วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เนื้อเพลง คิดถึงพี่บ้างไหม
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ทวีพงศ์ มณีนิล
ทวีพงศ์ มณีนิล หรือทวี ลูกเพชร เป็นศิลปินนักแต่งเพลงมีถิ่นกำเนิดที่จังหวัดเพชรบุรี เกิดวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ปีวอก ที่บ้านเลขที่ 18 ต. หนองปรง อ. เขาย้อย จ. เพชรบุรี บิดาชื่อนายสถิต มณีนิล มารดาชื่อนางพรม มณีนิล มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 4 คนดังนี้
ทวี พงศ์ มณีนิล สมรสกับ สุนิสา วงศ์วัจฉละกุล หรือชื่อในวงการคือจิตติมา เจือใจ โดยจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีบุตรสาว 1 คน คือ เพ็ญอาภา มณีนิล และบุตรชายซึ่งเกิดกับนางน้ำทิพย์ ขนิษฐกุล คือ พงศธร มณีนิล
การศึกษา
- จบระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดหนองปรง อ. เขาย้อย จ. เพชรบุรี
- จบระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จังหวัดเพชรบุรี ปี 2502-2503
- จบประโยคเตรียมอุดมศึกษาจากโรงเรียนพรหมานุสรณ์ จังหวัดเพชรบุรี ปี 2505
- ศึกษาต่อที่คณะศิลปสาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2507 (รุ่นที่ 3)
- จบปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2511
- ศึกษาต่อต่างประเทศ ที่ University of Dallas เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส ระยะเวลา 2 ปี แต่ไม่สำเร็จการศึกษาเนื่องจากเหตุการผันผวนในชีวิตความรัก
- จบการศึกษาวิชาธุรกิจโรงแรม ที่ลอสแองเจอลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย พ.ศ. 2518 ระยะเวลา 2 ปี
หน้าที่การงาน
- เข้าทำงานแผนกบัญชีกระแสรายวัน ที่ธนาคารกรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ ระยะเวลา 6 เดือน
- ตำแหน่งเศรษฐกรตรี กองวางแผนเตรียมพร้อมด้านเศรษฐกิจ สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ สะพานขาว ระยะเวลาปีครึ่ง
- ตำแหน่งประชาสัมพันธ์ของรัชฟิล์มรามา ที่โรงภาพยนต์ควีนส์ วังบูรพา กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2518
- ร่วมกับคุณชาญ ตระกูลเกษมสุข ศูนย์การศึกษาดำเนินกิจการห้างแผ่นเสียง T.P.C. (ที พี ซี) ตราหัวใจมีปีก เลขที่ 3122/7 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ สามแยกเอกมัย กรุงเทพฯ ในฐานนะห้างผู้ผลิตแผ่นเสียงออกจำหน่ายทั่วประเทศด้วยทุนของตนเอง
ประวัติและงานด้านเพลง
เริ่ม เขียนเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะชอบทั้งเพลงและการร้องเพลง การแต่งกาพย์ โคลง กลอนมาก ประกอบกับเป็นนักอ่านประเภทหนอนหนังสือ คืออ่านทุกประเภท จึงหัดแต่งเพลงด้วยตังเองเรื่อยมา และแต่งเพลงสำเร็จเป็นเพลงแรก เมื่ออายุได้ 14 ปี ชื่อเพลง "คิดถึงเธอ" ซึ่งได้รับการบันทึกเสียงเมื่อ 10 ปี ให้หลังโดย รุ่งทิพย์ ธารทอง และเพลงนี้มีส่วนทำให้แฟน ๆ รู้จักรุ่งทิพย์ ธารทอง ในฐานะนักร้องดาวรุ่งคนหนึ่งด้านลูกทุ่ง นอกเหนือจากงานแต่งเพลงซึ่งรุ่งทิพย์ ธารทอง ก็แต่งเพลงเองอยู่แล้ว และได้บันทึกเสียงอีกครั้งโดย ธานินท์ อินทรเทพ อยู่ในลองเพลย์ ชุด "ญาติวันทอง"
เมื่ออายุได้ 18 ปี ก็หัดแต่งเพลงลูกกรุงสำเร็จ คือเพลง "นานเกินรอ นำมาบันทึกเสียงอยู่ในชุด "ถ้าวันนี้ยังมีเขาอยู่" โดย สวลี ผกาพันธ์ ในด้านเพลงลูกทุ่งเคยแต่งเพลงให้ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ ร้อง 2-3 เพลง ได้แก่ เพลงคนหัวใจรั่ว เนื้อคู่สีชมพู และโลกนี้ไม่ใช่ของเรา (คนหนักโลก) ใช้นามปากกาว่า "ทวี ลูกเพชร" ในด้านเพลงไทยลูกกรุง เริ่มบันทึกเสียงเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2516 หลังจากเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และหลังจากการบวชที่วัดชลประทาน ปากเกร็ด
การบันทึกเสียงในครั้งนี้ มีเพลงรักเธอไม่ถึงบาท, โจรปล้นใจ, สวัสดีความเศร้า และของขวัญวันเกิด โดยได้รับการสนับสนุนจาก ชาญชัย บัวบังศร, พีระ ตรีบุปผา, วิสุทธิ์ กิวานนท์, รุ่งเพชร แหลมสิงห์, นายมงคล เดชานุวงศ์ เจ้าของห้างแผ่นเสียงทองคำ และสวลี ผกาพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ร้องเพลงในชุดนี้ทั้งหมด
หลังจากบันทึกเสียงชุดนี้แล้ว ก็เดินทางไปสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง จนกระทั่งกลับมาในปลายปี 2518 จึงเริ่มงานด้านแต่งเพลงอย่างจริงจัง โดยเริ่มอัดเสียงตามลำดับ ดังนี้
- ชุดคนหน้าเดิม ร้องโดย รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส (4 เพลง) ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงกรุงไทย สะพานเหล็ก (ลองเพลย์)
- ชุดจริงใหมเขาเรียกเธอว่ากากี โดยสุเทพ วงศ์กำแหง (12 เพลง) ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงคาเธ่ย์ สพานเหล็ก
- ชุดถ้าวันนี้ยังมีเขาอยู่ โดยสวลี ผกาพันธ์ (4 เพลง) ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงกรุงไทย
- ชุดฝากเพลงถึงเธอ โดยธานินท์ อินทรเทพ (10 เพลง) ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงเสริมวิทย์ ศรีย่าน กรุงเทพฯ
- ชุดถ้าหัวใจฉันมีปีก โดยจิตติมา เจือใจ ผลิตโดยห้างแผ่นยเสียงทองคำ สพานเหล็ก
- ชุดญาติวันทอง โดยธานินท์ อินทรเทพ ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงเสริมวิทย์ ศรีย่าน
- ชุดเพชรบุรีตัดใหม่ โดยจิตติมา เจือใจ (10 เพลง) ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงกรุงไทย สะพานเหล็ก
- ชุดหลักไม้เลื้อย โดยจิตติมา เจือใจ (4 เพลง) ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงทองคำ
- ชุดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก, น้ำตาร่วงหลังพวงมาลัย โดยธานินท์ อินทรเทพ และสรรชัย โกรานนท์ ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงที.พี.ซี. สามแยกเอกมัย (10 เพลง)
- ชุดฝนซาฟ้าใส โดยจิตติมา เจือใจ (8 เพลง) ผลิตโดยห้างแผ่นเสียงกรุงไทย
- ชุดวันนั้นแล้วเธอจะทิ้ง โดยจิตติมา เจือใจ, เอกชัย ไอยรา (10 เพลง) ผลิตโดย เอกชัย ไอยรา ผลงานด้านเพลงประกอบในภาพยนต์ ได้รับการสนับสนุนจาก พยุง พึ่งศิลป์, ชาญ มหสรรค์ แห่งรัชฟิล์มทีวี,ธรรมนูญ ปุงคานนท์, ดำรง พุฒตาล, พันธ์เทพและวัชรี อรรถไกรวัลย์วทีแห่งเทพศิลป์ภาพยนต์, ชุมพร เทพพิทักษ์ และวิสันต์ สันติสุชา แห่งสันติสุชาภาพยนต์ ซึ่งเพลงในภาพยนต์เหล่านี้มีเพลงแหวนสวาท, อิทธิพลรัก, คุณครูคนใหม่, กิเลสคน, ขยี้มือปืน, ความรักสีดำ, รักเลือกไม่ได้, ทางเสือผ่าน, จูลี่ที่รัก, มนต์รักแม่น้ำมูล, เมืองอลเวง, นักเลงสามสลึง, สิงห์สั่งป่า, เล็บครุฑ, หมัดปืนไว, ดับเครื่องชน และวัยเสเพล
รายชื่อผลงานเพลง ของทวีพงศ์ มณีนิล ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่เริ่มทำกับ ฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์ และต่อมาได้ร่วมงานกับห้องอัดเสียงทอง ได้ผลิตผลงานอีหลายชุด ตามลำดับดังนี้
1. ฝันสลาย ทำร่วมกับฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์ เป็นเทปชุดที่มาของเทปชุดหัวใจสลาย คือ ในเทปชุดฝันสลายมีทำนองเพลงจีนเพียงเพลงเดียวที่เหลือเป็นทำนองสากล แต่เพลงฝันสลายกลับได้รับความนิยมอยู่เพลงเดียวจึงทำให้มีการจัดทำเทปชุดต่อมา
2. หัวใจสลาย ชุด 1 ซึ่งขายดีเป็นประวัติการณ์ ทำร่วมกับฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์
3. หัวใจสลาย ชุด 2 (เช็ดน้ำตากับอกฉัน) ทำร่วมกับฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์
4. น้ำตาดอกไม้ ขับร้องโดยธานินท์ อินทรเทพ ซึ่งทำนร่วม วิรัช อยู่ถาวร
5. คำหล้าอาลัย ขับร้องโดยมาสสุภา กาพย์ประพันธ์ ซึ่งทำร่วมกับนริศร ทรัพยะประภาและวิรัช อยู่ถาวร
6. คนเดินดิน (น้ำตาจระเข้, ขอเพียงรัก, วิมานลอย, เหนือลิขิต, อย่าลืมฉัน) ทำร่วมกับฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์
7. ในม่านเมฆ (เพลงในม่านเมฆ) ทำร่วมกับฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์
8. เพลงดัง หนังละคร (เพลงวงเวียนชีวิต, พิษอารมณ์, หงส์เหิน, สิ้นสวาท, ทัณฑ์กามเทพ) ทำร่วมกับฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์
9. คนไกลบ้าน (ทั้งชุด 12 เพลง วางตลาดเดือนธันวาคม) ทำร่วมกับฮ็อท เป็บเปอร์ ซิงเกอร์
10. ยังไม่มีชื่อ ฮ็อทเป็บเปอร์บรรเลง เศรษฐา ศิระฉายา ขับร้อง
ผู้สนับสนุนด้านแต่งเพลง
ชาญ ชัย บัวบังศร, สมานกาญจนผลิน และนคร ถนอมทรัพย์ การแต่งเพลงอาศัยหลักการเขียนหนังสือของทวิช โปสินธุ์ (ยิ่งยง สะเด็ดยาด) และบรรเจิด ทวี (ไก่อ่อน)
รางวัลที่ได้รับ
1. รางวัลเสาอากาศทองคำ ปี 2519 จากเพลง "คนหน้าเดิม" ด้านคำร้องยอดเยี่ยม ขับร้องโดยรุ่งฤดี แพ่งผ่องใส
2. รางวัลเสาอากาศทองคำ ปี 2520 จากเพลง "ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก" ด้านทำนองยอดเยี่ยม ขับร้องโดยธานินท์ อินทรเทพ
3. รางวัลแผ่นเสียงทองคำ พระราชทาน 2 รางวัล ปี 2522 จากเพลง "ปั้นดินให้เป็นดาว" ด้านคำร้องและทำนองยอดเยี่ยม ขับร้องโดยธานินท์ อินทรเทพ
ทวีพงศ์ มณีนิล เสียชีวิตโดยถูกมือปืนลอบสังหารด้วยปืนขนาด 11 มม. ขณะยืนคุยโทรศัพท์ที่ห้างแผ่นเสียงเมโทร ย่านประตูน้ำเมื่อบ่าย 15.00 น. ของวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2526
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
คนละครึ่งพลัส ต้องใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568
เริ่มแล้ว "คนละครึ่งพลัส" ผ่านแอปฯ เป๋าตัง รัฐออกให้สูงสุดวันละ 200 บาท
หลังจากรัฐบาล เปิดให้ประชาชนกดรับสิทธิเข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" แล้ว เพื่อหวังลดรายจ่ายให้ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และสร้างรายได้แก่ร้านค้ารายย่อย นำไปสู่การกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
29 ตุลาคม 2568 เป็นวันแรกที่เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. ของทุกวัน
ที่สำคัญคือประชาชนที่ได้รับสิทธิแล้วจะต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายในเวลา 23.00 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิทธิ์ตามเงื่อนไขของโครงการ ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วม "คนละครึ่งพลัส" จะสามารถใช้สิทธิไปจนถึงวันสิ้นสุดโครงการคือวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 23.00 น.
วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2568
คำตรงข้าม เรียงตามหมวดอักษร
คำตรงข้ามหมวด ก
- กำไร
ตรงข้ามกับ ขาดทุน - ก้ม
ตรงข้ามกับ เงย - แก่
ตรงข้ามกับ เด็ก - ใกล้
ตรงข้ามกับ ไกล - กลืน
ตรงข้ามกับ คาย - ไกล
ตรงข้ามกับ ใกล้ - ก่อน
ตรงข้ามกับ หลัง - กำ
ตรงข้ามกับ แบ - ก้าวหน้า
ตรงข้ามกับ ถอยหลัง - กระจุก
ตรงข้ามกับ กระจาย - กระท่อม
ตรงข้ามกับ ปราสาท - เกิด
ตรงข้ามกับ ตาย - กลางคืน
ตรงข้ามกับ กลางวัน - กว้าง
ตรงข้ามกับ แคบ - กลม
ตรงข้ามกับ เบี้ยว - กลัว
ตรงข้ามกับ กล้า
คำตรงข้ามหมวด ข - จ
- ข้างหลัง
ตรงข้ามกับ ข้างหน้า - ข้างขึ้น
ตรงข้ามกับ ข้างแรม - ขยัน
ตรงข้ามกับ เกียจคร้าน - ขม
ตรงข้ามกับ หวาน - แข็ง
ตรงข้ามกับ นิ่ม - ขาด
ตรงข้ามกับ เกิน - ขุด
ตรงข้ามกับ กลบ - ขุ่น
ตรงข้ามกับ ใส - ขอ
ตรงข้ามกับ ให้ - แข็งแรง
ตรงข้ามกับ อ่อนแอ - เข้า
ตรงข้ามกับ ออก - ขาดแคลน
ตรงข้ามกับ เหลือเฟือ - ขวา
ตรงข้ามกับ ซ้าย - ขาย
ตรงข้ามกับ ซื้อ - ขึ้น
ตรงข้ามกับ ลง - ขาว
ตรงข้ามกับ ดำ - คดโกง
ตรงข้ามกับ ซื่อสัตย์ - ค่ำ
ตรงข้ามกับ เช้า - คุณ
ตรงข้ามกับ โทษ - คว่ำ
ตรงข้ามกับ หงาย - คม
ตรงข้ามกับ ทื่อ - ง่าย
ตรงข้ามกับ ยาก - เงียบ
ตรงข้ามกับ ดัง - จริง
ตรงข้ามกับ เท็จ - แจ้ง
ตรงข้ามกับ มืด - จม
ตรงข้ามกับ ลอย - จาง
ตรงข้ามกับ เข้ม - จอด
ตรงข้ามกับ แล่น - จับ
ตรงข้ามกับ ปล่อย - จืด
ตรงข้ามกับ เค็ม - จน
ตรงข้ามกับ รวย - ใจดี
ตรงข้ามกับ ใจร้าย
คำตรงข้ามหมวด ฉ - ต
- เฉย
ตรงข้ามกับ โวยวาย - แฉ
- เฉ
ตรงข้ามกับ ตรง - ฉลาด
ตรงข้ามกับ โง่ - ชม
ตรงข้ามกับ ติ - ชอบ
ตรงข้ามกับ ชัง - ใช่
ตรงข้ามกับ ไม่ - ช้า
ตรงข้ามกับ เร็ว - เชื่องช้า
ตรงข้ามกับ คล่องแคล่ว - ดี
ตรงข้ามกับ เลว - ดีใจ
ตรงข้ามกับ เสียใจ - ดื้อ
ตรงข้ามกับ ว่าง่าย - เด็ก
ตรงข้ามกับ ผู้ใหญ่ - ด้าน
- ดำ
ตรงข้ามกับ ขาว - แดง
ตรงข้ามกับ ดำ - ตอบ
ตรงข้ามกับ ถาม - ตรง
ตรงข้ามกับ คด - ต้น
ตรงข้ามกับ ปลาย - ตาย
ตรงข้ามกับ ฟื้น - ตกลง
ตรงข้ามกับ ปฏิเสธ - โต
ตรงข้ามกับ เล็ก - ตื่น
ตรงข้ามกับ หลับ
คำตรงข้ามหมวด ถ - ป
- ถูก
ตรงข้ามกับ ไม่ - ถาม
ตรงข้ามกับ ตอบ - ถูกต้อง
ตรงข้ามกับ ไม่ - ถูกแล้ว
ตรงข้ามกับ ไม่ - ทะลึ่ง
ตรงข้ามกับ สุภาพ - น่ารัก
- แน่น
ตรงข้ามกับ หลวม - โน
ตรงข้ามกับ ใช่ - นาน
ตรงข้ามกับ เร็ว - บิด
ตรงข้ามกับ ตรง - บาย
ตรงข้ามกับ ใช่ - บ้า
ตรงข้ามกับ ดี - เบา
ตรงข้ามกับ หนัก - บุญ
ตรงข้ามกับ บาป - บ่
ตรงข้ามกับ ใช่ - ปลิ้นปล้อน
ตรงข้ามกับ จริงจัง - ไป
ตรงข้ามกับ มา - เปียก
ตรงข้ามกับ แห้ง - เปราะ
ตรงข้ามกับ เหนียว - ปัก
ตรงข้ามกับ ถอน - เปรี้ยว
ตรงข้ามกับ เค็ม - ประหยัด
ตรงข้ามกับ ฟุ่มเฟือย
คำตรงข้ามหมวด พ - ร
- พาล
ตรงข้ามกับ บัณฑิต - พระ
ตรงข้ามกับ มาร - แพ้
ตรงข้ามกับ ชนะ - มาก
ตรงข้ามกับ น้อย - ไม่เอา
ตรงข้ามกับ ใช่ - ไม่
ตรงข้ามกับ ใช่ - เมื่อวาน
ตรงข้ามกับ วันนี้ - แม่
ตรงข้ามกับ พ่อ - มา
ตรงข้ามกับ ไป - มืด
ตรงข้ามกับ สว่าง - มิตร
ตรงข้ามกับ ศัตรู - มั่น
ตรงข้ามกับ โลเล - ยุ่ง
ตรงข้ามกับ เรียบ - ยืด
ตรงข้ามกับ หด - ยืน
ตรงข้ามกับ นั่ง - ยาว
ตรงข้ามกับ สั้น - เย็น
ตรงข้ามกับ เช้า - ยิ้ม
ตรงข้ามกับ บึ้ง - เรียบร้อย
ตรงข้ามกับ ลุ่มล่าม - รวย
ตรงข้ามกับ จน - ร้อน
ตรงข้ามกับ เย็น - รอบคอบ
คำตรงข้ามหมวด ล - ศ
- โล่ง
ตรงข้ามกับ รก - วิ่ง
ตรงข้ามกับ หยุด - เศรษฐี
ตรงข้ามกับ ยาจก - เศร้า
ตรงข้ามกับ เบิกบาน - ศิษย์
ตรงข้ามกับ อาจารย์
คำตรงข้ามหมวด ส - อ
- สรรเสริญ
ตรงข้ามกับ นินทา - สุข
ตรงข้ามกับ ทุกข์ - ใส่
ตรงข้ามกับ ถอด - สูง
ตรงข้ามกับ ต่ำ - ใส
ตรงข้ามกับ ดำ - สวม
ตรงข้ามกับ ถอด - สามัคคี
ตรงข้ามกับ แตกแยก - สุภาพ
ตรงข้ามกับ หยาบคาย - สร้างสรรค์
ตรงข้ามกับ ทำลาย - สกปรก
ตรงข้ามกับ สะอาด - สาว
ตรงข้ามกับ หนุ่ม - สะอาด
ตรงข้ามกับ สกปรก - สวย
ตรงข้ามกับ ขี้เหร่ - สว่าง
ตรงข้ามกับ ดำ - สั่น
ตรงข้ามกับ นิ่ง - สมหวัง
ตรงข้ามกับ ผิดหวัง - สุจริต
ตรงข้ามกับ ทุจริต - หมด
ตรงข้ามกับ มี - หล่อ
ตรงข้ามกับ อัปลักษณ์ - แหลม
ตรงข้ามกับ ทู่ - หื่อ
ตรงข้ามกับ ใช่ - หัวเราะ
ตรงข้ามกับ ร้องไห้ - หวาน
ตรงข้ามกับ ขม - ใหม่
ตรงข้ามกับ เก่า - แห้ง
ตรงข้ามกับ เปียก - หอม
ตรงข้ามกับ เหม็น - หงอ
ตรงข้ามกับ กร่าง - หยาบคาย
ตรงข้ามกับ อ่อนหวาน - หลุด
ตรงข้ามกับ ติด - หิว
ตรงข้ามกับ อิ่ม - หยาบ
ตรงข้ามกับ ละเอียด - อ้วน
ตรงข้ามกับ ผอม - อำพราง
ตรงข้ามกับ เปิดเผย
เตือนตาย พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เห็นหน้ากันเมื่อเช้า สายตาย
สายสุขอยู่สบาย บ่ายม้วย
บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับ ชีพนา
เย็นอยู่หยอกลูกด้วย ค่ำม้วยดับสูญฯ
บันทึกวันสวรรคต รัชกาลที่ 5
วันสวรรคต รัชกาลที่ 5 ในบันทึกหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
บันทึก วันสวรรคต รัชกาลที่ 5
ผู้เขียน หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ข้าพเจ้าเจ็บเป็นบิดมีไข้ขึ้นอยู่ที่วังประตู สามยอด กําลังนอนหลับสนิท และสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้อย่างเต็มเสียง ข้าพเจ้าตกใจ เพราะไม่เคยได้ยินผู้ชายร้องไห้ แล้วก็นึกว่าฝันไป สักครู่ได้ยินเสียงนั้นอีก และคราวนี้จําได้ว่าเป็นพระสุรเสียงของเสด็จพ่อ ข้าพเจ้าก็ยิ่งตกใจมากขึ้น จึงหันไปปลุกแม่นมของข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ ถามเขาว่า “ได้ยินอะไรไหม” นมแจ๋วลุกขึ้นนั่งแล้ว ตอบว่า “ได้ยินค่ะ อย่าตกพระทัยไป เสียงทางท้องพระโรงน่ะ” แล้วเขาก็หันไปดูนาฬิกา ข้าพเจ้ามองตามเขาไปจึงเห็นว่าเวลา 2 น. เศษ
ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนขึ้นบันไดมาทางเฉลียงที่เรานอน ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่ง ก็พอดีเห็นเสด็จพ่อทรงยืนอยู่ทางปลายมุ้ง ตรัสว่า “พระเจ้าอยู่หัวสวรรคตเสียแล้วละลูก” แล้วก็ทรงพระกันแสงโฮใหญ่ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้โฮตามไปด้วย แล้วท่านก็เสด็จกลับไปทางท้องพระโรง ทรงพระดําเนินไปช้า ๆ เหมือนคนหมดแรง ข้าพเจ้านั่งตะลึงมองตามไปด้วยไม่รู้ว่าจะทําอะไร จะเป็นด้วยเด็กเกินกว่าจะเข้าใจคําว่าสวรรคตหรือจะเป็นเพราะกําลังไม่สบายก็รู้ไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกแต่ว่าสงสารเสด็จพ่อเหลือกําลัง ลงท้ายนมแจ๋วก็บอกให้ข้าพเจ้านอนเสีย เพราะกลัวจะเจ็บมากไป
รุ่งขึ้นเช้ามืด ทุกคนตื่นด้วยนอนไม่หลับ ราว 7 น. เศษ หม่อมเจิมแม่เลี้ยงข้าพเจ้าวิ่งขึ้นบันไดมาตะโกนเรียกว่า “ท่านหญิงคะ ลงมาช่วยกันหุ้มตราของเสด็จพ่อเร็ว หม่อมฉันทําไม่ทันดอกคนเดียว” ข้าพเจ้าลืมเจ็บวิ่งลงบันไดตามไปช่วยเย็บผ้าย่นพันทุกข์หุ้มทั้งเหรียญทั้งตราทุก ๆ ดวง ในเวลากําลังทําเครื่องเต็มยศใหญ่อยู่นั้น มีพวกข้าราชการไปมาเฝ้าเสด็จพ่ออยู่ตลอดเวลา บางคนมาฟังคําสั่ง บางคนมาฟังว่าสวรรคตจริง ๆ หรือ เพราะไม่มีใครทราบข่าวว่าทรงพระประชวรมากแต่อย่างไร แม้เสด็จพ่อเองก็เพิ่งทรงทราบว่าทรงพระประชวรมาก เมื่อวันศุกร์ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว
หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
เสด็จพ่อทรงเล่าว่า พระองค์ท่านเสด็จไปตรวจราชการทางใต้เสียวันหนึ่ง กลับมาถึงกรุงเทพฯ บ่ายวันอาทิตย์ จึงเลยไปเฝ้าที่พญาไท ซึ่งเป็นที่เสด็จประพาสและทรงทํานากันอยู่ในเวลานั้นทุก ๆ เย็น เมื่อเสด็จไปถึงก็เสด็จขึ้นเสียแล้วไม่ทันได้เฝ้า เขาทูลว่า เสด็จขึ้นเร็วเพราะไม่ทรงสบายพระนาภี เสด็จพ่อจึงเสด็จตามเข้าไปฟังพระอาการที่พระที่นั่งอัมพรสถาน ได้ความว่า พระนาภิเสียและเสวยยาถ่ายแล้ว ไม่มีพระอาการมากมายอันใด ก็เป็นอันเบาพระทัยและเสด็จกลับวัง
รุ่งขึ้นบ่ายเสร็จเวลากระทรวงแล้วก็เสด็จไปยังพระที่นั่งอัมพรอีก แต่วันนี้มหาดเล็กมาทูลว่า วันนี้เสด็จออกไม่ได้ โปรดให้เจ้านายรวมทั้งเสด็จพ่อเข้าไปเฝ้าข้างใน เมื่อเข้าไปเฝ้าก็ประทับตรัสคุยสนุกสนานดีตามเคย เป็นแต่ทรงเล่าพระอาการว่า พระนาภีเสียเสวยน้ำมันละหุ่งไม่เดินเห็นจะเป็นด้วยยาเก่าไปจะต้องเสวยใหม่ วันอังคารก็เข้าไปเฝ้าอย่างวันก่อน ครั้นรุ่งขึ้นเย็นวันพุธ พอเสด็จเข้าไปถึงพระที่นั่งก็ได้ทรงทราบว่าไม่ทรงพระสบาย เพราะยาถ่ายเดินมากไป จนทรงเพลียถึงต้องบรรทมในพระที่ และมีพระราชดำรัสให้ตามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสาวภาผ่องศรี ขึ้นมาถวายการพยาบาล เป็นอันเสด็จพ่อก็ไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าและเลยเสด็จอยู่ในพระที่นั่งชั้นล่างกับเจ้านายผู้ใหญ่ มีสมเด็จวังบูรพาภิรมย์ และกรมหลวงนเรศวร์ฯ กรมหลวงเทววงศ์ฯ เป็นต้น เพื่อควบคุมหมอและคอยฟังพระอาการ
คนอื่น ๆ ไม่มีใครตกใจ เพราะเป็นเรื่องพระนาภีเสียเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระโรคประจำพระองค์ แต่เรื่องพระวักกะ (ไต) พิการ ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเสด็จไปรักษาพระองค์ในยุโรปครั้งที่ 2 ตามหมอสั่ง (ในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พ.ศ. 2450 นี้ ได้มีรายงานแพทย์ชาวยุโรปลงสันนิษฐานว่า “มีพระโลหิตไม่บริบูรณ์และอ่อนพระกำลัง ด้วยอำนาจพระธาตุละลายพระอาหารหย่อน และมีพระสิงฆานิกาออกทางพระศอ และพระนาสิกเรื้อรังมา และด้วยอำนาจพระอุตสาหะจัด ซึ่งทำไม่ให้บรรทมหลับหลายปีแล้ว”) เพราะในสมัยนั้นยังไม่มียาฉีดต่าง ๆ เช่นสมัยนี้ หมอสั่งไว้แต่ว่าให้ระวังอย่าให้ทรงมีไข้ได้เพราะกลัวไตจะซ้ำเติม
มีคุณย่าของข้าพเจ้าคนเดียวที่ท่านให้คนวิ่งดูอยู่เสมอว่า เสด็จพ่อเสด็จกลับจากในวังแล้วหรือยัง จนพวกเราเห็นแปลก มารู้ภายหลังว่า เพราะท่านเคยพบคำว่าสวรรคตมาแล้วนั่นเอง ส่วนพวกเราไม่เคยรู้จัก ซ้ำสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็เสด็จอยู่ในราชสมบัติมาตั้ง 42 ปี จึงเพลินจนไม่มีใครนึกถึงคำว่าสวรรคต
ถึงเช้าวันศุกร์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสาวภาผ่องศรีเชิญเสด็จพ่อให้ไปเฝ้าที่หน้าม่าน (ข้างหน้าและข้างในต่อกัน) แล้วตรัสบอกว่า “พระอาการอื่น ๆ ดีขึ้นหมดทุกอย่าง แต่หม่อมฉันไม่ชอบเรื่องลงพระบังคนเบา วานนี้ตลอดวันมีราว 1 ช้อนโต๊ะ จึงเชิญเสด็จท่านมาทูลจะได้คิดแก้ไข” เสด็จพ่อตกพระทัยเป็นครั้งแรก รีบทูลลาว่าจะต้องเรียกประชุมหมอ แล้วก็กลับไปทูลเจ้านายที่ห้องแป๊ะเต๋ง จัดการเรียกหมอที่ว่าดีในเวลานั้นหมดมาประชุมตกลงกันถวายยาฉีดถวายสวน ทุกอย่างที่จะพึงทำได้ในเวลานั้นแต่ไม่มีผล คงได้พระบังคนเบาราว 1 ช้อนกาแฟ ซึ่งน้อยลงไปอีก
พอถึงเวลาค่ำ หมอก็พร้อมกันทูลเจ้านายว่า ถ้ามีราชการอันใดที่จะต้องกราบทูลก็ให้กราบทูลเสียในตอนเช้าพรุ่งนี้ เพราะถ้าถึงเย็นจะเข้าโคม่า (ซึม) ที่ประชุมปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องกราบบังคมทูลรบกวน แล้วสมเด็จวังบูรพาภิรมย์ก็ตรัสสั่งให้เสด็จพ่อไปเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเข้ามายังพระราชฐานแต่เช้า
รุ่งขึ้นวันเสาร์ราว 2 น. เสด็จพ่อเสด็จตรงไปยังวังสราญรมย์ ตรัสเล่าว่า สมเด็จพระบรมฯ ยังไม่บรรทมตื่น ทรงพบหม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ จึงตรัสบอกให้ปลุกพระบรรทมเดี๋ยวนั้น แล้วพากันเสด็จเข้าไปยังพระราชวังสวนดุสิต ถึงตอนบ่าย ข่าวประชวรมากก็รู้กันไปทั่วแล้ว และแทบทุกคนก็พากันไปฟังพระอาการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน เวลาราวบ่าย 4 โมง พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ (ซึ่งทรงเป็นหมอพระองค์หนึ่ง) ขอเข้าไปดูพระอาการ พอถึงพระองค์ท่านก็ยกพระหัตถ์ขึ้นจับพระชีพจรที่พระบาท สมเด็จพระพุทธเจ้า หลวงหลับพระเนตรอยู่ ตรัสถามว่า “นั่นหมอหรือ” เป็นคำหลังแล้วมิได้ตรัสต่อไปอีกเลย ค่อย ๆ ทรงพระบรรทมหลับไป ๆ จนหมดพระอัสสาสะเมื่อเวลา 24.45 นาที พระบรมศพมิได้มีซูบซีดผิดปกติกว่าเวลาทรงพระบรรทมหลับตามปกติแต่ประการใด
กําหนดสรงน้ำพระบรมศพที่พระนั่งอัมพรสถานในที่พระบรรทม แล้วเชิญพระบรมศพลงพระโกศทอง เชิญเสด็จขึ้นพระยานุมาศเคลื่อนกระบวนจากพระราชวังดุสิตไปสู่พระมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง เวลาค่ำ 7 น. เศษ
เสด็จพ่อทรงสั่งราชการ พลางทรงพระกันแสงพลางอยู่ที่วังตอนเช้าวันอาทิตย์ พวกพี่น้องของข้าพเจ้าเขาก็พากันกลับเข้าวังหมดแทบทุกคน ข้าพเจ้ายังมีไข้เข้าไปช่วยทำงานในวังไม่ได้ พอเสด็จพ่อทรงเครื่องเต็มยศใหญ่เข้าไปสวนดุสิตแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปคอยเฝ้าพระบรมศพที่ริมถนนราชดำเนินแถวโรงเรียนนายร้อยทหารบก พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนแต่งดำน้ำตาไหลอย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รส อากาศมืดคลุ้มมีหมอกขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดินทั่วไป ผู้ใหญ่เขาบอกว่านี่แหละคือหมอกธุมเกต ที่ในตำราเขากล่าวถึงว่า มักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ ๆ เกิดขึ้น
กระบวนพระบรมราชอิสริยยศอัญเชิญพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ออกจากบริเวณพระเมรุมาศทางทิศตะวันออก (ภาพจาก FB: Pirasri Povatong)
ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปี่ในกระบวน เสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกล ๆ แล้วได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้เข้ามา ๆ ในความมืดเงียบสงัด ที่มืดเพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้พระบรมโกศผ่านได้ และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงปี่เสียงกลองมาแล้ว เคยได้เห็นแห่พระศพเจ้านายมาแล้วหลายองค์ แต่คราวนี้ตกใจสะดุ้งทั้งตัวเมื่อเห็นพระมหาเศวตฉัตรกั้นมาบนพระบรมโกศสีขาวกับสีทองเป็นสง่า ทำให้รู้ทันทีว่า พระบรมศพ แล้วก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว
เหลียวไปดูทางอื่นเห็นแต่แสงไฟจากเทียนที่จุดถวายสักการะอยู่ข้างถนนแวม ๆ ไปตลอด ในแสงเทียนนั้นมีแต่หน้าเศร้า ๆ หรือปิดหน้าอยู่ เราหมอบลงกราบกับพื้นปฐพี พอเงยหน้าก็เห็นทหารที่ยืนถือปืนเอาปลายลงดิน ก้มหน้าลงบนปืนอยู่ข้างหน้าเราเป็นระยะไป ตลอด 2 ข้างถนนนั้น น้ำตาของเขากำลังหยดลงแปะ ๆ อยู่บนหลังมือของเขาเอง ทหารผู้อยู่ในยูนิฟอร์มอันแสดงว่ากล้าหาญ ยังร้องไห้เพราะเสียดายประมุขอันเลิศของเขา
เสด็จพ่อตรัสเล่าว่า ได้โทรเลขไปตามหัวเมืองให้ระวังเหตุการณ์ในตอนเปลี่ยนแผ่นดิน ได้ตอบมาทุกทางว่า ภายใน 7 วันแต่วันสวรรคตนั้น ไม่มีเหตุการณ์โจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเลยสักแห่งเดียวในพระราชอาณาจักร ฉะนั้น จึงจะต้องเข้าใจว่า แม้แต่โจรก็ยังเสียใจหรือตกใจในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระปิยมหาราชของเรา
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2568
เนื้อเพลง นักรับชายแดน - รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส
ก่อนเคยนอนเคล้าคู่อยู่เป็นสอง
อบ อุ่น แสนละมุนยามเคียงครอง
ทั้งหอห้องเหมือนเมืองแมน
แต่ค่ำนี้ มีเราเศร้าเหงาเพียงลำพังกับหมอน
ยอด รักจรไปนอนหนุนขอนต่างแขน
กอดเพียงแต่ปืนบนแผ่นพื้น
หนาวเย็นเหมือนเป็นแท่น
พิทักษ์แดนเสรีนี้ให้ยืนนาน
....ดนตรี.....
หลับ ตาหนใดยังลืมไม่ลง
ห่วงพะวงเห็นใจตำรวจทหาร
ห่าง ญาติ และมิตรคู่ดวงมาลย์
สมชายชาญเชื้อวีรชน
ได้แต่พนมมือก้มกราบพระผู้เสวยสวรรค์
โปรด คุ้มกันตำรวจทหาร ให้พ้น
ผู้ทำลายชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ ขอจงปี้ป่น
ไทยทุกคน เห็นใจนักรบชายแดน
....ดนตรี.....
หลับ ตาหนใดยังลืมไม่ลง
ห่วงพะวงเห็นใจตำรวจทหาร
ห่าง ญาติ และมิตรคู่ดวงมาลย์
สมชายชาญเชื้อวีรชน
ได้แต่พนมมือก้มกราบพระผู้เสวยสวรรค์
โปรด คุ้มกันตำรวจทหาร ให้พ้น
ผู้ทำลายชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ ขอจงปี้ป่น
ไทยทุกคน เห็นใจนักรบชายแดน
วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
ปราสาทตาเมือนธม ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทย ตั้งแต่ปี ๒๔๗๘
โบราณสถาน ในภาคอีสาน ที่สำคัญหลายๆ แห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ที่มีความเก่า และงดงาม เป็นโบราณสถานแบบขอม ที่มีอายุราวๆ ปลายพุทธศตวรรษที่ 16
ปราสาทตาเมือนธม เป็น 1 ใน 3 แห่งของ โบราณสถานกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งมีโบราณสถานแบบขอม 3 หลัง ตั้งอยู่ใน อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อยู่ติด ชายแดนประเทศไทย และ ประเทศกัมพูชา
- ปราสาทตาเมือนธม
- ปราสาทตาเมือนโต๊ด
- ปราสาทตาเมือน (บายกรีม)
กรมศิลปากร เคยออกมาให้ข้อมูลเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓ ว่า “ปราสาทตาเมือนธม” อยู่ฝั่งไทย โดยกรมศิลปากรทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๘ หรือเมื่อ ๙๐ ปีที่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะ โดยทางการกัมพูชารับรู้มาตลอด อีกทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้สร้างเส้นทางเที่ยวชมสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากกัมพูชาอ้างสิทธิการถือครองพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมจริง ไทยต้องยืนยันว่าพื้นที่ชายแดนจุดนี้เป็นของไทย โดยใช้แผนที่ตามหลักสากล ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำ
ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลังเรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน
ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม (ธม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่) ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม
ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้
ปราสาทตาเมือนธมประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ
ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ 750 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ปราสาทตาเมือน(บายกรีม)อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง
กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์ แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค
การเข้าชม เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย ทำให้การเข้าถึงตัวปราสาทเข้าได้เฉพาะฝั่งไทยเท่านั้น ส่วนฝั่งกัมพูชาอาจเข้าถึงได้ยากเพราะทางหลวงเก่าถูกป่าไม้กลืนกินหมดแล้ว ในช่วงกรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การถือครองปราสาทพระวิหาร การปะทะริมชายแดนขยายไปถึงตาเมือน ทำให้ต้องหยุดเข้าชมวิหารชั่วคราว หลังจากนั้นแรงกดดันมีมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางไปไกลกว่าทางเข้าหลักทางใต้เพียงไม่กี่เมตร โดยมีตำรวจตระเวนชายแดนประจำการตรงนี้
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ทางเข้าปราสาทฝั่งกัมพูชาเริ่มง่ายขึ้นเพราะมีการพัฒนาถนนแล้ว ซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2552 แล้วเปิดใช้งานใน พ.ศ. 2553 โดยเป็นถนนลูกรังสีแดงที่มีความยาว 24 กิโลเมตร (แต่ไม่นานมานี้ได้พัฒนาเป็นถนนยางมะตอย) และถนนคอนกรีตขึ้นเขา 500 เมตร ผู้เข้าชมควรจอดรถในบริเวณใกล้เนินเขา เพราะพื้นที่บางส่วนชันเกิน เมื่อถึงยอดเขา นักท่องเที่ยวสามารถชมทิวทัศน์ของทิวเขาพนมดงรักพร้อมกับต้นไม้ใหญ่และดอกไม้ป่า
วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
กรุงเทพมหานครมี 50 เขต
กรุงเทพมหานครมี 50 เขต
รายชื่อเขตทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร
เรียงตามรหัสเขตการปกครองที่ใช้ในราชการ
- เขตพระนคร
- เขตดุสิต
- เขตหนองจอก
- เขตบางรัก
- เขตบางเขน
- เขตบางกะปิ
- เขตปทุมวัน
- เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
- เขตพระโขนง
- เขตมีนบุรี
- เขตลาดกระบัง
- เขตยานนาวา
- เขตสัมพันธวงศ์
- เขตพญาไท
- เขตธนบุรี
- เขตบางกอกใหญ่
- เขตห้วยขวาง
- เขตคลองสาน
- เขตตลิ่งชัน
- เขตบางกอกน้อย
- เขตบางขุนเทียน
- เขตภาษีเจริญ
- เขตหนองแขม
- เขตราษฎร์บูรณะ
- เขตบางพลัด
- เขตดินแดง
- เขตบึงกุ่ม
- เขตสาทร
- เขตบางซื่อ
- เขตจตุจักร
- เขตบางคอแหลม
- เขตประเวศ
- เขตคลองเตย
- เขตสวนหลวง
- เขตจอมทอง
- เขตดอนเมือง
- เขตราชเทวี
- เขตลาดพร้าว
- เขตวัฒนา
- เขตบางแค
- เขตหลักสี่
- เขตสายไหม
- เขตคันนายาว
- เขตสะพานสูง
- เขตวังทองหลาง
- เขตคลองสามวา
- เขตบางนา
- เขตทวีวัฒนา
- เขตทุ่งครุ
- เขตบางบอน
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
รายพระนาม "สมเด็จพระราชินี" แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์
รายพระนาม "สมเด็จพระราชินี" รัชกาลที่ 1 - 10
ราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1 : สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (9 มีนาคม พ.ศ. 2280 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2369) พระนามเดิม นาค เป็นอรรคชายาเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
รัชกาลที่ 2 : สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (พระยศเดิม:สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด; พระราชสมภพ: 21 กันยายน พ.ศ. 2310 - สวรรคต: 18 ตุลาคม พ.ศ. 2379) หรือประชาชนเรียกว่า สมเด็จพระพันวษา เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (พระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน ต่อมาได้รับราชการฝ่ายในเป็นพระชายา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 3 : ไม่มีการสถาปนาพระราชินี
รัชกาลที่ 4 : ไม่มีการสถาปนาพระราชินี แต่มีพระอัครมเหสี
สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี (21 ธันวาคม พ.ศ. 2377 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2395) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับหม่อมงิ้ว และเป็นพระราชนัดดาเพียงพระองค์เดียวในรัชกาลที่ 3 ที่ดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พระองค์ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นพระอัครมเหสี เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2395 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2395 หลังจากการสวรรคตของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ สร้างวัดโสมนัสราชวรวิหาร เพื่อพระราชอุทิศให้แก่พระองค์
รัชกาลที่ 5 : สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
รัชกาลที่ 6 : สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี
สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี สมเด็จพระวรราชชายาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) กับท่านผู้หญิงกิมไล้ สุธรรมมนตรี (สุจริตกุล) ทรงดำรงอิสริยยศสมเด็จพระราชินีอยู่ 2 ปี 8 เดือน รัชกาลที่ 6 ทรงประกาศเปลี่ยนอิสริยยศ ลดลงเป็น พระวรราชชายา และไม่ได้สถาปนาพระราชินีพระองค์ใหม่
รัชกาลที่ 7 : สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
พันเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 — 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2527) เป็นพระอัครมเหสีเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมเหสีพระองค์แรกตามแบบยุโรปและระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย หลังจากพระราชสวามีสละราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2477 พระองค์ประทับอยู่ประเทศอังกฤษจวบจนพระราชสวามีเสด็จสวรรคต และเสด็จนิวัตกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2492 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลในขณะนั้น
รัชกาลที่ 8 : ไม่มีการสถาปนาพระราชินี และไม่มีพระมเหสี
รัชกาลที่ 9 : สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
จอมพลหญิง จอมพลเรือหญิง จอมพลอากาศหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (เดิม: หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร; 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475) เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและโดยพระชนมพรรษาจึงนับเป็นพระกุลเชษฐ์พระองค์ปัจจุบันในพระบรมราชจักรีวงศ์
รัชกาลที่ 10 : สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
นิราศพระประธม นิราศเรื่องที่ ๙ ของสุนทรภู่
นิราศพระประธม เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ สันนิษฐานว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 หลังจากลาสิกขาบทแล้วและอยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ สุนทรภู่น่าจะเดินทางในช่วงฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2385 ด้วยปรากฏในบทนิราศว่าเดินทางไปโดยการพายเรือ ซึ่งควรต้องไปในฤดูน้ำขึ้น ต้นฉบับสมุดไทยนิราศพระประธม จำนวน 4 ฉบับ เก็บรักษาที่หอสมุดแห่งชาติ มีความแตกต่างทางระดับถ้อยคำและบางแห่งมีความแตกต่างในหลายคำกลอน
เนื้อหาโดยย่อ และเส้นทางการเดินทาง
นิราศพระประธมกล่าวถึงการเดินทางของสุนทรภู่และบุตรชายคือตาบและนิลไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เดินทางทางเรือออกจากบริเวณพระราชวังเดิมผ่านสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ วัดระฆัง คลองบางกอกน้อย ผ่านตลาดแพ พระราชวังหลังสถานที่ที่สุนทรภู่เคยรับราชการ บางหว้าน้อย วัดสุวรรณารามราชวรวิหารเป็นสถานที่ทำศพของฉิมและนิ่มน้องสาวต่างบิดาของสุนทรภู่ วัดศรีสุดารามวรวิหาร สถานที่ที่กวีเคยบวชอยู่
จังหวัดนนทบุรี เดินทางผ่านบางสนาม วัดเกด วัดชลอ บางกรวย บางสีทอง บางอ้อช้าง วัดสักใหญ่ บางขนุน บางขุนกอง บางนายไก บางระนก บางคูเวียง บางม่วง บางใหญ่ บางกระบือ บางสุนัขบ้า บางโสน บ้านใหม่ธงทอง คลองโยง บางเชือก เข้าจังหวัดนครปฐม เดินทางผ่านลานตากฟ้า งิ้วราย สำประทวน ปากน้ำสำประโทน บางแก้ว โพเตี้ย บางกระชับ วัดสิงห์ วัดท่าใน ต่อจากนั้นได้นั่งเกวียนต่อไปบ้านกล้วย บ้านธรรมศาลา บ้านเพนียด และพระปฐมเจดีย์
| ๏ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ | |
| ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ | พอฆ้องย่ำยามสองกลองประโคม |
| น้ำค้างย้อยพร้อยพรมเปนลมว่าว | อนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม |
| มาสูญเหมือนเดือนดับพยับโพยม | ให้ทุกขโทมนัสในฤทัยครวญ |
| โอ้น่าหนาวคราวนี้เปนที่สุด | จะจากนุชแนบข้างไปห่างหวน |
| นิราศร้างห่างเหให้เรรวน | มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน |
| ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ | ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น |
| ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน | ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ |
| ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่ | ไปสิงสู่เสน่หานางเสาหงส์ |
| จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง | ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย |
| วัดระฆังตั้งแต่เสร็จสำเร็จศพ | ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย |
| โอ้แลเหลียวเปลี่ยวใจกระไรเลย | มาชวดเชยโฉมหอมถนอมนวล |
| จนนาวาคลาล่องเข้าคลองขวาง | ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน |
| ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพรวน | แต่แลล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว |
| ทุกเรือนแพแลลับระงับเงียบ | ยิ่งเย็นเยียบยามดึกให้นึกหนาว |
| ในอากาศกลาดเกลื่อนด้วยเดือนดาว | เปนลมว่าวเฉื่อยฉิวหวิวหัวใจ |
| โอ้บางกอกกอกเลือดให้เหือดโรค | อันความโศกนี้จะกอกออกที่ไหน |
| แม้นได้แก้วแววตามายาใจ | แล้วก็ไม่พักกอกดอกจริงจริง |
| ดูวังหลังยังไม่ลืมที่ปลื้มจิต | เคยมีมิตรมากมายทั้งชายหญิง |
| เมื่อยามดึกนึกถึงที่พึ่งพิง | อนาถนิ่งนึกน่าน้ำตานอง |
| บางว้าน้อยน้อยจิตรด้วยพิสมัย | น้อยฤๅใจจืดจางให้หมางหมอง |
| หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้อง | ให้เจ้าของขายหน้าทั้งตาปี |
| ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบ | เย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี |
| สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารี | มาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน |
| ขอบุญญานิสงส์จำนงสนอง | ช่วยส่งสองศรีสวัสดิ์ไปปฏิสนธิ์ |
| ศิวาลัยไตรภพจบสกล | ประจวบจนจะได้พบประสบกัน |
| ทั้งแก้วเนตรเกสรามณฑาทิพย์ | จงลอยลิบลุล่วงถึงสรวงสวรรค์ |
| จะเกิดไหนได้อยู่คู่ชีวัน | อย่ามีอันตรายเปนเหมือนเช่นนี้ ฯ |
| ๏ วัดปะขาวขาวเหลือเชื่อไม่ได้ | ด้วยดวงใจเจ้านั้นคล้ำดำมิดหมี |
| แม้นแม่ม่ายขาวโศกโฉลกมี | เหมือนแม่ศรีสาครฉะอ้อนเอว |
| โอ้เคราะห์กรรมจำคลาศนิราศร้าง | เพราะขัดขวางความในเหมือนไขว่เฉลว |
| ทั้งเกลียดสิ้นนินทาพาลาเลว | เหมือนต้องเปลวปลิวต้องให้หมองมอม |
| เสียดายแต่แม่ศรีเจ้าพี่เอ๋ย | จะชวดเชยชวดชมภิรมย์ถนอม |
| เหมือนดอกไม้ไกลแดนเพราะแตนตอม | ใครแปลงปลอมปลิดสอยมันต่อยตาย ฯ |
| ๏ บางตำรุเหมือนบำรุบำรุงรัก | จะพึ่งพักพิศวาสเหมือนมาทหมาย |
| ไม่เหมือนนึกตรึกตรองเพราะสองราย | เห็นฝักฝ่ายเฟือนลงด้วยทรงโลม |
| พอสิ้นแพแลล้วนสวนสงัด | พยุพัดฮือฮือกระพือโหม |
| ยิ่งดึกดาววาววามดังตามโคม | น้ำค้างโทรมแสนหนาวให้เปล่าใจ |
| บางขุนนนต้นลำภูดูหิ่งห้อย | เหมือนเพ็ชรพลอยพรายพร่างสว่างไสว |
| จังหรีดร้องซร้องเสียงเรียงเรไร | จะแลไหนเงียบเหงาทุกเหย้าเรือน |
| บางระมาดมาทหมายสายสวาท | ว่าสมมาทเหมือนใจแล้วไม่เหมือน |
| แสนสวาทมาทหมายมาหลายเดือน | มิคลาเคลื่อนแคล้วคลาศประหลาดใจ |
| วัดไก่เตี้ยไม่เห็นไก่เห็นไทรต่ำ | กอระกำแกมสละขึ้นไสว |
| หอมระกำก็ยิ่งช้ำระกำใจ | ระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำทรวง |
| ถึงวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก | เหลือจักหักจับต้องเปนของหลวง |
| แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง | ระรื่นร่วงเรณูฟูขจร |
| โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าเสาวรส | ยังปรากฎกลิ่นกล่อมหอมเกสร |
| แต่โกสุมภุมรินมาบินวอน | ไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย |
| ดึกกำดัดสัตว์อื่นไม่ตื่นหมด | แต่นกกดร้องเร้ากระเหว่าโหย |
| ระรวยรินกลิ่นโศกมาโบกโบย | โอ้โศกโรยแรมร้างมาห่างจร |
| ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง | เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสลอน |
| ทำยศอย่างขวางแขวนแสนแสงอน | ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย |
| วัดพิกุลฉุนกลิ่นระรินรื่น | โอ้หอมชื่นเชยกับรสแป้งสดใส |
| เหมือนพิกุลอุ่นทรวงพวงมาไลย | พี่เคยใส่หัตถ์หอมถนอมนวล |
| โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น | มาหอมรื่นแต่ดอกไม้ที่ในสวน |
| พระพายโชยโรยรินกลิ่นลำดวน | เหมือนจะชวนชูใจเมื่อไกลเชย |
| บางผักหนามนึกขามแต่หนามเสี้ยน | หนามทุเรียนลักฉีกอีกเจ้าเอ๋ย |
| ที่กีดขวางทางความแต่หนามเตย | ไม่น่าเชยน่าชังล้วนรังแตน |
| ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสวาท | มาสิ้นชาติปรโลกยิ่งโศกแสน |
| ไปสวรรค์ชั้นบนคนละแดน | ไม่ร่วมแผ่นภพโลกยิ่งโศกใจ |
| ถึงวัดเกษเจตนาแต่การะเกษ | ไม่สมเจตนาน่าน้ำตาไหล |
| เคยลับเนตรเกษน้อยกลอยฤทัย | มาจำไกลกลืนกลั้นที่รัญจวน |
| น้ำค้างพรมลมชายระบายโบก | หอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหวน |
| เหมือนโศกร้างห่างเหเสน่ห์นวล | มาถึงสวนโศกช้ำระกำทรวง |
| เห็นรักน้ำคร่ำคร่าไม่น่ารัก | จะเด็จหักเสียก็ได้เขาไม่หวง |
| แต่ละต้นผลลูกดังผูกพวง | ก็โรยร่วงเปล่าหมดไม่งดงาม |
| เหมือนรักคนคนรักทำยักยอก | จะเก็บดอกเด็จผลคนก็ขาม |
| แม้นยางลูกถูกหัดถ์มันกัดลาม | เหมือนรำรามรักรายริมชายพง |
| วัดฉะลอใครหนอฉะลอฉลาด | เอาอาวาสมาไว้ให้อาศรัยสงฆ์ |
| ช่วยฉะลอวรลักษณ์ที่รักทรง | ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน |
| ถนอมแนบแอบอุ้มประทุมน้อย | แขนจะคอยเคียงวางไว้ต่างหมอน |
| เมื่อปลื้มใจไสยาอนาทร | จะกล่าวกลอนกล่อมขนิษฐให้นิทรา |
| เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิตร | ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา |
| เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา | โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี |
| แต่ก่อนกรรมนำสัตว์ให้พลัดพราก | จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี |
| เคยไปมาหาน้องในคลองนี้ | เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา |
| สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำ | ด้วยเปนกำพร้าแม่ชะแง้หา |
| เขม้นมองคลองบ้านดูมารดา | เช็ดน้ำตาโทรมทราบลงกราบกราน |
| ยิ่งตรองตรึกดึกดื่นสอื้นอั้น | จนไก่ขันเจื้อยเจ๊กวิเวกหวาน |
| เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเนียกนาน | เจียนจะขานหลงแลฉแง้คอย |
| บางศรีทองคลองบ้านน้ำตาลสด | อร่อยรสซาบซ่านหวานคอหอย |
| เหมือนปากพี่ศรีทองของน้องน้อย | เปนคู่บอกดอกสร้อยสักระวา |
| ทุกวันนี้พี่เถ้าเราก็หง่อม | เธอเปนจอมเราเปนจนต้องบ่นหา |
| โอ้จอมพี่ศรีทองของน้องยา | เมื่อไรจะพาพิมน้อยมากลอยใจ |
| บางอ้อยช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลง | มาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล |
| พี่คลาศแคล้วแก้วตาให้อาไลย | เหมือนอกไอยราร้างฝูงนางพัง |
| พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง | ประสานซ้องเซงแซ่ดังแตรสังข์ |
| กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงดัง | เหมือนชาววังหวีดเสียงสำเนียงนวล |
| อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน |
| หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวน | เหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งอาบทรวง |
| โอ้บุบผาสารพัดที่กลัดกลีบ | ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง |
| ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง | ได้ทราบทรวงเสาวรสไม่อดออม |
| แต่ดอกฟ้าสาหรีเจ้าพี่เอ๋ย | มิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่หอม |
| จะกลัดกลิ่นสิ้นรสให้มดตอม | จนหายหอมแห้งกรอกเหมือนดอกกลอย |
| ถึงวัดสักเหมือนหนึ่งรักที่ศักดิ์สูง | ยิ่งกว่าฝูงเขาเหิรเห็นเกินสอย |
| แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย | จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง |
| บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง | ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ |
| เปนเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง | แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม |
| สุดาใดได้เปนเพื่อนอย่าเหมือนพี่ | เหมือนมณีนพรัตนฉัตรเฉลิม |
| อันน้ำในใจรักช่วยตักเติม | ให้พูลเพิ่มพิศวาสอย่าคลาศคลาย |
| บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้ | ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนหมั่นหมาย |
| ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย | เปนเลิศชายเชี่ยวชาญการวิชา |
| ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร | สมสนิทนางจรเข้เสน่หา |
| เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องยา | จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน |
| ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่ | แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน |
| ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล | มาด้วยกันนั้นทั้งคู่ที่อยู่ริม |
| คงร่วมเรือเมื่อว่าตื่นสอื้นอ้อน | จะคอยช้อนโฉมอุ้มไม่หยุมหยิม |
| ให้แย้มสรวลชวนเสบยเฝ้าเชยชิม | กว่าจะอิ่มอกแอบแนบนิทรา |
| บางคูเวียงเสียงเงียบเชียบสงัด | เปนจังหวัดแถวสวนล้วนพฤกษา |
| ดูรูปนางบางคูเวียงเหมือนเหนี่ยงนา | ไม่เหมือนหน้านางนั่งในวังเวียง |
| เห็นโรงหีบหีบอ้อยเขาคอยป้อน | มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง |
| เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่วางเรียง | โอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์ |
| อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนทับอก | น้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาตวงกว่าขัน |
| เขาโหมไฟในโรงโขมงควัน | ให้อัดอั้นอกกลุ้มรุมระกำ |
| อันน้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อย | ข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ |
| ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำ | นั้นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือ |
| ถึงบางม่วงง่วงจิตรคิดถึงม่วง | แต่จากทรวงเสียใจอาลัยเหลือ |
| มะม่วงงอมหอมหวนเหมือนนวลเนื้อ | มิรู้เบื่อบางม่วงเหมือนดวงใจ |
| เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด | เปนรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว |
| เหมือนตัดรักตัดสวาทขาดอาลัย | ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วนะแก้วตา |
| ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับ | เข้าเคียงกับกิ่งรักไม่หักหา |
| เมื่อกินเข้าเขาก็หักใบรักมา | จิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม |
| อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่าง | เปรียบเหมือนอย่างเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม |
| อยากรู้จักรักใคร่พึ่งได้ชิม | ชอบแต่จิ้มปลาร้าจึงพารวย |
| โอ้รักต้นคนรักเขาหักให้ | ไม่ตัดได้เด็จรักไม่พักฉวย |
| แต่รักน้องต้องประสงค์ถึงงงงวย | ใครไม่ช่วยชักนำสู้กล้ำกลืน |
| เสพย์อาหารหวานคาวเมื่อคราวยาก | ล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น |
| แต่มะแป้นแกนในจะไปคืน | ของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา |
| แต่สิ่งของน้องรักฟักจันอับ | แช่อิ่มพลับผลชิดเปนปฤษณา |
| พี่จะจากฝากปิดสนิทมา | เหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ |
| แผ่นขนุนวุ้นแท่งของแห้งสิ้น | แต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ |
| ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือ | เพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา |
| แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลยล่อง | ไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา |
| เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา | สอื้นอาลัยถึงคนึงนวล |
| แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้ | จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน |
| ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวน | ชมลำดวนดอกซ่มต้นนมนาง |
| ที่ริมน้ำง้ำเงื้อมจะเอื้อมหัก | เอายอดรักให้น้องเมื่อหมองหมาง |
| ไม่เหมือนหมายสายสวาทมาขาดกลาง | โอ้อ้างว้างวิญญาในสาคร |
| บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อย่าน | แสนสงสารสัตว์นาฝูงกาษร |
| ลงปลักเปือกเกลือกเลนระเนนนอน | เหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน |
| โอ้อกพี่นี้ก็ร้อนด้วยความรัก | ถึงฝนสักแสนห่าไม่ฝ่าฝืน |
| ไม่เหมือนรสพจมาลย์เมื่อวานซืน | จะชูชื่นใจพี่ด้วยปรีดิ์เปรม |
| โอ้เปรียบชายคล้ายนกวิหคน้อย | จะเลื่อนลอยลงสรงกับหงส์เหม |
| ได้ใกล้เคียงเมียงริมจะอิ่มเอม | แสนเกษมสุดสวาทไม่คลาศคลาย |
| ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้า | เหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย |
| เปนบ้าจิตรคิดแค้นด้วยแสนร้าย | ใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน |
| ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสน | สอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน |
| โสนออกดอกระย้าริมสาชล | บ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ |
| _แต่ต้นกระเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิง | เบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน |
| เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโก | ถึงแสนโซสุดคิดไม่ติดตาม |
| พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาท | ขึ้นพันพาดเพ่งพิศให้คิดขาม |
| ชื่อสวาทพาดเพราะเสนาะนาม | แต่ว่าหนามรกระเกะระกะกาง |
| สวาทต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ย | ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง |
| แต่ชั้นลูกถูกต้องเปนกองกลาง | เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา |
| ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้ง | ด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา |
| ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดา | สันตวาสายติ่งต้นลินจง |
| ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัด | ที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์ |
| ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรง | เหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน |
| ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะ | ไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร |
| นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจน | เฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย |
| ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามก | เที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย |
| เปนทุ่งนาป่าไม้ร่ำไรราย | พวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง |
| ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | น่าสำราญเรียงรันควันโขมง |
| ถึงฉวากปากช่องชื่อคลองโยง | เปนทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ |
| มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือก | ล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว |
| ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไป | ที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย |
| เวทนากาษรสู้ถอนถีบ | เขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย |
| ถึงแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกาย | อย่าเปนควายรับจ้างที่ทางโยง |
| ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง | เขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง |
| เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง | ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน |
| ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืด | บรรพตพืดภูผาพนาสิน |
| ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | ตามที่ถิ่นเขตรแคว้นทุกแดนดาว |
| บ้างเดิรดินบินว่อนขึ้นร่อนร้อง | ริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว |
| ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาว | อีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว |
| กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาด | ไม่คลาคลาศคลอเคลียเหมือนเมียผัว |
| มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัว | เที่ยวเดิรยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา |
| นกกระจาบขาบคุ่มอีลุ้มร่อน | ดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา |
| เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลา | นกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิร |
| โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาด | ยามนิราศเริศร้างมาห่างเหิน |
| เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลิน | ส่วนเรือเดิรด่วนไปใจจะคืน |
| จะออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้าน | เขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น |
| โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้น | น่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ |
| เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำ | ใครช่างด้ำยกฟ้าขึ้นมาได้ |
| แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราไลย | จะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย |
| โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบ | ต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย |
| ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วราย | สอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว |
| งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มเมื่อพริ้มพักตร์ | ดูน่ารักเรือนผมก็สมผิว |
| แสนสุภาพกราบก้มประนมนิ้ว | เหมือนโฉมงิ้วงามราวกับชาววัง |
| ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิตร | เหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง |
| ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบัง | เปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง |
| ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่ง | เจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง |
| มีรางรองสองชั้นทำคันโพง | ผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม |
| น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้อง | มีเงินทองทำทวีภาษีเสริม |
| เมียน้อยน้อยพลอยเปนสุขไรจุกเจิม | ได้พูลเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย |
| ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือ | เหมือนเราฤๅเขาจะรักมิผลักไส |
| สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจ | จนเข้าในปากน้ำสำประโทน |
| ริมลำคลองสองฝั่งสพรั่งพฤกษ์ | พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น |
| นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจน | กระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย |
| บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่ | กระลุมภูโพระโดกเสียงโหวกโหวย |
| วิเวกใจได้ยินยิ่งดิ้นโดย | ละห้อยโหยหาน้องในคลองลัด |
| พอมืดมนฝนคลุ้มฉอุ่มอับ | โพยมพยับเปนพยุระบุระบัด |
| เสียงลมลั่นบันลือกระพือพัด | พิรุณซัดสาดสายลงพรายพราว |
| ฟ้ากระหึมครึมครั่นให้ปั่นป่วน | เหมือนพี่ครวญคราวทนน้ำฝนหนาว |
| แวมสว่างอย่างแก้วดูแวววาว | เปนเรื่องราวรามสูรอาดูรทรวง |
| เพราะนางเอกเมขลาหล่อนฬ่อแก้ว | จะให้แล้วแล้วไม่ให้ด้วยใจหวง |
| เหมือนรักแก้วแววฟ้าสุดาดวง | เฝ้าหนักหน่วงนึกเหมือนจะเคลื่อนคลา |
| ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสน | ไม่เหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา |
| ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตา | ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน |
| จนเกินย่านบ้านคลองที่ท้องทุ่ง | เปนเขตรคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์ |
| ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควัน | เปนสำคัญเขตรโขดโตนดตาล |
| ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าว | แต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน |
| เปนเรื่องราวจ้าวฟ้าพระยาภาน | มาสังหารพระยากงส์องค์บิดา |
| แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่ | พะเอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา |
| อันเท็จจริงสิ่งใดเปนไกลตา | เขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง |
| ที่ท้ายบ้านศาลจ้าวของชาวบ้าน | บวงสรวงศาลจ้าวผีบายศรีตั้ง |
| เห็นคนทรงปลงจิตรอนิจจัง | ให้คนทั้งปวงหลงลงอบาย |
| ซึ่งคำปดมดท้าวว่าจ้าวช่วย | ไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย |
| อันจ้าวผีนี้ถึงรับก็กลับกลาย | ถือจ้าวนายที่ได้พึ่งจึงจะดี |
| แต่บ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขา | ไม่มีจ้าวนายจึงต้องพึ่งผี |
| เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดี | ไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา |
| บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลัง | กำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา |
| วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมา | ไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป |
| แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาศคู่ | สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล |
| เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนไทย | ดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร |
| ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่ | แต่ใจนี้พี่ไปสิงมิ่งสมร |
| ถึงตัวจากพรากพลัดกำจัดจร | ยังอาวรณ์หวังเสน่ห์ทุกเวลา |
| ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่น | สำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา |
| คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาศคลา | จะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเครือ |
| ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูก | น้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ |
| กล้วยหากมุกสุกห่ามอร่ามเครือ | อยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา |
| คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้ | จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา |
| สอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลา | สกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง |
| บ้างเริงร้องซร้องแซร่กรอแกรกรีด | หวิวหวิวหวีดเวทนาภาษาเสียง |
| ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ่อนเอียง | บ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ |
| เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้า | เหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห |
| หวนสอื้นฝืนใจอาไลยแล | ได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ |
| ตวันรอนอ่อนอับพยับแสง | ดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล |
| ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาไลย | ค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญา |
| พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศ | กระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวลา |
| โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้า | เทวดายังช่วยรับประคับประคอง |
| มนุษย์ฤๅถือดีว่ามีศักดิ์ | มิรับรักเริศร้างให้หมางหมอง |
| ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้อง | จึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป |
| น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว | หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว |
| เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ | ให้ทราบในทรวงช้ำสู่กล้ำกลืน |
| โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยาก | สุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน |
| แม้นงิ้วเปนเช่นงารเมื่อวานซืน | จะชูชื่นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ |
| โอ้ดูเดือนเหมือนได้ยลวิมลพักตร | ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน |
| กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวน | คนึงหวลนิ่งนอนอ่อนกำลัง |
| ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำ | เปนโรงธรรมภาคย์สร้างแต่ปางหลัง |
| เดชะคำทำคุณการุณัง | เปนที่ตั้งวาสนาให้ถาวร |
| ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาศเคลื่อน | ให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร |
| หนังสือไทยอธิษฐานสารสุนทร | จงถาพรเพิ่มรักเปนหลักโลม |
| โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | ให้ละห้อยหวลเห็นเหมือนเช่นโฉม |
| พอมืดมนฝนพยับอับโพยม | ทรวงจะโทรมเสียเพราะรักที่หนักทรวง |
| ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเปนเนินสูง | ที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง |
| เหตุเพราะนางช้างต่อไปฬ่อลวง | พลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง |
| โอ้อกเพื่อนเหมือนหนึ่งชายที่หมายมาท | แสนสวาทหวังงามมาตามโขลง |
| ต้องติดบ่วงห่วงรักชักฉะโลง | เสียดายโป่งป่าเขาคิดเศร้าใจ |
| เข้าจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้าง | มีโรงร้างไร่ฝาเข้าอาศรัย |
| พอประทังบังฝนใต้ต้นไทร | พวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ |
| แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่าง | น้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ |
| โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือ | เหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน |
| หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้า | พออุ่นอารมณระงับได้หลับไหล |
| ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ | แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม |
| สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า | แต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึม |
| ไม่เห็นหนต้นไม้พระไทรครึม | เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคนอง |
| ทั้งเปรตผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด | จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง |
| เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง | แม่ม่ายลองในเพราะเสนาะใน |
| สงสารแต่แม่ม่ายสายสวาท | นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล |
| อ่านหนังสือฤๅว่าน้องจะลองใน | เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว |
| แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง | ไปร่วมห้องหายม่ายทั้งหายหนาว |
| นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวเข้าเหนียวลาว | ลืมเข้าจ้าวเจ้าประคุณที่คุ้นเคย |
| โอ้คิดอื่นหมื่นแสนไม่แม่นเหมือน | ที่ร่วมเรือนร่วมเตียงเคียงเขนย |
| สงัดเสียงเที่ยงคืนเคยชื่นเชย | เมื่อไรเลยจะคืนมาชื่นใจ |
| จวนจะหลับกลับฝันว่าขวัญอ่อน | แนบฉอ้อนอุ่นจิตรพิสมัย |
| พี่เคยเห็นเช่นเคยเชยฉันใด | จนชั้นไฝที่ริมปากไม่อยากเฟือน |
| พอฟื้นกายหายรูปให้งูบง่วง | กำสรดทรวงเสียใจใครจะเหมือน |
| ยังมิคุ้นอุ่นจิตรไม่บิดเบือน | มาเปนเพื่อนทุกข์ยากเมื่อจากจร |
| ยังเหลือแต่แพรสีที่พี่ห่ม | ขึ้นประธมจะถวายให้สายสมร |
| แม้นโฉมงามตามมาจะพาจร | เมอขวัญอ่อนขึ้นไปชมประธมทอง |
| โอ้ยามสามยามจากเคยฝากรัก | ได้ฟูมฟักแฝงเฝ้าเปนเจ้าของ |
| มาสูญขาดวาสนาน้ำตานอง | มิได้น้องแนบเชยเหมือนเคยเคียง |
| พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้น | ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง |
| โกกิลากาแกแซ่สำเนียง | สนั่นเพียงพิณพาทย์ระนาดประโคม |
| กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสร | ทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม |
| น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม | พื้นโพยมแย้มสว่างกระจ่างตา |
| เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่น | ยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา |
| กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธา | ขึ้นเดิรป่าไปตามทางเสียงวางเวง |
| กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะ | ค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง |
| เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครง | ให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว |
| ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่าง | น้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว |
| หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยว | พากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว |
| พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่น | กระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว |
| สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราว | เวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา |
| เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบ | จับประจบหกล้มสมน้ำหน้า |
| สนุกในไพรพนัศรัถยา | ทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน |
| ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ | สูงทายาดอยู่สันโดษบนโขดเขิน |
| แลทะมึนทึ่นเทิ่งดังเชิงเทิน | เปนโขดเนินสูงเสริมเขาเพิ่มพูล |
| ประกอบก่อย่อมุมมีซุ้มมุข | บุดีบุกบันจบถึงนพสูญ |
| เปนพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน | จงเพิ่มพูลพิสดารอยู่นานครัน |
| แล้วลดเลี้ยวเที่ยวลอบขอบข้างล่าง | ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน |
| สพรั่งต้นคนทาลัดดาวัล | ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ |
| เห็นห้องหับลับลี้เปนที่สงฆ์ | เที่ยวธุดงค์เดิรมาได้อาศรัย |
| พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ | ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน |
| เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน | ถึงมาทแม้นบรรไลยคงไปสวรรค์ |
| ต่างอุส่าห์พยายามต้องตามกัน | ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตรใจมา ฯ |
| สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น | ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา |
| ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา | ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี |
| ได้สามรอบชอบธรรมเปนกำหนด | กราบประณตกรประนมก้มเกษี |
| ถวายธูปเทียนบุบผาสุมาลี | กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน |
| เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว | จงผ่องแผ้วผิวพักตรถึงมรรคผล |
| ให้ผาสุกทุกสมรอย่าร้อนรน | ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา |
| ฉันรับฝากอยากจะใคร่ได้เปนญาติ | ทุกทุกชาติไปอย่าขาดเหมือนปราถนา |
| ให้รักใคร่ไปทุกวันเห็นทันตา | ไปเบื้องหน้านั้นขอให้บริบูรณ์ |
| สาธุสะพระประธมบรมธาตุ | จงทรงสาสนาอยู่ไม่รู้สูญ |
| ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล | ให้เพิ่มพูลสมประโยชน์โพธิญาณ |
| หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ | ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน |
| สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักระวาฬ | พระทรงสารศรีเศวตเกษกุญชร |
| อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง | แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร |
| ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน | ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงฦๅชา |
| อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด | ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปราถนา |
| ข้างนอกนวลส่วนข้างในใจสุดา | เหมือนปลาร้าร้ายกาจอุจาดจริง |
| ถึงรูปชั่วตัวดำระยำยาก | รู้รักปากรักหน้าประสาหญิง |
| ถึงปากแหว่งแข้งคอดไม่ทอดทิ้ง | จะรักยิ่งยอดรักให้หนักครัน |
| จนแก่กกงกเงิ่นเดินไม่รอด | จะสู้กอดแก้วตาจนอาสัญ |
| อันหญิงลิงหญิงค่างหญิงอย่างนั้น | ไม่ผูกพันพิศวาสให้คลาศคลา |
| ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ | ซึ่งเราทรงศักราชพระสาสนา |
| เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา | เหมือนในอารมณรักประจักษ์ใจ |
| หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส | ซึ่งสิ้นชาติชนม์ภพสบสมัย |
| ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป | ถึงห้องไตรตรึงศ์สถานพิมานแมน |
| ที่ยังอยู่คู่เคยไม่เชยอื่น | จงปรากฏยศยืนกว่าหมื่นแสน |
| มั่งมีมิตรพิศวาสอย่าขาดแคลน | ให้หายแค้นเคืองทั่วทุกตัวคน |
| นารีใดที่ได้รักแต่ลักลอบ | เสน่ห์มอบหมายรักเปนพักผล |
| พะเอินขัดพลัดพรากเพราะยากจน | แบ่งกุศลส่งสุดาทุกนารี |
| ให้ได้คู่สู่สมภิรมย์รัก | ที่สมศักดิ์สมหน้าเปนราศี |
| สืบสกูลพูลสวัสดิ์ในปถพี | ร่วมชีวีกันสองคนไปจนตาย |
| แต่นารีขี้ปดโต้หลดหลอก | ให้ออกดอกเหมือนวี่วันที่มั่นหมาย |
| ทั้งลิ้นน้องสองลิ้นเพราะหมิ่นชาย | เปนแม่ม่ายเท้งเต้งวังเวงใจ |
| ที่จงจิตรพิศวาสอย่าคลาศเคลื่อน | ให้ได้เหมือนหมายมิตรพิสมัย |
| อย่าหมองหมางห่างเหเสน่ห์ใน | ได้รักใคร่ครองกันจนวันตาย |
| เปนคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ | สรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย |
| ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย | จะกลับกลายเปนไฉนอย่าไกลกัน |
| แม้นเปนไม้ให้พี่นี้เปนนก | ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์ |
| แม้นเปนนารีผลวิมลจันทร | ขอให้ฉันเปนพระยาวิชาธร |
| แม้นเปนบัวตัวพี่เปนแมงภู่ | ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร |
| เปนวารีพี่หวังเปนมังกร | ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา |
| แม้นเปนถ้ำน้ำใจใคร่เปนหงส์ | จะได้ลงสิงสู่ในคูหา |
| แม้นเนื้อเย็นเปนเทพธิดา | พี่ขออาศรัยเสน่ห์เปนเทวัญ |
| กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์ | เปนสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ |
| เสวยสวัสดิ์ชัชวาลย์นานอนันต์ | เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร |
| โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก | ที่เคยรักเคยเคียงเคยเรียงหมอน |
| มาวายวางกลางชาติถึงขาดรอน | ให้ทุกข์ร้อนรนร่ำระกำตรอม |
| ยังเหลือแต่แพรชมภูของคู่ชื่น | ทุกค่ำคืนเคยชมได้ห่มหอม |
| พี่ย้อมเหลืองเปลื้องปลดสู้อดออม | เอาคลุมห้อมหุ้มห่มประธมทอง |
| กับแหวนนางต่างหน้าบูชาพระ | สาธุสะถึงเขาผู้เจ้าของ |
| ได้บรรจงทรงเครื่องให้เรืองรอง | เหมือนรูปทองธรรมชาติสอาดตา |
| แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ | เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา |
| เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา | ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร |
| ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม | ด้วยยืนเยี่ยมสูงกว่าปฤกษาไสว |
| โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร | แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง |
| ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา | ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง |
| ภูเขาเคียงเรียงรอบเปนขอบวง | ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง |
| ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียน | เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูด้วยอยู่สูง |
| เขาต้อนควายหวายผูกจมูกจูง | เปนฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา |
| ในอากาศดาษดูล้วนหมู่นก | บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา |
| เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา | สอื้นอาไลยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ |
| บนประธมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น | กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว |
| เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป | อนาถใจจนสอื้นกลืนน้ำตา |
| เห็นไรไรไม้งิ้วละลิวเมฆ | ดังฉัตรเฉกชื่นชุมพุ่มพฤกษา |
| สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา | เธอแอบอาศรัยสถานพิมานงิ้ว |
| เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร | รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว |
| ฉิมพะลีปลีอ่อนเกสรปลิว | มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ |
| โอ้ยามจนอ้นอั้นกระศัลย์สวาท | คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล |
| แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร | พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร |
| ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง | เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน |
| แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน | สุดประมาณหมายหน้าในตาลาย |
| แล้วลาพระจะลงดูตรงโตรก | สูงฉะโงกเงื้อมไม้จิตรใจหมาย |
| เมื่อขึ้นนั้นคั่นกระไดขึ้นง่ายดาย | จะลงเห็นเปนว่าหงายวุ่นวายใจ |
| ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น | ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน |
| เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาไลย | ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง |
| ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ | มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง |
| นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง | มีต่างต่างตันอกตกตลึง |
| นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้ | เหมือนเตือนใจจะให้นึกลำฦกถึง |
| เห็นเล็บนางหมางเมินเดิรรำพึง | ชมกระทึงดอกดวงพวงพยอม |
| พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นชะแล่ม | ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม |
| ผลลูกสุกห่ามงามงามงอม | แต่แตนตอมต่อผึ้งฮึงฮึงฮือ |
| เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน | เที่ยวเดิรเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ |
| เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ | มันบินรื้อร่อนลงเข้าดงดอน |
| ทั้งสระมีสี่มุมประทุมชาติ | ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน |
| บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร | หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย |
| มีเต่าปลาอาศรัยอยู่ในน้ำ | บ้างผุดดำโดดคนองพ่นฟองฝอย |
| ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย | จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน |
| เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น | ให้เวียนวนหวั่นหจิตรตะขวิดตะเขวียน |
| แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร | เที่ยวเดิรเวียนวนชมประธมทอง |
| โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน | มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง |
| หลับพระเนตรเกษเกยเขนยทอง | ดูผุดผ่องพูลเพิ่มเติมศรัทธา |
| โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม | เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกษา |
| ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา | พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น |
| แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ | มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น |
| โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเปน | มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน |
| กราบพระเจ้าเศร้าจิตรคิดสังเวช | โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล |
| สารพัดตัดขาดประหลาดใจ | ตัดอาไลยตัดสวาทไม่ขาดความ |
| แกล้งพูดพาตาเถ้าพวกชาวบ้าน | คนโบราณรับไปได้ไถ่ถาม |
| เห็นรูปหินศิลาสง่างาม | เปนรูปสามกระษัตริย์ขัติยวงศ์ |
| ถามผู้เถ้าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้ทราบความตามประสงค์ |
| ว่ารูปทำจำลองฉลององค์ | พระยากงส์พระยาภาณกับมารดา |
| ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราช | เรียงพระญาติพระยากงส์สืบวงศา |
| เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา | กระทบหน้าแต่น้อยๆเปนรอยพาน |
| พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง | ผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ |
| พระยากงส์ส่งไปให้นายพราน | ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย |
| ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยง | แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย |
| ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย | ลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง |
| ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาว | แกเปนชาวเชิงพนมอาคมขลัง |
| รู้ผูกหญ้าผ้าภาพยนต์มนต์จังงัง | มีกำลังฦๅฤทธิ์พิสดาร |
| พระยากงส์ลงมาจับก็รับรบ | ตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร |
| ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาภาณ | จึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ |
| เข้าหาพระมเหษีเห็นมีแผล | จึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ |
| เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ | ด้วยคราวนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน |
| ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด | ด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล |
| เธอโกรธาฆ่ายายนั้นวายชนม์ | จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน |
| แทนคุณตามความรักแต่หักว่า | ต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร |
| ที่ยายตายหมายปักเปนหลักประโคน | แต่ก่อนโพ้นพ้นมาเปนช้านาน |
| จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอม | ด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน |
| ครั้นเสร็จสรรพ์กลับมาหาอาจารย์ | เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศิลา |
| จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบ | ปลงพระศพพระยากงส์พร้อมวงศา |
| แล้วปลดเปลื้องเครื่องกระษัตริยขัติยา | ของบิดามารดรแต่ก่อนกาล |
| กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้ | ที่ถ้ำใต้เนินพนมประสมสถาน |
| จึงเลื่องฦๅชื่อว่าพระยาภาณ | คู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง |
| ท่านผู้เถ้าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง |
| ด้วยเลื่อมใสในจิตร์คิดประคอง | ให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม |
| ก็จนใจได้แต่ทำคำหนังสือ | ช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม |
| ให้ฦๅชาปรากฏได้งดงาม | พอเปนความชอบบ้างในทางบุญ |
| ถ้าขัดเคืองเบื้องหน้าขออานิสงส์ | สิ่งนี้จงจานเจือช่วยเกื้อหนุน |
| ทั้งแก้วเนตรเชษฐาให้การุญ | อย่าเคืองขุ่นข้องขัดถึงตัดรอน |
| แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหิน | ตรวจวารินรดทำคำอักษร |
| ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพร | ถึงบิดรมารดาคุณอาจารย์ |
| ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศ | ทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร |
| เสด็จถึงซึ่งบุรีนีรพาน | เคยโปรดปรานเปรียบเปี่ยมได้เทียมคน |
| สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ามาเปล่าอก | น้ำตาตกตายน้อยลงร้อยหน |
| ขอพบเห็นเปนข้าฝ่ายุคล | พระคุณล้นเลี้ยงเฉลิมให้เพิ่มพูล |
| ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ | ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รู้สูญ |
| สิ้นแผ่นดินทินกรจรจำรูญ | ให้เพิ่มพูลพอสว่างหนทางเดิร |
| ดังจินดาห้าดวงช่วงประทีป | ได้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน |
| เปนทำนุอุประถัมภ์ไม่ก้ำเกิน | จงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา |
| อนึ่งน้อมจอมนิกรอักษรราช | บำรุงสาสนาสงฆ์ทรงสิกขา |
| จงไพบูลย์พูลสวัสดิ์วัฒนา | ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง |
| สิโนทกตกดินพอสิ้นแสง | ตวันแดงดูฟ้าเปนผ้าเหลือง |
| สิโรราบกราบลากลับมาเมือง | เปนสิ้นเรื่องที่ไปชมประธม เอย ๚ |
เนื้อเพลง
-
สุภาษิตพระร่วง ผู้แต่ง : สันนิษฐานกันว่าพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้พระราชนิพนธ์ ที่มา : ตำราประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ ฉบับหอสม...
-
ตรวจสอบสถานะ เช็กสิทธิลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 ผู้ที่ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 9-15 กันยายน 2565 / ประกาศผล 23 กันยายน 2565 ผู้ที่ลงท...
-
ผลงานสุนทรภู่ ประเภทนิราศมี 9 เรื่อง 1. นิราศเมืองแกลง 2350 2. นิราศพระบาท 2350 3. นิราศภูเขาทอง 2371 4. นิราศเมืองเพชร 2371-2374 5. นิราศ...
-
ปล่อยความคิดถึง ปลิวไปในอากาศ ล่องลอยหัวใจสะอาด ปล่อยไปแสนไกล กรุ่นกลิ่นบุหงา พัดมาด้วยรักจากใจ เพียงหวังให้ถึงใคร คนที่รอคนนั้น ส่ง...
-
เรื่องราวน่าเศร้าของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และครูแป๊ตเตอร์สัน ครูชาวต่างชาติในราชสำนักรัชกาลที่ 5 ย้อนกลับไปเกือบ 150 ปีก่อน บนแผ่นดินพ...
-
จันทร์ กระจ่าง ฟ้า นภา ประดับ ด้วยดาว โลก สวย ราว เนรมิตร ประมวล เมืองแมน ลม โชย กลิ่น มาลา กระจาย ดินแดน เรียม นี้ แสน คะนึง ถึงน้อง...
-
หอมเอยดอกบัวยั่วอารมณ์ พลิ้วตามสายลมชื่นชมยามเจ้าขึ้นเคล้าลมเล่น พลิ้วก้านใบไสวดอกพราวแลขาวเด่น โน้มเอนชูช่อเบิกบาน ...
-
งาม พิศยิ่งงามกินใจ หาใครยากเหมือน ร้อน เสน่ห์แรงจริงบังอร เร่าร้อนเหลือเกิน หลงไหลในตัวเจ้า หลงเอาไปฝันเพลิน ม่าย เธอเป็นแม่ม่ายรูปสวย ...
-
หม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล หม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล (8 สิงหาคม พ.ศ. 2440 – 11 ธันวาคม พ.ศ. 2528) เป็นพระธิดาใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ...
-
อันความลำเค็ญที่เป็นท่าน้ำ คิดดูก็กรรมสุดชอกช้ำจำใจทน ต้องรอสนองรับรองผู้คน ให้ข้ามพ้นทางธารา บ่ายเย็นค่ำเช้าเขามาพึ่งเรา ก็ยามเขารอนา...