วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564

คำสาปฟาโรห์

 

คำสาปฟาโรห์ 

คำสาปฟาโรห์ เป็นการ์ตูนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ แครอล (นางเอก) ลูกสาวคนเดียวของตระกูลลินตัน ซึ่งเธอทำป้ายดินเหนียวศักดิ์สิทธิ์แตก จึงทำให้เธอถูกไอซิส (พี่สาวพระเอก) นำตัวย้อนกลับมาในยุคอดีตในช่วงที่อาณาจักรลุ่มแม่น้ำไนล์เจริญรุ่งเรืองสุดขีด และได้พบกับ เมมฟิส (พระเอก) ฟาโรห์หนุ่มรูปงาม ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดปกครองอาณาจักรอียิปต์เมื่อ 3000 ปีก่อน

ปัจจุบัน คำสาปฟาโรห์ ยังคงมีตอนใหม่ออกมา และยังไม่มีกำหนดจบ

ตัวละครหลักในการ์ตูนเรื่อง คำสาปฟาโรห์

แครอล ลินตัน (Carol
ตัวเอกของเรื่อง เป็นเด็กสาวชาวอเมริกันจากยุคศตวรรษที่ 21 ผมสีทอง ตาสีฟ้า ผิวขาว อายุ 16 ปี เมื่อไปในอดีต ถูกเรียกว่า “เทพธิดาแห่งไนล์” มักจะถูกคนจากแคว้นต่างๆลักพาตัวไปอยู่เสมอ แต่เมมฟิสก็ไปช่วยกลับมาได้ทุกครั้ง
เมมฟิส (Memphis
ฟาโรห์หนุ่มรูปงามแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ เมื่อ 3 พันปีก่อน มีผมยาวตรง สีดำ นิสัยใจร้อน ขี้โมโห เหี้ยมโหด กล้าหาญ น่าเกรงขาม เมมฟิสเริ่มรักแครอลตั้งแค่แรกพบ และได้อภิเษกสมรสกันในที่สุด
ไอซิส (Isis
เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ เป็นพี่สาวของเมมฟิส มีรูปร่าง หน้าตางดงาม รักเมมฟิสน้องชายแท้ๆของตนเอง และเป็นคนพาแครอลไปในอดีต เธอต้องการที่จะฆ่าแครอล เพื่อที่จะเป็นราชินีแห่งอียิปต์
อิสมิล (Ishmin
เจ้าชายหนุ่มแห่งอาณาจักรฮิตไทท์โบราณซึ่งเป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงอนาโตเลีย มักจะเดินทางไปยังเมืองต่างๆเพื่อศึกษาและสำรวจ เขาตกหลุมรักแครอลตั้งแต่แรกพบ และหวังที่จะอภิเษกสมรสกับแครอลให้ได้

เรื่องย่อ คำสาปฟาโรห์

แครอล นักศึกษาชาวอเมริกัน ผมทอง ผิวขาว นัยน์ตาสีฟ้า ชื่นชอบอียิปต์โบราณและอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ พ่อของเธอออกทุนในการค้นคว้าเกี่ยวกับสุสานฟาโรห์แห่งอียิปต์ โดยที่พี่ชายชื่อรอย และเพื่อนคู่ใจ ไรอัน (ซึ่งจริงๆ แล้ว ไรอันนั่นก็คือ เมมฟิสกลับชาติมาเกิด ซึ่งจะรู้ในภาคที่5) ศาสตราจารย์ รวมทั้งเพื่อนชายคนรักของเธอ จิมมี่ รวมอยู่ในทีมสำรวจด้วย ทีมสำรวจค้นพบสุสานฟาโรห์เมมฟิส ภายหลัง ศพและของใช้ถูกขโมยไป

เมื่อแครอลทำป้ายดินเหนียวสะกดวิญญาณแตก เจ้าหญิงไอซิส พี่สาวเมมฟิส จึงฟื้นคืนชีพ ด้วยความแค้น เนื่องจากมีคนมายุ่งกับสุสานน้องชาย เธอจึงฆ่าพ่อของแครอลด้วยงูเห่า และพาเอาแครอล ผู้ซึ่งเป็นที่รักทุก ๆ คนกลับไปสู่โลกของอดีต

ย้อนอดีตกลับไปเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว ภายใต้การปกครองของฟาโรห์เมมฟิส ฟาโรห์เมมฟิส เป็นชายหนุ่มผมดำยาว ใบหน้าคมสันงดงาม รูปหล่อ แต่ดุร้าย และน่ากลัว มีทหารเอกคนสำคัญ ชื่อมินูเอล เจ้าหญิงไอซิสพี่สาวต่างมารดา หลงรักน้องชายตนเองอย่างมาก ที่เมืองฮิปไทท์ (เพื่อนบ้านอียิปต์) มีเจ้าหญิงมิดามอน เธอหลงรักเมมฟิส จึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สร้างความรำคาญใจแก่เจ้าหญิงไอซิส

ส่วนแครอล หลังจากเธอถูกนำตัวมาสู่อดีต ก็สลบอยู่ที่กอต้นปาปิรุสริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ทาสชื่อโซชีช่วยเหลือ ทุกๆวันจะต้องไปทำงานสร้างสุสาน แครอลต้องเอาโคลนทาตัวเพื่อปิดบังผิวพรรณที่ขาวผุดผ่อง และคลุมผ้าเพื่อซ่อนผมสีทองเสีย มีอยู่วันนึง แครอลออกมากลางดึก พบเมมฟิสเข้า เมมฟิสนำตัวแครอลมา โดยเห็นว่าเป็นของเล่นที่แปลกตา แรกๆก็กัดกัน ทะเลาะกันตลอด หลังๆ เขารักและหวงแหนเธอยิ่งนัก

เนื่องจากเจ้าหญิงมิดามอน ก็ชอบเจ้าชายเมมฟิส เจ้าหญิงไอซิสจึงจับเธอมาขังไว้ และในภายหลังก็ได้เผาเธอทั้งเป็น สร้างความโกรธแค้นให้แก่เจ้าชายอิสมิล เจ้าชายแห่งเมืองฮิปไทท์ พี่ชายเของเธอป็นอย่างมาก เจ้าชายอิสมิลวางแผนฆ่าฟาโรห์เมมฟิสด้วยการปล่อยงูเห่าให้กัดฟาโรห์จนเกือบตาย แครอลช่วยชีวิตเอาไว้และคอยดูแล

เมมฟิสจึงรู้สึกดีกับแครอลมาก ประกาศจะอภิเษกสมรสกับเธอ แต่แครอลดื้อดึง และขัดใจเมมฟิสอยู่เรื่อย เขาจึงส่งแครอลไปทำงานกลางทะเลทราย โดยให้อุนัส ทหารรับใช้ คอยติดตามดูแลเธอ ที่นั่นแครอลทำประโยชน์ไว้มากมาย เธอสามารถทำให้น้ำที่มีแต่โคลนตมสะอาด ด้วยวิธีการกรองน้ำ (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในศ.ต.ที่ 21) เธอรักษาคนที่ไม่สบายให้หาย และรู้วิธีตีดาบ รู้ประวัติและเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น จนอุปราชอิมูโฮเทป ประหลาดใจยิ่ง ราษฎรรักและเคารพแครอลเป็นอย่างมาก พวกเขายกย่องเธอให้เป็นธิดาแห่งไนล์ เธอเป็นที่รักใคร่และต้องการของชาวอียิปต์ สร้างความพอใจแก่เมมฟิสเป็นอย่างมาก

ชื่อเสียงเรียงนามของ ธิดาแห่งไนล์ ดังไปทั่วราชอาณาจักร เจ้าชายอิสมิล ซึ่งโกรธแค้นเมมฟิสเรื่องเจ้าหญิงมิดามอน ลักพาตัวแครอลไป โดยมีลูคา คอยรับใช้ และดูแลแครอลด้วย เจ้าชายอิสมิลตกหลุมรักแครอล จึงเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น ระหว่างเมืองอียิปต์ กับ เมืองฮิปไทท์ ที่เมืองอัสซีเรีย มีเจ้าชายอารูกอน ผู้รักสนุก เจ้าชู้ และบ้าผู้หญิง หมายจะชิงแครอลด้วยเช่นกัน ภายหลังต่อสู้กับเมมฟิสจนพ่ายแพ้และโดนตัดแขน ส่วนจามรี หญิงสาวที่สวยที่สุดในอัสซีเรีย หลังจากอารูกอนเมินเธอเพราะแครอล เธอจึงวางแผนจะได้ครอบครองเมมฟิส แต่ก็ไม่สำเร็จ

ที่เมืองบาบิโลน มีเจ้าชายราคัช วางแผนชิงตัวแครอลเช่นกัน จึงเข้ามาตีสนิทเจ้าหญิงไอซิส ที่เมืองลิเบีย เจ้าหญิงแห่งเมืองลิเบีย รักและเข้าใกล้เมมฟิส เธอสะกดเมมฟิสไว้ เพื่อหวังให้แครอลตัดใจจากเมมฟิส แต่ไม่สำเร็จเพราะเธอถูกเมมฟิสเมินใส่ และแครอลก็แท้งลูกของเธอและเมมฟิสเพราะไอซิสที่ผลักแครอลตกลงในทะเลแห่งความตาย เมื่อแครอลสามารถกลับไปหาเมมฟิสได้แล้ว แต่ไม่นานเธอก็ต้องไปเมืองมิโนอา เพื่อไปช่วยเจ้าชายที่กำลังป่วยหนักด้วยสัญญาบางประการที่ทหารองครักษ์ได้ให้สัญญาไว้เพื่อช่วยแครอล

เมื่อแครอลไปถึงมิโนอาแล้วได้ช่วยเจ้าชายแห่งเมืองมิโนอา เจ้าชายมิโนอาได้หลงรักเธอเข้าแล้วจึงได้พยายามรั้งเธอให้อยู่ที่มิโนอานานๆ ครั้งหนึ่งแครอล ได้เข้าไปยังเขาวงกตใต้ดิน แต่ถูกโจรจับตัวไป แต่ก็ถูกใครช่วยไม่ทราบเพราะถูกปิดตาเอาไว้ หลังจากนั้นชายผู้ที่ช่วยแครอลได้บอกนามตนว่า อาโตลาส และได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ต่อมางานเทศกาลได้ถูกจัดขึ้นที่มิโนอา บรรดาแขกจากต่างเมืองก็เข้ามาร่วมด้วย เช่น กษัตริย์ลิเบีย เจ้าชายชาร์สจากเมืองอัสซีเรีย เจ้าชายอิสมิสจาก เมืองฮิตไทท์ เป็นต้น ในระหว่างงานกำลังเริ่มต้นขึ้น แครอลถูกวัวของมิโนอาที่ถูกใช้ในพิธีเกิดบ้าคลั่งทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส

หมอหลวงประจำเมืองมิโนอาได้รักษาแครอลและบอกให้พักรักษาตัวในเมืองมิโนอาเป็นเวลา 1 เดือน

หลัง จากนั้น พระชนนีของเจ้าชายมิโนอาได้พาแครอนไปยังเกาะแห่งไฟเพื่อรักษาอาการ โดยเจ้าชายอิสมิลได้แอบตามไปด้วย


วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

 

เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ)

นายกเทศมนตรีเทศบาลนครกรุงเทพฯ คนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2480 โดยมีพระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) เป็นปลัดเทศบาลนครกรุงเทพฯ คนแรก

 

โอสถ โกศิน

นายกเทศมนตรีนครกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 พ.ศ. 2494

สุรพงษ์ ตรีรัตน์

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป ธันวาคม พ.ศ. 2500 และได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 หลังจากนั้นเขาได้รับตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครกรุงเทพฯ คนสุดท้ายก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร


พลเรือตรี ชลิต กุลกำม์ธร 

ใน พ.ศ. 2511 ได้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครกรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ในนาม คณะประชาธิปัตย์ เนื่องจากพระราชบัญญัติพรรคการเมืองยังไม่ได้ถูกตราขึ้นได้ส่งพลเรือตรีชลิตและทีมงานลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าคณะประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งและได้มีการเลือก พลเรือตรีชลิต ให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครกรุงเทพ โดยในปีเดียวกันก็ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๑๑ พลเรือตรีชลิตก็ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดจดทะเบียนจัดตั้ง ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครกรุงเทพเมื่อ พ.ศ. 2513


ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ

นายชำนาญ ยุวบูรณ์

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2516 - 22 ตุลาคม 2516 จากการแต่งตั้ง


นายอรรถ วิสูตรโยธาภิบาล

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2516 - 4 มิถุนายน 2517 จากการแต่งตั้ง


นายศิริ สันตะบุตร

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2517-13 มีนาคม 2518 จากการแต่งตั้ง


นายสาย หุตะเจริญ

เมื่อวันที่ 1 พฤษาคม 2518 - 9 สิงหาคม 2518 จากการแต่งตั้ง



นายธรรมนูญ เทียนเงิน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2518 - 29 เมษายน 2520 จากการเลือกตั้ง


นายชลอ ธรรมศิริ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2520 - 14 พฤษภาคม 2522 จากการแต่งตั้ง


นายเชาวน์วัศ สุดลาภา์

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2522 - 16 เมษายน 2524 จากการแต่งตั้ง


พลเรือเอกเทียม มกรานนท์

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2524 - 1 พฤศจิกายน 2527 จากการแต่งตั้ง


นายอาษา เมฆสวรรค์

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2527 - 13 พฤศจิกายน 2528 จากการแต่งตั้ง


พลตรีจำลอง ศรีเมือง

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2528 - 14 พฤศจิกายน 2532 จากการเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2533 - 22 มกราคม 2535 จากการเลือกตั้ง


ร.อ.กฤษฎา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2535 - 18 เมษายน 2539 จากการเลือกตั้ง


นายพิจิตต รัตตกุล

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2539 - 1 มิถุนายน 2543 จากการเลือกตั้ง


นายสมัคร สุนทรเวช

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2543 - 22 กรกฎาคม 2547 จากการเลือกตั้ง


นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2547 - 28 สิงหาคม 2551 จากการเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 - 19 พฤศจิกายน 2551 จากการเลือกตั้ง


ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2552 - 9 มกราคม 2556 จากการเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 - 18 ตุลาคม 2559 จากการเลือกตั้ง


พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 

มีคำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึจจุบัน




มีเรื่องมาเล่า ระหว่างเขากับเธอ

 



    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็ก 2 คน เป็นเพื่อนรักกันมาก เด็กชายเป็นคนขี้อาย เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ยอมจะสุงสิงกับใคร ส่วนเด็กหญิงเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ช่างพูดช่างคุย
อยู่มาวันหนึ่งเด็กหญิงชวนเด็กชายไปเดินเล่นในสวน ซึ่งมีผู้คนมากมาย เพื่อต้องการให้เด็กชายได้เปิดหูเปิดตา คะยั้นคะยออยู่นาน ในที่สุดเด็กชายก็ยอมไป ในขณะที่เดินเล่นกันอยู่ในสวนมีผู้คนมากมาย เด็กชายรู้สึกสนุกสนาน เขาวิ่งเล่นกับผู้คนเหล่านั้นเพลินจนลืมไปว่าเขามากับใคร เด็กหญิงได้แต่มองดูเด็กชาย.. ที่วิ่งห่างออกไปทุกที สุดท้ายเด็กหญิงก็หันหลังกลับ แล้วเดินจากไป ..

    เด็กชายรู้สึกดีที่มีเพื่อนใหม่มาห้อมล้อมให้ความสนใจเขา เขาเล่นกับเพื่อนใหม่อย่างสนุกสนาน
เย็นมากมากแล้ว เพื่อนใหม่ของเด็กชายต่างพากันทยอยกลับบ้านไปทีละคนสองคน เด็กชายยืนคว้างอยู่กลางสนามเพียงลำพัง เขานึกถึงเด็กหญิงขึ้นมา เดินตามหาคิดว่าเธอคงรอเขาอยู่แต่เขาก็หาเด็กหญิงไม่เจอ เขาเริ่มหงุดหงิดว่าทำไมเด็กหญิงถึงหนีกลับไปโดยที่ไม่รอเขา เขาเดินกลับบ้านเพียงลำพังด้วยความโมโห คิดอยู่ในใจว่า " คอยดูนะถ้าเจอหน้าจะต่อว่าเสียให้หนัก โทษฐานที่ไม่ยอมรอเรา "

    วันรุ่งขึ้น เด็กชายเฝ้าคอยเด็กหญิงอยู่หน้าบ้าน "นี่ก็สายมากแล้วนะ ทำไมเธอถึงยังไม่มาอีก " เด็กชายบ่นพึมพำในใจ เพราะปกติเด็กหญิงจะต้องเดินผ่านหน้าบ้านเขาทุกวันกับแม่ของเธอเพื่อไปซื้อของในตลาด แต่วันนี้ไม่มีแม้นแต่วี่แวว จนกระทั่งถึงบ่าย เด็กชายนึกถึงเพื่อนใหม่ในสวนขึ้นมา " ไปคนเดียวก็ได้ " เด็กชายบอกกับตัวเอง แล้วเดินไปสวนตามลำพัง.
ในสวน เด็กชายพบเพื่อนใหม่ๆ อีกเช่นเคย เขารู้สึกมีความสุขที่ได้พบเจอเพื่อนใหม่ทุกวัน เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะที่เด็กชายวิ่งเล่นอยู่นั้น เขาเกิดไปสดุดก้อนหินทำให้เขาล้มลง ขาของเขาถูกก้อนหินบาดจนเลือดไหล เขาร้องด้วยความเจ็บปวด เพื่อนใหม่ของเขาบางคนหันมาดู แต่ไม่มีใครที่จะยื่นมือมาพยุงเขา หรือแม้นเต่จะถามเขาว่าเจ็บไหม
เขาค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นมานั่งที่เก้าอี้
เย็นมากแล้ว เพื่อนใหม่ของเขาทยอยกลับบ้านกันไปหมด เขายืนขึ้นแล้วค่อยๆ เดินกลับบ้านอย่างทุลักทุเล พลันเขาก็นึกถึงเด็กหญิงขึ้นมา นึกถึงเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นแบบนี้ เด็กหญิงเฝ้าถามเจ็บไหม เจ็บไหม จนเขารำคาญ แล้วยังช่วยพยุงเขากลับบ้านอีกด้วย.
เขารู้สึกคิดถึงเด็กหญิงขึ้นมาจับใจ " ไว้รอให้แผลหายก่อน ถ้าเธอไม่มาฉันจะไปหาเธอที่บ้าน "

ผ่านไป 2 วันเด็กหญิงก็ยังไม่มาบ้านเขาเลย แม้แต่แม่ของเด็กหญิงที่เคยเดินผ่านหน้าบ้านเขาประจำก็ไม่มีมา เด็กชายนึกในใจแล้วเดินตรงไปที่บ้านของเธอ
เมื่อถึงบ้านเด็กหญิงเขารู้สึกแปลกใจ บ้านของเธอปิดเงียบ ต้นไม้ดอกไม้หน้าบ้านก็เหี่ยวแห้ง ไม่สวยสดเหมือนก่อน เขาจึงเดินไปถามคุณป้าข้างบ้านของเธอ " คุณป้าครับ คุณป้าไม่ทราบว่าบ้านนี้เขาไปไหนกันหมดหรือครับ " คุณป้าหันมามองแล้วตอบเขาว่า " ไม่รู้หรอกหรือ เขาย้ายบ้านไปต่างจังหวัดตั้งเกือบอาทิตย์แล้ว เห็นว่าจะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ แน่ะ " เด็กชายขอบคุณคุณป้า แล้วเดินกลับบ้านด้วยความผิดหวัง
เขาผิดหวังที่เด็กหญิงไม่บอกเขาเลยว่าจะย้ายไป แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า วันที่เด็กหญิงชวนเขาไปเที่ยวสวนนั้น เธอตั้งใจจะบอกเขา อยากชวนเขาไปเดินเล่นไปคุยกันเพื่อที่เมื่อเธอต้องจากไปอย่างน้อยก็ยังติดต่อกันได้บ้าง แต่วันนั้นเขากลับไม่สนใจเธอเลย เขากลับเล่นสนุกอยู่กับเพื่อนใหม่จนลืมเธอเสียสิ้น
เขาเดินถึงบ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หวังแต่เพียงว่าสักวันเธอจะกลับมา หรือติดต่อมาหาเขาบ้างก็ยังดี.



นวล ย้ายออกมาจากบ้านหลังเก่าตามบิดาซึ่งเป็นครูเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แม่ของนวลใช้เวลาว่างด้วยการเปิดร้านขายของ นวลเองก็เรียนต่อในโรงเรียนที่พ่อของเธอเป็นครู
นวลมีเพื่อนใหม่ทั้งชายและหญิงมากมาย รวมทั้นนนท์ และปรีชา เพื่อนชายที่คอยเป็นห่วงเป็นใยนวลในทุกๆ เรื่อง แต่นวลก็ไม่อาจลืมนัทเพื่อนเก่าของเธอได้
นนท์และปรีชา เป็นเด็กต่างจังหวัดซึ่งเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ทั้งสองคนอยู่หอพักใกล้ๆ กับบ้านของนวล ทั้งนนท์และปรีชาต่างแอบรักนวลอยู่ในใจ
ใกล้จบม.ปลายแล้ว ทั้งนนท์และปรีชาได้สารภาพรักกับนวล แต่นวลก็ไม่อาจตอบรักกับทั้งสองคนได้ นวลรู้สึกสงสารและเห็นใจ แต่ถ้านวลตอบรับรักใครไปสักคน อีกคนก็ต้องเสียใจ ซึ่งนวลไม่อาจทำเช่นนั้นได้
จนกระทั่งวันที่ทั้งสองต้องย้ายกลับไปต่างจังหวัด นวลบอกกับทั้งนนท์และปรีชาว่า นวลจะรอเขาทั้งสองคนอยู่ที่นี่ อีก 1 ปีข้างหน้าถ้าใครรอนวลได้โดยที่ไม่มีคนอื่น ก็ให้มาหานวลที่บ้านแห่งนี้ ในระหว่างที่รอนวลจะไม่ติดต่อใครทั้งสิ้น ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจ
ทั้งนนท์และปรีชารับคำแล้วก็จากไป

นวลเรียนจบแล้ว เธอเป็นครูสอนเด็กๆ ที่โรงเรียนข้างบ้านที่เดียวกับที่พ่อของเธอสอนอยู่ ผ่านไป 2 ปีกว่าแล้ว ทั้งนนท์และปรีชาไม่กลับมาที่นี่อีกเลย นวลได้ข่าวล่าสุดจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันว่า นนท์แต่งงานแล้วกับเพื่อนทำงานที่เดียวกัน ส่วนปรีชาได้ภรรยาเป็นลูกสาวนายตำรวจซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กับที่ทำงานของเขา
นวลไม่รู้สึกผิดหวังหรือเสียใจอะไรกับข่าวที่ได้รับ นวลกลับคิดว่าดีแล้วที่นวลไม่ได้รับรักใครสักคนในวันนั้น นวลปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักของทั้งนนท์และปรีชาที่มีต่อนวล
ซึ่งตอนนี้นวลได้คำตอบแล้วว่า ..
การที่ใครสักคนจะมีความรักต่อกัน ถ้าแม้วันใดวันหนึ่งที่ต้องห่างกันไป ถ้าความรักนั้นมั่นคงเขาจะไม่เปลี่ยนไปหรือมีคนใดคนหนึ่งแทรกเข้ามา แต่ถ้ามี ก็แสดงว่าความรักนั้นเป็นรักที่ไม่มั่นคงอีกต่อไป

*****************************************



วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2564

สำนวน สุภาษิต เกี่ยวกับปาก

 สำนวนสุภาษิตไทยที่เกี่ยวกับปากมีดังนี้




  • ปากเป็นเอกเลขเป็นโท หมายถึง การพูดจากสำคัญกว่าวิชาหนังสือ
  • ปากเปียกปากแฉะ หมายถึง ว่ากล่าวตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่ได้ผลตามที่มุ่งหมาย
  • ปากโป้ง หมายถึง ชอบพูดเปิดเผยสิ่งที่ไม่สมควรออกมา
  • ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หมายถึง ยังเป็นเด็ก
  • ปากคนยาวกว่าปากกา หมายถึง คนสามารถแพร่ข่าวได้เร็วกว่ากา
  • ปากฉีกถึงใบหู หมายถึง พูดเยอะมาก พูดจนเบื่อ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
  • ปากตำแย หมายถึง ปากอยู่ไม่สุข ชอบพูด ชอบฟ้อง
  • ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ หมายถึง พูดดีแต่ใจคิดร้าย
  • ปากปลาร้า หมายถึง ชอบพูดหรือด่าด้วยคำหยาบคาย
  • ปากมาก หมายถึง พูดมาก พูดซ้ำๆซากๆ
  • ปากว่าตาขยิบ หมายถึง พูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
  • ปากว่ามือถึง หมายถึง พอพูดก็ทำเลย
  • ปากสว่าง หมายถึง ชอบพูดเปิดเผยเรื่องของผู้อื่น
  • ปากหนัก หมายถึง ไม่ใคร่พูดขอร้องต่อใครๆ ไม่ใคร่ทักทายใคร
  • ปากหวานก้นเปรี้ยว หมายถึง พูดจาอ่อนหวานแต่ไม่จริงใจ
  • ปากหอยปากปู หมายถึง ชอบนินทา ม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย
  • กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง หมายถึง รู้ดีอยู่แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้
  • ฆ้องปากแตก หมายถึง ปากโป้ง, เก็บความลับไม่อยู่, ชอบนำความลับของผู้อื่นไปโพนทะนา
  • ตามใจปากมากหนี้ หมายถึง เห็นแก่กินย่อมสิ้นเปลืองมาก
  • น้ำท่วมปาก หมายถึง พูดไม่ออกเพราะเกรงจะมีภัยแก่ตนหรือผู้อื่น
  • ปลาหมอตายเพราะปาก หมายถึง คนที่พูดพล่อยจนได้รับอันตราย
  • ปอกกล้วยเข้าปาก หมายถึง ง่าย, สะดวก
  • ผู้ร้ายปากแข็ง หมายถึง ดึงดัน ดื้อ ไม่ยอมรับความจริง
  • พร้างัดปากไม่ออก หมายถึง นิ่ง, ไม่ค่อยพูด, ไม่ช่างพูด
  • พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง หมายถึง พูดไปไม่มีประโยชน์ นิ่งเสียดีกว่า
  • มือถือสาก ปากถือศีล หมายถึง แสดงตัวว่าเป็นคนมีศีลธรรม แต่กลับประพฤติชั่ว
  • รอดปากเหยี่ยวปากกา หมายถึง พ้นอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด
  • ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก หมายถึง ดีแต่พูด แต่ทำไม่ได้
  • เล่นกับหมาหมาเลียปาก หมายถึง ลดตัวลงไปหรือวางตัวไม่เหมาะสมจึงถูกลามปาม
  • สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น หมายถึง ได้ยินได้ฟังมาก็สู้เห็นด้วยตาตนเองไม่ได้
  • หญ้าปากคอก หมายถึง คุ้นเสียจนมองข้ามไป
  • อ้าปากเห็นไรฟัน หมายถึง รู้ทันกัน
  • อ้อยเข้าปากช้าง หมายถึง สิ่งหรือประโยชน์ที่ตกอยู่ในมือแล้วย่อมได้คืนยาก
  • อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ หมายถึง รู้เท่าทันคำพูดที่พูดออกมา

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2564

บทละคร ระเด่นลันได

                                                   บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได




 ช้าปี่
  มาจะกล่าวบทไปถึงระเด่นลันไดอนาถา
เสวยราชย์องค์เดียวเที่ยวรำภาตามตลาดเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์
อยู่ปราสาทเสาคอดยอดด้วนกำแพงแก้วแล้วล้วนด้วยเรียวหนาม
มีทหารหอนเห่าเฝ้าโมงยามคอยปราบปรามประจามิตรที่คิดร้าย
ฯ ๔ คำ ฯ
  เที่ยวสีซอขอข้าวสารทุกบ้านช่องเป็นเสบียงเลี้ยงท้องของถวาย
ไม่มีใครชังชิงทั้งหญิงชายต่างฝากกายฝากตัวกลัวบารมี
พอโพล้เพล้เวลาจะสายัณห์ยุงชุมสุมควันแล้วเข้าที่
บรรทมเหนือเสื่อลำแพนแท่นมณีภูมีซบเซาเมากัญชา
ฯ ๔ คำ ฯ
 ร่าย
  ครั้นรุ่งแสงสุริยันตะวันโด่งโก้งโค้งลงในอ่างแล้วล้างหน้า
เสร็จเสวยข้าวตังกับหนังปลาลงสระสรงคงคาในท้องคลอง
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 ชมตลาด
  กระโดดดำสามทีสีเหื่อไคลแล้วย่างขึ้นบันไดเข้าในห้อง
ทรงสุคนธ์ปนละลายดินสอพองชโลมสองแก้มคางอย่างแมวคราว
นุ่งกางเกงเข็มหลงอลงกรณ์ผ้าทิพย์อาภรณ์พื้นขาว
เจียระบาดเสมียนละว้ามาแต่ลาวดูราวกับหนังแขกเมื่อแรกมี
สวมประคำดีควายตะพายย่ามหมดจดงดงามกว่าปันหยี
กุมตระบองกันหมาจะราวีถือซอจรลีมาตามทาง
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
 ร่าย
  มาเอยมาถึงเมืองหนึ่งสร้างใหม่ดูใหญ่กว้าง
ปราสาทเสาเล้าหมูอยู่กลางมีคอกโคอยู่ข้างกำแพงวัง
พระเยื้องย่างเข้าทางทวาราหมู่หมาแห่ห้อมล้อมหน้าหลัง
แกว่งตระบองป้องปัดอยู่เก้กังพระทรงศักดิ์หยักรั้งคอยราญรอน
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  เมื่อนั้นนางประแดะหูกลวงดวงสมร
ครั้นรุ่งเช้าท้าวประดู่ภูธรเสด็จจรจากเวียงไปเลี้ยงวัว
โฉมเฉลาเนาในที่ไสยาบรรจงหั่นกัญชาไว้ท่าผัว
แล้วอาบน้ำทาแป้งแต่งตัวหวีหัวหาเหาเกล้าผมมวย
ได้ยินแว่วสำเนียงเสียงหมาเห่าคิดว่าวัวเข้าในสวนกล้วย
จึงออกมาเผยแกลอยู่แร่รวยตวาดด้วยสุรเสียงสำเนียงนาง
พอเหลือบเห็นระเด่นลันไดอรไทผินผันหันข้าง
ชม้อยชม้ายชายเนตรดูพลางชะน้อยฤๅรูปร่างราวกับกลึง
งามกว่าภัสดาสามีทั้งเมืองตานีไม่มีถึง
เกิดกำหนัดกลัดกลุ้มรุมรึงนางตะลึงแลดูพระภูมี
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นพระสุวรรณลันไดเรืองศรี
เหลียวพบสบเนตรนางตานีภูมีพิศพักตร์ลักขณา
ฯ ๒ คำ ฯ
 ชมโฉม
  สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูดงามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตาทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้ายจมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียวโคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อมมันน่าเชยน่าชมนางเทวี
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  นี่จะเป็นลูกสาวท้าวพระยาฤๅว่าเป็นพระมเหสี
อกใจทึกทักรักเต็มทีก็ทรงสีซอสุวรรณขึ้นทันใด
ฯ ๒ คำ ฯ
 พัดชา
  ยักย้ายร่ายร้องเป็นลำนำมีอยู่สองสามคำจำไว้ได้
สุวรรณหงษ์ถูกหอกอย่าบอกใครถูกแล้วกลับไปได้เท่านั้น
ฯ ๒ คำ ฯ
 ร่าย
  แล้วซ้ำสีอิกกระดิกนิ้วทำยักคิ้วแลบลิ้นเล่นขบขัน
เห็นโฉมยงหัวร่ออยู่งองันพระทรงธรรม์ทำหนักชักเฉื่อยไป
ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี
  เมื่อนั้นนางประแดะตานีศรีใส
สดับเสียงสีซอพอฤทัยให้วาบวับจับใจผูกพัน
ยิ่งคิดพิศวงพระทรงศักดิ์ลืมรักท้าวประดู่ผู้ผัวขวัญ
ทำไฉนจะได้พระทรงธรรม์มาเคียงพักตร์สักวันด้วยรักแรง
คิดพลางทางเข้าไปในห้องแล้วตักเอาข้าวกล้องมาสองแล่ง
ค่อยประจงลงใส่กระบะแดงกับปลาสลิดแห้งห้าหกตัว
แล้วลงจากบันไดมิได้ช้าเข้ามานอบนบจบเหนือหัว
เอาปลาใส่ย่ามด้วยความกลัวแล้วยอบตัวลงบังคมก้มพักตรา
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดให้แสนเสนหา
อะรามรักยักคิ้วหลิ่วตาพูดจาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้โลม
  งามเอยงามปลอดชีวิตพี่นี้รอดด้วยข้าวสาร
เป็นกุศลดลใจเจ้าให้ทานเยาวมาลย์แม่มีพระคุณนัก
พี่ขอถามนามท้าวเจ้ากรุงไกรชื่อเรียงเสียงไรไม่รู้จัก
เจ้าเป็นพระมเหสีที่รักฤๅนงลักษณ์เป็นราชธิดา
รูปร่างอย่างว่ากะลาสีพี่ให้มีใจรักเจ้าหนักหนา
ว่าพลางเข้าใกล้กัลยาพระราชาฉวยฉุดยุดมือไว้
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  ทรงเอยทรงกระสอบทำเล่นเห็นชอบฤๅไฉน
ไม่รู้จักมักจี่นี่อะไรมาเลี้ยวไล่ฉวยฉุดยุดข้อมือ
ยิ่งว่าก็ไม่วางทำอย่างนี้พระจะมีเงินช่วยข้าด้วยฤๅ
อวดว่ากล้าแข็งเข้าแย่งยื้อลวนลามถามชื่อน้องทำไม
น้องมิใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือยหยาบเหมือนขี้เลื่อยเมื่อหัวไหล่
ลูกเขาเมียเขาไม่เข้าใจบาปกรรมอย่างไรก็ไม่รู้
ฯ ๖ คำ ฯ
 ชาตรี
  ดวงเอยดวงไต้สบถได้เจ็ดวัดทัดสองหู
ความจริงพี่มิเล่นเป็นเช่นชู้จะร่วมเรียงเคียงคู่กันโดยดี
ถึงมิใช่ตัวเปล่าเจ้ามีผัวพี่ไม่กลัวบาปดอกนะโฉมศรี
อันนรกตกใจไปใยมียมพระบาลกับพี่เป็นเกลอกัน
เพียงจับมือถือแขนอย่าแค้นเคืองจะให้น้องสองเฟื้องอย่าหุนหัน
แล้วแก้เงินในไถ้ออกให้พลันนี่แลขันหมากหมั้นกัลยา
พอดึกดึกสักหน่อยนะน้องแก้วพี่จะลอดล่องแมวขึ้นไปหา
โฉมเฉลาเจ้าจงได้เมตตาเปิดประตูไว้ท่าอย่าหลับนอน
ฯ ๘ คำ ฯ
 ร่าย
  ทรงเอยทรงกระโถนอย่ามาพักปลอบโยนให้โอนอ่อน
ไม่อยากได้เงินทองของภูธรนางเคืองค้อนคืนให้ไม่อินัง
ช่างอวดอ้างว่านรกไม่ตกใจคนอะไรอย่างนี้ก็มีมั่ง
เชิญเสด็จรีบออกไปนอกวังอย่ามานั่งวิงวอนทำค่อนแคะ
เพียงแต่รู้จักกันกระนั้นพลางพอเป็นทางไมตรีกระนี้แหละ
เมื่อพระอดข้าวปลาจึงมาแวะน้องฤๅชื่อประแดะดวงใจ
ท่านท้าวประดู่ผู้เป็นผัวยังไปเลี้ยงวัวหากลับไม่
แม้นชักช้าชีวันจะบรรลัยเร่งไปเสียเถิดพระราชา
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดยิ้มเยาะหัวเราะร่า
เราไม่เกรงกลัวอิทธิ์ฤทธาท้าวประดู่จะมาทำไมใคร
พี่ก็ทรงศักดากล้าหาญแต่ข้าวสารเต็มกระบุงยังแบกไหว
ปลาแห้งพี่เอาเข้าเผาไฟประเดี๋ยวใจเคี้ยวเล่นออกเป็นจุณ
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะเห็นความจะวามวุ่น
จึงนบนอบยอบตัวทำกลัวบุญไม่รู้เลยพ่อคุณนี้มีฤทธิ์
กระนั้นสิเมื่อพระเสด็จมาหมูหมาย่นย่อไม่รอติด
ขอพระองค์จงฟังยั้งหยุดคิดอย่าให้มีความผิดติดตัวน้อง
ท้าวประดู่ภูธรเธอขี้หึงถ้ารู้ถึงท้าวเธอจะทุบถอง
จงไปเสียก่อนเถิดพ่อรูปทองอย่าให้น้องชั่วช้าเป็นราคี
ว่าพลางทางสลัดปัดกรควักค้อนยักหน้าตาหยิบหยี
นาดกรอ่อนคอจรลีเดินหนีมิให้มาใกล้กราย
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดไม่สมอารมณ์หมาย
เห็นนางหน่ายหนีลี้กายโฉมฉายสลัดพลัดมือไป
มันให้ขัดสนยืนบ่นออดเจ้ามาทอดทิ้งพี่หนีไปได้
ตัวกูจะอยู่ไปทำไมก็ยกย่ามขึ้นไหล่ไปทั้งรัก
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
 ช้า
  เมื่อนั้นท้าวประดู่สุริวงศ์ทรงกระฏัก
เที่ยวเลี้ยงวัวล้าเลื่อยเหนื่อยนักเข้าหยุดยั้งนั่งพักในศาลา
วันเมื่อมเหสีจะมีเหตุให้กระตุกนัยเนตรทั้งซ้ายขวา
ตุ๊กแกตกลงตรงพักตราคลานไปคลานมาก็สิ้นใจ
แม่โคขึ้นสัดผลัดโคตัวผู้พิเคราะห์ดูหลากจิตคิดสงสัย
จะมีเหตุแม่นมั่นพรั่นพระทัยก็เลี้ยวไล่โคกลับเขาพารา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
 ร่าย
  ครั้นถึงขอบรั้วริมหัวป้อมพระวิ่งอ้อมเลี้ยวลัดสกัดหน้า
ไล่เข้าคอกพลันมิทันช้าเอาขี้หญ้าสุมควันกันริ้นยุง
ยืนลูบเนื้อตัวที่หัวบันไดแล้วเข้าในปรางค์รัตน์ผลัดผ้านุ่ง
ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างมุ้งเห็นกระบุงข้าวกล้องนั้นพร่องไป
ปลาสลิดในกระบายก็หายหมดพระทรงยศแสนเสียดายน้ำลายไหล
กำลังหิวข้าวเศร้าเสียใจก็เอนองค์ลงในที่ไสยา
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกมเหสีเข้ามานี่พุ่มพวงดวงยี่หวา
วันนี้มีใครไปมายังพาราเราบ้างฤๅอย่างไร
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะฟังความที่ถามไถ่
กราบทูลเยื้องยักกระอักกระไอร้อนตัวกลัวภัยพระภูมี
ตั้งแต่พระเสด็จไปเลี้ยงวัวน้องก็นอนซ่อนตัวอยู่ในที่
ไม่เห็นใครไปมายังธานีจงทราบใต้เกษีพระราชา
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดูได้ฟังให้กังขา
จึงซักไซ้ไล่เลียงกัลยาว่าไม่มีใครมาน่าแคลงใจ
ทั้งข้าวทั้งปลาของข้าหายเอายักย้ายขายซื้อฤๅไฉน
ฤๅลอบลักตักให้แก่ผู้ใดจงบอกไปนะนางอย่าพรางกัน
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะตกใจอยู่ไหวหวั่น
ด้วยแรกเริ่มเดิมทูลพระทรงธรรม์ว่าใครนั้นมิได้จะไปมา
ครั้นจะไม่ทูลความไปตามจริงก็เกรงกริ่งด้วยพิรุธมุสา
สารภาพกราบลงกับบาทาวอนว่าอย่าโกรธจงโปรดปราน
วันนี้มีหน่อกระษัตราเที่ยวมาสีซอขอข้าวสาร
น้องเสียมิได้ก็ให้ทานสิ้นคำให้การแล้วผ่านฟ้า
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ได้ฟังนึกกังขา
ใครหนอหน่อเนื้อกระษัตราเที่ยวมาสีซอขอทาน
เห็นจะเป็นอ้ายระเด่นลันไดที่ครอบครองกรุงใกล้เทวฐาน
มันเสแสร้งแกล้งทำมาขอทานจะคิดอ่านตัดเสบียงเอาเวียงชัย
จึงชี้หน้าว่าเหม่มเหสีมึงนี้เหมือนหนอนที่บ่อนไส้
ขนเอาปลาข้าวให้เขาไปวันนี้จะได้อะไรกิน
ถ้ามั่งมีศรีสุขก็ไม่ว่านี่สำเภาเลากาก็แตกสิ้น
แล้วมิหนำซ้ำตัวเป็นมลทินจะอยู่กินต่อไปให้คลางแคลง
เจ้าศรัทธาอาศัยอย่างไรกันฤๅกระนี้กระนั้นก็ไม่แจ้ง
จะเลี้ยงไว้ไยเล่าเมื่อข้าวแพงฉวยชักพระแสงออกแกว่งไกว
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะเลี้ยวลอดกอดเอวได้
เหมือนเล่นงูกินหางไม่ห่างไกลนึกประหวั่นพรั่นใจอยู่รัวรัว
โปรดก่อนผ่อนถามเอาความจริงเมื่อชั่วแล้วแทงทิ้งเถิดทูลหัว
อันพระสามีเป็นที่กลัวจะทำนอกใจผัวอย่าพึงคิด
พระหึงหวงมิได้ล่วงพระอาญาที่ให้ข้าวให้ปลานั้นข้าผิด
น้องนี้ทำชั่วเพราะมัวมิดทำไมกับชีวิตไม่เอื้อเฟื้อ
น้องมิได้ศรัทธาอาศัยจะลุยน้ำดำไฟเสียให้เชื่อ
ไม่มีอาลัยแก่เลือดเนื้อแต่เงื้อเงื้อไว้เถิดอย่าเพ่อแทง
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดูเดือดนักชักพระแสง
ถ้าบอกจริงให้กูอีหูแหว่งจะงดไว้ไม่แทงอย่าแย่งยุด
กูก็เคยเกี้ยวชู้รู้มารยามิใช่มึงโสดามหาอุด
มันเป็นถึงเพียงนี้ก็พิรุธถึงดำน้ำร้อยผุดไม่เชื่อใจ
ยังจะท้าพิสูจน์รูดลองพ่อจะถองให้ยับจนตับไหล
เห็นว่ากูหลงรักแล้วหนักไปเอออะไรนี่หวาน้ำหน้ามึง
หาเอาใหม่ให้ดีกว่านี้อีกผิดก็เสียเงินปลีกสองสลึง
กำลังกริ้วโกรธาหน้าตึงถีบผึงถูกตะโพกโขยกไป
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 โอ้
  เมื่อนั้นนางประแดะเจ็บจุกลุกไม่ไหว
ค่อยยืนยันกะเผลกเขยกไปเข้ายังครัวไฟร้องไห้โฮ
ร้อนดิ้นเร่าเร่าพ่อเจ้าเอ๋ยลูกไม่เคยโกหกพกโมโห
เสียแรงได้เป็นข้ามาแต่โซกลับพาลโกรธาด่าตี
น้องก็ไร้ญาติวงศ์พงศาหมายพึ่งบาทาพระโฉมศรี
โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่มีอยู่ถึงเมืองตานีเขาตีมา
ตะโพกโดกโดยเมียแทบคลาดถีบด้วยพระบาทดังชาติข้า
จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้ายาตายโหงตายห่าก็ตายไป
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 ร่าย
  เมื่อนั้นท้าวประดูได้ฟังดังเพลิงไหม้
ดูดู๋อีประแดะค่อนแคะได้กลับมาด่าได้อีใจเพชร
เอาแต่คารมเข้าข่มกลบกูจะจิกหัวตบเสียให้เข็ด
ชะช่างโศกาน้ำตาเล็ดกูรู้เช่นเห็นเท็จทุกสิ่งอัน
ฯ ๔ คำ ฯ
  ว่าพลางทางคว้าได้พร้าโต้ดุด่าตาโตเท่ากำปั้น
ผลักประตูครัวไฟเข้าไปพลันนางประแดะยืนยันลันกลอนไว้
ผลักมาผลักไปอยู่เป็นครู่จะเข้าไปในประตูให้จงได้
กระทืบฟากโครมครามความแค้นใจอึกกระทึกทั่วไปในพารา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  บัดนั้นพวกหัวไม้กระดูกผีขี้ข้า
บ่อนเลิกกินเหล้าเมากลับมาได้ยินเสียงเถียงด่ากันอื้ออึง
จึงหยุดนั่งข้างนอกริมคอกวัวว่าเมียผัวคู่นี้มันขี้หึง
พอพลบค่ำราตรีตีตะบึงอึงคงนักหนาน่าขัดใจ
แล้วคว้าก้อนอิฐปาเข้าฝาโผงตกถูกโอ่งปาล้อแลหม้อไห
พลางตบมือร้องเย้ยเผยไยไยแล้ววิ่งไปทางตะพานบ้านตะนาว
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ตาพองร้องบอกกล่าว
หยิบงอบครอบหัวตัวสั่นท้าวอ้ายพ่อจ้าวชาวบ้านวานช่วยกัน
วัวน้ำวัวหลวงกูได้เลี้ยงอิฐมาเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่น
สาเหตุมีมาแต่กลางวันคงได้เล่นเห็นกันอ้ายลันได
ทั้งนี้เพราะอีมะเหเสือจะกินเลือดกินเนื้อกูให้ได้
ขว้างวังครั้งนี้ไม่มีใครชู้มึงฤๅมิใช่อีมารยา
พระฉวยได้ไม้ยุงปัดกวัดแกว่งสำคัญว่าพระแสงขึ้นเงื้อง่า
เลี้ยวไล่ฟาดฟันกัลยาวิ่งมาวิ่งไปอยู่ในครัว
ฯ ๘ คำ ฯ
 สับไทย
  เหม่เหม่ดูดู๋อีประแดะที่นี้แหละเห็นประจักษ์ว่ารักผัว
หากกูรู้ตัวหัวไม่แตกแตน
ขว้างแล้วหนีไปมิได้ตอบแทน
ยิ่งคิดยิ่งแค้นเลี้ยวแล่นไล่ตี
ฯ ๔ คำ ฯ
 รื้อ
  ทรงเอยทรงกระบอกน้องไม่เห็นด้วยดอกพระโฉมศรี
ปาวังครั้งนี้มิใช่ชู้น้อง
สืบสมดังว่าสัญญาให้ถอง
วิ่งพลางทางร้องตีน้องทำไม
ฯ ๔ คำ ฯ
  เหลือเอยเหลือเถนขัดเขมนขบฟันมันไส้
ปรานีมึงไยใครใช้มีชู้
ไม่เลี้ยงเป็นเมียไปเสียอย่าอยู่
รั้ววังของกูปิดประตูตีแมว
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  เมื่อนั้นนางประแดะเหนื่อยอ่อนลงนอนแส้ว
ยกมือท่วมหัวลูกกลัวแล้วกอดก้นผัวแก้วเข้าคร่ำครวญ
ฯ ๒ คำฯ
 โอ้
  โอ้พระยอดตองของน้อยเอ๋ยกระไรเลยช่างสลัดตัดเด็ดด้วน
แม้นชั่วช้าจริงจังก็บังควรพ่อมาด่วนมุทะลุดุดันไป
จงตีแต่พอหลาบปราบพอจำจะเฝ้าเวียนเฆี่ยนซ้ำไปถึงไหน
งดโทษโปรดเถิดพระภูวไนยน้องยังไม่เคยไกลพระบาทา
ถึงไม่เลี้ยงเป็นพระมเหสีจะขอพึ่งบารมีเป็นขี้ข้า
ไม่ถือว่าเป็นผัวเพราะชั่วช้าจะก้มหน้าเป็นทาสกวาดขี้วัว
สิบคนเข้าไม่เท่าคนหนึ่งออกอยู่กับคอกช่วยใช้พ่อทูลหัว
ร่ำพลางทางทุ่มทอดตัวตีอกชกหัวแล้วโศกา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 ร่าย
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ได้ฟังนางร่ำว่า
ให้นึกสมเพชเวทนาน้ำตาไหลนองสักสองครุ
หวนรำลึกนึกถึงอ้ายลันไดกลับเจ็บใจไม่เหือดเดือดดุ
โมโหมืดหน้าบ้ามุทะลุกระดูกผุเมื่อไรก็ไม่ลืม
กูไม่อยากเอาไว้ใช้สอยนึกว่าปล่อยสิงห์สัตว์วัดสามปลื้ม
แต่ชั้นทอผ้ายังคาฟืมดีแต่ยืมเขากินอีสิ้นอาย
แม่เรือนเช่นนี้มิเป็นผลมันจะลวงล้วงก้นจนฉิบหาย
ไปเสียมึงไปไม่เสียดายกูจะเป็นพ่อหม้ายสบายใจ
สาวสาวชาววังก็ยังถมไม่ปรารมภ์ปรารี้จะมีใหม่
เก็บเงินค่านมผสมไว้หาไหนหาได้ไม่ทุกข์ร้อน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะหูกลวงดวงสมร
สุดที่จะพรากจากจรบังอรข้อนทรวงเข้าร่ำไร
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้
  โอ้พ่อใจบุญของเมียเอ๋ยแปดค่ำพ่อเคยเชือดคอไก่
ต้มปลาร้าตั้งหม้อกับหน่อไม้เมียยังอาลัยได้อยู่กิน
พราะเคยรีดนมวัวให้เมียขายแม้สายที่ยังไม่หมดสิ้น
เหลือติดก้นกระบอกเอาจอกรินให้เมียกินวันละนิดคิดทุกวัน
แต่พอพลบรบเมียเข้ากระท่อมพ่อนั่งกล่อมจนหลับแล้วรับขวัญ
ในมุ้งยุงชุมพ่อสุมควันสารพันทรงศักดิ์จะรักเมีย
จะกินอยู่พูวายสบายใจพ่อมอบไว้ให้วันละสิบเบี้ย
อกน้องดังไฟไหม้ลามเลียจะทิ้งเมียเสียได้ไม่ไยดี
เที่ยงนางกลางคืนพ่อทูลหัวจะให้ออกนอกรั้วลูกกลัวผี
ก้นไต้ก้นไฟก็ไม่มีผลัดรุ่งพรุ่งนี้เถิดพ่อคุณ
ถึงจะไม่ได้อยู่บนตำหนักขอพึ่งพักอาศัยเพียงใต้ถุน
ยกโทษโปรดเถิดพ่อใจบุญเสียแรงได้เลี้ยงขุนมีคุณมา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ได้ฟังชังน้ำหน้า
น้อยฤๅอีขี้เค้าเจ้าน้ำตายังจะร่ำไรว่ากวนใจกู
เมินเสียเถิดหวาอีหน้ารุ้งอย่าพูดอยู่ข้างมุ้งรำคาญหู
ไสหัวมึงออกนอกประตูขืนอยู่ช้าไปได้เล่นกัน
ว่าพลางปิดบานทวารโผงเข้าในห้องท้องพระโรงขมีขมัน
ยกหม้อตุ้งก่าออกมาพลันพระทรงศักดิ์ชักควันโขมงไป
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่
แล้วข่มขืนกลืนกลั้นชลนัยน์จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้าการ
แต่ทุบตีมิหนำแล้วซ้ำขับให้อายอับเพื่อนรั้วหัวบ้าน
เช้าค่ำร่ำว่าด่าประจานใครจะทานทนได้ในฝีมือ
กูจะหาผัวใหม่ให้ได้ดีเอาโยคีกินไฟไม่ได้ฤๅ
ไหนไหนชาวเมืองก็เลื่องฦๅอึงอื้ออับอายขายพักตรา
คว้าถุงเบี้ยได้ใส่กระจาดฉวยผ้าแพรขาดขึ้นพาดบ่า
ลงจากบันไดไคลคลาน้ำตาคลอคลอจรลี
ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย
 โอ้ร่าย
  ครั้นมาพ้นคอกวัวรั้วตรางเหลียวหลังดูปรางค์ปราสาทศรี
เคยได้ค้างกายมาหลายปีครั้งนี้ตกยากจะจากไป
หยุดยืนสะอื้นอยู่อืดอืดเดือนก็มืดเต็มทีไม่มีไต้
ฝนตกพรำพรำทำอย่างไรก็หยุดยืนร้องไห้อยู่ที่ร้าน
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
 ช้า
  เมื่อนั้นโฉมระเด่นลันไดใจหาญ
ครั้นพลบค่ำเข็นบันไดไว้นอกชานยกเชิงกรานสุมไฟใส่ฟืนตอง
แล้วเอนองค์ลงเหนือเสื่อกระจูดนอนนิ่งกลิ้งทูดอยู่ในห้อง
เสนาะเสียงสำเนียงพิราบร้องครางกระหึมครึ้มก้องบนกบทู
แว่วแว่วเค้าแมวในกลีบเมฆดูวิเวกลงหลังคาเที่ยวหาหนู
พระเผยบัญชรแลชะแง้ดูดาวเดือนรุบรู่ไม่เห็นตัว
พระพายชายพัดอุตพิดพระทรงฤทธิ์เต็มกลั้นจนสั่นหัว
หอมชื่นดอกอัญชันที่คันรั้วฟุ้งตระหลบอบทั่วทั้งวังใน
ฯ ๘ คำ ฯ
 ร่าย
  หวนรำลึกนึกถึงนางประแดะที่นัดแนะแต่เย็นเป็นไฉน
ดึกแล้วแก้วตาเห็นช้าไปจะร้องไห้รำพึงถึงพี่ชาย
จำจะไปให้ทันดังสัญญาได้ย่องเบาเข้าหานางโฉมฉาย
จึงอาบน้ำทาแป้งแต่งกายสวมประคำดีควายสำหรับตัว
แหงนดูฤกษ์บนฝนพยับเดือนดับลับเมฆขมุกขมัว
ลงบันไดเดินออกมานอกรั้วโพกหัวกลัวอิฐคิดระอา
หลายครั้งตั้งแต่มันทิ้งกูพระโฉมตรูเหลือบซ้ายแลขวา
แล้วผาดแผลงสำแดงเดชาเดินมาตามตรอกซอกกำแพง
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
  ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงคอกโคขังจะเข้าได้ดอกกระมังยังไม่แจ้ง
เห็นกองไฟใส่สุมอยู่แดงแดงแอบแฝงฟังอยู่ดูท่าทาง
เห็นทีท้าวประดู่ผู้ผัวจะนอนเฝ้าวัวอยู่ข้างล่าง
แต่โฉมศรีนิฤมลอยู่บนปรางค์กูจะขึ้นหานางทางล่องแมว
จึงกลิ้งครกที่ใต้ถุนเข้าหนุนตีนพระโฉมฉายป่ายปีนอยู่แด่วแด่ว
อกใจไม้ครูดขูดเป็นแนวจะเห็นรักบ้างแล้วฤๅแก้วตา
พระประหวั่นพรั่นตัวกลัวจะตกทำหนูกกเจาะเจาะเกาะข้างฝา
ไฉนไม่คอยกันดังสัญญาอนิจจานอนได้ไม่คอยรับ
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดู่สุริวงศ์โก้งโค้งหลับ
พอปราสาทสะเทือนไหวตกใจวับลุกขยับนิ่งฟังนั่งหลับตา
คิดว่ามเหสีที่ถูกถองแสบท้องหายโกรธเข้ามาหา
ให้นึกสมเพชเวทนาสู้ทนทานด้านหน้ามาง้องอน
จะขับหนีตีไล่ไม่ไปจากอีร่วมเรือนเพื่อนยากมาแต่ก่อน
แล้วคลี่ผ้าคลุมหัวล้มตัวนอนพระภูธรทำเฉยเลยหลับไป
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดล้วงสลักชักกลอนได้
เปิดประตูเยื้องย่องเข้าห้องในเข้านั่งใกล้ในจิตคิดว่านาง
สมพาสยักษ์ลักหลับขึ้นทับบนท้าวประดู่เต็มทนอยู่ข้างล่าง
พระสร้วมสอดกอดไว้มิได้วางช้อนคางพลางจูบแล้วลูบคลำ
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นท้าวประดู่ผุดลุกขึ้นปลุกปล้ำ
ตกใจเต็มทีว่าผีอำต่างคนต่างคลำกันวุ่นไป
เอ๊ะจริตผิดแล้วมิใช่ผีจะว่าพระมเหสีก็มิใช่
ขนอกรกหนักทักว่าใครตกใจฉวยตระบองร้องว่าคน
ลันไดโดดโผนโดนประตูท้าวประดู่ร้องโวยขโมยปล้น
ตะโกนเรียกเสนาสามนต์มันไม่มีสักคนก็จนใจ
ระเด่นโดดโลดออกมานอกรั้วผิดตัวแล้วกูอยู่ไม่ได้
ก็ผาดแผลงสำแดงฤทธิไกรวิ่งไปตามกำลังไม่รั้งรอ
ฯ ๘ คำ ฯ
  หมาหมูกรูไล่ไม่มีขวัญปล่อยชันสามขาเหมือนม้าห้อ
เต็มประดาหน้ามืดหืดขึ้นคอต้องหยุดยั้งรั้งรอมาตามทาง
ถึงโดยจะไล่ก็ไม่ทันผิดนักสู้มันแต่ห่างห่าง
พอแว่วสำเนียงเหมือนเสียงครางอยู่ในร้านริมข้างหนทางจร
เอ๊ะผีฤๅคนขนลุกซ่าพระหัตถ์คว้าฉวยอิฐได้สองก้อน
หยักรั้งตั้งท่าจะราญรอนนี่หลอกหลอนเล่นข้าฤๅว่าไร
ครั้นได้ยินเสียงชัดเป็นสัตรีจะลองฤทธิ์สักทีหาหนีไม่
กำหมัดเยื้องย่องมองเข้าไปแก่สาวคราวไหนจะใคร่รู้
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะนั่งซุ่มคลุมหัวอยู่
สาระวนโศกาน้ำตาพรูเห็นคนย่องมองดูก็ตกใจ
พอฟ้าแลบแปลบช่วงดวงพักตร์เห็นระเด่นรู้จักก็จำได้
ทั้งสองข้างถ้อยทีดีใจทรามวัยกราบก้มบังคมคัล
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้นระเด่นเห็นนางพลางรับขวัญ
นั่งลงซักไซ้ไล่เลียงกันไฉนนั่นกัลยามาโศกี
พี่หลงขึ้นไปหานิจจาเอ๋ยไม่รู้เลยน้องแก้วแคล้วกับพี่
พี่ไปพบท้าวประดู่ผู้สามีเกิดอึงมี่ตึงตังทั้งพารา
มันจะกลับจับพี่เป็นผู้ร้ายจะฆ่าเสียให้ตายก็ขายหน้า
เขาจะค่อนติฉินนินทาอดสูเทวาสุราลัย
จะเอาเมียแล้วมิหนำซ้ำฆ่าผัวคิดกลัวบาปกรรมไม่ทำได้
พี่ขอถามสาวน้อยกลอยใจเป็นไฉนกัลยามาโศกี
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้นนางประแดะดวงยี่หวามารศรี
สะอื้นพลางทางทูลไปทันทีทั้งนี้เพราะกรรมได้ทำไว้
ครั้งนี้มิชั่วก็เหมือนชั่วนางตีอกชกหัวแล้วร้องไห้
ยังจะกลับมาเยาะนี่เพราะใครดูแต่หลังไหล่เถิดพ่อคุณ
เขาขับหนีตีไล่ไสหัวส่งเพราะพระองค์ทำความจึงวามวุ่น
แต่รอดมาได้เห็นก็เป็นบุญอย่าอยู่เลยพ่อคุณเขาตีตาย
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้นลันไดได้ฟังนางโฉมฉาย
เขม้นมองดูหลังยังไม่ลายพระจูบซ้ายจูบขวาห้าหกที
เอาพระหัตถ์ช้อนคางแล้วพลางปลอบอย่าพะอืดพะออบเลยโฉมศรี
จะละห้อยน้อยใจไปไยมีบุญพี่กับนางได้สร้างมา
อันระตูฤๅจะคู่กับนางอนงค์มิใช่วงศ์อสัญแดหวา
โฉมเฉลาเจ้าเหมือนบุษบาจรกาฤๅจะควรกับนวลน้อง
ถ้าเป็นระเด่นเหมือนเช่นพี่จึงควรที่ร่วมภิรมย์ประสมสอง
ตรัสพลางทางชวนนวลละอองเยื้องย่องนำหน้าพานางเดิน
ฯ ๘ คำ ฯ
  ครั้นถึงจึงขึ้นบนตำหนักตงหักกลัวจะตกงกเงิ่น
ค่อยพยุงจูงนางย่างดำเนินชวนเชิญโฉมเฉลาเข้าที่นอน
ลดองค์ลงเหลือที่ไสยาสน์พระยี่ภู่ปูลาดขาดสองท่อน
แล้วจึงมีมธุรสสุนทรอ้อนวอนโฉมเฉลาให้เข้ามุ้ง
ฯ ๔ คำ ฯ
 โอ้โลม
  โฉมเอยโฉมเฉิดเอนหลังบ้างเถิดจวนจะรุ่ง
เสียแรงพี่รักเจ้าเท่ากระบุงจะไปนั่งทนยุงอยู่ทำไม
เชิญมาร่วมเรียงเคียงเขนยอย่าทุกข์เลยที่จะหามาเลี้ยงให้
เรามั่งมีศรีสุขทุกข์อะไรเงินทองถมไปที่ในคลัง
แต่ข้าวสารให้ทานพี่นี้ฤๅไม่พักซื้อได้ขายเสียหลายถัง
ทั้งปลาแห้งปลาทูปูลังเสบียงกรังมีมากไม่ยากจน
ขี้คร้านขายนมวัวเหมือนผัวเจ้าพี่ได้เปล่าสารพัดไม่ขัดสน
จงนั่งกินนอนกินสิ้นกังวลพี่จะขวนขวายหาเอามาเลี้ยง
ว่าพลางทางตระโบมโลมเล้าอะไรเล่าฮึดฮัดเฝ้าวัดเหวี่ยง
อุแม่เอ๋ยมิให้เข้าใกล้เคียงจะตกเตียงลงไปแล้วแก้วกลอยใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้นนางประแดะคลุ้มคลั่งผินหลังให้
ถอยถดขยดหนีภูวไนยนี่อะไรน่าเกลียดเบียดคะยิก
ลูกผัวหัวท้ายเขาไม่ขาดทำประมาทเปล่าเปล่าเฝ้าหยุกหยิก
ปัดกรค้อนควักผลักพลิกอย่าจุกจิกกวนใจไม่สบาย
อย่าพักอวดสมบัติพัสถานไม่ต้องการดอกจะสู้อยู่เป็นหม้าย
หนีศึกปะเสือเบื่อจะตายเฝ้ากอดก่ายไปได้ไม่ละวาง
ฯ ๖ คำ ฯ
 ชาตรี
  สุดเอยสุดลิ่มเชิญผินหน้ามายิ้มกับพี่บ้าง
เฝ้าถือโทษโกรธเกรี้ยวไปเจียวนางไม่เห็นอกพี่บ้างที่อย่างนั้น
เหมือนน้ำอ้อยใกล้มดใครอดได้พี่ก็ไม่มีคู่ตุนาหงัน
ตั้งแต่นวดปวดท้องมาสองวันใครจะกลั้นอดทนพ้นกำลัง
ทำไมกับลูกผัวกลัวมันไยผิดก็เสียสินไหมให้ห้าชั่ง
จูบเชื่อเสียก็ได้แล้วไม่ฟังลูบหน้าลูบหลังนั่งแอบอิง
น้อยฤๅนมแต่ละข้างช่างครัดเคร่งปลั่งเปล่งใจหายคล้ายกล้วยปิ้ง
อุ้มขึ้นใส่ตักรักจริงจริงอย่าสะบิ้งสะบัดตัดไมตรี
ยิ่งดิ้นยิ่งกอดสอดสัมผัสอุยหน่าอ่ากัดพระหัตถ์พี่
ปัดป้องว่องไวอยู่ในทีจนล้มกลิ้งลงบนที่บรรทมใน
อัศจรรย์ลั่นพิลึกกึกก้องฟ้าร้องครั่นครื้นดังปืนใหญ่
เกิดพายุโยนยวบสวบสาบไปหลังคาพาไลแทบเปิดเปิง
ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง
คางคกขึ้นกระโดดโลดลองเชิงอึ่งอ่างเริงร่าร้องแล้วพองคอ
นกกระจอกออกจากวิมานมะพร้าวต้องฝนทนหนาวอยู่งอนหง่อ
ขนคางหางปีกเปียกจนมอซอฝนก็พอขาดเม็ดเสร็จบันดาล
ฯ ๑๖ คำ ฯ โลม
 ช้า
  เมื่อนั้นนางประแดะหูกลวงห่วงสงสาร
ได้ร่วมรักชักเชยก็ชื่นบานเยาวมาลย์หมอบเมียงเคียงกาย
แล้วเชิญหม้อตุ้งก่าออกมาตั้งนางนั่งเป่าชุดจุดถวาย
ทรงศักดิ์ชักพลางทางยิ้มพรายโฉมฉายขวั้นอ้อยคอยแก้คอ
ถูกเข้าสามจะหลิ่มยิ้มแหยะนางประแดะสรวลสันต์กลั้นหัวร่อ
พระโฉมยงทรงขับรับเพลงซอฉลองหอทรงธรรม์แล้วบรรทม
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
 ช้า
  มาจะกล่าวบทไปถึงนางกระแอทวายขายขนม
เจ้าเงินโปรดปรานพานอุดมนุ่งห่มผืนผ้าค่าบาทเฟื้อง
ผูกดอกออกจากฟากเรือนนายลดเลี้ยวเที่ยวขายข้าวเหนียวเหลือง
ตามตลาดเสาชิงช้ามาเนืองเนืองปลดเปลื้องเฟื้องไพได้ทุกวัน
กับโฉมยงองค์ระเด่นลันไดรักใคร่กันอยู่ก่อนเคยผ่อนผัน
เชื่อถือซื้อขายเป็นนิรันดร์เว้นวันสองวันหมั่นไปมา
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  วันเอยวันหนึ่งคิดถึงลันไดจะไปหา
นึ่งข้าวเหนียวใส่กระจาดยาตราตรงมาหาชู้คู่ชมเชย
เที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร้องแล้วท่องเที่ยวซื้อข้าวเหนียวหน้ากุ้งกินแม่เอ๋ย
ที่รู้จักทักถามกันตามเคยบ้างเยาะเย้ยหยอกยื้อซื้อหากัน
พอเวลาตลาดวายสายแสงกระเดียดตะแกรงกรีดกรายผายผัน
ทอดกรอ่อนคอจรจรัลมาปราสาทสุวรรณเจ้าลันได
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
  ครั้นถึงจึงขึ้นบนนอกชานเห็นทวารบานปิดคิดสงสัย
ทั้งเสียงคนพูดกันอยู่ชั้นในทรามวัยแหวกช่องมองดู
เห็นโฉมยงองค์ประแดะกับระเด่นคลี่ผ้าหาเล็นกันง่วนอยู่
โมโหมืดหน้าน้ำตาพรูดังหัวหูจะแยกแตกทำลาย
นี่เมียอ้ายประดู่อยู่หัวป้อมไยจึงมายินยอมกันง่ายง่าย
ทั้งสี่จักรยักหล่มถ่มร้ายมันจะให้ฉิบหายขายตน
ชิชะเจ้าระเด่นพึ่งเห็นฤทธิ์แต่ผ้านุ่งยังไม่มิดจะปิดก้น
จองหองสองเมียจะเสียคนคิดว่ายากจนเฝ้าปรนปรือ
จึงแกล้งเรียกพลันเจ้าลันไดค่าข้าวเหนียวสองไพไม่ให้ฤๅ
ผ่อนผัดนัดหมายมาหลายมื้อแม่จะยื้อให้อายขายหน้าเมีย
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้นโฉมระเด่นลันไดแรกได้เสีย
กำลังนั่งเคล้าเฝ้าคลอเคลียชมโฉมโลมเมียอยู่ริมมุ้ง
ยกบาทพาดเพลาเกาสีข้างสัพยอกหยอกนางอย่างลิงถุง
แล้วยื่นมือมาจี้เข้าที่พุงนางสะดุ้งดุกดิกพลิกตะแคง
เขาจะนอนดีดีเฝ้าจี้ไชช่างกระไรหน้าเป็นเอ็นแข็ง
จะนิ่งอยู่สักประเดี๋ยวทำเรี่ยวแรงมาแหย่แย่งกวนใจไปทีเดียว
พอระเด่นได้ยินเสียงเรียกหาก็รู้ว่าชู้เก่าเจ้าข้าวเหนียว
จึงร้องว่าใครนั่นขันจริงเจียวจะมาเที่ยวจัณฑาลพาลเอาความ
ค่าข้าวเหนียวสองไพข้าให้แล้วมาทำเสียงแจ้วแจ้วไม่เกรงขาม
ไม่ได้ติดค้างมาอย่าวู่วามลุกลามสิ้นทีมีแต่อึง
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
  เมื่อนั้นนางทวายยิ่งพิโรธโกรธขึ้ง
ยืนกระทืบนอกชานอยู่ตึงตึงหวงหึงด่าว่าท้ายทาย
นี่แน่อ้ายสำเร็จเจ็ดตะคุกมาลืมคุณข้าวสุกเสียง่ายง่าย
กูเชื่อหน้าคิดว่าลูกผู้ชายจึงสู้ขายติดค้างยังไม่รับ
ช่างโกหกพกลมประสมประสานจะประจานเสียให้สมที่สับปลับ
แต่เบี้ยติดสองไพยังไม่รับกูสิ้นนับถือแล้วอ้ายลันได
ฯ ๖ คำฯ
  เมื่อนั้นระเด่นตอบตามอัชฌาสัย
เขาขี้คร้านพูดจาอย่าหนักไปข้ารู้ใจเจ้าดอกกัลยา
เจ้าพิโรธโกรธขึ้งเพราะหึงหวงจึงจาบจ้วงล่วงเกินเป็นหนักหนา
ข้าผิดแล้วกลอยใจได้เมตตาเชิญเข้าเคหาปรึกษากัน
ฯ ๔ คำ ฯ

เนื้อเพลง