วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ปราสาทตาเมือนธม ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทย ตั้งแต่ปี ๒๔๗๘

 



โบราณสถาน ในภาคอีสาน ที่สำคัญหลายๆ แห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ที่มีความเก่า และงดงาม เป็นโบราณสถานแบบขอม ที่มีอายุราวๆ ปลายพุทธศตวรรษที่ 16

ปราสาทตาเมือนธม เป็น 1 ใน 3 แห่งของ โบราณสถานกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งมีโบราณสถานแบบขอม 3 หลัง ตั้งอยู่ใน อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อยู่ติด ชายแดนประเทศไทย และ ประเทศกัมพูชา 

  • ปราสาทตาเมือนธม
  • ปราสาทตาเมือนโต๊ด
  • ปราสาทตาเมือน (บายกรีม) 

กรมศิลปากร เคยออกมาให้ข้อมูลเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓ ว่า “ปราสาทตาเมือนธม” อยู่ฝั่งไทย โดยกรมศิลปากรทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๘ หรือเมื่อ ๙๐ ปีที่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะ โดยทางการกัมพูชารับรู้มาตลอด อีกทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้สร้างเส้นทางเที่ยวชมสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากกัมพูชาอ้างสิทธิการถือครองพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมจริง ไทยต้องยืนยันว่าพื้นที่ชายแดนจุดนี้เป็นของไทย โดยใช้แผนที่ตามหลักสากล ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำ

ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลังเรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน

ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม (ธม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่) ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม

ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้

ปราสาทตาเมือนธมประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ

กลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรหมแดนต่างประเทศ มีแต่เพียงแนวทิวเขาพนมดงรัก เป็นพรหมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คนโบราณมีการ ใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก แต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆกัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก เรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป 
ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม อยู่ใกล้ดินแดนเขมรมากที่สุด ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน บรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กสองสระเนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก

ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ 750 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ปราสาทตาเมือน(บายกรีม)อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง

กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์ แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค

การเข้าชม เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย ทำให้การเข้าถึงตัวปราสาทเข้าได้เฉพาะฝั่งไทยเท่านั้น ส่วนฝั่งกัมพูชาอาจเข้าถึงได้ยากเพราะทางหลวงเก่าถูกป่าไม้กลืนกินหมดแล้ว ในช่วงกรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การถือครองปราสาทพระวิหาร การปะทะริมชายแดนขยายไปถึงตาเมือน ทำให้ต้องหยุดเข้าชมวิหารชั่วคราว หลังจากนั้นแรงกดดันมีมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางไปไกลกว่าทางเข้าหลักทางใต้เพียงไม่กี่เมตร โดยมีตำรวจตระเวนชายแดนประจำการตรงนี้

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ทางเข้าปราสาทฝั่งกัมพูชาเริ่มง่ายขึ้นเพราะมีการพัฒนาถนนแล้ว ซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2552 แล้วเปิดใช้งานใน พ.ศ. 2553 โดยเป็นถนนลูกรังสีแดงที่มีความยาว 24 กิโลเมตร (แต่ไม่นานมานี้ได้พัฒนาเป็นถนนยางมะตอย) และถนนคอนกรีตขึ้นเขา 500 เมตร ผู้เข้าชมควรจอดรถในบริเวณใกล้เนินเขา เพราะพื้นที่บางส่วนชันเกิน เมื่อถึงยอดเขา นักท่องเที่ยวสามารถชมทิวทัศน์ของทิวเขาพนมดงรักพร้อมกับต้นไม้ใหญ่และดอกไม้ป่า

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กรุงเทพมหานครมี 50 เขต

กรุงเทพมหานครมี 50 เขต 
รายชื่อเขตทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร 
เรียงตามรหัสเขตการปกครองที่ใช้ในราชการ



  1. เขตพระนคร
  2. เขตดุสิต
  3. เขตหนองจอก
  4. เขตบางรัก
  5. เขตบางเขน
  6. เขตบางกะปิ
  7. เขตปทุมวัน
  8. เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
  9. เขตพระโขนง
  10. เขตมีนบุรี
  11. เขตลาดกระบัง
  12. เขตยานนาวา
  13. เขตสัมพันธวงศ์
  14. เขตพญาไท
  15. เขตธนบุรี
  16. เขตบางกอกใหญ่
  17. เขตห้วยขวาง
  18. เขตคลองสาน
  19. เขตตลิ่งชัน
  20. เขตบางกอกน้อย
  21. เขตบางขุนเทียน
  22. เขตภาษีเจริญ
  23. เขตหนองแขม
  24. เขตราษฎร์บูรณะ
  25. เขตบางพลัด
  26. เขตดินแดง
  27. เขตบึงกุ่ม
  28. เขตสาทร
  29. เขตบางซื่อ
  30. เขตจตุจักร
  31. เขตบางคอแหลม
  32. เขตประเวศ
  33. เขตคลองเตย
  34. เขตสวนหลวง
  35. เขตจอมทอง
  36. เขตดอนเมือง
  37. เขตราชเทวี
  38. เขตลาดพร้าว
  39. เขตวัฒนา
  40. เขตบางแค
  41. เขตหลักสี่
  42. เขตสายไหม
  43. เขตคันนายาว
  44. เขตสะพานสูง
  45. เขตวังทองหลาง
  46. เขตคลองสามวา
  47. เขตบางนา
  48. เขตทวีวัฒนา
  49. เขตทุ่งครุ
  50. เขตบางบอน



วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

รายพระนาม "สมเด็จพระราชินี" แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์

 

รายพระนาม "สมเด็จพระราชินี" รัชกาลที่ 1 - 10 

ราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 

รัชกาลที่ 1 : สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี

สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (9 มีนาคม พ.ศ. 2280 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2369) พระนามเดิม นาค เป็นอรรคชายาเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

รัชกาลที่ 2 : สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี

สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (พระยศเดิม:สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด; พระราชสมภพ: 21 กันยายน พ.ศ. 2310 - สวรรคต: 18 ตุลาคม พ.ศ. 2379) หรือประชาชนเรียกว่า สมเด็จพระพันวษา เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (พระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน ต่อมาได้รับราชการฝ่ายในเป็นพระชายา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

รัชกาลที่ 3 : ไม่มีการสถาปนาพระราชินี

รัชกาลที่ 4 : ไม่มีการสถาปนาพระราชินี แต่มีพระอัครมเหสี

สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี (21 ธันวาคม พ.ศ. 2377 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2395) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับหม่อมงิ้ว และเป็นพระราชนัดดาเพียงพระองค์เดียวในรัชกาลที่ 3 ที่ดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พระองค์ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นพระอัครมเหสี เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2395 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2395 หลังจากการสวรรคตของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ สร้างวัดโสมนัสราชวรวิหาร เพื่อพระราชอุทิศให้แก่พระองค์

รัชกาลที่ 5 : สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พันเอกหญิง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เป็นพระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก โดยรับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

รัชกาลที่ 6 : สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี

สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี สมเด็จพระวรราชชายาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) กับท่านผู้หญิงกิมไล้ สุธรรมมนตรี (สุจริตกุล) ทรงดำรงอิสริยยศสมเด็จพระราชินีอยู่ 2 ปี 8 เดือน รัชกาลที่ 6 ทรงประกาศเปลี่ยนอิสริยยศ ลดลงเป็น พระวรราชชายา และไม่ได้สถาปนาพระราชินีพระองค์ใหม่

รัชกาลที่ 7 : สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

พันเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 — 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2527) เป็นพระอัครมเหสีเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมเหสีพระองค์แรกตามแบบยุโรปและระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย หลังจากพระราชสวามีสละราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2477 พระองค์ประทับอยู่ประเทศอังกฤษจวบจนพระราชสวามีเสด็จสวรรคต และเสด็จนิวัตกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2492 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลในขณะนั้น

รัชกาลที่ 8 : ไม่มีการสถาปนาพระราชินี และไม่มีพระมเหสี

รัชกาลที่ 9 : สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

จอมพลหญิง จอมพลเรือหญิง จอมพลอากาศหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (เดิม: หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร; 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475) เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและโดยพระชนมพรรษาจึงนับเป็นพระกุลเชษฐ์พระองค์ปัจจุบันในพระบรมราชจักรีวงศ์

รัชกาลที่ 10 : สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2521 มีพระนามเดิมว่า สุทิดา ติดใจ เป็นพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอกพิเศษ) ทั้งยังทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงดำรงตำแหน่งเป็นราชองครักษ์เวรในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะทรงได้รับพระราชโองการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื้อเพลง