“พระนางสามผิว” เป็นเรื่องราวที่อาจเป็นตำนานหรือประวัติศาสตร์ของเมืองฝาง ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เนื้อเรื่องเป็นเสมือนนิยายปรำปราหรือตำนาน แต่การสร้างอนุสาวรีย์ของพระนางและพระสวามีผู้สร้างเมืองฝาง ทั้งประชาชนกับทางราชการยังจัดงานรำลึกอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี ย่อมแสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นิยายที่เลื่อนลอย
พระเจ้าฝางอุดมสิน พระนามเดินชื่อ “พระยาเชียงแสน” เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าเมืองเชียงแสน ได้มาปกครองเมืองฝาง ในปี พ.ศ. ๒๑๗๒
เรื่องราวของพระนางสามผิวเริ่มในปี พ.ศ. ๒๑๗๒ เมื่อ พระยาเชียงแสน ราชบุตรพระเจ้าเชียงแสน ได้พาชาวเมืองประมาณ ๕๐๐ ครอบครัวอพยพล่องมาตามลำน้ำกก จนมาถึงบริเวณที่เป็นเมืองร้างแห่งหนึ่ง เห็นว่าเป็นแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์น่าเป็นที่อยู่อาศัย เมืองนี้ก็คือเมืองฝางที่เป็นเมืองโบราณมีอายุราวพันปี และถูกทิ้งร้างมาหลายสมัย จึงช่วยกันปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ จนเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร ชาวเมืองจึงขนานพระนามพระยาเชียงแสนใหม่ว่าว่า พระเจ้าฝางอุดมสิน
พระเจ้าฝางอุดมสินมีมเหสีที่ทรงพระสิริโฉมโสภาเกินกว่านางใดในหล้า และยังทรงมีความมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครเหมือน ด้วยผิวพระวรกายเปลี่ยนสีได้ตามเวลา ตือ
ยามเช้า ผิวกายพระนางจะมีสีขาวบริสุทธิ์ดุจปุยฝ้าย
ยามเย็นตะวันอ่อน ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู
รู้กันแต่ว่าพระนางเป็นราชธิดาพระเจ้าล้านช้าง พระนามเดิมไม่ปรากฏ เรียกกันทั่วไปว่า “พระนางสามผิว”
กิตติศัพท์ความงามและความมหัศจรรย์ของพระนางร่ำลือไปถึง พระเจ้าสุทโธธรรมราชา กษัตริย์พม่า จึงมีพระราชประสงค์ที่จะได้ยลโฉมพระนางด้วยพระองค์เอง ว่าจะทรงพระศิริโฉมสมตามคำเล่าลือเพียงใด จึงปลอมพระองค์เป็นพ่อค้า คุมขบวนสินค้ามาเมืองฝาง และขอเข้าเฝ้าถวายผ้าเนื้อดีต่อพระนาง
พระเจ้าฝาง พระนางสามผิว มีพระราชธิดาองค์หนึ่งมีพระนามว่า “พระนางมัลลิกา” ในขณะที่พระองค์มาปกครองเมืองฝางนั้น เมืองฝางยังคงเป็นเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าฝางจึงทรงมีความคิดที่จะกอบกู้อิสรภาพให้แก่เมืองฝาง โดยให้ซ่องสุมผู้คนและได้ตระเตรียมอาวุธเสบียงกรัง โดยไม่ยอมส่งส่วยและขัดขืนคำสั่งของพม่า ซึ่งทางพม่าได้ล่วงรู้ว่าเมืองฝางคิดจะแข้งข้อต่อตน จึงได้ยกกองทัพมาปราบ โดยกษัตริย์พม่าแห่งกรุงอังวะพระนามว่า “พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชา” เป็นแม่ทัพใหญ่นำกองทัพเข้าตีเมืองฝางในปี พ.ศ. 2176 พระเจ้าฝางนำกองทัพป้องกันเมืองอย่างแข็งขัน ทำให้พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชาเข้าตีเมืองไม่ได้
พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชาจึงได้เปลี่ยนแผนการรบใหม่โดยนำกำลังทหารล้อมเมืองไว้ พร้อมทั้งตั้งค่ายอยู่บนเนินด้านทิศเหนือของเมืองฝาง คือที่ตั้งศาลจังหวัดฝาง เรือนจำจังหวัดฝาง สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง สถานีตำรวจภูธรอำเภอฝาง หรือที่เราเรียกว่า “เวียงสุทโธ” ในปัจจุบันนี้ แล้วสั่งให้ทหารระดมยิงธนูไฟ (ปืนใหญ่) เข้าใส่เมืองฝางทำให้บ้านเมืองฝางเกิดระส่ำระส่าย ประชาชนเสียขวัญและทหารล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
แต่ทั้ง ๒ กรณี ไม่ว่าพระเจ้าฝางอุดมสินและพระนางสามผิวจะกระโดดลงบ่อหรือหนีไปได้ เมืองฝางก็ต้องเสียแก่พม่า กรณีนี้น่าจะคล้ายกับกรณีของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ได้ช้างเผือกมาสู่บุญบารมีถึง ๗ เชือก ได้รับสมญาว่าเป็น “พระเจ้าช้างเผือก” ทำให้เป็นที่อิจฉาของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนองของพม่า ครั้งพระเจ้าจะเบงชะเวตี้อ้างว่าจะขอแบ่งช้างเผือก ก็ทำให้ต้องสูญเสียพระมเหสี คือ พระศรีสุริโยทัย และเมื่อครั้งพระเจ้าบุเรงนองอิจฉา ก็ต้องเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ก็อ้างเรื่องขอช้างเผือกเหมือนกัน ก็เพราะมีบุญมากไป เช่นเดียวกับพระนางสามผิวสวยเกินไปนั่นเอง