นิราศพระประธม เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ สันนิษฐานว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 หลังจากลาสิกขาบทแล้วและอยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ สุนทรภู่น่าจะเดินทางในช่วงฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2385 ด้วยปรากฏในบทนิราศว่าเดินทางไปโดยการพายเรือ ซึ่งควรต้องไปในฤดูน้ำขึ้น ต้นฉบับสมุดไทยนิราศพระประธม จำนวน 4 ฉบับ เก็บรักษาที่หอสมุดแห่งชาติ มีความแตกต่างทางระดับถ้อยคำและบางแห่งมีความแตกต่างในหลายคำกลอน
เนื้อหาโดยย่อ และเส้นทางการเดินทาง
นิราศพระประธมกล่าวถึงการเดินทางของสุนทรภู่และบุตรชายคือตาบและนิลไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เดินทางทางเรือออกจากบริเวณพระราชวังเดิมผ่านสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ วัดระฆัง คลองบางกอกน้อย ผ่านตลาดแพ พระราชวังหลังสถานที่ที่สุนทรภู่เคยรับราชการ บางหว้าน้อย วัดสุวรรณารามราชวรวิหารเป็นสถานที่ทำศพของฉิมและนิ่มน้องสาวต่างบิดาของสุนทรภู่ วัดศรีสุดารามวรวิหาร สถานที่ที่กวีเคยบวชอยู่
จังหวัดนนทบุรี เดินทางผ่านบางสนาม วัดเกด วัดชลอ บางกรวย บางสีทอง บางอ้อช้าง วัดสักใหญ่ บางขนุน บางขุนกอง บางนายไก บางระนก บางคูเวียง บางม่วง บางใหญ่ บางกระบือ บางสุนัขบ้า บางโสน บ้านใหม่ธงทอง คลองโยง บางเชือก เข้าจังหวัดนครปฐม เดินทางผ่านลานตากฟ้า งิ้วราย สำประทวน ปากน้ำสำประโทน บางแก้ว โพเตี้ย บางกระชับ วัดสิงห์ วัดท่าใน ต่อจากนั้นได้นั่งเกวียนต่อไปบ้านกล้วย บ้านธรรมศาลา บ้านเพนียด และพระปฐมเจดีย์
๏ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ | |
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ | พอฆ้องย่ำยามสองกลองประโคม |
น้ำค้างย้อยพร้อยพรมเปนลมว่าว | อนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม |
มาสูญเหมือนเดือนดับพยับโพยม | ให้ทุกขโทมนัสในฤทัยครวญ |
โอ้น่าหนาวคราวนี้เปนที่สุด | จะจากนุชแนบข้างไปห่างหวน |
นิราศร้างห่างเหให้เรรวน | มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน |
ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ | ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น |
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน | ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ |
ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่ | ไปสิงสู่เสน่หานางเสาหงส์ |
จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง | ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย |
วัดระฆังตั้งแต่เสร็จสำเร็จศพ | ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย |
โอ้แลเหลียวเปลี่ยวใจกระไรเลย | มาชวดเชยโฉมหอมถนอมนวล |
จนนาวาคลาล่องเข้าคลองขวาง | ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน |
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพรวน | แต่แลล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว |
ทุกเรือนแพแลลับระงับเงียบ | ยิ่งเย็นเยียบยามดึกให้นึกหนาว |
ในอากาศกลาดเกลื่อนด้วยเดือนดาว | เปนลมว่าวเฉื่อยฉิวหวิวหัวใจ |
โอ้บางกอกกอกเลือดให้เหือดโรค | อันความโศกนี้จะกอกออกที่ไหน |
แม้นได้แก้วแววตามายาใจ | แล้วก็ไม่พักกอกดอกจริงจริง |
ดูวังหลังยังไม่ลืมที่ปลื้มจิต | เคยมีมิตรมากมายทั้งชายหญิง |
เมื่อยามดึกนึกถึงที่พึ่งพิง | อนาถนิ่งนึกน่าน้ำตานอง |
บางว้าน้อยน้อยจิตรด้วยพิสมัย | น้อยฤๅใจจืดจางให้หมางหมอง |
หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้อง | ให้เจ้าของขายหน้าทั้งตาปี |
ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบ | เย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี |
สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารี | มาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน |
ขอบุญญานิสงส์จำนงสนอง | ช่วยส่งสองศรีสวัสดิ์ไปปฏิสนธิ์ |
ศิวาลัยไตรภพจบสกล | ประจวบจนจะได้พบประสบกัน |
ทั้งแก้วเนตรเกสรามณฑาทิพย์ | จงลอยลิบลุล่วงถึงสรวงสวรรค์ |
จะเกิดไหนได้อยู่คู่ชีวัน | อย่ามีอันตรายเปนเหมือนเช่นนี้ ฯ |
๏ วัดปะขาวขาวเหลือเชื่อไม่ได้ | ด้วยดวงใจเจ้านั้นคล้ำดำมิดหมี |
แม้นแม่ม่ายขาวโศกโฉลกมี | เหมือนแม่ศรีสาครฉะอ้อนเอว |
โอ้เคราะห์กรรมจำคลาศนิราศร้าง | เพราะขัดขวางความในเหมือนไขว่เฉลว |
ทั้งเกลียดสิ้นนินทาพาลาเลว | เหมือนต้องเปลวปลิวต้องให้หมองมอม |
เสียดายแต่แม่ศรีเจ้าพี่เอ๋ย | จะชวดเชยชวดชมภิรมย์ถนอม |
เหมือนดอกไม้ไกลแดนเพราะแตนตอม | ใครแปลงปลอมปลิดสอยมันต่อยตาย ฯ |
๏ บางตำรุเหมือนบำรุบำรุงรัก | จะพึ่งพักพิศวาสเหมือนมาทหมาย |
ไม่เหมือนนึกตรึกตรองเพราะสองราย | เห็นฝักฝ่ายเฟือนลงด้วยทรงโลม |
พอสิ้นแพแลล้วนสวนสงัด | พยุพัดฮือฮือกระพือโหม |
ยิ่งดึกดาววาววามดังตามโคม | น้ำค้างโทรมแสนหนาวให้เปล่าใจ |
บางขุนนนต้นลำภูดูหิ่งห้อย | เหมือนเพ็ชรพลอยพรายพร่างสว่างไสว |
จังหรีดร้องซร้องเสียงเรียงเรไร | จะแลไหนเงียบเหงาทุกเหย้าเรือน |
บางระมาดมาทหมายสายสวาท | ว่าสมมาทเหมือนใจแล้วไม่เหมือน |
แสนสวาทมาทหมายมาหลายเดือน | มิคลาเคลื่อนแคล้วคลาศประหลาดใจ |
วัดไก่เตี้ยไม่เห็นไก่เห็นไทรต่ำ | กอระกำแกมสละขึ้นไสว |
หอมระกำก็ยิ่งช้ำระกำใจ | ระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำทรวง |
ถึงวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก | เหลือจักหักจับต้องเปนของหลวง |
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง | ระรื่นร่วงเรณูฟูขจร |
โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าเสาวรส | ยังปรากฎกลิ่นกล่อมหอมเกสร |
แต่โกสุมภุมรินมาบินวอน | ไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย |
ดึกกำดัดสัตว์อื่นไม่ตื่นหมด | แต่นกกดร้องเร้ากระเหว่าโหย |
ระรวยรินกลิ่นโศกมาโบกโบย | โอ้โศกโรยแรมร้างมาห่างจร |
ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง | เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสลอน |
ทำยศอย่างขวางแขวนแสนแสงอน | ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย |
วัดพิกุลฉุนกลิ่นระรินรื่น | โอ้หอมชื่นเชยกับรสแป้งสดใส |
เหมือนพิกุลอุ่นทรวงพวงมาไลย | พี่เคยใส่หัตถ์หอมถนอมนวล |
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น | มาหอมรื่นแต่ดอกไม้ที่ในสวน |
พระพายโชยโรยรินกลิ่นลำดวน | เหมือนจะชวนชูใจเมื่อไกลเชย |
บางผักหนามนึกขามแต่หนามเสี้ยน | หนามทุเรียนลักฉีกอีกเจ้าเอ๋ย |
ที่กีดขวางทางความแต่หนามเตย | ไม่น่าเชยน่าชังล้วนรังแตน |
ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสวาท | มาสิ้นชาติปรโลกยิ่งโศกแสน |
ไปสวรรค์ชั้นบนคนละแดน | ไม่ร่วมแผ่นภพโลกยิ่งโศกใจ |
ถึงวัดเกษเจตนาแต่การะเกษ | ไม่สมเจตนาน่าน้ำตาไหล |
เคยลับเนตรเกษน้อยกลอยฤทัย | มาจำไกลกลืนกลั้นที่รัญจวน |
น้ำค้างพรมลมชายระบายโบก | หอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหวน |
เหมือนโศกร้างห่างเหเสน่ห์นวล | มาถึงสวนโศกช้ำระกำทรวง |
เห็นรักน้ำคร่ำคร่าไม่น่ารัก | จะเด็จหักเสียก็ได้เขาไม่หวง |
แต่ละต้นผลลูกดังผูกพวง | ก็โรยร่วงเปล่าหมดไม่งดงาม |
เหมือนรักคนคนรักทำยักยอก | จะเก็บดอกเด็จผลคนก็ขาม |
แม้นยางลูกถูกหัดถ์มันกัดลาม | เหมือนรำรามรักรายริมชายพง |
วัดฉะลอใครหนอฉะลอฉลาด | เอาอาวาสมาไว้ให้อาศรัยสงฆ์ |
ช่วยฉะลอวรลักษณ์ที่รักทรง | ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน |
ถนอมแนบแอบอุ้มประทุมน้อย | แขนจะคอยเคียงวางไว้ต่างหมอน |
เมื่อปลื้มใจไสยาอนาทร | จะกล่าวกลอนกล่อมขนิษฐให้นิทรา |
เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิตร | ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา |
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา | โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี |
แต่ก่อนกรรมนำสัตว์ให้พลัดพราก | จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี |
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้ | เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา |
สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำ | ด้วยเปนกำพร้าแม่ชะแง้หา |
เขม้นมองคลองบ้านดูมารดา | เช็ดน้ำตาโทรมทราบลงกราบกราน |
ยิ่งตรองตรึกดึกดื่นสอื้นอั้น | จนไก่ขันเจื้อยเจ๊กวิเวกหวาน |
เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเนียกนาน | เจียนจะขานหลงแลฉแง้คอย |
บางศรีทองคลองบ้านน้ำตาลสด | อร่อยรสซาบซ่านหวานคอหอย |
เหมือนปากพี่ศรีทองของน้องน้อย | เปนคู่บอกดอกสร้อยสักระวา |
ทุกวันนี้พี่เถ้าเราก็หง่อม | เธอเปนจอมเราเปนจนต้องบ่นหา |
โอ้จอมพี่ศรีทองของน้องยา | เมื่อไรจะพาพิมน้อยมากลอยใจ |
บางอ้อยช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลง | มาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล |
พี่คลาศแคล้วแก้วตาให้อาไลย | เหมือนอกไอยราร้างฝูงนางพัง |
พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง | ประสานซ้องเซงแซ่ดังแตรสังข์ |
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงดัง | เหมือนชาววังหวีดเสียงสำเนียงนวล |
อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน |
หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวน | เหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งอาบทรวง |
โอ้บุบผาสารพัดที่กลัดกลีบ | ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง |
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง | ได้ทราบทรวงเสาวรสไม่อดออม |
แต่ดอกฟ้าสาหรีเจ้าพี่เอ๋ย | มิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่หอม |
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสให้มดตอม | จนหายหอมแห้งกรอกเหมือนดอกกลอย |
ถึงวัดสักเหมือนหนึ่งรักที่ศักดิ์สูง | ยิ่งกว่าฝูงเขาเหิรเห็นเกินสอย |
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย | จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง |
บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง | ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ |
เปนเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง | แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม |
สุดาใดได้เปนเพื่อนอย่าเหมือนพี่ | เหมือนมณีนพรัตนฉัตรเฉลิม |
อันน้ำในใจรักช่วยตักเติม | ให้พูลเพิ่มพิศวาสอย่าคลาศคลาย |
บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้ | ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนหมั่นหมาย |
ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย | เปนเลิศชายเชี่ยวชาญการวิชา |
ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร | สมสนิทนางจรเข้เสน่หา |
เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องยา | จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน |
ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่ | แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน |
ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล | มาด้วยกันนั้นทั้งคู่ที่อยู่ริม |
คงร่วมเรือเมื่อว่าตื่นสอื้นอ้อน | จะคอยช้อนโฉมอุ้มไม่หยุมหยิม |
ให้แย้มสรวลชวนเสบยเฝ้าเชยชิม | กว่าจะอิ่มอกแอบแนบนิทรา |
บางคูเวียงเสียงเงียบเชียบสงัด | เปนจังหวัดแถวสวนล้วนพฤกษา |
ดูรูปนางบางคูเวียงเหมือนเหนี่ยงนา | ไม่เหมือนหน้านางนั่งในวังเวียง |
เห็นโรงหีบหีบอ้อยเขาคอยป้อน | มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง |
เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่วางเรียง | โอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์ |
อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนทับอก | น้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาตวงกว่าขัน |
เขาโหมไฟในโรงโขมงควัน | ให้อัดอั้นอกกลุ้มรุมระกำ |
อันน้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อย | ข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ |
ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำ | นั้นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือ |
ถึงบางม่วงง่วงจิตรคิดถึงม่วง | แต่จากทรวงเสียใจอาลัยเหลือ |
มะม่วงงอมหอมหวนเหมือนนวลเนื้อ | มิรู้เบื่อบางม่วงเหมือนดวงใจ |
เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด | เปนรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว |
เหมือนตัดรักตัดสวาทขาดอาลัย | ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วนะแก้วตา |
ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับ | เข้าเคียงกับกิ่งรักไม่หักหา |
เมื่อกินเข้าเขาก็หักใบรักมา | จิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม |
อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่าง | เปรียบเหมือนอย่างเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม |
อยากรู้จักรักใคร่พึ่งได้ชิม | ชอบแต่จิ้มปลาร้าจึงพารวย |
โอ้รักต้นคนรักเขาหักให้ | ไม่ตัดได้เด็จรักไม่พักฉวย |
แต่รักน้องต้องประสงค์ถึงงงงวย | ใครไม่ช่วยชักนำสู้กล้ำกลืน |
เสพย์อาหารหวานคาวเมื่อคราวยาก | ล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น |
แต่มะแป้นแกนในจะไปคืน | ของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา |
แต่สิ่งของน้องรักฟักจันอับ | แช่อิ่มพลับผลชิดเปนปฤษณา |
พี่จะจากฝากปิดสนิทมา | เหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ |
แผ่นขนุนวุ้นแท่งของแห้งสิ้น | แต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ |
ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือ | เพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา |
แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลยล่อง | ไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา |
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา | สอื้นอาลัยถึงคนึงนวล |
แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้ | จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน |
ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวน | ชมลำดวนดอกซ่มต้นนมนาง |
ที่ริมน้ำง้ำเงื้อมจะเอื้อมหัก | เอายอดรักให้น้องเมื่อหมองหมาง |
ไม่เหมือนหมายสายสวาทมาขาดกลาง | โอ้อ้างว้างวิญญาในสาคร |
บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อย่าน | แสนสงสารสัตว์นาฝูงกาษร |
ลงปลักเปือกเกลือกเลนระเนนนอน | เหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน |
โอ้อกพี่นี้ก็ร้อนด้วยความรัก | ถึงฝนสักแสนห่าไม่ฝ่าฝืน |
ไม่เหมือนรสพจมาลย์เมื่อวานซืน | จะชูชื่นใจพี่ด้วยปรีดิ์เปรม |
โอ้เปรียบชายคล้ายนกวิหคน้อย | จะเลื่อนลอยลงสรงกับหงส์เหม |
ได้ใกล้เคียงเมียงริมจะอิ่มเอม | แสนเกษมสุดสวาทไม่คลาศคลาย |
ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้า | เหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย |
เปนบ้าจิตรคิดแค้นด้วยแสนร้าย | ใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน |
ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสน | สอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน |
โสนออกดอกระย้าริมสาชล | บ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ |
_แต่ต้นกระเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิง | เบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน |
เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโก | ถึงแสนโซสุดคิดไม่ติดตาม |
พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาท | ขึ้นพันพาดเพ่งพิศให้คิดขาม |
ชื่อสวาทพาดเพราะเสนาะนาม | แต่ว่าหนามรกระเกะระกะกาง |
สวาทต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ย | ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง |
แต่ชั้นลูกถูกต้องเปนกองกลาง | เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา |
ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้ง | ด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา |
ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดา | สันตวาสายติ่งต้นลินจง |
ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัด | ที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์ |
ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรง | เหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน |
ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะ | ไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร |
นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจน | เฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย |
ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามก | เที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย |
เปนทุ่งนาป่าไม้ร่ำไรราย | พวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง |
ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | น่าสำราญเรียงรันควันโขมง |
ถึงฉวากปากช่องชื่อคลองโยง | เปนทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ |
มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือก | ล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว |
ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไป | ที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย |
เวทนากาษรสู้ถอนถีบ | เขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย |
ถึงแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกาย | อย่าเปนควายรับจ้างที่ทางโยง |
ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง | เขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง |
เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง | ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน |
ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืด | บรรพตพืดภูผาพนาสิน |
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | ตามที่ถิ่นเขตรแคว้นทุกแดนดาว |
บ้างเดิรดินบินว่อนขึ้นร่อนร้อง | ริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว |
ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาว | อีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว |
กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาด | ไม่คลาคลาศคลอเคลียเหมือนเมียผัว |
มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัว | เที่ยวเดิรยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา |
นกกระจาบขาบคุ่มอีลุ้มร่อน | ดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา |
เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลา | นกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิร |
โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาด | ยามนิราศเริศร้างมาห่างเหิน |
เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลิน | ส่วนเรือเดิรด่วนไปใจจะคืน |
จะออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้าน | เขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น |
โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้น | น่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ |
เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำ | ใครช่างด้ำยกฟ้าขึ้นมาได้ |
แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราไลย | จะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย |
โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบ | ต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย |
ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วราย | สอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว |
งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มเมื่อพริ้มพักตร์ | ดูน่ารักเรือนผมก็สมผิว |
แสนสุภาพกราบก้มประนมนิ้ว | เหมือนโฉมงิ้วงามราวกับชาววัง |
ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิตร | เหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง |
ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบัง | เปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง |
ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่ง | เจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง |
มีรางรองสองชั้นทำคันโพง | ผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม |
น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้อง | มีเงินทองทำทวีภาษีเสริม |
เมียน้อยน้อยพลอยเปนสุขไรจุกเจิม | ได้พูลเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย |
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือ | เหมือนเราฤๅเขาจะรักมิผลักไส |
สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจ | จนเข้าในปากน้ำสำประโทน |
ริมลำคลองสองฝั่งสพรั่งพฤกษ์ | พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น |
นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจน | กระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย |
บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่ | กระลุมภูโพระโดกเสียงโหวกโหวย |
วิเวกใจได้ยินยิ่งดิ้นโดย | ละห้อยโหยหาน้องในคลองลัด |
พอมืดมนฝนคลุ้มฉอุ่มอับ | โพยมพยับเปนพยุระบุระบัด |
เสียงลมลั่นบันลือกระพือพัด | พิรุณซัดสาดสายลงพรายพราว |
ฟ้ากระหึมครึมครั่นให้ปั่นป่วน | เหมือนพี่ครวญคราวทนน้ำฝนหนาว |
แวมสว่างอย่างแก้วดูแวววาว | เปนเรื่องราวรามสูรอาดูรทรวง |
เพราะนางเอกเมขลาหล่อนฬ่อแก้ว | จะให้แล้วแล้วไม่ให้ด้วยใจหวง |
เหมือนรักแก้วแววฟ้าสุดาดวง | เฝ้าหนักหน่วงนึกเหมือนจะเคลื่อนคลา |
ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสน | ไม่เหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา |
ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตา | ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน |
จนเกินย่านบ้านคลองที่ท้องทุ่ง | เปนเขตรคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์ |
ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควัน | เปนสำคัญเขตรโขดโตนดตาล |
ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าว | แต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน |
เปนเรื่องราวจ้าวฟ้าพระยาภาน | มาสังหารพระยากงส์องค์บิดา |
แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่ | พะเอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา |
อันเท็จจริงสิ่งใดเปนไกลตา | เขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง |
ที่ท้ายบ้านศาลจ้าวของชาวบ้าน | บวงสรวงศาลจ้าวผีบายศรีตั้ง |
เห็นคนทรงปลงจิตรอนิจจัง | ให้คนทั้งปวงหลงลงอบาย |
ซึ่งคำปดมดท้าวว่าจ้าวช่วย | ไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย |
อันจ้าวผีนี้ถึงรับก็กลับกลาย | ถือจ้าวนายที่ได้พึ่งจึงจะดี |
แต่บ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขา | ไม่มีจ้าวนายจึงต้องพึ่งผี |
เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดี | ไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา |
บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลัง | กำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา |
วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมา | ไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป |
แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาศคู่ | สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล |
เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนไทย | ดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร |
ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่ | แต่ใจนี้พี่ไปสิงมิ่งสมร |
ถึงตัวจากพรากพลัดกำจัดจร | ยังอาวรณ์หวังเสน่ห์ทุกเวลา |
ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่น | สำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา |
คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาศคลา | จะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเครือ |
ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูก | น้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ |
กล้วยหากมุกสุกห่ามอร่ามเครือ | อยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา |
คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้ | จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา |
สอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลา | สกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง |
บ้างเริงร้องซร้องแซร่กรอแกรกรีด | หวิวหวิวหวีดเวทนาภาษาเสียง |
ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ่อนเอียง | บ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ |
เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้า | เหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห |
หวนสอื้นฝืนใจอาไลยแล | ได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ |
ตวันรอนอ่อนอับพยับแสง | ดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล |
ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาไลย | ค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญา |
พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศ | กระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวลา |
โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้า | เทวดายังช่วยรับประคับประคอง |
มนุษย์ฤๅถือดีว่ามีศักดิ์ | มิรับรักเริศร้างให้หมางหมอง |
ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้อง | จึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป |
น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว | หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว |
เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ | ให้ทราบในทรวงช้ำสู่กล้ำกลืน |
โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยาก | สุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน |
แม้นงิ้วเปนเช่นงารเมื่อวานซืน | จะชูชื่นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ |
โอ้ดูเดือนเหมือนได้ยลวิมลพักตร | ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน |
กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวน | คนึงหวลนิ่งนอนอ่อนกำลัง |
ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำ | เปนโรงธรรมภาคย์สร้างแต่ปางหลัง |
เดชะคำทำคุณการุณัง | เปนที่ตั้งวาสนาให้ถาวร |
ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาศเคลื่อน | ให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร |
หนังสือไทยอธิษฐานสารสุนทร | จงถาพรเพิ่มรักเปนหลักโลม |
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | ให้ละห้อยหวลเห็นเหมือนเช่นโฉม |
พอมืดมนฝนพยับอับโพยม | ทรวงจะโทรมเสียเพราะรักที่หนักทรวง |
ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเปนเนินสูง | ที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง |
เหตุเพราะนางช้างต่อไปฬ่อลวง | พลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง |
โอ้อกเพื่อนเหมือนหนึ่งชายที่หมายมาท | แสนสวาทหวังงามมาตามโขลง |
ต้องติดบ่วงห่วงรักชักฉะโลง | เสียดายโป่งป่าเขาคิดเศร้าใจ |
เข้าจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้าง | มีโรงร้างไร่ฝาเข้าอาศรัย |
พอประทังบังฝนใต้ต้นไทร | พวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ |
แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่าง | น้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ |
โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือ | เหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้า | พออุ่นอารมณระงับได้หลับไหล |
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ | แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม |
สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า | แต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึม |
ไม่เห็นหนต้นไม้พระไทรครึม | เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคนอง |
ทั้งเปรตผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด | จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง |
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง | แม่ม่ายลองในเพราะเสนาะใน |
สงสารแต่แม่ม่ายสายสวาท | นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล |
อ่านหนังสือฤๅว่าน้องจะลองใน | เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว |
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง | ไปร่วมห้องหายม่ายทั้งหายหนาว |
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวเข้าเหนียวลาว | ลืมเข้าจ้าวเจ้าประคุณที่คุ้นเคย |
โอ้คิดอื่นหมื่นแสนไม่แม่นเหมือน | ที่ร่วมเรือนร่วมเตียงเคียงเขนย |
สงัดเสียงเที่ยงคืนเคยชื่นเชย | เมื่อไรเลยจะคืนมาชื่นใจ |
จวนจะหลับกลับฝันว่าขวัญอ่อน | แนบฉอ้อนอุ่นจิตรพิสมัย |
พี่เคยเห็นเช่นเคยเชยฉันใด | จนชั้นไฝที่ริมปากไม่อยากเฟือน |
พอฟื้นกายหายรูปให้งูบง่วง | กำสรดทรวงเสียใจใครจะเหมือน |
ยังมิคุ้นอุ่นจิตรไม่บิดเบือน | มาเปนเพื่อนทุกข์ยากเมื่อจากจร |
ยังเหลือแต่แพรสีที่พี่ห่ม | ขึ้นประธมจะถวายให้สายสมร |
แม้นโฉมงามตามมาจะพาจร | เมอขวัญอ่อนขึ้นไปชมประธมทอง |
โอ้ยามสามยามจากเคยฝากรัก | ได้ฟูมฟักแฝงเฝ้าเปนเจ้าของ |
มาสูญขาดวาสนาน้ำตานอง | มิได้น้องแนบเชยเหมือนเคยเคียง |
พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้น | ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง |
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง | สนั่นเพียงพิณพาทย์ระนาดประโคม |
กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสร | ทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม |
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม | พื้นโพยมแย้มสว่างกระจ่างตา |
เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่น | ยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา |
กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธา | ขึ้นเดิรป่าไปตามทางเสียงวางเวง |
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะ | ค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง |
เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครง | ให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว |
ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่าง | น้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว |
หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยว | พากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว |
พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่น | กระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว |
สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราว | เวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา |
เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบ | จับประจบหกล้มสมน้ำหน้า |
สนุกในไพรพนัศรัถยา | ทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน |
ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ | สูงทายาดอยู่สันโดษบนโขดเขิน |
แลทะมึนทึ่นเทิ่งดังเชิงเทิน | เปนโขดเนินสูงเสริมเขาเพิ่มพูล |
ประกอบก่อย่อมุมมีซุ้มมุข | บุดีบุกบันจบถึงนพสูญ |
เปนพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน | จงเพิ่มพูลพิสดารอยู่นานครัน |
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวลอบขอบข้างล่าง | ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน |
สพรั่งต้นคนทาลัดดาวัล | ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ |
เห็นห้องหับลับลี้เปนที่สงฆ์ | เที่ยวธุดงค์เดิรมาได้อาศรัย |
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ | ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน |
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน | ถึงมาทแม้นบรรไลยคงไปสวรรค์ |
ต่างอุส่าห์พยายามต้องตามกัน | ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตรใจมา ฯ |
สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น | ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา |
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา | ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี |
ได้สามรอบชอบธรรมเปนกำหนด | กราบประณตกรประนมก้มเกษี |
ถวายธูปเทียนบุบผาสุมาลี | กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน |
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว | จงผ่องแผ้วผิวพักตรถึงมรรคผล |
ให้ผาสุกทุกสมรอย่าร้อนรน | ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา |
ฉันรับฝากอยากจะใคร่ได้เปนญาติ | ทุกทุกชาติไปอย่าขาดเหมือนปราถนา |
ให้รักใคร่ไปทุกวันเห็นทันตา | ไปเบื้องหน้านั้นขอให้บริบูรณ์ |
สาธุสะพระประธมบรมธาตุ | จงทรงสาสนาอยู่ไม่รู้สูญ |
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล | ให้เพิ่มพูลสมประโยชน์โพธิญาณ |
หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ | ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน |
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักระวาฬ | พระทรงสารศรีเศวตเกษกุญชร |
อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง | แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร |
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน | ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงฦๅชา |
อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด | ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปราถนา |
ข้างนอกนวลส่วนข้างในใจสุดา | เหมือนปลาร้าร้ายกาจอุจาดจริง |
ถึงรูปชั่วตัวดำระยำยาก | รู้รักปากรักหน้าประสาหญิง |
ถึงปากแหว่งแข้งคอดไม่ทอดทิ้ง | จะรักยิ่งยอดรักให้หนักครัน |
จนแก่กกงกเงิ่นเดินไม่รอด | จะสู้กอดแก้วตาจนอาสัญ |
อันหญิงลิงหญิงค่างหญิงอย่างนั้น | ไม่ผูกพันพิศวาสให้คลาศคลา |
ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ | ซึ่งเราทรงศักราชพระสาสนา |
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา | เหมือนในอารมณรักประจักษ์ใจ |
หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส | ซึ่งสิ้นชาติชนม์ภพสบสมัย |
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป | ถึงห้องไตรตรึงศ์สถานพิมานแมน |
ที่ยังอยู่คู่เคยไม่เชยอื่น | จงปรากฏยศยืนกว่าหมื่นแสน |
มั่งมีมิตรพิศวาสอย่าขาดแคลน | ให้หายแค้นเคืองทั่วทุกตัวคน |
นารีใดที่ได้รักแต่ลักลอบ | เสน่ห์มอบหมายรักเปนพักผล |
พะเอินขัดพลัดพรากเพราะยากจน | แบ่งกุศลส่งสุดาทุกนารี |
ให้ได้คู่สู่สมภิรมย์รัก | ที่สมศักดิ์สมหน้าเปนราศี |
สืบสกูลพูลสวัสดิ์ในปถพี | ร่วมชีวีกันสองคนไปจนตาย |
แต่นารีขี้ปดโต้หลดหลอก | ให้ออกดอกเหมือนวี่วันที่มั่นหมาย |
ทั้งลิ้นน้องสองลิ้นเพราะหมิ่นชาย | เปนแม่ม่ายเท้งเต้งวังเวงใจ |
ที่จงจิตรพิศวาสอย่าคลาศเคลื่อน | ให้ได้เหมือนหมายมิตรพิสมัย |
อย่าหมองหมางห่างเหเสน่ห์ใน | ได้รักใคร่ครองกันจนวันตาย |
เปนคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ | สรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย |
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย | จะกลับกลายเปนไฉนอย่าไกลกัน |
แม้นเปนไม้ให้พี่นี้เปนนก | ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์ |
แม้นเปนนารีผลวิมลจันทร | ขอให้ฉันเปนพระยาวิชาธร |
แม้นเปนบัวตัวพี่เปนแมงภู่ | ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร |
เปนวารีพี่หวังเปนมังกร | ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา |
แม้นเปนถ้ำน้ำใจใคร่เปนหงส์ | จะได้ลงสิงสู่ในคูหา |
แม้นเนื้อเย็นเปนเทพธิดา | พี่ขออาศรัยเสน่ห์เปนเทวัญ |
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์ | เปนสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ |
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลย์นานอนันต์ | เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร |
โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก | ที่เคยรักเคยเคียงเคยเรียงหมอน |
มาวายวางกลางชาติถึงขาดรอน | ให้ทุกข์ร้อนรนร่ำระกำตรอม |
ยังเหลือแต่แพรชมภูของคู่ชื่น | ทุกค่ำคืนเคยชมได้ห่มหอม |
พี่ย้อมเหลืองเปลื้องปลดสู้อดออม | เอาคลุมห้อมหุ้มห่มประธมทอง |
กับแหวนนางต่างหน้าบูชาพระ | สาธุสะถึงเขาผู้เจ้าของ |
ได้บรรจงทรงเครื่องให้เรืองรอง | เหมือนรูปทองธรรมชาติสอาดตา |
แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ | เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา |
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา | ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร |
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม | ด้วยยืนเยี่ยมสูงกว่าปฤกษาไสว |
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร | แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง |
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา | ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง |
ภูเขาเคียงเรียงรอบเปนขอบวง | ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง |
ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียน | เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูด้วยอยู่สูง |
เขาต้อนควายหวายผูกจมูกจูง | เปนฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา |
ในอากาศดาษดูล้วนหมู่นก | บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา |
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา | สอื้นอาไลยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ |
บนประธมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น | กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว |
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป | อนาถใจจนสอื้นกลืนน้ำตา |
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิวเมฆ | ดังฉัตรเฉกชื่นชุมพุ่มพฤกษา |
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา | เธอแอบอาศรัยสถานพิมานงิ้ว |
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร | รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว |
ฉิมพะลีปลีอ่อนเกสรปลิว | มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ |
โอ้ยามจนอ้นอั้นกระศัลย์สวาท | คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล |
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร | พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร |
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง | เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน |
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน | สุดประมาณหมายหน้าในตาลาย |
แล้วลาพระจะลงดูตรงโตรก | สูงฉะโงกเงื้อมไม้จิตรใจหมาย |
เมื่อขึ้นนั้นคั่นกระไดขึ้นง่ายดาย | จะลงเห็นเปนว่าหงายวุ่นวายใจ |
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น | ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน |
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาไลย | ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง |
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ | มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง |
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง | มีต่างต่างตันอกตกตลึง |
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้ | เหมือนเตือนใจจะให้นึกลำฦกถึง |
เห็นเล็บนางหมางเมินเดิรรำพึง | ชมกระทึงดอกดวงพวงพยอม |
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นชะแล่ม | ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม |
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอม | แต่แตนตอมต่อผึ้งฮึงฮึงฮือ |
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน | เที่ยวเดิรเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ |
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ | มันบินรื้อร่อนลงเข้าดงดอน |
ทั้งสระมีสี่มุมประทุมชาติ | ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน |
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร | หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย |
มีเต่าปลาอาศรัยอยู่ในน้ำ | บ้างผุดดำโดดคนองพ่นฟองฝอย |
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย | จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน |
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น | ให้เวียนวนหวั่นหจิตรตะขวิดตะเขวียน |
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร | เที่ยวเดิรเวียนวนชมประธมทอง |
โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน | มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง |
หลับพระเนตรเกษเกยเขนยทอง | ดูผุดผ่องพูลเพิ่มเติมศรัทธา |
โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม | เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกษา |
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา | พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น |
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ | มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น |
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเปน | มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน |
กราบพระเจ้าเศร้าจิตรคิดสังเวช | โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล |
สารพัดตัดขาดประหลาดใจ | ตัดอาไลยตัดสวาทไม่ขาดความ |
แกล้งพูดพาตาเถ้าพวกชาวบ้าน | คนโบราณรับไปได้ไถ่ถาม |
เห็นรูปหินศิลาสง่างาม | เปนรูปสามกระษัตริย์ขัติยวงศ์ |
ถามผู้เถ้าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้ทราบความตามประสงค์ |
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์ | พระยากงส์พระยาภาณกับมารดา |
ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราช | เรียงพระญาติพระยากงส์สืบวงศา |
เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา | กระทบหน้าแต่น้อยๆเปนรอยพาน |
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง | ผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ |
พระยากงส์ส่งไปให้นายพราน | ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย |
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยง | แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย |
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย | ลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง |
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาว | แกเปนชาวเชิงพนมอาคมขลัง |
รู้ผูกหญ้าผ้าภาพยนต์มนต์จังงัง | มีกำลังฦๅฤทธิ์พิสดาร |
พระยากงส์ลงมาจับก็รับรบ | ตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร |
ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาภาณ | จึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ |
เข้าหาพระมเหษีเห็นมีแผล | จึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ |
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ | ด้วยคราวนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน |
ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด | ด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล |
เธอโกรธาฆ่ายายนั้นวายชนม์ | จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน |
แทนคุณตามความรักแต่หักว่า | ต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร |
ที่ยายตายหมายปักเปนหลักประโคน | แต่ก่อนโพ้นพ้นมาเปนช้านาน |
จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอม | ด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน |
ครั้นเสร็จสรรพ์กลับมาหาอาจารย์ | เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศิลา |
จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบ | ปลงพระศพพระยากงส์พร้อมวงศา |
แล้วปลดเปลื้องเครื่องกระษัตริยขัติยา | ของบิดามารดรแต่ก่อนกาล |
กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้ | ที่ถ้ำใต้เนินพนมประสมสถาน |
จึงเลื่องฦๅชื่อว่าพระยาภาณ | คู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง |
ท่านผู้เถ้าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง |
ด้วยเลื่อมใสในจิตร์คิดประคอง | ให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม |
ก็จนใจได้แต่ทำคำหนังสือ | ช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม |
ให้ฦๅชาปรากฏได้งดงาม | พอเปนความชอบบ้างในทางบุญ |
ถ้าขัดเคืองเบื้องหน้าขออานิสงส์ | สิ่งนี้จงจานเจือช่วยเกื้อหนุน |
ทั้งแก้วเนตรเชษฐาให้การุญ | อย่าเคืองขุ่นข้องขัดถึงตัดรอน |
แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหิน | ตรวจวารินรดทำคำอักษร |
ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพร | ถึงบิดรมารดาคุณอาจารย์ |
ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศ | ทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร |
เสด็จถึงซึ่งบุรีนีรพาน | เคยโปรดปรานเปรียบเปี่ยมได้เทียมคน |
สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ามาเปล่าอก | น้ำตาตกตายน้อยลงร้อยหน |
ขอพบเห็นเปนข้าฝ่ายุคล | พระคุณล้นเลี้ยงเฉลิมให้เพิ่มพูล |
ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ | ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รู้สูญ |
สิ้นแผ่นดินทินกรจรจำรูญ | ให้เพิ่มพูลพอสว่างหนทางเดิร |
ดังจินดาห้าดวงช่วงประทีป | ได้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน |
เปนทำนุอุประถัมภ์ไม่ก้ำเกิน | จงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา |
อนึ่งน้อมจอมนิกรอักษรราช | บำรุงสาสนาสงฆ์ทรงสิกขา |
จงไพบูลย์พูลสวัสดิ์วัฒนา | ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง |
สิโนทกตกดินพอสิ้นแสง | ตวันแดงดูฟ้าเปนผ้าเหลือง |
สิโรราบกราบลากลับมาเมือง | เปนสิ้นเรื่องที่ไปชมประธม เอย ๚ |