วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ปีเถาะ

 

ปีเถาะ

ธาตุกำเนิด คือ ธาตุไม้
คนเกิดปีเถาะ (ปีกระต่าย) : ผู้ที่เกิดในปี พ.ศ. 2458, 2470, 2482, 2494, 2506, 2518, 2530, 2542, 2554, 2566, 2578, 2590  


(ปีใหม่ของจีนไม่ได้เป็นวันที่ 1 มกราคม แต่จะอยู่ในช่วงมกราคม หรือ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ฉะนั้นผู้ที่เกิดปีถัดไปในเดือนมกราคมก็จะอยู่ในนักษัตรนั้น แต่ถ้านับตามปีใหม่ของไทยก็จะเริ่มปีนักษัตรใหม่ตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้า(5) หรือ ประมาณช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือ ต้นเดือนเมษายน)

อุปนิสัยของคนเกิดปีเถาะ
คนปีเถาะอารมณ์เย็น โอบอ้อมอารี เป็นคนที่ดูเด็ก และมีจินตนาการอ่อนไหว เป็นคนที่มีความสุขที่สุดภายใต้บรรยากาศดีๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน วัตถุสิ่งของ หรือ บรรยากาศที่คุณรู้สึกว่าใช่ ล้วนมีผลกับจิตใจคุณทั้งสิ้นในสถานการณ์ที่ทำให้คนอื่นตื่นเต้น คุณจะถอยห่างออกมาดูเชิง เพื่อดูว่ามีอะไรผิดสังเกต คุณไม่ชอบความรุนแรง และการกระทบกระทั่ง คุณไม่ชอบเป็นจุดเด่น ถ้ามีใครมาต้อนคุณให้จนมุม คุณจะไม่ไปต่อกรให้เสียอารมณ์ แต่จะเผ่นแน่บไปหาความสบายใจที่อื่น ก็คนมันไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย แต่บางทีเจ้าความรู้สึกปลอดภัยก็ทำให้คุณเสียโอกาสดีๆ การยึดติดกับความคิดที่ว่าอะไรๆ ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ทำให้คุณดูเป็นเด็กดื้อได้เหมือนกัน แต่ถ้าเพื่อนฝูงมีปัญหาอะไรคุณก็จะอยู่ด้วยเสมอ เพราะคุณเป็นคนรักเพื่อน คุณเป็นคนอัธยาศัยดี เรื่องต้อนรับขับสู้ไม่มีใครเกิน คุณซื่อสัตย์เป็นมิตร เข้ากับคนได้ง่าย กับคนที่คุณรัก คุณก็เป็นคนที่น่ารัก และอ้อนเก่ง ถ้าคุณรักใครคุณจะเอาใจเก่งสุดๆ เพื่อจะชนะใจคนที่คุณรักให้ได้ จิตใจคนปีเถาะจะเปราะบางกว่าใครเพื่อน ถ้าความรักมีปัญหาก็ถึงขั้นตรอมใจ ร่างกายผ่ายผอม คุณชอบลองใจ แต่ถ้าพบว่าใช่ คุณก็จะให้ใจเต็มร้อยเหมือนกัน เมื่อมีลูก คุณจะเป็นพ่อแม่ที่เอาใจใส่ และเป็นห่วงครอบครัวอยู่ตลอดเวลา

นักษัตรคุณเป็นธาตุไม้ ซึ่งหมายถึงตับ ถุงน้ำดี เส้นเอ็น และดวงตา ความโกรธ ความตกใจ จะทำให้ธาตุไม้แปรปรวน และสุขภาพเสื่อมโทรม

กระต่ายกระโดดอยู่ในป่า
สำหรับผู้ที่เกิด พ.ศ. 2446 และ พ.ศ. 2506
กระต่ายกระโดดอยู่ในป่า มีนัยถึงคนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีดวงกระต่ายกระโดดอยู่ในป่า จะมีสื่อถึงวิญญาณบรรพบุรุษ ถ้าใช้ชีวิตแบบไม่คิด และทำตัวไม่ดี วิญญาณบรรพบุรุษจะโกรธ และลงโทษ แต่ถ้าคุณทำสิ่งดีๆ วิญญาณบรรพบุรุษก็จะดลบันดาลให้คุณได้พบกับความเจริญรุ่งเรือง เรื่องการเงิน คุณมีความสามารถมากพอที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตครอบครัว แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร เพราะคนในองค์กรจะส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของคุณมาก ทั้งอาชีพการงานและชีวิตโดยรวม พยายามตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด และควรให้ความเคารพเกรงใจผู้ร่วมงานคนอื่นด้วย คุณมีบุคลิกที่สะดุดตามากๆ แต่ก็ระวังตัวมากเช่นกัน ให้ระวังความรู้สึกพึงพอใจในรูปโฉมของตัวเองไว้บ้าง และเมื่อคุณพบใครสักคนที่คู่ควร คุณก็จะมีความสุขกับชีวิตคู่ที่ยั่งยืน

กระต่ายพระพุทธเจ้า
สำหรับผู้ที่เกิด พ.ศ. 2458 และ พ.ศ. 2518
เนื่องจากคุณเป็นกระต่ายในตำนานทางศาสนา คุณจึงมีบุคลิกที่ดูมีบารมีน่าเลื่อมใส เป็นคนที่ทำอะไรก็เก่งไปหมด จึงทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก คุณจัดการปัญหาได้ดี แต่ก็เป็นคนหัวแข็งอยู่เหมือนกัน คุณเป็นคนใจบุญ ชอบช่วยเหลือผู้คนที่ยังด้อยโอกาส ไม่ได้มุ่งหวังสะสมทรัพย์สิน เงินทอง และความสำเร็จมากมายนัก ใครต่อใครก็มักจะประทับใจในความมีศีลธรรมจรรยา และการชนกับอะไรที่ไม่เข้าท่าอย่างสุดตัวของคุณ คุณไปอยู่ที่ไหนก็เรียกได้ว่าไม่ลำบาก หรือ รอดตาย ใครๆ ก็รู้สึกเมตตาอยากช่วยคุณทั้งนั้น คุณค่อนข้างจะเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แต่ต้องนึกถึงใจคนอื่นเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นอนาคตอาจต้องสูญเสียความรักและความเคารพทั้งจากคนรัก และเพื่อนฝูง

กระต่ายหมายจันทร์
เกิดระหว่าง พ.ศ. 2470 และ พ.ศ. 2530
คุณเป็นคนเก่งรอบตัวจะทำอะไรก็ทำได้ดีสารพัดอย่าง แต่ไม่รู้ทำไม…ไม่รุ่งสักเรื่องเลย คุณเป็นคนอัธยาศัยดี ชอบมีส่วนร่วมกับทุกกิจกรรม ใครจะทำอะไรคุณเข้าไปมีเอี่ยวกับเขาด้วยเสมอ คุณเป็นคนที่ชอบแต่งตัวมาก ภูมิใจกับรูปร่างหน้าตา ชอบให้คนชมว่าแต่งตัวดูดีมีชีวิตตระกูล ทนไม่ได้เวลาเห็นใครแต่งตัวชุ่ยๆ เผลอๆ ก็ไปเจ้ากี้เจ้าการกับเสื้อผ้าหน้าผมของคนอื่นเขาอีก คุณชอบบรรยากาศที่ดีมีรสนิยม บ้านของคุณจึงตกแต่งสวยดูดี และอยู่สบาย เรื่องการงานไม่เคยเป็นการบ้านให้รกสมองของคนกระต่ายปีนี้ ก็คุณเป็นคนเก่งรอบด้าน เวลามีงานดีๆ ต้องการฝีมือระดับเซียน ใครๆ ก็มักจะนึกถึงคุณเป็นอันดับแรกทั้งนั้น คุณผูกใจคนเก่ง จึงเป็นศูนย์กลางความสนใจของเพื่อนฝูงเสมอ ส่วนเรื่องความรัก คุณเป็นคนที่มีมาตรฐานสูง คบสนุก อารมณ์ดี ให้อภัยเวลาคนใกล้ตัวทำผิด และมักจะได้คนดีที่สุดมาเป็นคู่ครอง

กระต่ายกระโดดออกจากป่า
สำหรับผู้ที่เกิด พ.ศ. 2482 และ พ.ศ. 2542
คุณชอบผูกมิตรและชอบทำอะไรร่วมกับคนอื่น คุณเป็นกระต่ายใฝ่รู้ มีความอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง แต่คุณก็เป็นคนที่ตกใจง่าย คุณมีสัญญาณเตือนภัยที่ติดตัวมาโดยธรรมชาติ จึงเป็นคนกังวลกับสถานการณ์ได้ง่าย ปกติคนปีกระต่ายไม่ชอบเถียงกับใคร กับคุณยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ชอบเรื่องแบบนี้สุดๆ คุณมีนิสัยไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ชอบที่จะมีชีวิตลื่นไหลไปแบบสบายๆ และใช้ชีวิตตามแบบที่คุณชอบมากกว่า การงานคุณก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ค่อนข้างเดินตามระบบที่มีอยู่ แต่คุณก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ อยู่ดี ใช้ชีวิตไปได้เรื่อยๆ ไม่ติดขัดด้านการงานการเงินคงเติบโตขึ้นไปได้ตามลำดับ ถ้าคุณยังทำงานให้กับองค์กรนั้นอยู่ต่อไป และสามารถจัดการปัญหาวุ่นวายต่างๆ ได้โดยไม่ลนลานอกแตกตายไปเสียก่อน ส่วนเรื่องชีวิตครอบครัว คุณควรเลือกคู่ชีวิตที่มีอายุมากกว่า เพราะจะทำให้คุณอุ่นใจและรู้สึกมั่นคง

กระต่ายอยู่ในโพรง
สำหรับผู้ที่เกิด พ.ศ. 2494 และ พ.ศ. 2554
เป็นกระต่ายที่มีความสุขที่สุดเพราะอยู่ในโพรงที่ปลอดภัยที่สุด แต่ขณะเดียวกันโพรงก็เป็นข้อจำกัดที่ทำให้คุณยึดติดอยู่กับความปลอดภัย จนไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่แสนจะวุ่นวายของโลกภายนอก เมื่อไม่มีโพรง คุณจะขี้หงุดหงิดกับทุกเรื่อง แม้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณก็จะกังวลถึงอนาคต ถ้าคุณทำใจให้ผ่อนคลาย คุณจะพบว่าคุณเป็นคนที่มีชีวิตมั่นคงปลอดภัยอยู่แล้วทุกวัน กับเพื่อนร่วมงาน คนรัก หรือแฟน บางทีคุณก็ทำตัวเครียดมากไปจนกลายเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก คุณมองว่าการเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรตามหลักศีลธรรม แต่เมื่อสิ่งนี้มาอยู่รวมกับความหงุดหงิด มันก็คือความก้าวร้าวดีๆ นี่เอง น้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอกสักนิดแล้วใครๆ จะเกรงใจคุณมากขึ้น คุณเป็นคนที่รักอิสระมากๆ แต่ก็แปลกที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คนที่มีตำแหน่งแห่งที่ตรงนั้นมักให้ความเมตตา ส่งเสริม และสนับสนุนคุณด้วยความจริงใจ

ปีเถาะลักษณะเฉพาะ
คนที่เกิดปีนี้มักเป็นคนที่ นุ่มนวล มีสัมมาคาระวะ ชอบสังคม มีนิสัยโอบเอื้ออารี ชอบแบ่งปันเพื่อนฝูง

จุดเด่น
ชาวกระต่ายเป็นคนมีมารยาทงาม ใครเห็นใครรัก มักเป็นที่รักของใครๆ

จุดอ่อน
ชอบเก็บตัว ไม่ชอบเสียงดัง ขี้ตกใจ ในบางครั้งมักขี้ขลาดเกินจำเป็น

คนเกิดปีกระต่ายเป็นคนอ่อนโยนน่าทะนุถนอม นอกจากนั้นยังมีนิสัยเมตตากรุณา อ่อนหวานน่ารัก และเป็นที่รักของผู้อื่นเป็นเพื่อนที่ดี และรู้จักวางตัว ไม่ชอบทำให้คนอื่นเสียใจ ชาวกระต่ายจะรักสวยรักงาม มีความเป็นศิลปินและมีรสนิยมที่ดี แต่ถึงแม้จะเป็นที่รักของเพื่อนฝูงและครอบครัว ชาวกระต่ายก็ยังคงเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ขี้กลัว แถมยังหัวโบราณและรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ง่าย จึงทำให้เป็นคนที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

คนเกิดปีนี้ คนสุขุม จึงเป็นการยากที่จะปลุกอารมณ์กระต่าย ไม่ว่าจะในแง่ใดก็ตามไม่ชอบโต้เถียง และรักชีวิตที่เงียบสงบ มักขี้ขลาดหรือคนขี้ระแวง คือชาวกระต่ายมักต้องเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงมือทำอะไรลงไป

คนเกิดปีเถาะเป็นคู่รักที่ดีมาก ชอบความโรแมนติก น่ารัก และซื่อสัตย์ ผู้ชายที่เกิดปีเถาะนั้นอาจจะช่างเลือกบ้าง และไม่ใช่แฟมิลี่แมนนัก ผู้หญิงปีเถาะควรใช้เวลาชื่นชมตัวเองในกระจกให้น้อยลง และใช้เวลากับเพื่อนๆให้มากขึ้น

ความรัก
คนเกิดปีนี้ มีความอ่อนไหว อ่อนโยน ชอบเพ้อฝัน และไม่ค่อยหนักแน่นมั่นคงในเรื่องความรัก ฉะนั้นถ้าคิดจะรักคนเกิดปีเถาะ ก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บบ้าง อย่าหวังกับความยั่งยืนกับกระต่ายน้อย เขาหรือเธอต่างก็มีหัวใจเปราะบาง ถ้าใครมาทำดีด้วยก็หลงใหลแทบลืมหัวไม่ขึ้น คนเกิดปีนี้มักเป็นคนขี้หึงแบบสุดๆ เพราะถ้ารักใครก็มักจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งไปได้ คนเกิดปีนี้ชอบสร้างบรรยากาศให้ความรักแปลกใหม่อยู่เสมอ คู่รักของคนเกิดปีนี้ ไม่มีคำว่าเบื่อหรือไร้อารมณ์อย่างเด็ดขาด แถมยังมีอารมณ์รักที่รุนแรงมากด้วยนะ


วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2565

พระเนมิราช ทศชาติชาดก ชาติที่ 4

 

ทศชาติชาดก ชาติที่ 4 

พระเนมิราช (อธิษฐานบารมี)





     เนมิราชชาดกเป็นเรื่องราวในพระชาติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมียิ่งกว่าพระชาติใด ๆ คือ ทรงตั้งใจอย่างแน่วแน่ในการทำความดี โดยการเสด็จออกผนวชเพื่อกำจัดทุกข์ของตนเองและผู้อื่น แม้เป้าหมายจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้แล้วก็จะทรงพยายามทำให้สำเร็จให้จงได้ ในพระชาตินี้พระเนมิราชทรงละทิ้งความสุขในพรหมโลก ยอมจุติ (ตาย) มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสืบทอดวงศ์บรรพชิต (ตระกูลนักบวช) ของพระองค์ไว้ ดังที่ทรงเคยอธิษฐานไว้ในอดีตชาติการบำเพ็ญอธิษฐานบารมีของพระโพธิสัตว์ในพระชาตินี้ จึงเข้าทำนองว่า “ยอมตาย ไม่ยอมเปลี่ยนใจ” นั่นเอง


    พระราชาแห่งเมืองมิถิลา ทรงมีพระโอรสนามว่า เนมิกุมาร ผู้จะทรงสืบสมบัติในกรุงมิถิลาต่อไป พระเนมิกุมาร ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการบำเพ็ญทานมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงรักษาศีลอุโบสถ อย่างเคร่งครัด เมื่อพระบิดาทอดพระเนตรเห็นเส้นพระเกศาหงอก ก็ทรงรำพึงว่า บัดนี้ถึงเวลาที่จะมอบราชสมบัติให้ แก่โอรสแล้ว พระองค์เองก็จะได้เสด็จออกบำเพ็ญเพียรในทางธรรมต่อไป จึงทรงมอบราชสมบัติเมือง มิถิลาให้แก่พระเนมิราชกุมาร ขึ้นครองเป็นพระเจ้าเนมิราช ส่วนพระองค์เองก็เสด็จออกบวช รักษาศีลตราบจนสวรรคต 

เมื่อพระเจ้าเนมิราชครองราชสมบัติ โปรดให้สร้างโรงทาน ริมประตูเมือง 4 แห่ง โรงทานกลางพระนคร 1 แห่ง ทรงบริจาคทานแก่ประชาชนอยู่เป็นนิตย์ ทรงรักษาศีล และสั่งสอนประชาชนของพระองค์ให้ตั้ง มั่นอยู่ในศีลในธรรม ครั้งนั้นปรากฏว่าประชาชนทั้งหลายล้วนแต่เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ ไม่มีการเบียดเบียนทำ บาปหยาบช้า บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุข ผู้คนพากันสรรเสริญพระคุณของพระเจ้าเนมิราชอยู่ทั่วไป

พระเจ้าเนมิราช เมื่อทรงปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ทรงสงสัยว่า การให้ทานกับการประพฤติพรหมจารย์ คือ การรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโลกนั้น อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน พระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความกังขาในพระทัยของพระเจ้า เนมิราช จึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาปรากฏ เฉพาะพระพักตร์ พระราชา

ตรัสกับพระราชาว่า “หม่อมฉันมาเพื่อแก้ข้อสงสัย ที่ทรงมีพระประสงค์จะทราบว่าระหว่างทานกับการประพฤติ พรหมจรรย์ สิ่งใดจะเป็นกุศลยิ่งกว่ากัน หม่อมฉันขอทูลให้ ทราบว่า บุคคลได้เกิดในตระกูลกษัตริย์นั้นก็เพราะประพฤติ พรหมจรรย์ในขั้นต่ำ บุคคลได้เกิดในเทวโลก เพราะได้ประพฤติ พรหมจรรย์ขั้นกลาง บุคคลจะถึงความบริสุทธิ์ ก็เพราะประพฤติ พรหมจรรย์ขั้นสูงสุด การเป็นพรหมนั้น เป็นได้ยากลำบากยิ่ง ผู้จะประพฤติพรหมจรรย์จะต้องเว้นจากวิถีชีวิตอย่างมนุษย์ ปุถุชน ต้องไม่มีเหย้าเรือน ต้องบำเพ็ญธรรมสม่ำเสมอ ดังนั้น การประพฤติพรหมจรรย์จึงทำได้ยากยิ่ง กว่าการบริจาคทาน และได้กุศลมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก บรรดากษัตริย์ทั้งหลาย มักบริจาคทานกันเป็น การใหญ่แต่ก็ไม่ สามารถจะล่วงพ้น จากกิเลสไปได้ แม้จะได้ไปเกิดในที่อันมีแต่ความสนุก ความบันเทิงรื่นรมย์ แต่ก็เปรียบไม่ได้กับความสุขอันเกิดจาก ความสงบอันวิเวก อันจะได้มาก็ด้วยการประพฤติ พรหมจรรย์เท่านั้น”

พระอินทร์ได้ทรงเล่าถึงเรื่องราวของพระองค์เอง ที่ได้ประกอบทานอันยิ่งใหญ่ เมื่อชาติที่เกิดเป็นพระราชา แห่งพาราณสี ได้ทรงถวายอาหารแก่นักพรตที่อยู่ บริเวณแม่น้ำสีทา เป็นจำนวนหมื่นรูปได้รับกุศลยิ่งใหญ่ แต่ก็เพียงแต่ได้เกิดในเทวโลกเท่านั้น ส่วนบรรดานักพรต ที่ประพฤติพรหมจรรย์เหล่านั้น ล้วนได้ไปเกิดในพรหมโลก อันเป็นแดนที่สูงกว่าและมีความสุขสงบอันบริบูรณ์กว่า แต่แม้ว่าพรหมจรรย์จะ ประเสริฐกว่าทาน พระอินทร์ก็ได้ ทรงเตือนให้พระเจ้าเนมิราชทรงรักษาธรรมทั้งสองคู่กันคือ บริจาค ทานและรักษาศีล

ครั้นเมื่อพระอินทร์เสด็จกลับไปเทวโลกแล้วเหล่าเทวดา ซึ่งครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์นั้นได้เคยรับทานและฟังธรรมจาก พระเจ้าเนมิราช จนได้มาบังเกิดในเทวโลก ต่างพากัน ไปเฝ้า

พระอินทร์และทูลว่า “พระเจ้าเนมิราชทรงเป็น อาจารย์ของเหล่าข้าพระบาทมาแต่ก่อน ข้าพระบาท ทั้งหลายรำลึกถึงพระคุณพระเจ้า เนมิราช ใคร่จะได้พบ พระองค์ขอได้โปรดเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชมา ยังเทวโลกนี้ด้วยเถิด”

พระอินทร์จึงมีเทวบัญชาให้มาตุลี เทพสารถีนำเวชยันตราชรถ ไปเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราช จากกรุง มิถิลาขึ้นมายังเทวโลก มาตุลีเทวบุตรรับโองการแล้วก็นำราชรถไปยังมนุษย์โบก ในคืนวันเพ็ญ ขณะพระเจ้าเนมิราชกำลัง ประทับอยู่กับ เหล่าเสนาอำมาตย์ มาตุลีทูลเชิญพระราชาว่า เทพบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์รำลึกถึงพระคุณ ของพระองค์ ปรารถนาจะได้พบ พระองค์ จึงนำราชรถมาเชิญเสด็จไปยังเทวโลก

พระเจ้าเนมิราชทรงรำพึงว่า พระองค์ยังมิเคยเห็นเทวโลก ปรารถนาจะเสด็จไปตามคำเชิญของเหล่าเทพ จึงเสด็จประทับ บนเวชยันตราชรถ มาตุลีจึงทูลว่า สถานที่ที่จะเชิญเสด็จไปนั้น มี 2 ทาง คือ ไปทางที่ อยู่ของเหล่าผู้ทำบาปหนึ่ง และไปทางสถานที่ อยู่ของผู้ทำบุญหนึ่ง พระราชาประสงค์จะเสด็จไปที่ใดก่อนก็ได้ พระราชาตรัสว่า พระองค์ประสงค์จะไปยังสถานที่ของ เหล่าผู้ทำบาปก่อน แล้วจึงไปยังที่แห่งผู้ทำบุญ

มาตุลีก็นำเสด็จ ไปยังเมืองนรก ผ่านแม่น้ำเวตรณี อันเป็นที่ทรมาณสัตว์นรก แม่น้ำเต็มไปด้วยเถาวัลย์ หนามโตเท่าหอก มีเพลิงลุกโชติช่วง มีหลาวเหล็กเสียบสัตว์นรกไว้เหมือนอย่างปลา เมื่อสัตว์นรกตก ลงไปในน้ำก็ถูกของแหลมคมใต้น้ำสับขาดเป็นท่อนๆ บางที นายนิรยบาลก็เอาเบ็ดเหล็กเกี่ยวสัตว์นรก ขึ้นมาจากน้ำ เอามา นอนหงายอยู่บนเปลวไฟบ้าง เอาก้อนเหล็กมีไฟลุกแดงอุดเข้าไป ในปากบ้าง สัตว์นรกล้วนต้องทนทุกขเวทนาด้วยอาการต่างๆ

 

พระราชาตรัสถามถึงโทษของเหล่าสัตว์นรกเหล่านี้ ว่าได้ประกอบกรรมชั่วอะไรไว้จึงต้องมารับโทษดังนี้ มาตุลีก็ตอบบรรยายถึงโทษกรรมที่สัตว์นรกเหล่านี้ ประกอบไว้ เมื่อครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์ จากนั้น มาตุลีก็พาพระราชาไปทอดพระเนตรขุมนรกต่างๆ ที่มีบรรดาสัตว์นรกถูกจองจำและลงโทษ อยู่ด้วยความทรมาณ แสนสาหัส น่าทุเรศเวทนาต่างๆ เป็นที่น่าสะพรึงกลังอย่างยิ่ง

พระราชาตรัสถามถึง โทษของสัตว์นรกแต่ละประเภท มาตุลีก็ตอบ โดยละเอียด เช่น ผู้ที่เคยทรมาณไล่จับไล่ยิงนกขว้างนก จะถูกนาย นิรยบาลเอาเหล็กพืดรัดคอ กดหัว แล้วดึงเหล็กนั้นจนคอขาด ผู้ที่เคยเป็นพ่อค้าแม่ค้า แล้วไม่ซื่อต่อคนซื้อ เอาของเลวมาหลอก ว่าเป็นของดี หรือเอาของเลวมาปนของดี ก็จะถูกลงโทษให้เกิด ความกระหายน้ำ ครั้นเมื่อไปถึงน้ำ น้ำนั้นก็กลายเป็นแกลบเพลิง ลุกเป็นไฟ ก็จำต้องกินแกลบนั้นต่างน้ำ เมื่อกินเข้าไปแกลบน้ำ ก็แผดเผาร่างกายได้รับทุกขเวทนาสาหัส

ผู้ที่เคยทำความเดือดร้อนให้มิตรสหายอยู่เป็นนิตย์ รบกวน เบียดเบียนมิตรสหายด้วยประการต่างๆ เมื่อ ตายไปเกิดใน ขุมนรกก็จะรู้สึกหิวกระหายปรารถนาจะกินอาหาร แต่อาหารที่ได้พบ ก็คืออุจจาระปัสสาวะ สัตว์นรกเหล่านี้จำต้องดื่มกินต่างอาหาร ผู้ที่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าผู้มีพระคุณ ฆ่าผู้มีศีลธรรม จะถูกไฟนรกแผดเผาให้กระหายต้องดื่มเลือดดื่มหนอง แทนอาหาร ความทุกข์ทรมาณอันสาหัสในขุมนรกต่างๆ มีอยู่มากมาย เป็นที่น่าทุเรศเวทนา ทำให้พระราชารู้สึกสยดสยอง ต่อผลแห่งกรรมชั่วร้าย ของมนุษย์ใจบาปหยาบช้าทั้งหลายยิ่งนัก

พระราชาทอดพระเนตรเห็นวิมารแก้วของนางเทพธิดาวารุณี ประดับด้วยแก้วแพรวพรายมีสระน้ำ มีสวนอันงดงาม ด้วยดอกไม้นานาพรรณ จึงตรัสถามมาตุลีว่า นางเทพธิดา วารุณีประกอบกรรมดีอย่างใดไว้ จึงได้มีวิมานที่งดงามวิจิตรเช่นนี้ มาตุลีตอบว่า นางเทพธิดาองค์นี้ เมื่อเป็นมนุษย์ เป็นสาวใช้ของ พราหมณ์ มีหน้าที่จัดอาสนะสำหรับภิกษุ และจักสลากภัตถวายภิกษุ อยู่เนืองๆ นางบริจาคทาน และ รักษาศีลตลอดเวลา ผลแห่งกรรมดีของนางจึงได้บังเกิดวิมานแก้วงามเรืองรอง

พระราชาเสด็จผ่านวิมานต่างๆ อันงดงามโอฬารและ ได้ตรัสถามเทวสารถี ถึงผลบุญที่เหล่าเทพบุตร เทพธิดาเจ้าของ วิมานเหล่านั้น ได้เคยประกอบไว้ เมื่อครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์ มาตุลีก็ทูลให้ทราบโดยละเอียด ความงามและความรื่นรมย์ ในเทวโลกเป็นที่จับตาจับใจของพระราชาเนมิราชยิ่งนัก

ในที่สุด มาตุลีก็นำเสด็จพระราชาไปถึงวิมานที่ประทับ ของพระอินทร์ เหล่าเทพยดาทั้งหลายมีความ โสมนัสยินดีที่ได้พบ พระราชาผู้เคยทรงมีพระคุณต่อเทพยดาเหล่านั้น ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็น มนุษย์อยู่ในมนุษยโลก เหล่าเทพได้ทูลเชิญให้พระราชา ประทับอยู่ ในวิมานของตน เพื่อเสวยทิพย์สมบัติอันรื่นรมย์ ในดาวดึงส์

พระราชาตรัสตอบว่า “สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่น ไม่เป็นสิทธิขาดแก่ตน หม่อมฉันปรารถนาจะประกอบกรรมดี เพื่อให้ได้รับผลบุญตามสิทธิ อันควรแก่ตนเอง หม่อมฉันจะตั้งหน้าบริจาคทาน รักษา ศีล สำรวม กาย วาจา ใจ เพื่อให้ได้รับผลแห่งกรรมดี เป็นสิทธิของหม่อมฉันโดยแท้จริง”

พระราชาประทับอยู่ในดาวดึงส์ชั่วเวลาหนึ่ง แล้วจึงเสด็จกลับ เมืองมิถิลา ได้ตรัสเล่าสิ่งที่ได้พบเห็นมา แก่ปวงราษฎร ทั้งสิ่งที่ได้เห็นในนรกและสวรรค์ แล้วตรัสชักชวนให้ประชาชนทั้งหลาย ตั้งใจมั่น ประกอบกรรมดี บริจาคทาน รักษาศีล เพื่อให้ได้ไปเกิด ในเทวโลก ได้รับความสุขสบายรื่นรมย์ในทิพยวิมาน พระราชาเนมิราชทรงครองแผ่นดินสืบต่อมาด้วยความเป็นธรรม ทรงตั้งพระทัยรักษาศีลและบริจาค ทานโดยสม่ำเสมอมิได้ขาด

วันหนึ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็นเส้นพระเกศาหงอกขาวก็สลดพระทัยใน สังขาร ทรงดำริที่จะออกบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ จึงตรัสเรียก พระโอรสมาเฝ้าและทรงมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส หลังจากนั้น พระราชาเนมิราชก็ออกผนวช เจริญพรหมวิหาร ได้สำเร็จบรรลุธรรม

ครั้นเมื่อสวรรคตก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอันรื่นรมย์ กุศลกรรมที่พระราชาทรงประกอบ อันส่งผลให้พระองค์ได้ไปสู่เทวโลกนั้นคือ การพิจารณาเห็นโทษ ของความชั่ว และความสยดสยองต่อผลแห่งกรรมชั่วนั้น และ อานิสงส์ของกรรมดีที่ส่งผลให้บุคคลได้เสวยสุขในทิพยสมบัติ อานิสงส์อันประเสริฐที่สุด คือ อานิสงส์แห่งการประพฤติ พรหมจรรย์คือการบวชเมื่อถึงกาลอันสมควร

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2565

 

เนื้อเพลง อาทิตย์รำพัน จันทร์รำพึง 

สุชัญญ์ญา นรปฏิพัทธิ์
 

 ชาตินี้..สองเรา เสมือนเงาที่หายไป
ถึงใกล้แต่ดูไกล เกินใฝ่ฝัน

ร่วมฟ้า..คู่ใจ แต่ไร้ทางเคียงข้างกัน
เฉกเช่นคล้ายดวงตะวัน กับดวงจันทร์ที่คลาดคลา

*ยังเฝ้ารอให้เธอกับฉัน ได้มาพบกันที่ตรงขอบฟ้า
เวลาสั้นสั้น แค่สบตา ก็สุขใจ
ยังเฝ้ารอทุกคืนและวัน พร่ำเพ้อรำพันไม่เคยเสื่อมคลาย
ตราบดินสิ้นฟ้ามลาย ยังผูกพัน
ชาตินี้..รักเธอ เสมอใจไปชั่วกาล
จะรอให้ดวงตะวัน อยู่คู่จันทร์ตลอดไป

(ซ้ำ*)

อยู่คู่กัน...ตลอดกาล


วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

เหรียญ 5 บาท หายาก 10 อันดับ

 

  • 10 อันดับ 
  • จำนวนผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 5 บาท
     
    1.   2540            10,600  

    2.   2546          182,000  

    3.   2553       2,903,000  

    4.   2551       6,225,000  

    5.   2541       7,863,000  

    6.   2539     28,485,000  

    7.   2545     29,601,500  

    8.   2533     38,005,000  

    9.   2531     44,503,000  

    10. 2536     46,992,000 

     ลักษณะเหรียญ 
    ขอบเหรียญวงในเป็นรูปเก้าเหลี่ยม กลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผินพระพักตร์ทางเบื้องซ้าย ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุย ชิดวงขอบเหรียญด้านซ้ายมีข้อความว่า "ภูมิพลอดุลยเดช"
    ด้านขวามีข้อความว่า "รัชกาลที่ ๙"

    ขอบเหรียญวงในเป็นรูปเก้าเหลี่ยม กลางเหรียญมีรูปพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เบื้องบนมีข้อความว่า "ประเทศไทย" และปี พ.ศ. ที่จัดทำเหรียญ เบื้องล่างมีข้อความว่า "๕ บาท "
     

    ข้อมูลเพิ่มเติม
    น้ำหนัก : 7.5 กรัมราคา ณ วันประกาศใช้ : 5 บาท
    วันที่ประกาศใช้ : 1 มิถุนายน 2531เส้นผ่าศูนย์กลาง : 24  มิลลิเมตร

    ชนิด : โลหะสีขาวเคลือบไส้ทองแดง
    ราคาหน้าเหรียญ 5 บาทประเภท ธรรมดา
    ลักษณะ เหรียญกลม วงขอบนอกมีเฟืองจักร

    ส่วนผสม :จำนวนการผลิต :
    นิกเกิล25
    ไส้ทองแดง99.5
    253144,503,000 เหรียญ
    253338,005,000 เหรียญ
    253548,939,620 เหรียญ
    2537123,443,000 เหรียญ
    253928,485,000 เหรียญ
    25417,863,000 เหรียญ
    2543146,920,000 เหรียญ
    254529,601,500 เหรียญ
    2547120,187,000 เหรียญ
    2549254,403,000 เหรียญ
    2551220,463,200 เหรียญ

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

เหรียญ 10 บาท หายาก

 

3 อันดับเหรียญ 10 บาทหายากที่กำลังเป็นที่ต้องการที่สุดในเวลานี้!

อันดับที่ 1 เหรียญ 10 บาท ปีพุทธศักราช 2533  ผลิตจำนวน 100  เหรียญ

ในปี 2533 กรมธนารักษ์ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 10 บาทออกมา โดยลักษณะเหรียญเป็นโลหะ 2 สี ซึ่งผลิตออกมาเพียง 100 เหรียญเท่านั้น เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้แก่ผู้เข้าร่วมการประชุม Mint Directors Conference (MDC) ครั้งที่ 16 ที่ประเทศอังกฤษ ส่วนเหตุผลที่มีการผลิตออกมาเพียง 100 เหรียญนั้น เป็นเพราะว่า ประชาชนยังไม่นิยมใช้เหรียญ 10 บาท เนื่องจากขณะนั้นยังมีธนบัตรราคา 10 บาท ใช้กันอยู่


อันดับที่ 2 เหรียญ 10 บาท ปีพุทธศักราช 2531 ผลิตจำนวน 62,000  เหรียญ

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิด ราคา 10 บาท ได้ถูกผลิตออกใช้เป็นเงินหมุนเวียนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2531 โดยผลิตเป็นเหรียญกษาปณ์โลหะสองสีแทนการใช้ธนบัตรราคา 10 บาท  โดยที่ด้านหน้าของเหรียญนั้นเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ส่วนด้านหลังเป็นภาพของ พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม และมีปี พ.ศ. ที่ผลิตอยู่ด้านบนของพระปรางค์


อันดับที่ 3 เหรียญ 10 บาท ปีพุทธศักราช 2541 ผลิตจำนวน 970,000  เหรียญ

เหรียญ 10 บาท พ.ศ. 2541 มีด้านหลังเป็นพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ส่วนด้านซ้ายมือมีตัวอักษรข้อความว่าประเทศไทย ด้านขวามือ มีตัวอักษรข้อความว่า พ.ศ.๒๕๔๑ ด้านล่างมีตัวอักษรข้อความว่า ๑๐ บาท ด้านข้างของเหรียญจะเป็นฟันเฟือง ด้านหน้าเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้ายซ้ายมือมีข้อความว่า ภูมิพลอดุลยเดช ด้านขวามือมีข้อความว่า รัชกาลที่ ๙

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

เหรียญ 10 บาท จำนวน/ปี ที่ผลิต

ปีที่ผลิต                  จำนวนที่ผลิต

2531                                 60,200

2532                        100,000,000

2533                        100 เหรียญ (ในไทย30) 

2534                             1,380,650

2535                           13,805,000

2536                           10,556,000

2537                          150,598,831

2538                            53,700,000

2539                            17,086,000

2540                              9,310,600

2541                                 970,000

2542                              1,030,000

2543                              1,666,000

2544                              1,060,000

2545                             61,333,000

2546                             49,292,000

2547                             62,689,000

2548                            111,491,000

2549                            128,903,000

2550                            130,202,000

2551                            179,165,360 (แบบเก่า)

2551                            18,450,000 (แบบใหม่)

2552                            59,107,733

2553                            1,953,000

2554                            3,000,000

2555                            ไม่มีข้อมูล

2556                            ไม่มีข้อมูล

2557                            ไม่มีข้อมูล

2558                            ไม่มีข้อมูล

2559                            ไม่มีข้อมูล

2560                             160,000,000


หนังสือรวมภาพพระชนะการประกวด จัดทำโดย วรเทพ อุดมรัตนะศิลป์

พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2524
ภาพสีทุกหน้า รวม 392 หน้า
จำหน่ายราคา 1,500 บาท 







 

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

นิยายรักจากบทเพลง แรงรัก

  

ตอนที่ 2 ..

3 เดือนผ่านไป (ไวเหมือนโกหก) 
คมสันหายจากอาการบาดเจ็บเป็นปกติ เขาขอย้ายกลับมาทำงานที่บ้านเพื่อที่จะได้อยู่ดูแลแม่ของเขา 
ส่วนแววแต่งงานไปแล้วกับคนรักใหม่ของเธอ คมสันไม่ได้คิดถึงเรื่องของเธออีกต่อไป ..
วันหนึ่งคมสันกลับจากทำงาน เขาขับรถผ่านตามเส้นทางปกติเหมือนทุกๆ วัน พลันสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินอยู่ริมถนนเพียงลำพัง หล่อนแต่งตัวเรียบร้อยท่าทางทะมัดทะแมงถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ เขาขับรถเลย ในใจก็คิดว่าใครกันนะมาเดินแถวนี้ไม่คุ้นหน้าเลย นี่ก็เย็นมากแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร เขาขับรถย้อนกลับไปหาหล่อนเปิดกระจกแล้วถามว่า"จะไปหรือครับ" หญิงสาวมองหน้าเขายิ้มๆ แล้วตอบว่า "กลับบ้านค่ะ" คมสันบอกว่า "ขึ้นรถซิ อยู่ไกลไหมเดี๋ยวผมจะไปส่งให้" หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขาแล้วบอกว่าจะถึงแล้วไม่เป็นไร คมสันยิ้มให้แล้วขับรถเลยไป ..
ป้าแช่ม ยืนชะเง้อมองหน้าบ้านด้วยความตื่นเต้น ชมลูกสาวคนเดียวของเธอบอกว่าจะกลับบ้านวันนี้หลังจากเรียนจบ "แม่จ๊ะ" เสียงเรียกดังมาแต่ไกล ป้าแช่มวิ่งไปรับลูกสาวด้วยความดีใจ ..
หลังจากอาบน้ำกินข้าวถามสารทุกข์สุขดิบกันแล้ว 
ชมเอ่ยกับแม่ว่า "หนูเจอพี่คมสันด้วยนะคะแม่ก่อนจะถึงบ้านเรา แต่เขาทำเหมือนจำหนูไม่ได้" 
ป้าแช่มหัวเราะแล้วบอกกับชมว่า "ก็ลูกกับพี่เขาไม่เห็นกันมาเกือบสิบปีได้แล้วมั่ง แบบนี้ใครจะไปจำได้" ชมทำหน้างอแล้วบอกกับแม่ว่า"แหมมม ทีหนูยังจำพี่เขาได้เลย" 
ป้าแช่มยิ้มที่เห็นลูกสาวกระฟัดกระเฟียดเช่นนั้น 
ชมถามแม่อีกว่าคมสันแต่งงานกับแววแล้วใช่ไหม่ แม่ตอบว่า "เปล่า"
ชมนึกถึงสมัยเด็กๆ คมสันอายุมากกว่าชมหลายปีนัก 
เขาเป็นหนุ่มรูปงามท่าทางเรียบร้อยนิสัยดีใครๆ ก็ชอบเขา ชมเองก็เช่นกัน 
แต่คมสันหาได้สนใจใครไม่นอกจากแวว ชมคิดว่าคมสันกับแววแต่งงานกันแล้วเสียอีก 
ทำไมนะถึงไม่แต่งงานกัน ทั้งๆ ที่สองคนรักกันมากขนาดนั้น ..
ชมคิดด้วยความสงสัยจนหลับไป ..

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

นิยายรักจากบทเพลง รักริงโง





ในคืนอันเงียบเหงา 🌟🌙
คมสัน ชายหนุ่มรูปงาน หน้าตาเกลี้ยงเกลา แต่ทว่าเขากลับมีแววตาที่เศร้าหมอง ยืนพิงต้นโศกหน้าบ้าน เขามองไปบนท้องฟ้าที่มีดาวระยิบระยับ น้ำตาของเขาค่อยๆ ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ความทรงจำที่ซ่อนอยู่ภายในลึกๆ หวนกลับคืนมาอีกครั้ง ..
"คมสัน" เสียงเรียกชื่อเขาเบาๆ ดังอยู่ใกล้ๆ
"มีอะไรหรือแวว" ชายหนุ่มหันมามองคนรักพร้อมกับถาม
เธอจับมือเขาพร้อมกับบอกว่า "อีกไม่กี่วันฉันต้องไปทำงานต่างจังหวัดแล้วนะ" "อืมม ฉันรู้แล้ว" คมสันตอบ "คงอีกนานกว่าเราจะได้พบกันอีก" คมสันบีบมือเธอเบาๆ พร้อมกับบอกด้วยความมั่นใจว่า "ไม่เป็นไรหรอกแวว ถึงเธอจะอยู่ที่ไหน แต่เธอจะอยู่ในใจฉันเสมอ ฉันจะรอเธอจนกว่าเราจะได้พบกันอีก" แววซบหน้าลงกับฝ่ามือคมสันด้วยความอิ่มเอมใจ ..
หลังจากที่แววไปแล้วทั้งสองก็ติดต่อหากันโดยไม่ขาด จนวันหนึ่งคมสันถูกส่งไปชายแดน การติดต่อกับแววลำบากขึ้นด้วยหน้าที่การงาน แต่คมสันก็ยังหวังว่าแววจะยังมั่นคงในความรักเสมอมาเหมือนเช่นเดียวกันกับเขา ..
แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ที่ทำงานใหม่แววได้พบกับเพื่อนร่วมงานที่คอยเอาอกเอาใจ ในที่สุดแววก็ลืมคมสันไปเสียสิ้น ..
คมสันกลับมาบ้านอีกครั้ง เขาได้ข่าวว่าแววกำลังจะแต่งงานกับคนรักใหม่ เขาเสียใจ แต่ก็ไม่เคยคิดจะขัดขวาง ได้แต่อวยชัยให้พรขอให้แววพบคนที่ดี ขอให้เธอมีแต่ความสุข ..
"คมสัน" เสียงเรียกมาจากบนบ้าน "ขึ้นบ้านได้แล้วลูก"
ลมเย็นๆ พัดมากระทบใบหน้าของเขา คมสันตื่นจากภวังค์พร้อมหันไปตามเสียงเรียก ดึกแล้วซินะ เขาหยิบไม้ค้ำยันที่วางอยู่ข้างๆ ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน เขาได้รับบาดเจ็บหลังจากได้รับอุบัติเหตุจากผู้ก่อการร้ายที่ชายแดนจึงกลับมารักษาตัวที่บ้าน แม่เดินมาหาเขาพร้อมกับช่วยพยุง "อีกไม่นานลูกก็จะหายดีแล้วนะ" แม่ให้กำลังใจเขาเสมอ และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะนึกถึงแวว ..
"ขอบคุณครับแม่" เขายิ้มให้แม่แล้วมองไปบนท้องฟ้าอีกครั้งก่อนที่จะเดินกลับขึ้นบ้านไป ..
"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ใจคน"
สุภาษิตสำนวนไทย ยังใช้ได้อยู่เสมอนะคะ **

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ - ฟรานซิส ยิป (เนื้อเพลง)

เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ - ฟรานซิส ยิป (เนื้อเพลง)

หลองปั้น หลองเหล่า
หม่านเหลยโทวโท้ว
กงโสยเหว่งปั๊ดเย่า
โถ่วจนหลิว ไซก้านสี่
หวั่นจอกโทว
โท้วยัดพีนฉีวเหล่า
สี่เหย สี่เส่า
หล่องเหลยฟันปั๊ด
เช็งฟูนสิ่วเป้ยเย่า
เส่งกง.ซาดป่าย
หล่องเหลยฮอน
ปั๊ดชดเย๋าเหม่ยเหย๋า
งอยเหน๋ยหั่นเหน๋ย
มันกว้านชีเฝา
ฉีไต่กอง ยัดฝาดปัดเซา
จวิ่นชีนวาน จวิ่นชีนทาน
เหย็กเมยเผ่ง
ฝกจีจงจังเตา
เหย่าเหย๋าเฮย
เหย่าเหย๋าเส่า
เจ่าสวนฟันปั๊ด
เช็งฟูนสิ่วเป้ยเย่า
หยู่นยูนฟา ปากชี้นหล่อง
จ่อยงอซำ โจ้งเฮฟูตาว..

งอยเหน๋ยหั่นเหน๋ย
มันกว้านชีเฝา
ฉีไต่กอง ยัดฝาดปัดเซา
จวิ่นชีนวาน จวิ่นชีนทาน
เหย็กเมยเผ่ง
ฝกจีจงจังเตา
เหย่าเหย๋าเฮย
เหย่าเหย๋าเส่า
เจ่าสวนฟันปั๊ด
เช็งฟูนสิ่วเป้ยเย่า
หยู่นยูนฟา ปากชี้นหล่อง
จ่อยงอซำ โจ้งเฮฟูตาว
หยู่นยูนฟา ปากชี้นหล่อง
จ่อยงอซำ โจ้งเฮฟูตาว
***

ชงโคฮอลแลนด์ ดอกใหญ่สีสวย

 


ไปบ้านญาติ เจอดอกชงโคสวยๆ ดอกใหญ่เต็มต้น
เลยเก็บมาให้ชมกันค่ะ เขาบอกว่าเป็นชงโคฮอลแลน์
ชมดอกแล้วเราก็ไปรู้จักที่มากันนะคะ 

ชงโคฮอลแลนด์ มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีน รวมไปถึงฮ่องกง และทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นลูกผสมระหว่าง “ชงโค” กับ “เสี้ยว” 
ไม่ได้เป็นพันธุ์ไม้ที่มาจากประเทศฮอลแลนด์ หรือมีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดนะคะ
คงเพราะ ด้วยเป็นพันธุ์ผสม จึงมีลักษณะเด่นที่ดอก ที่ใหญ่กว่าชงโคทั่วไป กลีบดอกใหญ่กว่า มีสีสันสดใสกว่า 



ชงโคฮอลแลนด์ อยู่ในวงศ์ย่อยของ ต้นราชพฤกษ์ (คูน)   ต้นคูน ดอกสีเหลือง แต่ขนาดเล็กกว่า ชงโคฮอลแลนด์ สูงประมาณ 5-15 เมตร เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ทรงพุ่ม แผ่กว้าง รูปทรงไม่แน่นอน ใบมนหรือเว้าคล้ายรูปหัวใจ ดูคล้ายใบแฝด เป็นไม้ผลัดใบ ออกดอกสีชมพูอมม่วงเข้มขนาดใหญ่ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ  ออกดอกตลอดปี แต่ดอกจะดกในช่วงฤดูหนาว แล้วจะผลิใบในช่วงเดือนเมษายน–พฤษภาคม จัดเป็นไม้ยืนต้น ที่เหมาะจะปลูกในบ้าน เป็นไม้โตเร็ว ชอบดินระบายน้ำดี ทนแล้ง ให้ร่มเงาไม่มากนัก ทรงพุ่มโปร่ง 

ชงโคฮอลแลนด์ จัดว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง เพราะสำหรับชาวฮินดูแล้วถือว่าต้นชงโคเป็น ต้นไม้ของสวรรค์ที่อยู่ในเทวโลก ควรค่าแก่การเคารพบูชาและปลูกไว้ในบริเวณบ้านหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะต้นไม้ประดับ 

ส่วนชื่ออื่นๆ ชงโค มีชื่อเรียกตามพื้นเมืองดังนี้
เสี้ยวเลื่อย  (ภาคใต้)
เสี้ยวดอกแดง  (ภาคเหนือ)
เสี้ยวหวาน  (แม่ฮ่องสอน
กะเฮอ สะเปซี  (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) 

 


วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง OST.บุพเพสันนิวาส 2

 ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง OST.บุพเพสันนิวาส 2

ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
ว่ารักของเธอชั่วคราว หรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่ง ที่เธอให้ความสำคัญ
เมื่อเธอสบตาคู่นั้น เธอรู้สึกอย่างไร
รักหนึ่งอาจเกิดด้วยใครลิขิต หรือมันอาจเกิดด้วยตาต้องใจ
หรือมันอาจเกิดด้วยเหตุผลใด ใครเล่าเลยใครจะเลยล่วงรู้
อาจเกิดเพราะใครกำหนด หรือใครขีดกฎเกณฑ์ไว้ให้เจอ
ให้เราต้องพบกันอยู่เสมอ ทุกครั้งไป
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
ว่ารักของเธอชั่วคราว หรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่ง ที่เธอให้ความสำคัญ
เมื่อเธอสบตาคู่นั้น เธอรู้สึกอย่างไร
เมื่อรักผลิบานในความรู้สึก เธอไม่ต้องตรึกตรองลึกลงไป
ขอเธอติดตามฟังเสียงหัวใจ พาล่องลอยไปจนไกลหลุดฝัน
เมื่อรักไม่อาจกำหนด และไม่อาจกดเก็บไม่ให้เกิด
เธอเพียงแค่ปล่อยให้ใจเตลิด ลอยไป
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
ว่ารักของเธอชั่วคราว หรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่ง ที่เธอให้ความสำคัญ
เมื่อเธอสบตาคู่นั้น เธอรู้สึกอย่างไร
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง และติดตราตรึงหัวใจ
ความรักจะเกิดขึ้นมาแบบไหน อย่างไรคงไม่สำคัญ
เท่าเธอรักด้วยทั้งหมด ทุกสิ่งที่มันเป็นฉัน
ในชีวิตนี้แค่นั้นที่ใจฉันต้องการ
แม้นานแค่ไหน
จะเป็นความรักหนึ่งเดียวที่ใจ ฉันต้องการ

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2565

กลอน ฤดูกาล

 


ฤดูกาลเปลี่ยนไป
ไมหยุดหย่อน
มีทั้งร้อนลมฝน
ระคนหนาว
มีแสงแดดแผดส่อง
ละอองดาว
มีทั้งคราวหนาวเหน็บ
เจ็บถึงทรวง
ชีวิตคนก็เหมือนกัน
ดังนั้นแน่
อาจมีแปลเปลี่ยนไป
คล้ายกังหัน
ทุกข์สุขเศร้าสลับเปลี่ยน
หมุนเวียนวัน
จงอย่าพลันท้อแท้
ให้แพ้กาล

***



วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2565

ขงเบ้ง คำคม

 คำคม108

คำคมขงเบ้ง ข้อคิดขงเบ้ง ข้อคิดดีๆ ข้อความดีๆ ข้อความซึ้งๆ คำคมสอนใจ ข้อความสอนใจ คำคมดีๆ ข้อคิดเตือนสติ คำคมเตือนสติ ข้อความให้กำลังใจ ข้อความโดนๆ ข้อความแรงๆ ข้อความถูกใจ คำคมถูกใจ คำคมโดนใจ คำคมผู้นำที่ดี ข้อปฏบัติผู้นำที่ดี เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามขงเบ้ง หรือไม่ก็เคยอ่านหนังสือขงเบ้งกันมาแล้ว ขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง อยู่ในช่วงยุคสมัยของสามก๊ก เป็นผู้ที่มีอุปนิสัยและความคิดที่ฉลาดปราดเปรือง รอบรู้ทั้งวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ การเมืองการปกครอง การทูต คุณธรรม เจ้าความคิด จอมวางแผนที่เฉียบขาด หลายๆครั้งที่ขงเบ้งจะปะทะปราชญ์กับผู้ที่มาเยี่ยมเยือน จึงมีวาทะขงเบ้งที่ให้ข้อคิด ที่เป็นคำคมสอนใจ สามารถใช้เตือนสติเราได้ วาทะเหล่านี้จึงทำให้เกิดคำคมขงเบ้งขึ้นมากมายตราบชั่วลูกชั่วหลาน

คําคมขงเบ้ง
เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว

อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม

อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล
อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย

ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

ผู้ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง
จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3

ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี


มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว
ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ

คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว
คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว

ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้
จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี

ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง
ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ

ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น

ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียว กับเขา
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่


อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ใช่ หรือ อาจจะ” เขามีความหมายว่า “อาจจะ”
เมื่อนักการฑูตพูดว่า “อาจจะ” เขามีความหมายว่า “ไม่”
เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ไม่” เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ไม่” หล่อนมีความหมายว่า “อาจจะ”
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “อาจจะ” หล่อนมีความหมายว่า “ใช่ หรือ ได้”
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ใช่ หรือ ได้” หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ

ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า

ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน

ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน

นั่งภูดูเสือ กัดกัน

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท

ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้
ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้
น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น

ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด
แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่

โลกกลมๆใบนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ

ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้
ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้

น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น

ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด
แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่

โลกกลมๆใบนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ

อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง

คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย

ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
 
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น

ในโลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีคำว่าแน่นอน
ความปราถนาอย่างแรงกล้า นั่นแหละคือเหตุผล

คนเราเมื่อม้าตาย ก็ต้องลงเดิน

คนเราจะไม่ต้องใช้สมองเลย ถ้าพูดแต่ความจริง

ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้แต่อย่าริษยา พักได้แต่อย่าหยุด

ถ้าคุณไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร

น้ำใจส่วนน้ำใจ เหตุผลส่วนเหตุผล

เรื่องดีหรือเรื่องร้ายทางที่ดีบอกกันก่อน

หนทางยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ

เราจะเห็นค่าความอบอุ่น ก็ต่อเมื่อเราผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว

อันตรายที่สุดสำหรับชีวิตคนเรา คือ การคาดหวัง

เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย

สวรรค์นั้นพึ่งยาก คนนั้นพึ่งยากกว่า

อย่ายอมแพ้ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่

จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์

เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
เบื้องหลังของสติ สมควรมีอารมณ์

ไม่มีคำว่าบังเอิญในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่าตั้งใจ

ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใส
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว

ไม่เป็นขุนนางน่ะได้ แต่ไม่เป็นคนน่ะไม่ได้

มีแต่วันนี้ ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแก้ พรุ่งนี้ก็สายเกินไป

เพื่อนกิน เพื่อนกัน เพื่อนกินไม่ทัน เพื่อนกันเอาไปกิน

ชะตาฟ้าลิขิต…แต่ชีวิตนะของเรา

รักแท้ต้องแย่งชิง..รักจริงต้องปล่อยไป

ตัดกระดาษต้องใช้กรรไกร .แต่ตัดใจต้องใช้เวลา

สิ่งเดียวที่จะทำให้คนชั่วชนะก็คือ ‘การที่คนดีนิ่งดูดาย’

กำขี้ดีกว่ากำตด แต่ถ้ากำขี้สดๆกำตดจะดีกว่ากำขี้

ทำแล้วเสียใจ ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ

กระบี่อยู่ที่ใจ แค่ไม้ไผ่ก้อไร้เทียมทาน

ดี-ชั่ว ไม่ได้เป็นที่กรรมพันธุ์…
ตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน







เนื้อเพลง