลเล่าปี่นั้นเปนบุตร์เล่าเหง เล่าเหงเปนเชื้อวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ เล่าเหงตายยังแต่ภรรยา เล่าปี่ผู้บุตรมีกตัญญูรักษามารดามิให้อนาทร แลเล่าปี่กับมารดาเปนคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ทอเสื่อขายเลี้ยงชีวิต บ้านที่เล่าปี่อยู่นั้น ชื่อบ้านเล่าซองฉุนอยู่ใกล้เมืองตุ้นก้วน เรือนนั้นอยู่ริมต้นหม่อน ๆ นั้นสูงประมาณแปดวาเศษ กิ่งนั้นเปนพุ่มดังฉัตร์ มีหมอดูคนหนึ่งเดิรมาเห็นภูมิบ้านแลต้นหม่อนต้องตำรา จึงทายว่าบ้านนี้มีผู้มีบุญอยู่ เล่าปี่เมื่อยังเด็กอยู่นั้น เล่นกับลูกชาวบ้านทั้งปวง เล่าปี่จึงว่า ถ้ากูได้เปนเจ้ากูจะเอาต้นหม่อนต้นนี้ไปทำคันเศวตฉัตร์กั้น เล่าอ้วนกีผู้เปนอาว์ได้ยินเล่าปี่ว่าประหลาด จึงชมเล่าปี่ว่าจะมีบุญเปนมั่นคง เล่าอ้วนกีทำนุบำรุงให้เงินทองแก่เล่าปี่เนือง ๆ เมื่อเล่าปี่อายุได้สิบห้าปี มารดาจึงให้ไปเรียนหนังสือกับเต้เหี้ยนผู้เปนครู เล่าปี่นั้นมีเพื่อนสองคน ชื่อโลติดหนึ่ง กองซุนจ้านหนึ่ง เรียนหนังสืออยู่ด้วยกันจนอายุได้ยี่สิบห้าปี ขณะนั้นเล่าปี่เดิรไปเห็นหนังสือซึ่งปิดไว้ที่ประตูเมือง เล่าปี่คิดไปมิตลอดยืนดูหนังสือทอดใจใหญ่อยู่

มีคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่แล้วว่า เปนผู้ชายไม่ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินแล้วสิมาทอดใจใหญ่ ฝ่ายเล่าปี่กลับหน้ามาดู เห็นผู้นั้นสูงประมาณห้าศอก สีสะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต เสียงดังฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ เห็นผิดประหลาทจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด ผู้นั้นจึงตอบว่าเราชื่อเตียวหุยเอ๊กเต๊กบ้านอยู่ตุ้นก้วน เรามีทรัพย์สินไร่นาเปนอันมาก ทั้งร้านสุกรสุราก็มีขาย เราพอใจคบเพื่อนฝูงซึ่งมีสติปัญญา บัดนี้เห็นท่านดูหนังสือแล้วทอดใจใหญ่จึงทักจะใคร่รู้เนื้อความ เล่าปี่จึงว่าเราเปนเชื้อพระเจ้าฮั่นเกงเต้ชื่อเล่าปี่ ได้ยินข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองมาทำอันตรายแผ่นดิน เราคิดจะใคร่อาสาแผ่นดินไปปราบโจร แต่ขัดสนด้วยกำลังน้อยทรัพย์ก็น้อยคิดไปมิตลอด จึงทอดใจใหญ่ เตียวหุยจึงว่าทรัพย์นั้นเรามีอยู่ เราจะคิดกันไปเกลี้ยกล่อมชาวเมืองซึ่งมีฝีมือกล้าหาญ ท่านกับเราจะยกออกไปจับโจรจะเห็นประการใด เล่าปี่ได้ฟังก็ดีใจจึงชวนเตียวหุยเข้าไปในร้านสุราซื้อสุราแล้วก็ชวนกัน นั่งกินอยู่

มีคนหนึ่งรูปร่างโตใหญ่ขับเกวียนมาถึงหน้าร้านสุราเข้าไปเรียกผู้ขายสุรา ว่า เอาสุรามาขายจงเร็ว เรากินแล้วจะรีบไปอาสาแผ่นดิน เล่าปี่เห็นผู้นั้นสูงประมาณหกศอกหนวดยาวประมาณศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการะเวก เห็นกิริยาผิดประหลาทกว่าคนทั้งปวง เล่าปี่จึงชวนเข้าไปนั่งกันสุราด้วยแล้วถามว่าท่านนี้ชื่อไร ผู้นั้นจึงบอกว่าเราชื่อกวนอู อีกชื่อหนึ่งนั้นหุนเตี๋ยง บ้านเราอยู่เมืองฮอตั๋งไกเหลียง ที่เมืองฮอตั่งไกเหลียงนั้น มีคนๆหนึ่งมีทรัพย์มากร้ายกาจสามหาวข่มเหงคนทั้งปวง เราเห็นผิดนักเราจึงฆ่าผู้นั้นเสียแล้วหนีไปเที่ยวอยู่เปนหลายหัวเมือง บัดนี้เราได้ยินว่าเมืองนี้มีหนังสือเกลี้ยกล่อมป่าวร้องให้อาสาแผ่นดิน จับโจรโพกผ้าเหลือง เราจึงมาหวังจะอาสาแผ่นดิน เล่าปี่จึงตอบว่า เรากับเตียวหุยคิดต้องกันกับท่าน กวนอูได้ยินก็ดีใจ เตียวหุยจึงว่าเราทั้งสามคิดการต้องกัน เชิญท่านทั้งสองมาไปบ้านเรา ที่หลังบ้านเรามีสวนดอกไม้แล้วเปนที่สงัด ดอกยิโถก็บานอยู่เปนอันมาก จะได้บูชาพระแลเทวดา แล้วจะได้ให้สัตย์ต่อกันทั้งสามให้เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะได้คิดการใหญ่สืบไป เล่าปี่กวนอูได้ยินก็ยินดี จึงชวนกันไปยังบ้านเตียวหุย ครั้นรุ่งขึ้นเตียวหุยจึงจัดม้าขาวกระบือดำแลธูปเทียนสิ่งของทั้งปวง แล้วชวนกันออกมายังสวนดอกไม้ จึงจุดธูปเทียนไหว้พระแลบูชาเทวดาแล้วจึงตั้งสัตย์สาบาลต่อกันว่า ข้าพเจ้าเล่าปี่กวนอูเตียวหุยทั้งสามคนนี้อยู่ต่างเมือง วันนี้ได้มาพบกัน จะตั้งสัตย์สบถเปนพี่น้องร่วมท้องกันเปนน้ำใจเดียวซื่อสัตย์ต่อกันสืบไปจน วันตาย จะได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข ถ้ามีภัยอันตรายสิ่งใดแลรบศึกเสียที ข้าพเจ้ามิได้ทิ้งกัน จะแก้กันกว่าจะตายทั้งสาม แลความสัตย์นี้ข้าพเจ้าได้สาบาลต่อหน้าเทวดาทั้งปวงจงเปนทิพย์พยาน ถ้าสืบไปภายหน้าข้าพเจ้าทั้งสามมิได้ซื่อตรงต่อกัน ขอให้เทวดาสังหารผลาญชีวิตให้ประจักษ์แก่ตาโลก จึงเรียกเล่าปี่เปนพี่เอื้อย กวนอูเปนน้องกลาง เตียวหุยเปนน้องสุด แลชาวบ้านซึ่งกล้าหาญนั้นมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วย เปนคนสามร้อยคน ก็กินโต๊ะเลี้ยงดูกันแล้ว จัดเครื่องศัสตราวุธเปนอันมากยังขัดสนแต่ม้า

จึงมีคนมาบอกเล่าปี่ว่า มีพ่อค้าม้าต้อนม้าเข้ามาในบ้านเรา เล่าปี่จึงออกไปรับพ่อค้าม้าสองคนเข้ามา คนหนึ่งชื่อเตียวสิเผง คนหนึ่งชื่อเล่าสง บอกเล่าปี่ว่าข้าพเจ้าค้าขายม้าเปนหลายปี มาปีนี้ไปขายม้าพบโจรกลางทางไปไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงกลับมาเมืองนี้ เล่าปี่จึงชวนพ่อค้าม้าสองคนเข้าไปในบ้าน ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงแล้วบอกว่า เราคิดกันจะไปจับโจรซึ่งทำจลาจลในแผ่นดิน เตียวสิเผงเล่าสงว่า ท่านคิดนี้ต้องกับข้าพเจ้าแล้ว จึงจัดแจงม้าห้าสิบม้ากับเงินห้าร้อยตำลึง เหล็กร้อยหาบให้เปนกำลัง เล่าปี่จึงขอบคุณพ่อค้าม้าทั้งสองคน แล้วหานายช่างมาตีเปนกระบี่สองเล่มสำหรับถือ ซึ่งกวนอูจะถือนั้นให้ช่างตีเปนง้าวเล่มหนึ่ง ยาวสิบเอ็ดศอกหนักแปดสิบสองชั่ง เตียวหุยถือนั้นให้ตีเปนทวนเล่มหนึ่ง ยาวสิบศอกหนักแปดสิบห้าชั่ง แล้วให้ทำเครื่องเกราะแลอานม้า สำหรับรบครบทั้งสามนาย แล้วจึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านที่มีฝีมือกล้าแข็งได้ห้าร้อยคนจึงพาไปหาเจาเจ้ง ๆ จึงพาไปหาเล่าเอี๋ยนผู้เปนเจ้าเมือง ทั้งสามพี่น้องจึงคำนับแล้วบอกชื่อแลแซ่ เล่าเอี๋ยนได้ยินว่าเปนแซ่เดียวกันก็ยินดีนัก จึงรับไว้เปนหลานชาย

ครั้นอยู่มาหลายวัน จึงมีคนถือหนังสือบอกเข้ามาว่า โจรโพกผ้าเหลืองทหารเอกชื่อเทียอ้วนจี้ คุมพลประมาณห้าหมื่น ยกเข้ามาแดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงสั่งเจาเจ้ง ให้หาตัวเล่าปี่กวนอูเตียวหุยมา แล้วให้คุมพลห้าร้อยยกออกไปจับโจร เล่าปี่กวนอูเตียวหุยยินดีนัก ก็ยกทหารห้าร้อยออกไปถึงตำบลเขาไทเหียงสัน แลไปเห็นพวกโจรยกมาเปนอันมาก แลพวกโจรนั้นมิได้เกล้ามวย กระจายผมเอาแต่ผ้าเหลืองโพกสีสะทั้งสิ้น เล่าปี่จึงให้ตั้งค่ายลงไว้ แล้วขับม้าออกไปหน้าทหาร แลฝ่ายขวานั้นม้ากวนอู ฝ่ายซ้ายนั้นม้าเตียวหุย เล่าปี่จึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าด่าพวกโจรว่าอ้ายพวกขบถ เทียอ้วนจี้โกรธนักจึงใช้ทหารเอกชื่อเตงเมาขี่ม้าออกไปรบ เตียวหุยถือทวนยาวสิบศอกขับม้าเข้ารบกับเตงเมา เตียวหุยรำเพลงทวนแทงถูกอกเตงเมาตกม้าตาย

เทียอ้วนจี้โกรธนักถือง้าวขับม้าออกจะรบด้วยเตียวหุย กวนอูเห็นจึงขับม้าผ่านหน้าม้าเตียวหุยออกมาจะรบ เทียอ้วนจี้เห็นรูปกวนอูก็ตกใจเสียที กวนอูเอาง้าวฟันเทียอ้วนจี้ตัวขาดออกเปนสองท่อน พวกโจรทั้งนั้นก็แตกกระจายไปสิ้น เล่าปี่จึงขับทหารเข้าไล่จับพวกโจรได้เปนอันมาก แล้วยกทหารกลับมาเมืองตุ้นก้วน

ฝ่ายเล่าเอี๋ยนครั้นรู้ข่าวก็ออกไปรับเล่าปี่ถึงประตูเมือง แล้วพากันกลับเข้ามา จึงปูนบำเหน็จพวกทหารตามสมควร ครั้นรุ่งขึ้นม้าใช้ถือหนังสือสิบเกงเจ้าเมืองเฉงจิ๋วมาถึงเจ้าเมือง ตุ้นก้วนว่า บัดนี้มีโจรโพกผ้าเหลืองยกมาล้อมเมืองเฉงจิ๋วจะขอกองทัพไปช่วย เล่าเอี๋ยนจึงหาเล่าปี่มาปรึกษา เล่าปี่ว่าข้าพเจ้าแลน้องข้าพเจ้าจะขออาสายกไปช่วยเมืองเฉงจิ๋ว เล่าเอี๋ยนมีความยินดี จึงสั่งเจาเจ้งให้คุมทหารห้าพันยกไปกับเล่าปี่กวนอูเตียวหุย เล่าปี่กับเจาเจ้งยกทหารมาถึงเมืองเฉงจิ๋ว พวกโจรเห็นกองทัพยกออกมาก็เข้าตี

ฝ่ายเล่าปี่เจาเจ้งทหารน้อยจึงถอยทัพออกมา แล้วปรึกษากันกับกวนอูเตียวหุยว่า ทหารเราน้อยกว่าพวกโจร เราจะคิดเปนกลศึกจึงจะเอาชัยชนะได้ แล้วเล่าปี่ให้กวนอูคุมทหารพันหนึ่ง ไปซุ่มอยู่ตำบลเขาข้างซ้ายทาง ให้เตียวหุยคุมทหารพันหนึ่ง ไปซุ่มอยู่ข้างขวาทาง กำหนดว่าถ้าได้ยินเสียงม้าฬ่อแล้วเมื่อใด ให้ยกทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสองข้าง กวนอูเตียวหุยก็ยกไปตามสั่ง ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปี่กับเจาเจ้งยกทหารไปตามทางซึ่งกวนอูเตียวหุยซุ่มอยู่ นั้น

ฝ่ายพวกโจรก็รุกไล่เล่าปี่มา เล่าปี่ก็ให้ถอยทัพมาถึงภูเขาซึ่งซุ่มทหารอยู่นั้น แล้วให้ตีม้าฬ่อสัญญาขึ้น ฝ่ายกวนอูเตียวหุยซึ่งคุมทหารอยู่นั้น ก็ยกตีกระหนาบออกมาทั้งสองข้าง เล่าปี่ก็ขับทหารตีเปนหน้ากระดานขึ้นไป

ฝ่ายทัพโจรเสียทีก็แตกหนีเข้ามาชาลกำแพงเมืองเฉงจิ๋ว ทัพเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ไล่ตีกระหนาบพวกโจรมา สิบเกงเจ้าเมืองเฉงจิ๋วเห็น จึงยกทหารออกตีกระหนาบเปนสี่ด้าน พวกโจรนั้นระส่ำระสายเจ็บป่วยล้มตายเปนอันมาก ก็แตกหนีไปสิ้น สิบเกงจึงปูนบำเหน็จทหารเล่าปี่ตามสมควร แล้วเจาเจ้งว่าเราจะยกทหารกลับไปเมืองตุ้นก้วน

เล่าปี่จึงว่า ได้ยินข่าวว่าโลติดผู้เปนตงลงเจียงเปนทหารเอกพระเจ้าเลนเต้รบกับเตียวก๊กนาย โจรอยู่ตำบลเมืองกงจ๋ง ข้าพเจ้าจะขอทหารไปรบพวกโจร เจาเจ้งจึงจัดทหารให้เล่าปี่ห้าร้อย เจาเจ้งก็ยกทหารสี่พันห้าร้อยกลับมาเมืองตุ้นก้วน ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกไปถึงเมืองกงจ๋ง แล้วชวนกันไปหาโลติด จึงเอาข้อราชการซึ่งได้รบโจรนั้นแจ้งแก่โลติด ๆ ยินดีนัก จึงว่าท่านทั้งสามอยู่ทำราชการด้วยเราเถิด

ฝ่ายเตียวก๊กมีพวกโจรประมาณสิบห้าหมื่น โลติดนั้นมีทหารประมาณห้าหมื่น แลทัพโลติดกับเตียวก๊กตั้งค่ายประชิดกันอยู่ยังมิได้แพ้ชนะกัน โลติดจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เตียวโป้เตียวเหลียงผู้น้องเตียวก๊กนั้น คุมโจรไปรบกับฮองฮูสงแลจูฮีอยู่ ณ เมืองเองฉวน เราจะเกณฑ์ทหารให้พันหนึ่งกับทหารของท่านนั้น จงยกไปช่วยฮองฮูสงจูฮี ณ เมืองเองฉวน แล้วให้สืบเอาข่าวราชการหนักเบามาจงได้ เล่าปี่รับคำแล้วยกทหารรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน

ฝ่ายฮองฮูสงกับจูฮีนั้นแต่งทหารออกรบกับพวกโจรยังมิได้แพ้ชนะกัน พ้นเวลาแล้วเตียวโป้เตียวเหลียงให้ทหารถอยเข้ามาที่มั่น แล้วให้เอาฟางทำซุมรุมขึ้นในค่าย ฝ่ายฮองฮูสงกับจูฮีรู้จึงปรึกษากันว่า บัดนี้พวกโจรเอาฟางทำซุมรุมขึ้นในค่าย เราจะคิดเอาเพลิงเผาค่ายพวกโจรเสียจงได้ จึงให้ทหารมัดหญ้าคนละมัด ให้ขุดอุโมงค์เข้าไปถึงริมค่ายโจร ให้เอาหญ้าไปกองซุ่มไว้ตามริมค่าย ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยามเกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก ทหารทั้งปวงได้ทีให้สัญญาพร้อมกันแล้ว จุดเพลิงระดมเผาค่ายโจรไหม้ขึ้นสิ้น แสงเพลิงดุจกลางวัน พวกโจรทั้งปวงตกใจมิทันใส่เกราะแลผูกอานม้า ก็แตกกระจายหนีเพลิงวุ่นวายอยู่ ฮองฮูสงจูฮีขับทหารเข้าไล่แทงฟันพวกโจรป่วยเจ็บล้มตายเปนอันมาก

ครั้นรุ่งขึ้น เตียวโป้ เตียวเหลียง กับพวกโจรซึ่งเหลือนั้นก็ชวนกันหาทางที่จะหนีเอาชีวิตรอด จึงไปพบทัพหนึ่งธงแดงทั้งทัพ ทหารกองหน้าเข้าสกัดพวกโจรไว้มิให้หนีได้ แลนายทัพนั้นชื่อโจโฉ สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว เปนบุตรโจโก๋ แลโจโฉเมื่อน้อยนั้นมักพอใจไปเล่นป่ายิงเนื้อ มักพอใจฟังร้องรำทำเพลงมีปัญญาความคิดรวดเร็ว ฝ่ายว่าโจเต๊กนั้นเห็นโจโฉเปนนักเลงไม่ทำมาหากิน ก็มีใจชังเปนอันมาก จึงเดิรไปจะเอาเนื้อความบอกโจโก๋ผู้พิ่ โจโฉเห็นว่าอาว์ชังอยู่จะเอาเนื้อความไปบอกบิดา โจโฉทำมีอันเปนล้มลง อาว์เห็นจึงร้องบอกโจโก๋ว่าโจโฉมีอันเปน โจโก๋ตกใจว่าบุตรมีอันเปนก็วิ่งมาดู โจโฉลุกขึ้นเล่นปรกติอยู่ โจโก๋จึงว่าอาว์เองไปบอกว่าเองมีอันเปน บัดนี้หายแล้วหรือ โจโฉจึงว่าแต่น้อยมาข้าหาเจ็บป่วยสิ่งใดไม่ เพราะอาว์ชังข้าจึงเอาความมิดีมาใส่ แต่นั้นไปโจโก๋ก็เชื่อคำโจโฉ ถึงอาว์จะเอาความสิ่งใดมาบอกโจโก๋มิได้เชื่อคำน้องชาย โจโฉยิ่งกำเริบใจเล่นหัวหยาบช้าไปกว่าแต่ก่อน เพื่อนเล่นทั้งปวงพูดจายกยอโจโฉว่า แผ่นดินบัดนี้เปนจลาจลอยู่ หาผู้ใดซึ่งมีสติปัญญาจะปราบปรามอันตรายให้อยู่เย็นเปนสุขไม่ เราทั้งปวงเห็นแต่ท่านมีสติปัญญา จะคิดอ่านปราบปรามให้แผ่นดินเปนสุขได้ แลเมืองลำหยงนั้นมีคนหนึ่งชื่อโหเง้า ว่าแก่คนทั้งปวงว่า แผ่นดินเมืองหลวงนั้นจะสูญเสียแล้ว ซึ่งจะปราบแผ่นดินให้ราบนั้นเห็นแต่โจโฉผู้เดียว แลในเมืองหลิหลำมีหมอคนหนึ่งชื่อเขาเฉียวรู้ดูลักษณคน โจโฉจึงไปหาเขาเฉียวถามว่า ข้าพเจ้านี้สืบไปภายหน้าเห็นดีชั่วประการใด เขาเฉียวนิ่งอยู่ โจโฉจึงถามซ้ำไปอีก เขาเฉียวจึงว่าท่านมีปัญญามาก จะป้องกันแผ่นดินได้อยู่ แต่มิได้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จะเปนศัตรูราชสมบัติ โจโฉหัวเราะชอบใจ ครั้นอายุโจโฉได้ยี่สิบปี จึงเข้าไปทำราชการฝ่ายทหารในเมืองลกเอี๋ยง โจโฉจึงให้เอาไม้สำคัญห้าสิบไปปักไว้ทั้งสี่ประตูเมือง ห้ามมิให้คนเดิรกลางคืน ถ้าเดิรไปมาผิดประหลาทให้จับเอาตัวมาทำโทษ ครั้นกลางคืนวันหนึ่งโจโฉไปตระเวนพบเอาขันทีเดิรมาผิดเวลา โจโฉให้จับเอาตัวมาตีสิบห้าที แลโจโฉนั้นทำราชการเข้มแข็งขึ้นทุกวัน คนทั้งปวงยำเกรงเปนอันมาก พระเจ้าเลนเต้จึงตั้งให้เปนตุนขิวเหล็ง ครั้นพวกโจรโพกผ้าเหลืองกำเริบจลาจลขึ้นในเมืองเองฉวน พระเจ้าเลนเต้จึงให้โจโฉเลื่อนที่เปนโตะอุ๋ยให้คุมทหารห้าพันยกไปช่วยเมือง เองฉวน จึงพบเตียวโป้เตียวเหลียงกับพวกโจรที่เหลือตายแตกหนีมานั้น โจโฉจึงรบสกัดไว้ ฆ่าพวกโจรเสียประมาณหมื่นเศษ ทหารโจโฉได้ม้าแลเครื่องศัสตราวุธเปนอันมาก แต่ตัวเตียวโป้เตียวเหลียงนั้นหนีได้ โจโฉจึงเข้าไปหาฮองฮูสงจูฮีบอกข้อราชการแล้ว โจโฉขอเอาทหารไปตามเตียวโป้เตียวเหลียง

ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุยยกมาถึงเมืองเองฉวน ได้ยินเสียงรบพุ่งกันแล้วแลเห็นแสงเพลิงสว่าง จึงเร่งทหารรีบไปจะช่วย พอมาถึงเข้าพวกโจรนั้นก็แตกไป เล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยเข้าไปหาฮองฮูสงจูฮี แล้วบอกว่าโลติดให้ข้าพเจ้ามาช่วยราชการท่าน ฮองฮูสงจูฮีว่าขอบใจนักแล้วบอกว่า บัดนี้เตียวโป้เตียวเหลียงแลพวกโจรนั้นแตกแล้ว เราเห็นเตียวโป้เตียวเหลียงจะหนีไปหาเตียวก๊กผู้พี่ ณ เมืองจงก๋ง ถ้าท่านเร่งยกทหารรีบตามก้าวสกัดเห็นจะได้ตัว เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ลายกทหารกลับไป ถึงกลางทางพอพบข้าหลวงคุมคนโทษขังกรงใส่เกวียนมา จึงแลไปเห็นโลติดจำขังอยู่ในกรง เล่าปี่ตกใจโจนลงจากม้าเข้าไปถามโลติดว่าเหตุใดจึงเปนโทษฉนี้ โลติดบอกว่าเราล้อมเตียวก๊กไว้จะใกล้แตกอยู่แล้ว เตียวก๊กมีความรู้เปนอันมากจะเอาโดยเร็วยังมิได้ พระเจ้าเลนเต้จึงใช้จูฮงชาววังมาสืบข่าวราชการ จูฮงจะเอาของกำนัลสินบนแก่เรา ๆ จึงว่าในกองทัพนี้ก็ขาดสเบียงอยู่ เราจะมีสิ่งใดให้สินบนเล่า จูฮงโกรธกลับไปทูลกล่าวโทษว่าเรานี้มิได้มีใจรบพุ่ง ราชการจึงเนิ่นช้าอยู่ พระเจ้าเลนเต้จึงให้ตั๋งโต๊ะมาเปนนายทัพแทนเรา แล้วให้จำเราใส่กรงส่งไปเมืองหลวง เตียวหุยได้ยินก็โกรธชักดาบออกจะฆ่าผู้คุมเสีย จะถอดโลติดออกจากกรง เล่าปี่จึงห้ามว่าอย่าทำ เนื้อความนี้เปนข้อรับสั่งอยู่ จะทำแต่อำเภอใจด้วยโกรธนั้นไม่ได้ กวนอูจึงว่าบัดนี้โลติดสิเปนโทษแล้ว คนอื่นมาเปนนายทัพซึ่งจะทำราชการด้วยนั้นเห็นจะพึ่งพาอาศรัยขัดสน ถึงจะมีความชอบก็กลับเปนผิดเหมือนโลติดฉนี้ เราจะกลับไปเมืองตุ้นก้วนดีกว่า เล่าปี่เห็นชอบด้วยก็ยกไปเมืองตุ้นก้วน ยกมาทางสองวันแล้วได้ยินเสียงโห่ร้องข้างหลังเขา เล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยควบม้าขึ้นไปดูบนเขาแลไปเห็นทัพหลวงแตก พวกโจรโพกผ้าเหลืองไล่มา เล่าปี่เห็นธงสำคัญจึงรู้ว่าทัพเตียวก๊กไล่ทัพตั๋งโต๊ะมา เล่าปี่กวนอูเตียวหุยจึงลงไปช่วยรบ ทัพเตียวก๊กกลับแตกหนีไปทางประมาณห้าร้อย ตั๋งโต๊ะจึงได้กลับไปค่าย แล้วให้หาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยมาถามว่า ตัวนี้เปนขุนนางตำแหน่งใด เล่าปี่บอกว่า ข้าพเจ้าจะได้เปนตำแหน่งที่ขุนนางนั้นหามิได้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นทำกิริยาดูหมิ่นมิได้นับถือ เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ลาออกมา เตียวหุยจึงว่าเราพี่น้องสามคนช่วยเอาชีวิตมันไว้รอดมันก็ไม่รู้คุณเรา กลับทำหยาบช้าดูหมิ่น ชอบแต่ฆ่าเสียจึงจะหายความแค้น แล้วจับดาบจะไปฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เล่าปี่กวนอูห้ามว่าอย่าทำเขาเปนข้าหลวง เตียวหุยตอบว่าถ้าไม่ฆ่ามันเสียเราจะต้องอยู่ให้มันใช้ มันจะดูถูกยิ่งกว่านี้ เพราะมันมีอาญาสิทธิ์ พี่ทั้งสองจะอยู่ก็อยู่เถิดข้าจะลาไปหาที่พึ่งอื่นแล้ว เล่าปี่กวนอูจึงว่าเราพี่น้องทั้งสามคนเปนกระไรก็เปนด้วยกัน ซึ่งจะพลัดกันนั้นไม่ควร จะไปไหนต้องไปด้วยกัน เตียวหุยจึงว่าถ้าดังนั้นจะค่อยคลายความแค้น แล้วเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกทหารกลับไปหาจูฮี ณ เมืองเองฉวน ให้ทหารรีบเดิรทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงก็พากันเข้าไปหาจูฮี แล้วเล่าข้อราชการทั้งปวงให้จูฮีฟังสิ้น จูฮีรักใคร่นับถือเล่าปี่กวนอูเตียวหุย เอาไว้เปนกองเดียวกัน จูฮีจึงว่าตั๋งโต๊ะนั้นบ้านอยู่ ณ เมืองหลวง ลายลิมโหย่เปนขุนนางชื่อฮ่องโต๋งทายสิว แลตั๋งโต๊ะนั้นมิได้รู้การหนักเบา มิได้รู้จักคนดีแลชั่วมีแต่ถือตัว ซึ่งท่านจะอยู่ด้วยนั้นหาประโยชน์มิได้

ฝ่ายโจโฉซึ่งไปตามเตียวโป้เตียวเหลียง ครั้นไม่พบแล้วก็กลับมาหาฮองฮูสง ณ เมืองเองฉวน เข้าทำราชการกองเดียวกันกับฮองฮูสง ๆ กับโจโฉ ครั้นรู้ข่าวว่าเตียวเหลียงอยู่ ณ เมืองโฉเหียง จึงยกทหารไปรบเตียวเหลียง ฝ่ายเตียวโป้นั้นไปตั้งอยู่ตำบลหลังเขาแห่งหนึ่ง มีพวกโจรอยู่ประมาณแปดหมื่นเก้าหมื่น

จูฮีครั้นรู้ข่าวจึงให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยเปนทัพหน้า จูฮีเปนทัพหลวง ยกทหารมารบเตียวโป้ ฝ่ายเตียวโป้จึงใช้โกเสงคุมพวกโจรออกมารบกับทัพหน้า เล่าปี่จึงให้เตียวหุยออกรบด้วยโกเสง ยังมิทันได้สามเพลงเตียวหุยเอาทวนแทงถูกโกเสงตกม้าตาย พวกโจรทั้งนั้นก็แตกไป เล่าปี่ขับทหารเข้าไล่ตีพวกโจร เตียวโป้จนความคิดจึงเสกคาถาให้เปนเมฆมืดอากาศฟ้าร้องลมพายุพัดหนักฝนตกแล้ว มีคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาแต่อากาศ ทหารเล่าปี่เห็นก็ตกใจ เล่าปี่จึงให้ถอยทัพมาปรึกษากับจูฮี ๆ จึงว่าเขาทำด้วยความรู้ เราจะให้ทหารเอาของโสโครกขึ้นไปซ่อนไว้บนเขา ถ้าทำดังนี้อีกให้ทหารสาดเอาความรู้ก็จะเสื่อมไป เล่าปี่จึงให้กวนอูเตียวหุยคุมทหารคนละพัน เอาของโสโครกขึ้นไปไว้บนเขาทั้งสองข้างซึ่งกระหนาบทางที่จะรบกันนั้น ครั้นรุ่งขึ้นเตียวโป้ยกพวกโจรออกมา เล่าปี่ยกทหารออกโจมตีพวกโจร เตียวโป้จึงเสกคาถาเปนเมฆมืดฟ้าร้องลมพัดหนักฝนตก เปนคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาจากอากาศเปนอันมาก เล่าปี่เห็นก็ทำถอยทัพมา เตียวโป้ก็ขับพวกโจรไล่ทหารเล่าปี่มาถึงเขากระหนาบสองข้างทาง กวนอูเตียวหุยจึงให้ทหารเอาของโสโครกแลโลหิตสุกรสุนัขนั้นสาดไปถูกพวกโจร แลคนขี่ม้าซึ่งลงมาแต่อากาศนั้นก็กลายเปนกระดาษ ม้านั้นก็กลายเปนมัดหญ้าไป เมฆแลฝนลมนั้นก็หายสว่างไป เตียวโป้เห็นเขาแก้ความรู้ได้ก็ถอยทัพมา จูฮีเล่าปี่ยกทหารตามรบไปจนถึงเขาทั้งสองนั้น ฝ่ายกวนอูเตียวหุยซึ่งอยู่บนเขาก็ยกทหารลงรบกระหนาบทั้งสองข้าง ทัพเตียวโป้แตกหนี เล่าปี่ยกทหารตามจึงแลไปเห็นมีหนังสือชื่อเตียวโป้ เตียวโป้นั้นหนีเข้าในป่า เล่าปี่เอาเกาทัณฑ์ตามยิงถูกไหล่ซ้ายเตียวโป้ ลูกเกาทัณฑ์ติดไหล่ไป เตียวโป้จึงหนีเข้าในเมืองเยียงเซียแล้วปิดประตูเมืองไว้ จูฮีกับเล่าปี่ขับทหารเข้าล้อมเมืองไว้ แล้วจึงเกณฑ์ทหารให้ไปสืบข่าวฮองฮูสงที่ไปรบเตียวเหลียง พอม้าใช้มาบอกแก่จูฮีเล่าปี่ว่า บัดนี้ฮองฮูสงยกพลไปรบกับเตียวก๊ก ๆ ตายก่อนแล้ว เตียวเหลียงผู้น้องเตียวก๊กคุมพลออกไปรบกับฮองฮูสง ๆ รบเตียวเหลียงแตกถึงเจ็ดครั้ง ครั้งหลังฮองฮูสงฟันเตียวเหลียงตายที่เมืองโฉหยงแล้ว แลพรรคพวกเตียวเหลียงนั้นมาเข้าเกลี้ยกล่อมเปนอันมาก ฮองฮูสงจึงคุมเอาพรรคพวกเตียวก๊กกับศพเตียวก๊กขึ้นไปถวายพระเจ้าเลนเต้ ๆ จึงเลื่อนที่ให้ฮองฮูสงเปนที่ติจงกุ๋น แปลว่าทหารสำหรับรักษาพระองค์ ให้กินเมืองบุยจิ๋วด้วย แล้วฮองฮูสงกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า โลติดนั้นมีความชอบในสงคราม จะได้มีความผิดเหมือนจูฮงกราบทูลนั้นหามิได้ พระเจ้าเลนเต้จึงให้ถอดโลติดออกพ้นโทษ แล้วจะให้คงที่ดังก่อน ฝ่ายโจโฉนั้นมีความชอบจึงโปรดให้ไปกินเมืองเจลำเซียง จูฮีเล่าปี่ซึ่งล้อมเมืองเยียงเซียอยู่ รู้ว่าทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยมีความชอบให้ไปกินเมืองเปนหลายตำบล จึงเร่งทหารเข้าตีเมืองเยียงเซียจะใกล้ได้อยู่แล้ว ลำแจ้งนายทหารโจรจึงคิดอ่านกับพวกโจรทั้งปวงลอบฆ่าเตียวโป้ผู้นายเสีย แล้วตัดสีสะออกมาให้จูฮีเล่าปี่ถึงนอกเมือง ตัวนั้นก็ยอมเข้าเกลี้ยกล่อมทำราชการด้วย จูฮีมีความยินดีนัก จึงแต่งหนังสือซึ่งได้ทำราชการมีความชอบนั้นบอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้

ฝ่ายเตียวฮ่องฮั่นต๋งซุนต๋องทหารเตียวก๊ก ครั้นเตียวก๊กตายแล้วก็ซ่องสุมพวกโจรได้หลายหมื่น ยกไปเที่ยวปล้นตีบ้านเมืองเผาเสียเปนหลายเมือง ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปบอกให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ๆ จึงให้มีตราไปถึงจูฮีให้จัดทหารที่มีฝีมือยกไปจับพวกโจร จูฮีจึงจัดทหารยกไปล้อมเมืองอ้วนเซียด้านตวันออก ให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยล้อมด้านตวันตก ฝ่ายเตียวฮ่องแต่งให้ฮั่นต๋งคุมทหารออกไปรบด้านซึ่งเล่าปี่ล้อมอยู่นั้น จูฮีคุมทหารเอกสองพันเข้ารบกระหนาบ ฝ่ายพวกโจรเหลือกำลังก็หนีกลับเข้าเมือง เล่าปี่แลทหารทั้งปวงตามตีเข้าไปจนถึงเชิงกำแพงล้อมเมืองไว้รอบ พวกโจรอยู่ในเมืองขัดสนด้วยสเบียงอาหาร ฮั่นต๋งจึงใช้ทหารออกมาหาจูฮี ขอเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยจูฮี จูฮีไม่รับ เล่าปี่จึงว่าครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้ราชสมบัตินั้น เพราะมีผู้มาเข้าเกลี้ยกล่อมเปนอันมาก เหตุไฉนท่านจึงไม่รับเกลี้ยกล่อมฮั่นต๋ง จูฮีตอบว่า ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น บ้านเมืองมิได้ปรกติมีเสี้ยนหนามเปนอันมาก พระเจ้าฮั่นโกโจจึงรับเกลี้ยกล่อมคนทั้งปวง ครั้งนี้มีจลาจลแต่โจรพวกเดียว ครั้นจะเอาพวกโจรเข้าไว้ในเกลี้ยกล่อม คนทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างว่าทำผิด แลถ้ามีผู้มาปราบปรามก็จะละพยศอันร้ายเสีย นานไปก็จะรื้อทำความชั่วไปอีก เล่าปี่จึงตอบว่าควรแล้ว แลซึ่งเราล้อมเมืองไว้นี้ก็รอบทั้งสี่ด้าน เมืองก็จวนจะเสียอยู่แล้ว อันพวกโจรก็เปนชายชาติทหาร อุปมาเหมือนสุนัขจนตรอก ไหนจะนิ่งให้ทหารเราจับโดยง่าย คงจะรบเปนสามารถ ทหารเราก็จะเสียบ้าง พวกโจรก็จะเสียบ้าง เหมือนเอาพิมเสนไปแลกเกลือ ขอให้ยกทหารด้านตวันออกเสีย เปิดให้พวกโจรออกไป จึงค่อยตามจับเอาเห็นจะได้สดวก จูฮีเห็นชอบด้วย สั่งทหารให้เลิกด้านตวันออกเสียแล้วมารุมตี ฮั่นต๋งจึงยกพลหนีออกจากเมืองด้านตวันออก จูฮีเล่าปี่กวนอูเตียวหุยสี่นายคุมทหารไล่ไป แล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกฮั่นต๋งตาย ทหารทั้งนั้นก็แตกไป

จูฮีเล่าปี่กวนอูเตียวหุยสี่นายพบเตียวฮ่องซุนต๋งซึ่งเปนพวกฮั่นต๋งนั้น คุมทหารขวางหน้าเข้ารบจูฮี ๆ เห็นพลเตียวฮ่องมากนักก็ถอยกลับมา เตียวฮ่องซุนต๋งก็ไล่รบไปชิงคืนเอาเมืองได้ จูฮีก็ถอยไปตั้งค่ายมั่นทางไกลเมืองประมาณร้อยหนึ่ง จูฮีคิดจะยกเข้ารบเอาเมืองอ้วนเซียอีก พอแลไปเห็นทหารพวกหนึ่งยกมาทางตวันออก แลนายทหารซึ่งยกมานั้นชื่อซุนเกี๋ยนกิริยาเหมือนเสือ หน้าผากใหญ่หน้ายาวเกิด ณ เมืองต๋องง่อ แลซุนเกี๋ยนเมื่ออายุสิบเจ็ดปีนั้น ไปเมืองเจียนต๋องกับบิดา ครั้นถึงปากนํ้าเมืองเจียนต๋อง พบโจรสิบคนตีชิงลูกค้าเอาของมาปันกันอยู่บนบก ซุนเกี๋ยนจึงว่าแก่บิดาว่า โจรเหล่านี้หยาบช้านักข้าจะขึ้นไปจับตัวให้ได้ แล้วซุนเกี๋ยนก็เดิรขึ้นไปทำอาการดุจดังขุนนางเรียกบ่าวไพร่ทั้งปวงอื้ออึง ฝ่ายโจรสิบคนเห็นก็ตกใจทิ้งของเสียวิ่งหนีไป ซุนเกี๋ยนไล่ตามฆ่าโจรตายคนหนึ่ง เก้าคนนั้นหนีไปได้ กิตติศัพท์ทั้งนี้ก็รู้ไปถึงเจ้าเมืองเจียนต๋อง ๆ จึงเอาตัวเข้าไปตั้งให้เปนนายทหาร

อยู่มาหือฉงเปนขบถคุมพลได้หลายหมื่น ตั้งตัวเปนเจ้าชื่อว่าเจ้ายังเป๋ง แลผู้รักษาเมืองกับซุนเกี๋ยนรู้ จึงเกลี้ยกล่อมชาวเมืองซึ่งกล้าแขงได้พันเศษ จึงไปรบที่เมืองหือฉงฟันหือฉงกับลูกหือฉงตาย ผู้รักษาเมืองจึงบอกหนังสือความชอบขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้แก่ซุน เกี๋ยน ครั้นอยู่มาพวกโจรโพกผ้าเหลืองคุมพวกเพื่อนเที่ยวตีบ้านเมืองกำเริบใหญ่หลวง ขึ้น ฝ่ายซุนเกี๋ยนรู้ข่าวว่าจูฮีจะปราบโจรทั้งปวงมีความยินดีนัก จึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านชาวเมือง กับทหารเมืองอ้วนเซียทั้งสองเหล่า ได้คนประมาณพันห้าร้อยแล้วยกมา ซุนเกี๋ยนมาถึงจูฮีแล้วบอกแก่จูฮีว่าข้าพเจ้าจะขออาสาปราบโจร จูฮีมีความยินดีนัก จึงจัดทหารทั้งปวงแล้วให้เล่าปี่ยกเข้าตีด้านเหนือ ให้ซุนเกี๋ยนยกเข้าตีด้านใต้ แล้วจูฮีนั้นยกเข้าตีด้านตวันตกเมืองอ้วนเซีย ไว้ช่องแต่ด้านตวันออก แลซุนเกี๋ยนนั้นปีนกำแพงเมืองอ้วนเซียเข้าไปไล่ฟันพวกโจรบนเชิงเทินตาย ยี่สิบเศษ แลพวกโจรทั้งปวงตกใจแตกไป ฝ่ายเตียวฮ่องเห็นซุนเกี๋ยนปีนกำแพงเมืองขึ้นมาฆ่าฟันพรรคพวกตายก็โกรธ จึงขึ้นม้าถือง้าวมาจะรบด้วยซุนเกี๋ยน ๆ เห็นเตียวฮ่องขี่ม้ามาถึงริมเชิงเทิน ซุนเกี๋ยนจึงโจนด้วยกำลังไปชิงเอาง้าวได้ แล้วฟันเตียวฮ่องตกม้าตาย จับเอาม้านั้นมาขี่แล้วขับม้าไล่ฟันพวกโจรทั้งนั้นแตกตื่นไป ฝ่ายซุนต๋งเห็นจะต่อสู้ด้วยซุนเกี๋ยนมิได้ ก็ขี่ม้าพาพวกโจรทั้งนั้นจะหนีออกประตูด้านเหนือ พอเห็นเล่าปี่ตีกระหนาบเข้ามา ซุนต๋งตกใจคิดว่ากูครั้งนี้เห็นจะไม่พ้นมือเล่าปี่จะคิดเอาแต่รอดชีวิตเถิด ซุนต๋งก็ถอยเข้ามา เล่าปี่ก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกซุนต๋งตกม้าตาย ฝ่ายจูฮีเห็นก็ขับทหารทั้งปวงเข้าเมืองได้ ฆ่าพวกโจรตายประมาณหมื่นเศษ แล้วยกไปตีเมืองทั้งปวงซึ่งโจรรบได้ไว้นั้นถึงสิบสี่สิบห้าหัวเมือง แลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็ค่อยอยู่เย็นเปนสุข แล้วจูฮีก็ยกทัพกลับไปเมืองหลวง แจ้งเนื้อความแก่เสนาบดี แลเสนาบดีจึงเอาความกราบทูลแก่พระเจ้าเลนเต้ ๆ ให้ปูนบำเหน็จจูฮีให้เปนนายทหารใหญ่มีตำแหน่งเฝ้า แล้วให้เปนที่เจ้าเมืองโห้หลํ้า จูฮีจึงกราบทูลความชอบซุนเกี๋ยนกับเล่าปี่ซึ่งได้ทำการปราบโจร พระเจ้าเลนเต้ให้ซุนเกี๋ยนไปเปนกรมการหัวเมือง แต่เล่าปี่นั้นมิได้ตรัสประการใด แต่เล่าปี่คอยท่าบำเหน็จอยู่ในเมืองหลวงนั้นประมาณเดือนเศษ มิได้สมความปราถนาก็เสียนํ้าใจนัก

[๑] เรื่องห้องสิน
[๒] เรื่องไซ่ฮั่น
[๓] เรื่องตั้งฮั่น
[๔] ตามฉบับไทยมีชื่อขันทีเพียง ๙ คน สอบฉบับจีนได้ชื่อ “เชียกง” อีกคน ๑ จึงรวมเต็ม ๑๐ คน

เนื้อเพลง