วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

กรุงเทพฯ ชื่อเต็มพร้อมความหมาย

กรุงเทพมหานคร (Krung Thep Maha Nakhon หรือ Bangkok Metropolitan) โดยทั่วไปเรียกกันว่า กรุงเทพฯ เป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามราชธานีที่ทรงตั้งขึ้นใหม่ 

ครั้นเสร็จการฉลองพระนครแล้ว จึงพระราชทานนามพระนครใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธรัตนปฏิมากรว่า กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงแปลงสร้อย บวรรัตนโกสินทร์ เป็นอมรรัตนโกสินทร์ นอกนั้นให้คงไว้ตามเดิม

กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์

ชื่อเต็มกรุงเทพฯ อ่านว่า

          “กฺรุงเทบมะหานะคอน อะมอนรัดตะนะโกสิน มะหินทะรายุดทะยา มะหาดิหฺลกพบ นบพะรัดราดชะทานีบูรีรม อุดมราดชะนิเวดมะหาสะถาน อะมอนพิมานอะวะตานสะถิด สักกะทัดติยะวิดสะนุกำปฺระสิด”

มีความหมายว่า พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคง และเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้

แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ดังนี้

City of Angels Great City of Immortals

Magnificient City of the Nine Gems Seat of the King

City of Royal Palaces Home of Gods Incarnate

Erected by Visvakarman at Indra’s Behest.

ทำไมวันที่ ๒๑ เมษายน จึงเป็นวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์?

หลังจากวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จเข้าพระนครปราบดาภิเศก ได้มีพระราชโองการให้ตั้งกรุงเทพมหานครยังฝั่งบุรพทิศจาก ได้ตั้งพิธียก “เสาหลักเมือง” ณ วันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ นั่นเอง

กรุงเทพมหานครได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลกบันทึกไว้ในกินเนสส์บุ๊ก 


วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

 พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพระนามเต็ม กมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ หรือพระนามเดิม พ่อขุนบางกลางหาว เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย และเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง ตามประวัติศาสตร์ไทย ทรงครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 1718 ตราบจนเสด็จสวรรคตเมื่อใดไม่ปรากฏ

พระนามต่างๆของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์

  1. บางกลางหาว
  2. พ่อขุนบางกลางหาว
  3. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
  4. พระร่วง
  5. พระอินทราชา
  6. อรุณราช
  7. ไสยรังคราช หรือไสยรังคราชา
  8. ไสยนรงคราช
  9. รังคราช หรือสุรังคราช
  10. พระร่วง หรือโรจนราช

สำหรับพระนามแรก คือ พ่อขุนบางกลางหาว นั้นเป็นพระนามดั้งเดิมเมื่อครั้งเป็น เจ้าเมืองบางยาง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า พ่อขุนบางกลางหาวเป็น พระนามสมัยเป็นเจ้าเมืองบางยาง โดยแท้จริง

พระนามที่สองนั้น เป็นพระนามแบบทางการตามอย่างราชประเพณีขอม เป็นพระนามทรงใช้เมื่อเข้ารับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว พระนาม "ศรีอินทราทิตย์" มีกล่าวไว้อยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุมว่า "ศรีอินทรปตินทราทิตย" ซึ่งเป็นพระนามเกียรติยศที่พระเจ้าแผ่นดินขอมแต่โบราณสถาปนาให้แก่พ่อขุนผาเมืององค์รัชทายาทผู้ครองเชลียงสุกโขไทในราชวงศ์ศรีนาวนำถม ต่อมาภายหลังพ่อขุนผาเมืองทรงยกให้แก่พระสหายพ่อขุนบางกลางหาวแทน

พระราชกรณียกิจ

 พระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พ่อขุนบานเมือง
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พระยาเลอไทย
พระยางั่วนำถุม
พระมหาธรรมราชาที่ 1
พระมหาธรรมราชาที่ 2
พระมหาธรรมราชาที่ 3
พระมหาธรรมราชาที่ 4

คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อครั้งยังเป็นพ่อขุนบางกลางหาวได้ร่วมมือกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดแห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถุม รวมกำลังพลกัน กระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองบางขลงได้ และยกทั้งสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง ส่วนพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้ ก็ได้มอบเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมพระขรรค์ชัยศรีและพระนาม "ศรีอินทรบดินทราทิตย์" ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพระนาม ภายหลังได้คลายเป็น ศรีอินทราทิตย์ การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์เเละสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ส่งผลให้ราชวงศ์พระร่วงเข้ามามีอิทธิพลในเขตนครสุโขทัยเพิ่มมากขึ้น และได้แผ่ขยายดินแดนกว้างขวางมากออกไป แต่เขตแดนเมืองสรลวงสองแคว ก็ยังคงเป็นฐานกำลังของราชวงศ์ศรีนาวนำถุมอยู่

ในกลางรัชสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ราวปี พ.ศ. 1800 เมืองตาก (เมืองหน้าด่านทิศตะวันตกของอาณาจักรสุโขทัย) ได้ถูกขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ยกกองทัพเข้าล้อมเมืองตากไว้ เจ้าเมืองตากจึงขอความช่วยเหลือจากกรุงสุโขทัย  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงยกกองทัพไปช่วย โดยมีพระราชโอรสองค์เล็ก ชื่อ เจ้าราม ซึ่งมีพระชนมายุได้ 19 ปี ได้ติดตามไปรบในครั้งนี้ด้วย

    ขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ได้ยกพลเข้าตีเมืองหลายครั้ง แต่มิอาจตีเมืองได้ จึงตั้งค่ายล้อมเมือง ถ่วงเวลาไว้ให้ไพร่พลเมืองตาก ขาดแคลนเสบียงอาหาร เมื่อทราบข่าวว่ากองทัพสุโขทัยกำลังเดินทัพมาช่วยเมืองตาก ขุนสามชนจึงได้จัดกำลังออกไปดักซุ่มโจมตีกองทัพสุโขทัยที่ "หัวขวา" แนวป่าเชิงเขา นอกเมืองตาก ซึ่งเป็นช่องเขาที่กองทัพสุโขทัยต้องเดินผ่าน แต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เห็นว่าลักษณะภูมิประเทศมีสภาพเป็นที่คับขัน จึงมิให้กองทัพเดินผ่าน แต่อ้อมไปทาง "หัวซ้าย" ขุนสามชนที่ซุ่มรออยู่นานไม่เห็นท่าว่ากองทัพสุโขทัยจะเดินผ่านมา และได้ข่าวว่ากองทัพสุโขทัยอ้อมทัพไปทาง "หัวซ้าย" จึงยกพลตามไปจนทัน 

   ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า "พ่อกูไปรบ ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชน ขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า..." 

  “ขุนสามชนขี่ช้างศึกชื่อ ”มาศเมือง" จะเข้าชนช้างของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระราชโอรส ได้เห็นเช่นนั้น ก็ไสช้างเข้ารับมือไว้ " และได้ชนช้างกับขุนสามชน  

   ดังปรากฏในศิลาจารึก หลักที่ 1 ว่า "กูบ่หนี กูขี่ช้าง เนกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน" และการทำยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดพ่ายแพ้ ยกทัพล่าถอยกลับเมืองฉอดไป 

  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  จึงทรงพระราชทานนามแก่พระราชโอรสว่า  "พระรามคำแหง"  

   ดังปรากฏตามหลักศิลาจารึก หลักที่ 1 ว่า "ตนกูพู่งช้าง ขุนสามชนตัวชื่อมาศเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อ พระรามคำแหง เพือกูพู่งช้างขุนสามชน" จนถึงรัชสมัยที่พ่อขุนรามคำแหง เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ ได้ทรงทำสงครามเพื่อแผ่ขยายอาณาเขตไปอย่างกว้างขวาง ด้วยการกระทำใน 3 วิธี คือ

 1. ใช้กำลังทางทหาร ดังจารึกไว้ในศิลาจารึก หลักที่ 1 กล่าวไว้ว่า

ปราบเบื้องตะวันตก  รอดสรลวง  สองแคว  ลุม บาจาย  สคา ท้าฝั่งของ ถึง เวียงจันทน์ เวียงคำ เป็นทีแล้ว เบื้องหัวนอน รอดคุณฑี พระบาง  แพรก  สุพรรณภูมิ  ราชบุรี เพชรบุรี สรีธรรมราช ฝั่งสมุทรเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตก รอดเมืองฉอด เมืองหงสาพดี  สมุทรหาเป็นแดน เบื้องตีนนอน รดเมืองแพล เมืองม่าน เมืองพลัว พ้นฝั่งของเมืองชวา เป็นที่แล้ว

 2. ใช้วิเทโศบายขยายอาณาเขต ซึ่งนับว่าเป็นวิธีสุขุมและแยบยลที่สุด เพราะไม่ต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อไพร่พล แต่อย่างใด ดังได้กล่าวไว้ในศิลาจารึก และพงศาวดารกล่าวไว้ว่า การขยายอาณาเขตด้านตะวันตก ถึงเมืองหงสาวดี ด้วยการได้ พระเจ้าฟ้ารั่ว (มะกะโท) กษัตริย์มอญไว้เป็นราชบุตรเขย และในด้านทิศเหนือก็ทรงผูกมิตรไมตรีกับพระยาเม็งราย เจ้าเมืองเชียงใหม่ และ พระยางำเมือง ซึ่งเป็นไทยเชื้อสายเดียวกัน

 3. ใช้นโยบายผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศใหญ่ๆ เช่น ประเทศจีน ซึ่งในห้วงเวลานั้น กุบไลข่าน กษัตริย์จีนมีอำนาจมาก ได้แผ่อาณาเขตลงมาทางใต้ของจีน ทางด้านพม่า และเวียดนาม แต่สำหรับประเทศไม่ได้รับความกระทบกระเทือนแต่อย่างใด

ในยุคประวัติศาสตร์ชาตินิยม มีคติหนึ่งที่เชื่อกันว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นำชาวสยามต่อสู้กับอิทธิพลขอมในสุวรรณภูมิ ทรงได้ชัยชนะและประกาศอิสรภาพตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย แต่ภายหลัง คติดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นปฐมกษัตริย์ อีกทั้งยังมีพ่อขุนศรีนาวนำถุม ครองสุโขทัยอยู่ก่อนแล้ว

พระราชวงศ์

พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 5 พระองค์ ได้แก่

  1. พระราชโอรสองค์ใหญ่ (ไม่ปรากฏพระนาม) สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
  2. พ่อขุนบานเมือง
  3. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือ พ่อขุนรามราช (พระนามเดิมชื่อพระราม)
  4. พระราชธิดา (ไม่ปรากฏพระนาม)
  5. พระราชธิดา (ไม่ปรากฏพระนาม)

แม้ไม่ทราบแน่นอนว่าพระองค์เสด็จสวรรคตในปีใด แต่ภายหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว พ่อขุนบานเมือง พระราชโอรสพระองค์รอง ได้สืบราชสมบัติแทน

อาณาจักรสุโขทัย

 ก่อนกำเนิดแคว้นสุโขทัย

          บริเวณที่ราบตอนล่างของลุ่มแม่น้ำยม ปิง น่าน ที่ราบลุ่มแม่น้ำเมย และที่ราบตอนบนของ       แม่น้ำป่าสัก เคยเป็นที่ชุมนุมของบ้านเมืองในแคว้นสุโขทัย ซึ่งเจริญรุ่งเรืองอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่     ๑๙-๒๑  บริเวณดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเจริญมาก่อน นั่นคืออาณาจักรพุกามทางด้านตะวันตกและอาณาจักรเขมร ในด้านตะวันออก

          ก่อนกำเนิดแคว้นสุโขทัยซึ่งมีทั้งศิลาจารึกและโบราณสถานมากมาย เป็นเครื่องสนับสนุนความเป็นแว่นแคว้นที่ปรากฏขึ้นเมื่อราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้น ดินแดนสุโขทัยมีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อได้ศึกษาย้อนเวลาขึ้นไปอีกจากหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งพบเครื่องมือหินที่เขาเขน เขากา อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย หรือแม้กระทั่งการพบโครงกระดูกมนุษย์ที่บ้านบึงหญ้า อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ได้พบเครื่องมือหินที่สัมพันธ์กับชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในแถบประเทศกัมพูชา ลาว และเวียดนาม

          ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เหล่านี้ อาจอยู่ต่อเนื่องกันและตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นในเวลาต่อมา จนกระทั่งถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา ได้มีการติดต่อกับดินแดนอื่นแถบบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมแบบทวารวดีโดยได้พบโบราณวัตถุที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันได้แก่ การค้นพบลูกปัด เครื่องมือเครื่องใช้เหล็ก สำริด เหรียญเงินที่มีรูปพระอาทิตย์ รวมทั้งหลักฐานโครงกระดูกมนุษย์ที่วัดชมชื่น ในเขตเมืองเก่าศรีสัชนาลัย ซึ่งมีแท่งดินเผามีลวดลายปรากฏร่วมด้วย

          การค้นพบโบราณสถานในศิลปะเขมรตั้งอยู่บนภูเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่ง ในแถบบ้านนาเชิง อำเภอคีรีมาศ เรียกตามปากชาวบ้านว่าปรางค์ปู่จานั้น เป็นหลักฐานการเข้ามาของวัฒนธรรมเขมรโบราณที่สำคัญ แต่การกำหนดอายุให้แน่นอนทำได้ลำบาก เนื่องจากลักษณะสำคัญได้ชำรุดสูญหายไปเป็นอันมาก อย่างไรก็ดีหากคิดว่าวัฒนธรรมเขมรผ่านเข้ามาทางเมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ แสดงว่าดินแดนที่ต่อมาเป็นแคว้นสุโขทัยนี้ได้เคยมีการติดต่อกับอาณาจักรเขมรโบราณมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ แล้วก็ได้

          การแผ่กระจายของวัฒนธรรมเขมรปรากฏเป็นระยะต่อเนื่องเรื่อยมา นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หลักฐานโบราณสถานที่เด่นชัดได้แก่ ศาลตาผาแดง ในเขตเมืองเก่าสุโขทัย เป็นโบราณสถานร่วมสมัยกับสมัยบายน ในศิลปะเขมร เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และดูเหมือนว่านี่เป็นพัฒนาการของเมืองในวัฒนธรรมเขมรในบริเวณที่ราบเชิงเขาประทักษ์เป็นครั้งแรก

          ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอาณาจักรเขมร เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานและถือเป็นศาสนาหลักในราชอาณาจักรของพระองค์ การสร้างศาสนสถานซึ่งแต่เดิมประดิษฐานรูปเคารพในศาสนาฮินดู เริ่มเปลี่ยนแปลงไป  มีการนำเรื่องราวทางพุทธศาสนามาประดับสถาปัตยกรรมและใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแทน ลักษณะดังกล่าวนี้ยังปรากฏตามศาสนสถานในศิลปะเขมรที่พบในประเทศไทย ที่สร้างขึ้นในระยะเวลาเดียวกันหลายแห่ง  ตัวอย่างเช่น ที่ปรางค์สามยอดกับปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่จังหวัดลพบุรี และที่ปราสาทวัดพระพายหลวงเมืองเก่าสุโขทัย เป็นต้น

          ชุมชนที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเขมรแถบสุโขทัยยังคงอยู่สืบต่อกันมา เรื่องราวการตั้งตนขึ้นเป็นอิสระเพื่อปกครองสุโขทัยของกลุ่มชน ซึ่งต่อมาเป็นบรรพบุรุษของคนไทยในปัจจุบันได้เริ่มปรากฏขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘

เมืองสุโขทัย

          ศิลาจารึกหลักที่ ๒ ซึ่งพบอยู่ในอุโมงค์วัดศรีชุม ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนอกเมืองสุโขทัยได้ให้เรื่องราวเกี่ยวกับสุโขทัยในระยะต้นว่า เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมเจ้าเมืองสุโขทัยสิ้นพระชนม์ลง ขอม สบาดโขลญลำพงได้เข้าครอบครองเมืองสุโขทัย พ่อขุนผาเมืองโอรสพ่อขุนศรีนาวนำถุมที่ครองเมืองราด ได้ชักชวนพระสหายคือพ่อขุนบางกลางหาว เข้าร่วมชิงเมืองสุโขทัยกลับคืนมาได้ แต่พ่อขุนผาเมืองกลับยกเมืองสุโขทัยของพระบิดา พร้อมกับได้มอบพระขรรค์ชัยศรีและพระนามศรีอินทรบดินทราทิตย์ของพระองค์ให้กับพระสหาย พ่อขุนบางกลางหาวจึงมีพระนามเป็นที่รู้จักกันว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้ปกครองกรุงสุโขทัยเป็นต้นราชวงศ์สุโขทัยสืบมา

          สุโขทัยนามเมืองที่มีความหมายว่ารุ่งอรุณแห่งความสุขนั้น เมื่อสิ้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนบานเมืองโอรสองค์ใหญ่ได้ปกครองต่อมา ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าในระยะต้นนี้ศูนย์กลางของเมืองยังคงอยู่ในบริเวณวัดพระพายหลวง ซึ่งมีพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมและมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ หรือย้ายมาที่เมืองใหม่ที่มีวัดมหาธาตุเป็นศูนย์กลางแล้ว แต่เมื่อพ่อขุนรามคำแหงพระอนุชาได้ขึ้นปกครองสุโขทัยต่อมา ข้อมูลจากศิลาจารึกหลักที่ ๑ บอกให้ทราบว่าได้ย้ายเมืองมาอยู่ตรงที่มีวัดมหาธาตุเป็นศูนย์กลางแล้ว ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้กล่าวถึงความเกรียงไกรของพ่อขุนรามคำแหงไว้มากมาย พระองค์ทรงเป็นนักรบผู้ปรีชาสามารถเอาชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ตั้งแต่พระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา อาณาเขตของแคว้นสุโขทัยในสมัยนี้แผ่ขยายไปถึงเมืองหลวงพระบางและสุดแหลมมลายู ในทางตะวันตกติดเขตแดนเมาะตะมะ   อาณาเขตที่กว้างใหญ่นี้นักวิชาการเชื่อว่า เป็นความสัมพันธ์ของเมืองสุโขทัยกับบรรดาเมืองน้อยใหญ่เหล่านี้ในลักษณะบ้านพี่เมืองน้อง

          พ่อขุนรามคำแหงทรงนำพุทธศาสนาแบบเถรวาทที่กำลังเจริญอยู่ที่นครศรีธรรมราช เข้ามาเผยแพร่ที่สุโขทัย อันนับเป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความนับถืออย่างใหม่ให้แก่คนสุโขทัย พระองค์ทรงโปรดให้มีการฟังเทศน์ในวันธรรมสวนะ

          ศิลาจารึกได้ให้ภาพความเป็นผู้นำของพ่อขุนรามคำแหงทั้งในทางโลกและทางธรรม กล่าวคือทรงมีความสามารถในการเป็นนักรบที่ปกครองไพร่ฟ้าให้มีความเป็นอยู่ที่ดี บ้านเมืองเป็นปกติสุข ประชาชนมีอิสระในการทำการค้า ถึงกับมีคำกล่าวว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า” พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พุทธศาสนา โปรดให้มีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุกลางเมืองศรีสัชนาลัยอันเป็นเมืองคู่ของสุโขทัย และก่อสร้างอาราม พระพุทธรูปต่างๆขึ้นในสุโขทัย ในช่วงเทศกาลออกพรรษา พ่อขุนรามคำแหงทรงช้างขึ้นไปไหว้พระในเขตอรัญญิกที่วัดสะพานหินเพื่อกรานกฐิน พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้แก่กษัตริย์ไทยในเวลาต่อมา ความเป็นปึกแผ่นของเมืองสุโขทัยนอกจากจะมีกำลังที่เข้มแข็ง บ้านเมืองเป็นสุขดังกล่าวแล้ว ยังมีตำนานเล่ากันในสมัยหลังต่อมาว่า พระองค์คือผู้ที่ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เป็นพระองค์แรกด้วย

          เมื่อสิ้นรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหง สุโขทัยไม่สามารถดำรงความเป็นบ้านเมืองที่รุ่งเรืองมากเหมือนแต่ก่อนไว้ได้ อาจเป็นในสมัยของพระยาเลอไท โอรสของพ่อขุนรามคำแหงหรือภายหลังสมัยของพระยาเลอไทก็ได้  ที่เมืองต่าง ๆ ภายในแคว้นสุโขทัยได้แตกแยกกันเป็นอิสระปกครองกันเอง ไม่ยอมขึ้นกับเมืองสุโขทัยที่เคยเป็นศูนย์กลางเช่นเดิม  ดังนั้น เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๐ พระมหาธรรมราชาลิไท พระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งขณะนั้นครองเมืองศรีสัชนาลัย จึงนำกองทัพเข้ามาปราบจนเป็นผลสำเร็จ ได้ขึ้นครองสุโขทัย และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้แก่แคว้นสุโขทัยซึ่งประกอบด้วยเมืองต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง

          ในสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไทเมืองสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ได้อาราธนาพระมหาสามีสังฆราชจากนครพัน อันเป็นเมืองหนึ่งทางตอนใต้ของพม่า ขณะนั้นพุทธศาสนาจากลังกากำลังเจริญอยู่ที่นั่น ด้วยความเลื่อมใสในพุทธศาสนา พระมหาธรรมราชาลิไทได้ออกผนวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดป่ามะม่วง ทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย พระองค์ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนาขึ้นเรียกว่า เตภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง เพื่อสั่งสอนอบรมประชาชนของพระองค์ ให้เลื่อมใสในพุทธศาสนาด้วย

          ในสมัยนี้มีความเจริญรุ่งเรืองอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับพุทธศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจากความเลื่อมใสศรัทธานั่นคือ ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมซึ่งมีความงดงาม เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนถึงความรู้ทางเทคนิควิทยาการต่าง ๆ เป็นอย่างดี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคทองของศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมทีเดียว เช่น การสร้างพระพุทธรูปลีลาอันเป็นงานประติมากรรมลอยตัวที่หล่อได้อย่างวิเศษสุด เจดีย์ทรงดอกบัวตูมอันเป็นเอกลักษณ์ของทรงสถูปสุโขทัย ก็นิยมสร้างขึ้นในสมัยนี้จนเป็นแบบฉบับที่ลงตัว

          พระมหาธรรมราชาลิไททรงพระปรีชาสามารถ ทรงเห็นคุณประโยชน์ของพุทธศาสนา จึงได้นำมาปรับใช้ในด้านการเมืองการปกครอง  โปรดให้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนของพระองค์ ตลอดจนคนต่างเมือง โดยเฉพาะแคว้นล้านนาและกรุงศรีอยุธยา มีโอกาสได้สักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ การสร้างเจดีย์ทรงดอกบัวตูมซึ่งเป็นเสมือนเครื่องหมายความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาในเมืองต่างๆ จึงเกิดขึ้นในสมัยนี้ เช่น วัดบรมธาตุนครชุม กำแพงเพชร , วัดสวนดอก เชียงใหม่ , วัดเจดีย์ยอดทอง พิษณุโลก เป็นอาทิ (ปัจจุบันวัดที่กำแพงเพชรและเชียงใหม่ดังกล่าว ไม่มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมปรากฏให้เห็นแล้ว)

 

การสิ้นสุดของแคว้นสุโขทัย

       ตั้งแต่ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา เกิดอาณาจักรที่มีอำนาจขึ้น ๒ อาณาจักร ทางเหนือของสุโขทัยมีอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ สามารถแผ่อาณาเขตมาถึงเมืองตากซึ่งเคยเป็นของสุโขทัย ส่วนทางใต้ของสุโขทัย คือ อาณาจักรอยุธยาที่ได้ สถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ และสามารถควบคุมเมืองในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ได้ เป็นเหตุให้กษัตริย์ของสุโขทัยในระยะนี้ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก

          ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ยกทัพมายึดเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ไว้ได้ พระมหาธรรมราชาลิไทต้องถวายบรรณาการเพื่อขอเมืองคืน อาจเป็นเหตุให้พระองค์ต้องเสด็จไปประทับอยู่ที่นั่น เมื่อทรงได้รับคืนเมืองสองแควแล้ว และโปรดให้พระขนิษฐาของพระองค์ปกครองสุโขทัยแทน เหตุการณ์ตอนนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ราชบัลลังก์สุโขทัยได้ถูกทำลายคุณลักษณะในการเป็นที่ตั้งอำนาจอันชอบธรรมของผู้ที่จะปกครองแคว้นสุโขทัยทั้งมวลลงไป

          ปรากฏหลักฐานว่า เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๑ พระมหาธรรมราชาลิไททรงพยายามฟื้นฟูความเป็นเมืองศูนย์กลางของสุโขทัยอีกครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จกลับสุโขทัยพร้อมไพร่พลบริวารที่เป็นเจ้าเมืองต่าง ๆ ของแคว้นสุโขทัยที่ยังจงรักภักดี แต่พระองค์ก็ไม่สามารถแสดงบทบาทด้านการเมืองต่อไปได้นาน พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๓ – ๑๙๑๔ อันเป็นเวลาที่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (พ่องั่ว) ได้เสวยราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยา และส่งกำลังเข้ายึดเมืองสุโขทัยและเมืองอื่น ๆ ในแว่นแคว้นไว้ได้หมด

          ประวัติศาสตร์แคว้นสุโขทัยในช่วงเวลาต่อไปประมาณครึ่งศตวรรษ เป็นเรื่องที่กษัตริย์ราชวงศ์สุพรรณภูมิที่มีอำนาจอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาและสุพรรณบุรี พยายามที่จะเข้าครอบงำแคว้นสุโขทัยทีละเล็กทีละน้อย โดยการสมรสระหว่างเจ้านายของทั้งสองราชวงศ์ การใช้ระบบขุนนางเข้าแทรกซึม ตลอดจนการสนับสนุนด้านกำลังแก่เจ้านายสุโขทัยที่เป็นพรรคพวก เครือญาติ ที่ฝ่ายสุพรรณภูมิมีศักดิ์เหนือกว่า

          ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่าอย่างน้อยก็เมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑ ที่แคว้นสุโขทัยทั้งหมด ได้กลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา ที่ชาวอยุธยาเรียกว่าเมืองเหนือแล้ว เพราะในปีนี้เป็นปีที่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (สมเด็จเจ้าสามพระยา) ได้ส่งโอรสที่สมภพจากพระชายาราชวงศ์สุโขทัย มาครองเมืองพิษณุโลก ในตำแหน่งพระราเมศวร อันเป็นตำแหน่งพระมหาอุปราช ปกครองกลุ่มเมืองเหนือทั้งมวล โดยขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาอีกทีหนึ่ง

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ประวัติศาสตร์เชียงใหม่ พ.ศ.2340 - 2347

 

พม่าตีเชียงใหม่ พ.ศ. 2340

พระเจ้าปดุงแห่งพม่ายังคงทรงมีขัตติยมานะในการกอบกู้หัวเมืองล้านนาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคงให้กลับไปคืนแก่พม่า พระเจ้าปดุงทรงแต่งทัพเข้ารุกรานเมืองเชียงใหม่ในพ.ศ. 2340 แม่ทัพพม่าคืออินแซะหวุ่นเนเมียวจอดินสีหสุระ แม่ทัพพม่าผู้ซึ่งได้เอาชนะทัพฝ่ายไทยในการรบที่เมืองทวายเมื่อพ.ศ. 2337 เนเมียวจอดินสีหสุระยกทัพจำนวน 55,000 คน มาทางเมืองนายและแบ่งทัพออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งยกมาทางเมืองปั่น และอีกส่วนหนึ่งยกมาทางเมืองหางหรือเมืองแหง ลงมาล้อมเมืองเชียงใหม่ไว้ และส่งทัพบางส่วนไปตั้งมั่นที่เมืองลำพูนและเมืองลี้ พระยากาวิละนำญาติพี่น้องจัดทัพออกรบต่อการกับพม่า แต่ฝ่ายพม่าเข้าตีเมืองเชียงใหม่หลายครั้งอย่างต่อเนื่อง จึงให้คนถือศุภอักษรลงไปกรุงเทพฯ ขอพระราชทานทัพมาช่วยเมืองเชียงใหม่ รายละเอียดการรบระหว่างสยามและพม่าในครั้งนี้ ปรากฏในเพลงยาวพระยาสุนทรพิทักษ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ มีพระราชโองการให้จัดทัพขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่จำนวน 20,000 คน ดังนี้;

  • ฝ่ายพระราชวังบวรฯ : กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พร้อมทั้งพระโอรสคือพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัต พร้อมทั้งกรมขุนสุนทรภูเบศร์ และพระยากลาโหมราชเสนา (พระไชยบูรณ์)
  • ฝ่ายพระราชวังหลวงและทัพหัวเมือง: พระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พร้อมทั้งพระยายมราช (บุญมา)

นอกจากนี้ เจ้าอุปราชอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ อนุชาของพระเจ้าอินทวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ยกทัพลาวเวียงจันทน์จำนวน 20,000 คน เพื่อมาช่วยเมืองเชียงใหม่อีกด้วย

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จยกทัพไปถึงเมืองเถิน จากนั้นมีพระราชบัณฑูรให้กรมหลวงเทพหริรักษ์ กรมขุนสุนทรภูเบศร์ พระยากลาโหมราชเสนา และพระยายมราช (บุญมา) ยกทัพล่วงหน้าไปตั้งที่เมืองลำปางก่อน ให้พระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตเสด็จยกทัพไปสู้กับพม่าที่เมืองลี้ จากนั้นทัพฝ่ายวังหน้าและวังหลวงจากเมืองลำปางจึงแข่งขันกันเข้ายึดเมืองลำพูนจากพม่า กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชยกทัพวังหลวงไปตั้งที่ทางใต้ของเมืองลำพูน ส่วนกรมขุนสุนทรภูเบศร์และพระยากลาโหมราชเสนายกทัพวังหน้าไปตั้งทางตะวันตกเฉียงเหนือของลำปางทางเมืองป่าซาง ทั้งทัพวังหน้าและวังหลวงเข้าโจมตีเมืองลำพูน นำไปสู่การรบที่ลำพูน ฝ่ายทัพพม่าที่เมืองลี้ยกมาโจมตีทัพไทยที่ลำพูน ทัพฝ่ายไทยสามารถเข้ายึดเมืองลำพูนได้สำเร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2341 ฝ่ายพม่าที่ลำพูนแตกพ่ายกลับไปเมืองเชียงใหม่

ทัพของทั้งวังหน้าและวังหลวงยกจากลำพูนขึ้นไปโจมตีพม่าที่เชียงใหม่ นำไปสู่การรบที่เชียงใหม่ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2341 ในเวลานั้น ทัพลาวเวียงจันทน์ของเจ้าอนุวงศ์จำนวน 20,000 คนมาถึงเมืองเชียงใหม่ ทัพหลวงของกรมพระราชวังหลังฯ และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นจักรเจษฎา จำนวนอีก 20,000 คน ได้ยกมาสมทบที่เชียงใหม่เช่นกัน กรมหลวงเทพหริรักษ์ทรงยกทัพเข้าตีทัพพม่าทางตะวันตกของเชียงใหม่ กรมขุนสุนทรภูเบศร์ยกเข้าตีทางแม่น้ำปิงทางตะวันออก เจ้าอนุวงศ์ยกเข้าตีทางห้วยแม่ข่า กรมพระราชวังหลังและกรมหลวงจักรเจษฎาทรงยกเข้าตีทางวังตาล พระยากาวิละยกทัพออกมาตีจากในเมืองเชียงใหม่ ทัพพม่าแตกพ่ายยับเยินถอยร่นกลับไป แม่ทัพพม่าคนหนึ่งชื่อว่าเนเมียวจอดินสีหสุระ ถูกสังหารในที่รบ แม่ทัพพม่าชื่อว่าอุบากอง (Upagaung) ถูกจับเป็นเชลย เมื่อมีชัยชนะเหนือพม่าแล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงยกทัพเสด็จคืนพระนคร

เชียงใหม่ตีเมืองสาดและเชียงตุง

อาณาจักรล้านนาเปรียบเสมือนเป็นเมืองหน้าด่านรัฐกันชนระหว่างสยามและพม่า หัวเมืองล้านนาต่าง ๆมีข้อเสียเปรียบพม่าประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนเนื่องจากสงครามที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน พระยากาวิละแห่งเชียงใหม่และเจ้าเมืองล้านนาอื่น ๆ ต่างดำเนินนโยบาย”เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ยกทัพออกไปโจมตีเมืองต่าง ๆเพื่อกวาดต้อนกำลังพลเข้ามาในเมืองล้านนา ในพ.ศ. 2345 พระเจ้าปดุงทรงแต่งตั้งให้นายจอมหง ซึ่งเป็นชาวจีนจากมณฑลยูนนาน ให้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าเมืองสาด (Mong Hsat) และพระเจ้าปดุงทรงประกาศยกย่องราชาจอมหงแห่งเมืองสาดให้เป็นเจ้าเหนือหัวเมืองล้านนาทั้งปวงทั้งห้าสิบเจ็ดหัวเมือง พระยากาวิละแห่งเชียงใหม่จึงมีคำสั่งให้อุปราชน้อยธรรม ยกทัพเชียงใหม่ขึ้นไปโจมตีเมืองสาดในเดือนเมษายนพ.ศ. 2345 อุปราชน้อยธรรมสามารถเข้ายึดเมืองสาดได้อุปราชน้อยธรรมจับกุมตัวราชาจอมหง รวมทั้งจับกุมทูตพม่าซึ่งได้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ายาล็องแห่งเวียดนาม จากนั้นอุปราชน้อยธรรมจึงยกทัพเลยไปโจมตีเมืองเชียงตุง เมืองเชียงตุงเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาในสมัยราชวงศ์มังราย ประชากรเมืองเชียงตุงเป็นชาวไทเขิน อุปราชน้อยธรรมจึงยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงตุง เข้ายึดเมืองเชียงตุงได้อีกเช่นกัน เจ้าฟ้าศิริไชยเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงหลบหนีไป อุปราชน้อยธรรมกวาดต้อนชาวไทเขินจากเมืองเชียงตุงจำนวน 6,000 คน และจากเมืองสาดอีก 5,000 คน มาไว้ที่เมืองเชียงใหม่ เมืองเชียงตุงถูกทำลายและว่างร้างลง

พระเจ้าปดุงทรงพิโรธพระยากาวิละแห่งเชียงใหม่ที่ยกทัพไปตีเมืองเชียงตุงและเมืองสาดและจับทูตพม่าไป จึงมีพระราชโองการให้จัดทัพพม่าเข้าตีเมืองเชียงใหม่อีกเป็นครั้งที่สอง

สงคราม

พระเจ้าปดุงทรงจัดทัพพม่าเข้ารุกรานเชียงใหม่อีกครั้งในพ.ศ. 2345 โดยมีอินแซะหวุ่นเนเมียวจอดินสีหสุระ แม่ทัพคนเดิมซึ่งได้ยกทัพมาตีเชียงใหม่ครั้งก่อนเมื่อพ.ศ. 2340 มาเป็นโบชุกหรือแม่ทัพใหญ่อีกครั้ง ทัพพม่าประกอบด้วยทัพย่อยนำโดย;

  • ชิดชิงโป
  • ปไลโว
  • มะเดมะโยงโกงดอรัด
  • นามิแลง
  • ตองแพกะเมียวุ่น
  • มะยอแพกะเมียวุ่น

เนเมียวจอดินสีหสุระนำทัพพม่าเข้ายึดเมืองลำพูนแล้วล้อมเมืองเชียงใหม่ไว้ทั้งสี่ด้านจำนวนเจ็ดค่าย ทำค่ายล้อมเมืองเชียงใหม่อย่างแน่นหนาวางแผนที่จะล้อมเมืองเชียงใหม่อยู่เป็นเวลานาน

ในระหว่างก่อนหน้านี้ พระยากลาโหมราชเสนาคนเก่า และพระยาจ่าแสนยากร (ทุเรียน) ได้ถึงแก่กรรมลง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงทรงแต่งตั้งพระยาเสน่หาภูธร (ทองอิน) ขึ้นว่าที่กลาโหมราชเสนา และแต่งตั้งพระยามหาวินิจฉัยขึ้นว่าที่จ่าแสนยากร

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ มีพระราชโองการให้จัดทัพขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่อีกครั้งดังนี้;

  • ฝ่ายพระราชวังบวร: กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พร้อมทั้งพระโอรสคือพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัต พร้อมทั้งกรมขุนสุนทรภูเบศร์ พระยาเสน่หาภูธร (ทองอิน) ว่าที่กลาโหมราชเสนา
  • ฝ่ายพระราชวังหลวงและทัพหัวเมือง: พระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พร้อมทั้งพระยายมราช (บุญมา)

เจ้าอนุวงศ์อุปราชแห่งเวียงจันทน์ยกทัพลาวมาเข้าร่วมการต่อสู้กับทัพพม่าในครั้งนี้อีกเช่นกัน

การยกทัพไปโจมตีพม่าที่เชียงใหม่ในครั้งนี้ ใช้เส้นทางเดินทัพคล้ายคลึงกับเมื่อพ.ศ. 2340 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จยกทัพไปถึงเมืองเถิน ทรงพระประชวรโรคนิ่ว พระอาการมากมีพิษร้อนต้องแช่อยู่ในสาคร เสด็จยกทัพขึ้นไปถึงเมืองเชียงใหม่มิได้ จึงมีพระราชบัณฑูรให้เจ้าบำเรอภูธรกรมขุนสุนธรภูเบศร์ พร้อมทั้งพระยาเสน่หาภูธร (ทองอิน) ยกทัพฝ่ายพระราชวังบวรฯ ไปที่เมืองลี้ก่อน ในครั้งนี้ฝ่ายหลักของไทยยกทัพไปทางเมืองลี้ (เส้นทางตะวันตก) แทนที่ยกไปทางเมืองลำปาง (เส้นทางตะวันออก) เหมือนครั้งก่อน ทัพของกรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชนั้นด้วยเหตุบางประการรั้งรอล่าช้ายกทัพฝ่ายวังหลวงติดตามหลังทัพฝ่ายวังหน้าไป เมื่อไปถึงเมืองลี้แล้วได้ข่าวว่าทัพพม่าจะยกทัพมาจากทางเมืองป่าซาง กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชเห็นว่าทัพไม่พร้อมเพรียงจึงถอยทัพลงไปอยู่หลังทัพของวังหน้า

ฝ่ายพระยากาวิละอยู่รักษาป้องกันเมืองเชียงใหม่ ได้ข่าวว่ากรมพระราชวังบวรฯ ประชวรอยู่ที่เมืองเถิน จึงให้ท้าวมหายักษ์ผู้มีร่างกายแข็งแรงนำความข้อราชการไปกราบทูลที่เมืองเถิน ท้าวมหายักษ์เดินทางผ่านวงล้อมของพม่าออกไปโดยปราศจากการต่อต้าน ไปเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ ที่เมืองเถิน กรมพระราชวังบวรฯ ทรงมีตราให้ท้าวมหายักษ์ไปมอบให้แก่พระยากาวิละว่า ฝ่ายกรุงเทพได้ยกทัพขึ้นมาช่วยเมืองเชียงใหม่แล้ว

กองทัพวังหน้าและวังหลวงยกทัพผ่านเมืองลี้ขึ้นไปถึงเมืองลำพูน พระยาเสน่หาภูธรมีใบบอกลงมากราบทูลกรมพระราชวังบวรฯ ที่เมืองเถินว่า พระยามหาวินิจฉัยว่าที่จ่าแสนยากรนั้นอ่อนแอ ของพระราชทานตั้งพระไกรภพ (บุญรอด) ขึ้นว่าที่จ่าแสนยากรแทน กรมพระราชวังบวรฯ จึงทรงแต่งตั้งให้พระไกรภพ (บุญรอด) ขึ้นว่าที่จ่าแสนยากร ทัพฝ่ายไทยเข้าโจมตียึดเมืองลำพูนได้สำเร็จ

ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อทรงทราบว่าสมเด็จพระอนุชาธิราชประชวรอยู่ที่เมืองเถิน เสด็จนำทัพขึ้นไปเชียงใหม่ไม่ได้ จึงมีพระราชโองการให้กรมพระราชวังหลังฯ ยกทัพขึ้นไปเชียงใหม่แทน กรมพระราชวังหลังฯ เข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ ที่เมืองเถิน กรมพระราชวังบวรฯ พระราชทานพระแสงดาบให้แก่กรมพระราชวังหลังฯ เป็นอาญาสิทธิ์ให้กรมพระราชวังหลังฯ ทรงมีพระอำนาจบัญชาทัพฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ได้

ทัพฝ่ายยกจากลำพูเข้าโจมตีทัพพม่าที่เชียงใหม่ กรมพระราชวังหลังฯ เสด็จถึงเมืองเชียงใหม่ กรมพระราชวังหลังฯ เชิญท้องตรารับสั่งให้แก่แม่ทัพนายกอง และมีพระบัญชาให้แม่ทัพนายกองเข้าหักตีเมืองเชียงใหม่ให้ได้ภายในวันรุ่งขึ้น ไปกินข้าวในเมืองเชียงใหม่ มิฉะนั้นจะมีโทษ ทัพทั้งฝ่ายวังหน้าวังหลวงยกเข้าตีเชียงใหม่ กรมหลวงเทพหริรักษ์ยกทัพฝ่ายวังหลวงเข้าตีเชียงใหม่ตั้งแต่สามยาม ฝ่ายพม่ายิงปืนใส่อย่างหนัก ฝ่ายไทยหลบอยู่ตามคันนา พระยาพิชัย (โต) ร้องว่า “ไล่ฟันไล่แทงเถิดแตกดอก” พระยาพิชัย (โต) นำทัพไทยฝ่ากระสุนของพม่าเข้าไป ฝ่ายพม่าสู้ไม่ได้แตกหนี ทัพวังหน้าวังหลวงฝ่ายไทยเข้าระดมโจมตีเมืองเชียงใหม่จากทุกทิศทาง จนสามารถตีทัพพม่าแตกถอยไปได้ เนเมียวจอดินสีหสุระจึงพ่ายแพ้ให้แก่ทัพไทยที่เชียงใหม่เป็นครั้งที่สอง พระยากาวิละให้กองกำลังเมืองเชียงใหม่ออกติดตามสังหารฝ่ายพม่าที่กำลังหลบหนีได้จำนวนมาก

เมื่อขับไล่ทัพพม่าไปจากเขียงใหม่ได้แล้ว เจ้านายทุกพระองค์แม่ทัพนายกองจึงมาเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่เมืองเถิน ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ยกทัพลาวเวียงจันทน์มาถึงเมืองเชียงใหม่ไม่ทัน มาถึงเมืองเชียงใหม่หลังจากที่พม่าแพ้ไปแล้วเจ็ดวัน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงพิโรธกองทัพฝ่ายวังหลวง กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราช ที่ถอยทัพไปอยู่หลังทัพของวังหน้าที่เมืองลี้ และทรงพระพิโรธเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ที่ยกทัพมาไม่ทันการรบ จึงทรงมีพระราชบัณฑูรปรับโทษให้กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยายมราช (บุญมา) และเจ้าอนุวงศ์ ยกทัพไปตีเมืองเชียงแสนจากพม่าให้ได้ จากนั้นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทและกรมพระราชวังหลังฯ จึงเสด็จกลับพระนคร

การรุกรานเชียงใหม่ของพม่าในพ.ศ. 2345 นี้ เป็นการรุกรานล้านนาของพม่าเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทย ทางฝ่ายกรุงเทพสามารถจัดทัพขึ้นไปช่วยพระยากาวิละเมืองเชียงใหม่ ขับไล่ทัพฝ่ายพม่ากลับไปได้เฉกเช่นทุกครั้ง หลังจากที่ได้ชัยชนะเหนือพม่าที่เชียงใหม่ในพ.ศ. 2345 นี้ กรมหลวงเทพหริรักษ์ พร้อมทั้งพระยายมราช (บุญมา) และเจ้าอนุวงศ์ ประทับอยู่ที่เมืองล้านนาเพื่อจัดเตรียมทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงแสน นำไปสู่สงครามเชียงแสนในพ.ศ. 2347

พระยากาวิละนำตัวราชาจอมหงเมืองสาดลงไปกรุงเทพไปเข้าเฝ้าฯ ในเดือนกันยายนพ.ศ. 2345 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ มีพระราชโองการให้สถาปนาพระยากาวิละ ผู้ซึ่งมีความชอบป้องกันเมืองเชียงใหม่และล้านนาจากการรุกรานของพม่าไว้ได้หลายครั้ง ขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ พระราชทานพระนามว่า พระบรมราชาธิบดีศรีสุริยวงศ์องค์อินทรสุริยศักดิ์สมญา มหาขัตติยราชชาติราไชยสวรรย์ เจ้าขัณฑสีมาพระนครเชียงใหม่ราชธานี เป็นเจ้าประเทศราชเป็นอธิบดีในหัวเมืองล้านนาทั้งห้าสิบเจ็ดเมือง

เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จกลับพระนครแล้ว อาการพระประชวรทุเลาลง ทรงแต่งตั้งพระยาเสน่หาภูธร (ทองอิน) ว่าที่กลาโหมราชเสนา ขึ้นเป็นพระยากลาโหมราชเสนา ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2346 อาการพระประชวรกำเริบขึ้นมาอีก กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสิ้นพระชนม์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2346 ต่อมาอีกสามเดือน เกิดความว่าพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัต พระโอรสในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงร่วมมือกับพระยากลาโหมราชเสนา (ทองอิน) วางแผนการกบฏ จึงมีพระราชโองการลงพระราชอาญาสำเร็จโทษพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตด้วยท่อนจันทน์ และให้ประหารชีวิตพระยากลาโหมราชเสนา (ทองอิน)

ในพ.ศ. 2347 กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยายมราช (บุญมา) ทัพฝ่ายไทย เจ้าอนุวงศ์ทัพฝ่ายลาวเจียงจันทน์ พร้อมทั้งเจ้าอุปราชน้อยธรรมเมืองเชียงใหม่ เจ้าคำโสมเมืองลำปาง ฝ่ายล้านนา และเจ้าอัตวรปัญโญเมืองน่าน ยกทัพโดยพร้อมกันเข้าโจมตีเมืองเชียงแสน จนสามารถยึดเมืองเชียงแสนจากพม่าได้ หัวเมืองล้านนาทางเหนือที่อยู่ภายใต้การปกครองของพม่าจึงมาอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม อำนาจของพม่าในหัวเมืองล้านนาจึงหมดสิ้นไปอย่างถาวร

ประวัติศาสตร์เชียงใหม่ พ.ศ.2312 - 2339

 

ล้านนาแยกตัวจากพม่ามาขึ้นกับสยาม 

นับตั้งแต่การเสียเมืองเชียงใหม่ให้แก่พระเจ้าบุเรงนองในพ.ศ. 2101 อาณาจักรล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าเป็นเวลาประมาณสองร้อยปี ในพ.ศ. 2312 สะโตมังถาง หรือโป่มะยุง่วน มาเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ สมัยการปกครองของโป่มะยุง่วนเป็นสมัยแห่งการกดขี่ พม่ามีคำสั่งให้ชายชาวล้านนาทั้งปวงสักขาดำตามแบบพม่า และหญิงล้านนาให้เจาะหูแบบพม่า เรียกว่า “สักขาถ่างหู” พญาจ่าบ้าน (บุญมา) แห่งเชียงใหม่ และนายกาวิละ บุตรของเจ้าฟ้าชายแก้วเจ้าเมืองลำปาง เกิดความขัดแย้งกับโป่มะยุง่วน ในเรื่องที่โป่มะยุง่วนลิดรอนอำนาจของขุนนางล้านนาพื้นเมืองเดิม พญาจ่าบ้านและนายกาวิละไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามังระแห่งพม่าราชวงศ์โก้นบองที่กรุงอังวะ เพื่อร้องเรียนการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของโป่มะยุง่วน พระเจ้ามังระพระราชทานท้องตราให้แก่พญาจ่าบ้านมายังเมืองเชียงใหม่ มีพระราชโองการให้โป่มะยุง่วนคืนอำนาจให้แก่ขุนนางล้านนา แต่โป่มะยุง่วนไม่รับท้องตรา ยกทัพมาจับกุมตัวพญาจ่าบ้าน (บุญมา) จึงเกิดการปะทะกันระหว่างพญาจ่าบ้านและโป่มะยุง่วนขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ พญาจ่าบ้านสู้ไม่ได้จึงหลบหนีไปหาโปสุพลา (เนเมียวสีหบดี) ที่เมืองหลวงพระบาง โปสุพลาจึงนำพญาจ่าบ้านกลับคืนมาเมืองเชียงใหม่

ในพ.ศ. 2317 โปสุพลาเตรียมการยกทัพพม่าจากเชียงใหม่ลงมาโจมตีธนบุรี พญาจ่าบ้าน (บุญมา) และนายกาวิละแห่งลำปางมีความคิดที่จะเข้าสวามิภักดิ์ต่อสยาม พญาจ่าบ้านขออาสาต่อโปสุพลาไปขุดลอกเส้นทางแม่น้ำปิงเพื่อเตรียมการให้ทัพเรือพม่ายกลงไป เมื่อพญาจ่าบ้าน (บุญมา) เดินทางลงไปถึงเมืองฮอด ก็เข้าสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินที่เมืองตาก ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่สองในพ.ศ. 2317 เจ้าพระยาจักรียกทัพไปถึงเมืองลำปาง นายกาวิละจึงลุกฮือขึ้นสังหารขุนนางและทหารพม่าในลำปางไปจนเกือบหมดสิ้น นายกาวิละนำทางทัพของเจ้าพระยาจักรีไปถึงเมืองเชียงใหม่ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์สามารถเข้ายึดเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ นับตั้งแต่นั้นหัวเมืองล้านนาได้แก่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแพร่ จึงแยกตัวจากพม่ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม ในขณะที่หัวเมืองล้านนาฝ่ายเหนือได้แก่เชียงแสน เชียงราย ฝาง พะเยา ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าอยู่ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงแต่งตั้งให้พญาจ่าบ้าน (บุญมา) เป็นพระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ และนายกาวิละขึ้นเป็นพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปาง เมืองเชียงแสนจึงกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของพม่าในดินแดนล้านนา

ในพ.ศ. 2318 พระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) ยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงแสน แต่ปรากฏว่าในเวลานั้น พระเจ้าจิงกูจา  แห่งพม่าส่งทัพจำนวนถึง 90,000 คน มาเข้าโจมตีเมืองเชียงใหม่ พระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) เจ้าเมืองเชียงใหม่มีกำลังพลไม่เพียงต่อการป้องกันเมืองเชียงใหม่ จึงละทิ้งเมืองเชียงใหม่ถอยไปอยู่ที่เมืองตาก ทัพพม่ายกไปตีเมืองลำปาง พระยากาวิละต้านทานทัพพม่าไม่ได้เช่นกัน จึงทิ้งเมืองลำปางลงใต้ไปอยู่ที่เมืองสวรรคโลก จากนั้นทัพพม่าจึงกลับไป พระยากาวิละกลับมาครองเมืองลำปาง ในพ.ศ. 2319 พระยากาวิละส่งคนขึ้นไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทางเหนือต่อล้านนาต่าง ๆให้เป็นกบฏแยกตัวจากพม่า เจ้าฟ้าเมืองยอง เจ้าเมืองฝาง และพระยาแพร่มังไชยซึ่งถูกจับกุมตัวไปไว้ที่เชียงแสนตั้งแต่สงครามเก้าทัพ จึงลุกฮือขึ้นก่อกบฏต่อพม่า  ในปีต่อมาพระยาวิเชียรปราการพยายามที่จะรื้อฟื้นเมืองเชียงใหม่ขึ้นอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ เดินทางไปธนบุรีแล้วกลับขึ้นมาใหม่โยกย้ายไปมาหลายแห่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีท้องตราเรียกตัวพระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) ลงมาสอบสวนที่ธนบุรี พระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) ถูกจำคุกถึงแก่กรรมในคุกนั้น นับแต่นั้นมาเมืองเชียงใหม่จึงกลายเป็นเมืองรกร้างปราศจากผู้คนป่าขึ้นทึบสัตว์ป่ามาอาศัยอยู่ บ้านเมืองล้านนาโดยรวมตกอยู่ในสภาพ “บ้านห่าง นาห่าง บ้านอุก เมืองรก ไพทางใต้ค็กลัวเสือไพทางเหนือค็กลัวช้าง บ้านเมืองบ่หมั่นบ่เที่ยง”    

สงครามกับพม่า

พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงแต่งตั้งพระยากาวิละเป็นพระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ ให้นายน้อยธรรมน้องชายของพระยากาวิละเป็นอุปราชเมืองเชียงใหม่ แต่ในเวลานั้นเมืองเชียงใหม่ยังคงเป็นเมืองร้างยังไม่สามารถตั้งเมืองอยู่ได้ พระยากาวิละจึงมาตั้งมั่นที่เวียงป่าซาง (หรือป่าช้าง) เพื่อรวบรวมผู้คนไปตั้งเมืองเชียงใหม่ เมืองลำปางและเวียงป่าซางของพระยากาวิละกลายเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของล้านนาและสยามในการต้านทานการรุกรานของพม่า ในสงครามเก้าทัพ พ.ศ. 2328 เจ้าชายปะกันแมงสะโดสิริมหาอุจนาพระอนุชาของพระเจ้าปดุงยกทัพหัวเมืองไทใหญ่มาที่เมืองเชียงแสน เจ้าชายสะโดสิริมหาอุจนาและธาปะระกามะนี (พื้นเมืองเชียงแสนเรียก พะแพหวุ่น) ยกทัพพม่าจากเมืองเชียงแสนจำนวน 30,000 คน เข้าโจมตีและล้อมเมืองลำปาง นำไปสู่การล้อมเมืองลำปาง นอกจากนี้ ฝ่ายพม่ายังยกทัพไปตีเมืองแพร่จับกุมตัวพระยาแพร่มังไชยเจ้าเมืองแพร่กลับไปเป็นเชลย พญากาวิละรักษาเมืองลำปางอยู่ได้เกือบสามเดือน ทางฝ่ายกรุงเทพฯ จึงส่งทัพขึ้นมานำโดยพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา และเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) ช่วยเหลือขับไล่พม่าให้พ้นไปจากเมืองลำปางได้สำเร็จใน พ.ศ. 2329 กองทัพพม่าถอยทัพกลับไป แต่ตั้งให้ธาปะระกามะนีเป็นเจ้าเมืองเชียงแสน

ต่อมาในพ.ศ. 2330 พระเจ้าปดุงส่งทัพมาปราบเมืองฝางได้ และตั้งทัพที่เมืองฝางเตรียมเข้ารุกรานลำปางต่อไป ธาปะระกามะนีนำกองทัพเข้ามาสมทบก่อนกลับเมืองเชียงแสน เจ้าอัตถวรปัญโญเจ้าเมืองน่านเข้าขอสวามิภักดิ์ต่อสยาม พระยาแพร่มังไชยอยู่ที่เมืองยองร่วมมือกับเจ้าฟ้ากองเมืองยอง ยกทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงแสน ธาปะระกามะนีหลบหนีไปเมืองเชียงราย พระยาเพชรเม็ง (น้อยจิตตะ) เจ้าฟ้าเมืองเชียงรายจับตัวธาปะระกามะนีส่งให้แก่พระยากาวิละ พระยากาวิละจึงส่งตัวธาปะระกามะนีลงมาที่กรุงเทพฯ  ฝ่ายพม่าตีเมืองเชียงแสนคืนไปได้และยกทัพจากเชียงแสนและเมืองฝาง เข้าโจมตีเมืองลำปางและยกมาทางเมืองยวม (อำเภอแม่สะเรียง) เข้าตีเมืองป่าซาง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระราชโองการให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกทัพขึ้นมาช่วยเมืองลำปาง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสามารถขับทัพพม่าออกไปจากลำปางได้สำเร็จ หลังจากที่เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองร้างเป็นเวลาประมาณสิบเอ็ดปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ มีพระราชโองการให้ตั้งเมืองเชียงใหม่ขึ้นอีกครั้งให้เรียบร้อย เพื่อเป็นเมืองสำหรับการรับศึกพม่าทางเหนือ ให้พระยากาวิละรวบรวมผู้คนจากลำปางมาตั้งเมืองเชียงใหม่ พระยากาวิละยังคงอยู่ที่เวียงป่าซางอยู่จนถึง พ.ศ. 2339 จึงเข้าครองเมืองเชียงใหม่


วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

สด.43 คืออะไร-สำคัญอย่างไร

 

สด.43 คืออะไร-สำคัญอย่างไร

ชายไทยทุกคนมีหน้าที่รับราชการทหารตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 7

โดยการเกณฑ์ทหารจะมีขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี เมื่อมีอายุย่างเข้า 18 ปีในปีนั้นๆ จะต้องไปที่อำเภอเพื่อ แสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน และเมื่ออายุครบ 20 ปี จะต้องไปพบสัสดีที่อำเภออีกครั้ง เพื่อรับใบสำคัญทหารกองเกิน (แบบ สด.9) และหมายเรียกแบบ สด.35

จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการจับใบดำใบแดง และเอกสารสำคัญที่ต้องรับหลังจากนั้น คือ “สด.43”

เอกสารดังกล่าว คือใบยืนยันรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกิน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ใบผ่านเกณฑ์ทหาร” ซึ่งเป็นเอกสารที่กองทัพบกจะให้กับชายไทยทุกคน

ใบ สด.43 คือเอกสารรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “ใบผ่านเกณฑ์ทหาร” โดยคณะกรรมการเกณฑ์ทหารจะเป็นผู้ออกให้ภายในวันเดียวกับวันเกณฑ์ทหารเลย

โดยภายในเอกสารจะระบุชัดว่า จับได้ใบดำ ใบแดง หรือขอผ่อนผัน ซึ่งต่างถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ชายไทยทุกคนจะใช้ยืนยันต่อหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทห้างร้าน ว่าปีนั้นตัวเองได้มาแสดงตัวเพื่อเข้ารับการตรวจเลือกแล้ว และจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการสมัครงานหรือขอเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนเดิมเมื่อหมดอายุได้

สำหรับข้อมูลสำคัญบนใบ สด.43 ประกอบด้วย

  • ชื่อนามสกุล
  • เลขประจำตัวประชาชน
  • วันเดือนปีเกิด
  • ผลการตรวจเลือก (ผ่อนผัน ไม่ต้องรับราชการ จับสลากได้ใบดำหรือใบแดง : ตรงนี้ทหารจะเป็นคนเขียน)
  • สถานที่ตรวจเลือก
  • วันที่ออกใบรับรอง
  • ช่องพิมพ์ลายนิ้วมือ
  • ตอนท้ายจะลงลายเซ็น ประธานกรรมการและกรรมการ

สด.43 ชำรุด-สูญหาย ต้องทำอย่างไร

กรณีใบ สด.43 ชำรุดหรือสูญหาย สามารถขอรับใบแทนใหม่ได้ โดยแจ้งต่อสัสดีเขต หรือ สัสดีอำเภอท้องที่ที่เป็นภูมิลำเนาทหารภายในกำหนด 30 วันนับตั้งแต่วันที่ ใบ สด.43 ชำรุดหรือสูญหาย

โดยหลักฐานที่ใช้ในการขอใบแทน สด.43 มีดังนี้

  1. สำเนาทะเบียนบ้าน ฉบับจริงพร้อมสำเนาเอกสาร 2 ฉบับ
  2. บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริงพร้อมสำเนาเอกสาร 2 ฉบับ
  3. รายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย ฉบับจริงพร้อมสำเนาเอกสาร 2 ฉบับ

ใบ สด.43 ที่มีอยู่ ราชการออกให้จริงหรือไม่

ชายไทยทุกคนจะได้รับใบ สด.43 จากประธานกรรมการเกณฑ์ทหารในวันตรวจเลือกทหารกองเกินเท่านั้น

แต่ถ้าหากได้รับโดยที่ไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกิน หรือได้รับจากบุคคลอื่น หรือในวันอื่น แสดงว่า ใบ สด.43 ฉบับนั้น ไม่ใช่หลักฐานที่ทางราชการออกให้ ถือว่าเป็นของปลอม และสามารถขอตรวจสอบได้ที่ กองการสัสดี หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน

ใบ สด.43 ไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ เป็นของปลอมหรือไม่ 

การจะพิสูจน์ใบ สด. 43 ว่าเป็นของปลอมหรือของจริงได้ ต้องพิจารณาในหลายจุด โดยส่วนสำคัญคือลายเซ็นของคณะกรรมการตรวจเลือกฯ การตรวจเทียบความเป็นบุคคลเดียวกับคนที่เดินทางมาคัดเลือกที่หน่วยนั้นๆ




เนื้อเพลง