วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2565

หนองหาร ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ อันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากบึงบระเพ็ด

และอันดับ 1 ในภาคอีสาน มีเนื้อที่กว่า 77,000 ไร่

ความลึกเฉลี่ยประมาณ 2.0-10.0 เมตร มีเกาะน้อยใหญ่ เกือบ 30 เกาะ
ความเชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

 
มีตำนานมากมายเกี่ยวกับพญานาคหนึ่งในนั้นคือ
" ตำนานผาแดง นางไอ่"

      ครั้งหนึ่งยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อ นครเอกชะทีตา มีพระยาขอมเป็นกษัตริย์ ปกครองเมืองด้วยความร่มเย็น พระยาขอมมีพระธิดาสาวสวยนามว่า "นางไอ่คำ" ซึ่งเป็นที่รักและหวงแหนมาก พระยาขอมจึงสร้างปราสาท 7 ชั้นให้อยู่ พร้อมเหล่าสนม นางกำนัล ให้คอยดูแลนางอย่างดี

ความงามของนางเป็นที่เลืองลือไปทั่ว เป็นที่หมายปองของบรรดาเจ้าชายเมืองต่างๆ มากมาย

ขณะเดียวกันยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อ เมืองผาโพง มีเจ้าชายนามว่า ท้าวผาแดง เป็นกษัตริย์ ปกครองอยู่ ท้าวผาแดงได้ยิน กิตติศัพท์ความงามของธิดาไอ่คำก็ใคร่อยากจะเห็นหน้า จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้า พเนจรมาจนถึงนครเอกชะทีตา ก็ให้มหาดเล็กนำของขวัญลอบ เข้าไป ให้นางไอ่คำ เมื่อมหาดเล็กนำสิ่งของไปมอบให้และเล่าถึงความงามของท้าวผาแดงให้นางไอ่คำฟัง นางก็เกิดความพึงพอใจ และฝากเครื่องบรรณาการไปให้ท้าวผาแดงเป็นการตอบแทนด้วยเช่นกัน ก่อนที่มหาดเล็กจะเดินทางกลับ นางไอ่คำได้ฝากคำกล่าวเชิญท้าวผาแดงซึ่งรออยู่นอกเมืองให้เข้าไปในเมืองขอมเพื่อพบกับนางด้วย ทันทีที่ทั้งสองได้พบกันก็เกิดเป็นความรักขึ้นมา

            กล่าวถึง “ท้าวพังคี โอรสของ “ท้าวสุทโธนาคราช เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ท้าวพังคีก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเห็นความงามของนางไอ่คำ ด้วยเช่นกัน 

อาจจะเป็นเพราะผลกรรมที่ทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนก็เป็นได้ ด้วยท้าวพังคีได้เคยเกิดเป็นชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ยากจนและเป็นใบ้ เขาเดินขอทานไปตามหมู่บ้านต่างๆ จนมาถึงบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง จึงได้ไปขออาศัยอยู่และช่วยเศรษฐีทำงานโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เศรษฐีพอใจและรักใคร่เป็นอย่างมากถึงกับยกลูกสาวคนหนึ่งให้แต่งงานเป็นภรรยา ซึ่งก็คือนางไอ่คำในชาติปัจจุบัน เมื่อแต่งงานแล้วชายหนุ่มแทนที่จะดูแลรักใคร่ภรรยาของตน เขากลับไม่สนใจใยดีนางเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยหลับนอนด้วยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนภรรยาก็ไม่เคยปริปากบอกใครเฝ้าปรนนิบัติสามีด้วยดีเสมอมา

            กระทั่งวันหนึ่งชายหนุ่มเกิดคิดถึงบ้าน จึงขอพาภรรยาเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านของตน เศรษฐีจึงให้บ่าวไพร่เตรียมเสบียงอาหารให้ในการเดินทาง ตลอดทางชายหนุ่มไม่สนใจดูแลนางอีกเช่นเคย และด้วยระยะทางที่ไกลมาก ทำให้เสบียงที่เตรียมมาหมดลงกลางทาง ทั้งสองรู้สึกหิวมาก ขณะนั้นเองเขาก็เห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งมีผลสุกเต็มต้นเขาจึงปีนขึ้นไปเก็บกินด้วยความหิว โดยไม่คิดจะเก็บลงมาแบ่งให้นางบ้าง เมื่อสามีปีนลงมาจากต้นมะเดื่อ นางจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปเก็บกินเอง เมื่อกินอิ่มแล้วนางก็ปีนกลับลงมาจากต้นมะเดื่อ แต่ทว่านางกลับไม่พบสามีเสียแล้ว นางรู้สึกทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง นางจึงเดินไปเพียงลำพัง พอเดินมาถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง นางจึงลงไปอาบน้ำและดื่มกินจนรู้สดชื่น การที่สามีทำกับนางเช่นนี้นางรู้สึกเสียใจมาก นางจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ชาติหน้าเมื่อเขาเกิดมา ขอให้นอนตายอยู่บนกิ่งไม้ อย่าได้เป็นสามีภรรยากันอีกเลย ด้วยแรงอธิษฐานของนาง ในชาติต่อมาสามีของนางจึงเกิดมาเป็นท้าวพังคี ส่วนนางได้เกิดมาเป็นนางไอ่คำ

เมื่อนางไอ่คำเติบโตเป็นสาว พระยาขอมผู้เป็นบิดาได้มีประกาศแจ้งข่าวไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ให้จัดบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันเพื่อบูชาพระยาแถนให้บันดาลฝนตกลงมาตามฤดูกาล และหากบั้งไฟของผู้ใดขึ้นสูงกว่า คนๆ นั้นจะได้แต่งงานกีบนางไอ่คำ โดยกำหนดวันขึ้น 15 เดือน 6 เป็นวันงาน ในวันงานมีเจ้าชายจากเมืองน้อยใหญ่ส่งบั้งไฟมาแข่งกันมากมาย มีผู้คนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก 
ท้าวผาแดงก็ได้นำบั้งไฟมาร่วมด้วย พระยาขอมให้การต้อนรับท้าวผาแดงเป็นอย่างดี ฝ่ายท้าวพังคีโอรสเจ้าเมืองบาดาล รู้ข่าวอยากมาร่วมงานที่เมืองมนุษย์ด้วย ท้าวบาดาลผู้เป็นบิดาห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ก่อนเดินทางมาถึงเมืองเอกชะทีตา ท้าวพังคีสั่งให้บริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง ส่วนตนเองแปลงร่างเป็นกระรอกเผือก ออกติดตามชมความงามของนางไอ่คำในขบวนแห่ของเจ้าเมืองไปอย่างหลงใหล

         การแข่งขันบั้งไฟเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ซึ่งการแข่งขันบั้งไฟครั้งนั้น พระยาขอมประกาศว่า ถ้าบั้งไฟของใครชนะบั้งไฟของพระยาขอมได้ พระยาขอมจะยกนางไอ่คำให้เป็นคู่ครอง ผลการแข่งขันปรากฏว่าไม่มีบั้งไฟของใครชนะพระยาขอมได้เลย  ส่วนบั้งไฟของท้าวผาแดง จุดไม่ขึ้นพ่นควันดำอยู่ 3 วัน 3 คืน จึงระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ความหวังท้าวผาแดงหมดสิ้นลง การแข่งขันเพื่อได้นางไอ่คำเป็นรางวัลจึงต้องล้มเลิกไป

            เมื่องานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้ว ท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลไม่ได้ เพราะหลงใหลในความงามของนางไอ่คำจึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอีกครั้งและแขวนกระดิ่งทองไว่ที่คอไว้ เมื่อกระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่ กระดิ่งทองมีเสียงดังกังวาลขึ้น นางไอ่ได้ยินเสียงก็เกิดความสงสัยเปิดหน้าต่างออกไปเห็นกระรอกเผือกและเกิดอยากได้ นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย นายพรานออกติดตามกระรอกเผือกตามไปติดๆ แต่ยังจับไม่ได้สักที จึงไล่ตามไปเรื่อยๆ จนมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้น กระรอกเผือกก้มหน้าก้มตากินผลมะเดื่อด้วยความหิว และด้วยกรรมในชาติปางก่อน ในที่สุดพรานจึงได้โอกาสยิ่งกระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งมีลูกดอกอาบยาพิษ

            เวลานั้นท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้ตัวว่าตนเองต้องตายแน่ๆ จึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาทราบก่อนตาย และตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคนทั้งเมืองได้ทั่วถึง เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตายร่างของกระรอกเผือกก็ใหญ่โตขึ้น นายพรานได้ชำแหละเนื้อกระรอกเผือกแจกจ่ายไปให้ผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงกินโดยทั่วกัน ยกเว้นเหล่าแม่ม่ายที่ชาวบ้านรังเกียจไม่ให้เนื้อกระรอกกิน เมื่อบริวารไปบอกท้าวสุทโธนาคราช เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ก็ทรงโกรธแค้นมาก จึ่งสั่งบ่าวไพร่จัดพลขึ้นไปอาละวาดเมืองพระยาขอมให้ถล่มทลายด้วยความแค้น ใครที่กินเนื้อกระรอกให้ฆ่าเสียให้หมด ขณะที่พญานาคออกอาละวาดทำลายบ้านเมืองอยู่นั้น ท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า “บักสาม” มุ่งหน้าไปหานางไอ่คำ ระหว่างทางเห็นพญานาคเต็มไปหมด และเล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่คำฟัง แต่นางไม่สนใจและนำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ท้าวผาแดงกิน ท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไร นางตอบว่า เป็นเนื้อกระรอกเผือก ท้าวผาแดงจึงไม่ยอมกิน

พอตกกลางคืนเหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จู่ๆ แผ่นดินเมืองเอกชะทีตาก็ถล่มทลายลง  ท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาคจึงคว้าแขนนางไอ่คำขึ้นหลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองเพื่อให้ปลอดภัย แต่เนื่องจากนางไอ่คำกินเนื้อกระรอกเผือกเข้าไป แม้จะหนีไปทางไหนก็ถูกพวกพญานาคติดตามไปอย่างไม่ลดละในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินทันทีนางไอ่จมดินหายไปต่อหน้าต่อตา 

ส่วนท้าวผาแดงเมื่อกลับถึงเมืองผาโพง เกิดตรอมใจคิดถึงนางไอ่คำตลอดเวลา จนล้มป่วยตรอมใจตายตามนางไอ่คำไป 

เมื่อท้าวผาแดงตายไปเป็นผี มีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วาย ครั้นมีโอกาสเหมาะ ผีท้าวผาแดงได้รวบรวมบริวารกองทัพผีเป็นแสนๆ ไปรบกับพญานาคให้หายแค้น โดยล้อมเมืองบาดาลไว้รอบด้าน ผีท้าวผาแดงและท้าวสุทโธนาคราชเจ้าเมืองบาดาล ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่มีใครแพ้ใครชนะ ฝ่ายเจ้าเมืองบาดาล ซึ่งแก่ชรามากแล้วไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไป เพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรย จึงไปขอร้อง ท้าวเวสสุวัณ ผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินให้ ท้าวเวสสุวัณทราบว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่า จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกัน อโหสิกรรมให้กัน เมื่อผีท้าวผาแดงและพญานาคราชได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณก็เข้าใจ เหตุการณ์ทั้งหมดจึงยุติลงนับแต่นั้นมา

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

โสนน้อยเรือนงาม

     

     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ. นครแก้วนพรัตน์ เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งซึ่งปกครองโดยท้าวกาลศึกและพระมเหสีประไพลักษณา  ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสรูปงาม  พระนามว่า พระวิจิตรจินดา ครั้นพระวิจิตรจินดาเจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่นได้ขออนุญาตพระบิดาและพระมารดาไปประพาสป่า

    พระวิจิตรจินดาชมนกชมไม้  จนกระทั่งเดินมาถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง  จึงสั่งให้เสนาอำมาตย์และทหารหยุดพัก  ส่วนพระองค์ไปนั่งพักบนแท่นศิลาใต้ต้นไทร  ทันใดนั้นพระองค์ก็ล้มลงและสิ้นพระชนม์ทันที

   เหล่าทหารต่างตกใจรีบพากันเข้าไปช่วยนวดเฟ้นแต่ก็ไม่สามารถทำให้พระวิจิตรจินดารู้สึกพระองค์เสนาอำมาตย์จึงสั่งให้ทหารกลับไปแจ้งข่าวร้ายให้พระราชาและพระมเหสีทราบ  ทั้งสองพระองค์ฟังเรื่องราวด้วยความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก

   ท้าวกาลศึกสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่จัดขบวนไปอัญเชิญพระศพกลับพระนคร  เมื่อมาถึง  ท้าวกาลศึกเห็นพระศพและแปลกใจที่พระโอรสสิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุ  จึงให้โหรหลวงทำนายดวงชะตาของพระโอรส

   โหรหลวงกราบทูลว่า   เมื่อชาติปางก่อน  พระโอรสเคยฆ่าพญานาคตาย พญานาคคิดอาฆาตพยาบาท  จึงมาคายพิษไว้บนแท่งศิลาเพื่อรอเวลาแก้แค้น  เมื่อพระโอรสประทับบนแท่นศิลาจึกถูกพิษร้ายของพญานาค  ทำให้สิ้นพระชนม์  ซึ่งถือเป็นการชดใช้หนี้กรรมเก่าที่พระองค์ได้กระทำไว้

   โหรหลวงกราบทูบต่อว่าพระโอรสมีโอกาสฟื้นโดยจากนี้ไปอีกเจ็ดปี  จะมีพระธิดาจากต่างเมืองมาช่วยชุบชีวิต   กษัตริย์ทั้งสองจึงนำพระศพของพระโอรสตั้งไว้บนพลับพลาในพระราชอุทยานเพื่อรอคอยพระธิดาจากต่างเมืองมาช่วย

   กล่าวถึงนครโรมวิสัย  มีพระราชาปกครองนคร  พระนามว่า ท้าวหัสวิชัยและพระมเหสีคู่พระทัยพระนามว่า เกศิณี ต่อมานางได้ให้กำเนิดพระธิดาพร้อมมีเรือนไม้โสนติดมาด้วย  ท้าวหัสวิชัยจึงประทานนามให้ว่า โสนน้อยเรือนงาม

   ต่อมาเมื่อพระธิดาโสนน้อยเจริญวัยได้สิบห้าปีบ้านเมืองเกิดข้าวยากหมากแพง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล  ท้าวหัสวิชัยให้โหรหลวงทำนาย พบว่าบัดนี้ดวงชะตาพระธิดาเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมืองหากให้อยู่ในพระนครต่อไปราษฎรจะได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส   กษัตริษย์ทั้งสองตกใจมากแต่ไม่มีทางเลือกอื่นใด  เพื่อหพระธิดาโสนน้อยเห็นแก่บ้านเมืองและราษฎร   จึงให้ออกจากพระนครไปก่อน

   พระธิดาโสนน้อยแต่งเป็นหญิงชาวบ้านพร้อมนำเครื่องทรงห่อผ้าออกเดินทางเข้าป่าเพียงลำพัง           กล่าวถึงพระอินทร์บนสวรรค์ เห็นว่าพระธิดาโสนน้อยกำลังตกระกำลำบาก  จึงแปลงกายเป็นชีปะขาวลงมาช่วยและมอบยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟี้นขึ้นมาได้

   ระหว่างทาง   พระธิดาโสนน้อยได้พบหญิงชาวป่าคนหนึ่งถูกงูกัดนอนตายอยู่  พระธิดาเกิดความสงสารจำนำยาวิเศษชโลมที่บาดแผลทำให้หญิงสาวฟื้นขึ้นมา  นางขอบใจพระธิดาโสนน้อยที่ช่วยชีวิตตนไว้และขอติดตามเป็นทาสรับใช้และแนะนำตนเองว่าชื่อ  กุลา

  แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางจนกระทั่งถึงเมืองแก้วนพรัตน์และได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระวิจิตรจินดา  พระธิดาโสนน้อยจึงขออาสารักษาพระโอรส ทหารจึงพาหญิงสาวทั้งสองเข้าเฝ้าพระราชและพระมเหสี  พระธิดาโสนน้อยกราบทูลว่านางเป็นธิดากษัตริย์แห่งนครโรมวิสัยชื่อโสนน้อยเรือนงามและกุลาเป็นสาวใช้ผู้ติดตาม

   ก่อนเริ่มพิธี  พระธิดาโสนน้อยนำเครื่องทรงมาสวมใส่แล้วนำยาวิเศษไปชโลมตัวพระวิจิตรจินดาเมื่อยาออกฤทธิ์   พิษของพญานาคก็เป็นไอออกมา  พระธิดาโสนน้อยรู้สึกร้อนไปทั่วกายจึกถอดเครื่องทรงและฝากผอบยาไว้กับกุลาแล้วออกไปอาบน้ำ

   ฝ่านกุลาเห็นพระวิจิตรจินดารูปงามก็เกิดหลงรักจึงคิดแผนร้ายปลอมเป็นพระธิดาโสนน้อย       เมื่อพระธิดาโสนน้อยชำระร่างกายเสร็จแล้วกลับเข้าไปเห็นกุลาแต่งเครื่องทรง  จึงถามกุลาว่าทำไมเอาเปาเสื้อผ้าของนางมาใส่  กุลากลัวพระวิจตรจินดารู้ความจริง  จึงด่าว่าพระธิดาโสนน้อยว่านางเป็นเพียงททาวรับใช้ชื่อกุลา  พระธิดารู้สึกเสียทีกุลาแล้วจำต้องนิ่งเงียบ

   พระวิจิตรจินดาและพระบิดาและพระมารดาก็ยังมีความสงสัยในนางกุลา จึงให้นางเย็บกระทงใบตองถวาย นางกุลาทำไม่ได้โยนใบตองทิ้งไป โสนน้อยเรือนงามเก็บใบตองมาเย็บเป็นกระทงสวยงาม นางกุลาก็แย้งไปถวายพระราชบิดามารดาของพระวิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษกกับนางกุลาจึงขอลาพระบิดาพระมารดาไปเที่ยวทางทะเล พระบิดาพระมารดาให้นางกุลาย้อมผ้าผูกเรือ นางกุลาก็ทำไม่เป็น โยนผ้าและสีทิ้ง โสนน้อยเรือนงามเก็บผ้าและสีไปย้อมได้สีงดงาม นางกุลาก็แย้งนำไปถวายพระบิดาพระมารดาอีก
    เมื่อพระวิจิตรจินดาจะออกเรือก็ปรากฎว่าเรือไม่เคลื่อนที่พระวิจิตรจินดาทรงคิดว่าคงมีผู้มีบุญในวังต้องการฝากซื้อของ เรือจึงไม่เคลื่อนที่จึงให้ทหารมาถามรายการของที่คนในวังจะฝากซื้อ ทุกคนก็ได้มีโอกาสฝากซื้อ แต่โสนน้อยเรือนงามอยู่ใต้ถุนถึงไม่มีใครไปถาม เรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารกลับไปค้นหาคนในวังที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของ ทหารจึงได้ไปค้นหานางโสนน้อยเรือนงามได้ นางจึงฝากซื้อ " โสนน้อยเรือนงาม " เมือพระวิจิตรจินดาเดินทางไป ลมก็บันดาลให้พัดไปยังเมืองโรมวิสัยของพระบิดาของโสนน้อยเรือนงาม พระวิจิตรจินดาซื้อของฝากได้จนครบทุกคน ยกเว้นโสนน้อยเรื่อนงาม พระวิจิตรจินดาจึงสอบถามจากชาวเมือง ชาวเมืองบอกว่าโสนน้อยเรือนงามมีอยู่แต่ในวังเท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงเข้าไปในวังและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงามไปให้นางข้าทาส พระบิดาของโสนน้อยเรือนงามทรงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาส ก็ทรงทราบว่าเป็นพระธิดา จึงมอบโสนน้อนเรือนงามให้พระวิจิตรจินดาและให้ทหารตามมาสองคน.
    เมื่อพระวิจิตรจินดากลับถึงบ้านเมือง ทหารสองคนก็ไปทำความเคารพนางโสนน้อยเรือนงาม และเรือนวิเศษก็ขยายเป็นเรือนใหญ่มีข้าวของเครื่องใช้พระธิดาครบถ้วน โสนน้อยเรือนงามก็เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น พระวิจิตรจินดาจึงแน่ใจว่าโสนน้อยเรือนงามเป็นพระราชธิดาที่รักษาตน จึงจะฆ่านางกุลาแต่โสนน้อยเรือนงามขอชีวิตไว้ พระวิจิตรจินดาก็ได้อภิเษกกับนางโสนน้อยเรือนงาม ชาวเมืองทุกคนต่างร่วมแสดงความยินดีกับทั้งสองพระองค์


    หลายเดือนผ่านไป  พระวิจิตรจินดาพาพระธิดาโสนน้อยกลับไปเยี่ยมพระบิดาและพระมารดาที่นครโรมวิสัยโดยทางเรือ  ระหว่างทางเกิดพายุอย่างแรงทำให้เรือถล่ม  พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยถูกกระแสน้ำพัดไปคนละทิศละทาง   พระธิดาโสนน้อยถูกพัดขึ้นชายฝั่งเขตชาตแดนเมืองยักษ์ที่มีท้าวจตุรพักตร์และพระมเหสีสร้องทองปกครอง นางออกตามหาพระสวามีจนเจอกับเงาะหญิงที่กำลังร่ำไห้กับศพของเงาะชายผู้เป็นสามี  จึงเข้ามาช่วยชุบชีวิตเงาะชายให้ฟื้นเงาะทั้งสองดีใจมากขอเป็นทาสรับใช้และช่วยตามหาพระวิจิตรจินดา

      วันหนึ่ง  ท้าวจตุรพักตร์ออกมาหาอาหารจได้เจอพระธิดาโสนน้อยและเงาะทั้งสอง   จึงจับทั้งสามไปขังไว้  ท้าวจตุรพักตร์เห็นความงามของพระธิดาโสนน้อยก็เกิดหลงรัก  จึงจับนางไปขังไว้ในปราสาท ขณะที่ท้าวจตุรพักตร์พูดหว่านล้อมให้พระธิดาโสนน้อยยอมเป็นพระชายา  และหมายจะแตะเนื้อต้องตัวพระธิดา แต่พระธิดาโสนน้อยไม่ยอมจึงทำให้ท้าวจตุรพักตร์โกรธมากที่ทำอะไรไม่ได้  จึงสั่งทหารให้นำเอาพระธิดาโสนน้อย   ไปขังไว้บนหอคอย

      กล่าวถึงพระวิจิตรจินดา ซึ่งถูกพัดไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ขณะที่ออกตามหาพระธิดาโสนน้อยได้เจอกับพระฤๅษี พระฤๅษีทราบเรื่องทั้งหมดด้วยญาณวิเศษ จึงบอกให้พระวิจิตรจินดารีบไปช่วยพระธิดาโสนน้อยซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายที่เมืองจตุรพักตร์แล้วพระฤๅษีก็ช่วยชี้ทางไปเมืองยักษ์  พระวิจิตรจินดาเดินทางมาถึงเมืองจตุรพักตร์เกิดการต่อสู้กับเหล่าทหารยักษ์  ซึ่งสู่พระวิจิตจินดาไม่ได้ ล้มตายเป็นจำนวนมาก หนึ่งในทหารหนีรอดไปรายงานท้าวจุตรพักตร์ ท้าวจุตรพักตร์โกรธมาก จึงออกมาสู้กับพระวิจิตรจินดา แต่พลาดท่าเสียทีถูกพระวิจิตรจินดาใช้พระขรรค์แทงตาย

     หลังจากนั้น  พระวิจิตรจินดาเข้าไปช่วยพระธิดาโสนน้อยและเงาะทั้งสอง  ก่อนออกเดินทางพระธิดาโสนน้อยได้ใช้ยาวิเศษช่วยชุบชีวิตของท้าวจตุรพักตร์ให้ฟื้นขึ้นมา  พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยก็ออกเดินทางไปยังนครโรมวิสัย  ส่วนเงาะทั้งสองก็แยกกลับเข้าไปอยู่ในป่าพระวิจิตรจินดาพาพระธิดาโสนน้อยมาถึงเมืองโรมวิสัยและพักผ่อนได้ระยะหนึ่ง  ทั้งสองก็ทูลลากลับนครแก้วนพรัตน์

    พระวิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยครองรักกันอย่างมีความสุข  จนกระทั่งวันหนึ่ง กลาได้คิดแผนให่พระวิจิตรจินดาเข้าใจพระธิดาโสนน้อยผิด  จึงจับงูพิษมาใส่กล่องไม้จันทน์หอมแล้วนำเอามาให้พระธิดาโสนน้อยพร้อมบอกว่ากล่องนี้มีของวิเศษ ให้นำถวายพระวิจิตรจินดา     พระธิดาโสนน้อยหลงเชื่อกุลา  เมื่อถึงเวลาเข้าบรรทม  จึงมอบกล่องเห็นเป็นงูพิษคิดว่านางต้องการฆ่าตน  จึงเนรเทศพระธิดาโสนน้อยและกุลาให้ออกจากพระนคร  แม้ว่านางว่าอธิบายความจริงให้ฟังอย่างไร พระองค์ก็ไม่เชื่อ

     พระธิดาโสนน้อยจำต้องออกจากพระนครพร้อมลูกในครรภ์โดนมีกุลาติดตามไปด้วย  ทั้งสองเดินทางมาจนพบพระฤๅษีปู่เจ้า  จึงขอนั่งพักเหนื่อยระหว่างนั้น  กุลาเดินไปพบบ่อน้ำสองบ่อ ซึ่งเป็นน้ำสีเหลืองและสีดำ นางสงสัยเลยเอานิ้วจุ่มลงในบ่ปรากฎว่าเอามือจุ่มลงน้ำสีดำเกิดเป็นแผลออกร้อน ต่อมานางเอามือไปจุ่มลงน้ำสีเหลืองนิ้วนางกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

     ขณะนั้นความคิดชั่วร้ายก็เกิดขึ้น  กุลาจึงไปเรียกพระธิดาโสนน้อยมาดูบ่อน้ำวิเศษ  เมื่อกุลากระโดดลงไปบ่อน้ำสีทองพอกลับขึ้นมาด้วยหน้าตาที่สวยงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นจากนั้นกุลาเดินไปใกล้ๆ พระธิดาโสนน้อยที่ยืนอยู่ปากบ่อน้ำสีดำ เมื่อนางเผลอกุลาจึงผลักตกลงในบ่อน้ำสีดำพระธิดาโสนน้อยกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ มีแผลเต็มตัว  เช้าวันต่อมา ทั้งสองกราบลาพระฤๅษีปู่เจ้าแล้วออกเดินทางมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชายแดนเมืองโรมวิสัย  ทั้งสองได้พักอาศัยบ้านสองตายายคู่หนึ่ง พระธิดาโสนน้อยช่วยสองตายายทำงานแต่กุลาไม่ช่วยอะไรเลยเที่ยวอวดความงามของตน

    วันหนึ่ง กุลาได้เจอกับลูกเศรษฐีรูปหล่อประจำหมู่บ้านชื่อวิไล ทั้งสองต่างถูกใจกัน วิไลชวนกุลาไปอยู่ด้วย กุลานึกถึงแก้วแหวนเงินทองและความสุขสบายจึงตกลงไปอยู่ด้วยพร้อมเอาพระธิดาโสนน้อยไปเป็นทาสรับใช้  หลายเดือนพาไปครรภ์ของพระธิดาโสนน้อยใหญ่ขึ้น กุลาคิดที่จะกำจัดลูกของนาง เมื่อครบกำหนดครอด พระธิดาโสนน้อยให้กำเนิดบุตรชายและสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย หมอตำแยนำผ้ามาห่อพระกุมารแล้วส่งให้บ่าวรับใช้ใส่ตะกร้านำพระกุมารไปโยนทิ้งลงแม่น้ำ กล่าวถึงพระกุมาร ด้วยความเป็นผู้มีบุญญาธิการเกิดปาฏิหาริย์ ตะกร้าไม่จมน้ำแต่ลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่งและได้รับการช่วยเหลือจากพระฤๅษีจึงนำพระกุมารมาเลี้ยงและตั้งชื่อว่า ไพรวัลย์ พระฤๅษีเลี้งดูไพรวัลย์จนเติบใหญ่พร้อมสอนวิชาป้องกันตัวให้กับไพรวัลย์

    พระวิจิตรจินดารอนแรมตามหาพระธิดาโสนน้อยด้วยความมุ่งมั่น จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้เจอกับไพรวัลย์ที่กำลังเล่ากวางป่า จึงถามว่าเป็นลูกใคร  ไพรวัลย์จึงบอกว่าตนเองอาศัยอยู่กับพระฤๅษี  พระวิจิตรจินดาแปลกใจและหลุดพูดออกมาว่า พระฤๅษีมีลูกได้อย่างไรคำพูดของพระวิจิตรจินดาสร้างความไม่พอใจให้กับไพรวัลย์ เพราะคิดว่าพระวิจิตรจินดาพูดจาลบหลู่พระฤๅษีไพรวัลย์จึงแผลงศรไปยังพระวิจิตรจินดาแต่ศรกลายเป็นดอกไม้ร่วงหล่นลงตรงหน้าพระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์จึงลองแผลงศรอีกครั้ง ปรากฏว่าเปลี่ยนทิศเหินขึ้นฟ้า พระฤๅษีจึงรีบออกมาห้ามและบอกไพรวัลย์ว่าชายผู้นี้เป็นพ่อของไพรวัลย์ ชื่อว่า วิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดากราบขอบพระคุณพระฤๅษีที่ได้ช่วยชีวิตไพรวัลย์และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี

     พระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์ และทหารเดินทางจนเข้าเขตเมืองโรมวิสัย  พระวิจิตรจินดาสังให้ทหารไปสืบหาพระธิดาโสนน้อย แต่กลับเจอแต่พระธิดาโสนน้อยที่แสนจะอัปลักษณ์และกุลาแสนสวย หนึ่งในทหารจำได้ว่าหญิงอัปลักษณ์ก็คือพระธิดาโสนน้อยพระวิจิตรจินดาจึให้นำนางมาเข้าเฝ้านางเล่าเรื่องราวในอดีตตั่งแต่เคยช่วยพระองค์จนถึงเรื่องที่พระวิจิตรจินดาเข้าใจผิดเรื่องงูพิษได้อย่างถูกต้อง

 

    เมื่อเรื่องราวทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยแล้วพระวิจิตรดาพาพระธิดาโสนน้อยไปหาพระฤๅษีปู่เจ้าเพื่อให้ท่านช่วย พระฤๅษีได้ให้พระธิดาโสนน้อยลงไปชุบตัวในบ่อน้ำสีเหลือง นางก็กลับมางดงามเหมือนเดิมทางไปยังนครโรมวิสัย รัลไพรวัลย์เดินทางไปยังนครแก้วนพรัตน์และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2565

สอยดาว สาวเดือน

 

เรื่องย่อ

เรื่องของความรักและความใฝ่ฝัน ระคนการต่อสู้อันยิ่งใหญ่

บ้านลานเท พระนครศรีอยุธยา สมิง (ชนะ ศรีอุบล) ชายหนุ่มเลือดนักสู้ฆ่าโจรตายเพื่อชำระแค้นให้กับพ่อแม่ตัวเอง แต่สมิงก็ได้รับบาดเจ็บและหลบหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านกำนันธง (จำรูญ หนวดจิ๋ม) ศรีนวล (เพชรา เชาวราษฎร์) ลูกสาวเพียงคนเดียวของกำนันธง ที่เก่งการร้องลำตัดจนมีชื่อเสียงลือเลื่อง สมิงปองรักศรีนวลอยู่ แต่ศรีนวลรักสมิงเหมือนพี่ชายเท่านั้น

เลอสรร (มิตร ชัยบัญชา) ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านข้าหลวงเมืองอยุธยา (ม.ล.รุจิรา อิศรางกูร) จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เดินทางมาที่ลานเทเพื่อหาประสบการณ์ เลอสรรได้พบศรีนวลก็เกิดความรักใคร่กัน จนกระทั่งทั้งคู่ลักลอบได้เสียกัน เลอสรรสัญญาว่าเมื่อกลับไปถึงกรุงเทพฯแล้วจะกลับมาแต่งงานกับศรีนวล แต่ทว่าเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ แม่ของเลอสรรกลับไม่ยินยอม พร้อมกับบีบบังคับให้แต่งงานกับสร้อยเพชร (ชฎาพร วชิรปราณี) ลูกสาวของเพื่อนสนิทตัวเอง ศรีนวลตั้งท้องและคลอดออกมาเป็นผู้หญิงชื่อ สอยดาว โดยสมิงรับเป็นพ่อบุญธรรม ขณะที่เลอสรรก็มีลูกสาวกับสร้อยเพชร ชื่อ สาวเดือน และลูกชายชื่อ เกียรติกล้า

20 ปีผ่านไป เลอสรรได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และได้รับคำสั่งจากกรมตำรวจให้เดินทางไปลานเท เพื่อปราบปรามเหล่าโจรที่อาละวาดสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างหนัก คุณยายของเลอสรรได้เดินทางมาพ้กผ่อนที่บ้านในจังหวัดอยุธยาด้วย คุณยายได้พบกับสอยดาว (โสภา สถาพร) ที่โตเป็นสาวก็รู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมากโดยไม่ทราบว่าสอยดาวคือเหลนของตนเอง ท่านเข้าใจว่าสอยดาวเป็นลูกของชาวบ้านยากจนจึงต้องการจะอุปการะ จึงให้เลอสรรและท่านข้าหลวงไปเจรจากับพ่อแม่ของสอยดาวเพื่อขอรับสอยดาวไปอุปการะ

เมื่อตามสอยดาวมาจนถึงบ้านทำให้เลอสรรทราบว่าแท้จริงแล้ว สอยดาวคือลูกของตนเอง เลอสรรอ้อนวอนขอโทษจนศรีนวลและกำนันธงใจอ่อน ท่านข้าหลวงจึงเจรจาขอรับสอยดาวไปให้คุณแม่ของท่านอุปการะ แต่เมื่อสอยดาวมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ถูกกลั่นแกล้งจากสร้อยเพชร (ชฎาพร วชิรปราณี) และเกียรติกล้า (จีระศักดิ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา) ลูกชาย แต่สาวเดือน (วิภาวดี ตรียะกุล) กลับรักสอยดาวเหมือนพี่น้อง

สร้อยเพชรและเกียรติกล้าหาทางกลั่นแกล้งสอยดาว ด้วยการจ้างคนเข้ามาปลุกปล้ำสอยดาวแต่กลับพลาดพลั้งทำให้คุณยายเสียชีวิต สร้อยเพชรใส่ร้ายว่าสอยดาวนัดแนะผู้ชายให้เข้าไปหาและทำให้คุณยายเสียชีวิต เลอสรรโกรธมากจึงไล่สอยดาวออกจากบ้าน สมิงทราบเรื่องก็โกรธแค้นมากจึงนำสมุนเข้ามาปล้นสร้อยเพชรและเพชรกล้า แต่สมุนของสมิงพลั้งมือฆ่าสร้อยเพชรตาย เลอสรรได้ทราบความจริงเรื่องสร้อยเพชรคิดร้ายต่อสอยดาวก็รู้สึกเสียใจ

เลอสรรนำกำลังตำรวจเข้าปราบปรามชุมโจรของสมิง โดยมีศรีนวลติดตามไปด้วยเพื่อเกลี้ยกล่อมสมิงให้ยอมมอบตัว แต่ขณะที่เลอสรรกำลังจะถูกสมุนโจรลอบยิง สมิงกลับยอมสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องเลอสรร เพื่อชดใช้ความผิดทั้งหลายที่ได้ทำมา และเพื่อศรีนวลและสอยดาวหญิงสองคนที่สมิงรักยิ่งจะได้มีครอบครัวที่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก

เนื้อเพลง