วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เหรียญทรงผนวชวัดบวรนิเวศวิหาร รัชกาลที่ 9 จัดสร้าง ปี 2550

 เหรียญทรงผนวชวัดบวรนิเวศวิหาร รัชกาลที่ 9
จัดสร้าง ปี 2550




เนื้อทองแดง วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
รุ่นบูรณเจดีย์

พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งฉายไว้ในขณะทรงผนวชเมื่อปี พ.ศ. 2499 นั้น ได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานบนเหรียญที่ระลึกหลายครั้ง เหรียญหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นที่แสวงหาของนักสะสมคือเหรียญที่ออกโดยวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ.2508 รู้จักกันในนาม เหรียญทรงผนวช ความจริงแล้ว เหรียญทรงผนวช ไม่ใช่เหรียญที่จัดสร้างเพื่อเป็นที่ระลึกเมื่อครั้งทรงผนวชโดยตรง ด้วยจัดสร้างขึ้นภายหลังจากที่ทรงลาผนวชแล้วถึงเก้าปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชในปี พ.ศ. 2499 แต่ "เหรียญทรงผนวช" สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2508 เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จฯ พระราชกุศล จาตุรงคมงคล

ประวัติความเป็นมาของการสร้างเหรียญทรงผนวชมีอยู่ว่า ในปี พ.ศ.2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ 38 พรรษา เสมอสมเด็จพระราชบิดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ บำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และในวโรกาสเดียวกันนี้ได้ทรงประกอบพระราชพิธีสำคัญอีก 3 ประการต่อเนื่องกันไป เมื่อประมวลพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญในคราวเดียวกันถึง 4 อย่าง
ระหว่างวันที่ 27 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2508 จึงเรียกมหามงคลสมัยนี้ว่า จาตุรงคมงคล

ในปี พ.ศ. 2550 วัดบวรนิเวศวิหารได้จัดสร้าง "เหรียญทรงผนวช" อีกครั้ง เพื่อเป็นอนุสรณ์และสมนาคุณผู้บริจาคสมทบในการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ทองที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550
เหรียญทรงผนวช ปี พ.ศ. 2550 นี้ มีรูปลักษณะคล้ายกับเหรียญทรงผนวชที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2508 ต่างกันตรงที่ เหรียญทรงผนวชปี พ.ศ. 2550 เป็นเหรียญกลมไม่มีห่วง (หายห่วง)
และจารึกข้อความบนขอบเหรียญด้านหลังว่า "บูรณะพระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระขนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐"

วัตถุประสงค์ในการจัดสร้างเหรียญทรงผนวช
1. เพื่อเป็นอนุสรณ์สืบจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงพระกรุณาโปรดให้ วัดบวรนิเวศวิหารสร้างเหรียญทรงผนวชเป็นที่ระลึกเมื่อ พ.ศ.2508 โดยมีข้อความด้านหลังเหรียญว่า “เสด็จ ฯ สมโภชพระเจดีย์ทองบวรนิเวศ 29 สิงหาคม พ.ศ.2508 ในมงคลสมัยพระชนมายุเสมอสมเด็จพระราชบิดา”
2. เพี่อเป็นพระราชอนุสรณ์ที่ทรงดำรงมั่นพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา และพระราชประเพณีในการออกทรงผนวชอันสืบเนื่องมาแต่บรรพกาล
3. เพื่อเป็นอนุสรณ์สิ่งมงคลสักการะของพสกนิกรพุทธศาสนิกชนในการที่พระมหากษัตริย์ไทย ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้ทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก เสด็จออกทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
4. เพื่อเป็นอนุสรณ์และปฏิการะสมนาคุณผู้บริจาคสมทบในการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550
5. เพื่อเป็นสิ่งมงคลสักการะอนุสรณ์ ของพสกนิกรพุทธศาสนิกชนจะได้มีเหรียญพระบรมรูปทรงพระผนวชเป็นที่ระลึก เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550


วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

49 เรื่องน่ารู้ ความเป็นที่สุดในประเทศไทย

 




1. จังหวัดในประวัติศาสตร์ไทยซึ่งมีชื่อเต็มยาวที่สุด และเป็นชื่อเมืองซึ่งยาวที่สุดในโลก คือ กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ ภายหลังจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528

2. จังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุด คือ จังหวัดนครราชสีมา มีพื้นที่ 20,493.964 ตร.กม.

3. จังหวัดที่มีพื้นที่น้อยที่สุด คือ จังหวัดสมุทรสงคราม มีพื้นที่ 416.707 ตร.กม.

4. จังหวัดที่มีอำเภอมากที่สุด คือ จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 32 อำเภอ

5. จังหวัดที่มีตำบลมากที่สุด คือ จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 287 ตำบล

6. จังหวัดที่มีเทศบาลมากที่สุด คือ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 120 เทศบาล

7. จังหวัดที่มีอำเภอน้อยที่สุด คือ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดภูเก็ต จำนวน 3 อำเภอ

8. จังหวัดที่จัดตั้งขึ้นล่าสุด คือ จังหวัดบึงกาฬ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

9. จังหวัดที่มีชายฝั่งทะเลยาวที่สุด คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 251 กิโลเมตร

10. อำเภอขนาดใหญ่ที่สุด คือ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มีพื้นที่ 4,325 ตารางกิโลเมตร

11. อำเภอขนาดเล็กที่สุด คือ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ 17 ตารางกิโลเมตร และอำเภอนี้มีเพียงตำบลเดียว

12. อำเภอที่มีตำบลมากที่สุด คือ อำเภอเมืองนครราชสีมาและอำเภอเมืองนครปฐม มี 25 ตำบล

13. อำเภอที่ตั้งขึ้นใหม่ที่สุด คือ อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่

14. จังหวัดที่มีประชากรน้อยที่สุด คือ จังหวัดระนอง มีประชากร 182,648 คน (ข้อมูล: พ.ศ. 2555)

15. จังหวัดที่มีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีความหนาแน่น 19.27 คน ต่อตารางกิโลเมตร (ข้อมูล: พ.ศ. 2555)

16. อำเภอที่มีประชากรมากที่สุด คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จำนวน 495,922 คน (ข้อมูล: พ.ศ. 2552)

17. อำเภอที่มีประชากรน้อยที่สุด คือ อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด จำนวน 2,213 คน (ข้อมูล: พ.ศ. 2552)

18. เกาะขนาดใหญ่ที่สุด คือ เกาะภูเก็ต มีขนาด 543 ตารางกิโลเมตร

19. บริเวณที่มีแผ่นดินแคบที่สุด คือบริเวณ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด มีช่วงแผ่นดินเพียง 0.45 กิโลเมตร หรือ 450 เมตร

20. แหลมทะเลที่มีความยาวมากที่สุด คือ แหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

21. ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุด คือ ทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา และ จังหวัดพัทลุง มีพื้นที่ประมาณ 1,040 ตารางกิโลเมตร

22. ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุด คือ บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ มีเนื้อที่ 132,737 ไร่

23. แม่น้ำที่ยาวที่สุด คือ แม่น้ำชี มีต้นธารจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ไหลผ่าน จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จนไปบรรจบกับแม่น้ำมูล ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี รวมความยาวทั้งสิ้น 765 กิโลเมตร

24. คลองที่ยาวที่สุด คือ คลองแสนแสบ มีความยาวทั้งสิ้น 65 กิโลเมตร

25. น้ำตกที่สูงที่สุด คือน้ำตกทีลอซู จังหวัดตาก

26. อุทยานแห่งชาติแห่งแรก และพื้นที่ป่าไม้ขนาดใหญ่ที่สุด คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครนายก และ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งรัฐบาลประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2505

27. อุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ที่สุด คือ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

28. อุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรก คือ อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งรัฐบาลประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2509

29. ปราสาทขอมโบราณซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปราสาทหินพิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

30. ปราสาทขอมโบราณซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุด คือ ปราสาทภูมิโปน อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1

31. ปราสาทขอมโบราณซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกที่สุด คือ ปราสาทเมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

32. ฝายหลวงแห่งแรก คือ ฝายซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์

33. ตู้ไปรษณีย์ขนาดใหญ่ที่สุด (อดีตเคยเป็นที่สุดในโลก) คือ ตู้ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา มีความสูง 3.20 เมตร เส้นรอบวงที่ฐาน 2.65 เมตร เส้นรอบวงตู้ 2.40 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2467

34. เสาธงซึ่งมีความสูงมากที่สุด คือ เสาซึ่งตั้งอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เลขที่ 79 หมู่ที่ 1 หลักกิโลเมตรที่ 55 ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รหัสไปรษณีย์ 13170 เสากลาง มีความสูง 80 เมตร เสาประกบ มีความสูง 55 เมตร รวมทั้งหมด 3 เสา และมีความสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก

35. สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรก คือ สะพานพระราม 6 สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2465 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

36. สะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย คือ ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ข้ามทะเลสาบสงขลา จาก อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ไปยัง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ระยะทางรวม 5.450 กิโลเมตร

37. สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งแรก คือ สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 1 ช่วงระหว่างจังหวัดหนองคาย กับนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย ฯพณฯ หนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศลาว เป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2537

38. สะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งแรก คือ สะพานมิตรภาพ ไทย-พม่า ช่วงระหว่างจังหวัดตาก กับจังหวัดเมียวดีของประเทศพม่า

39. สะพานแขวนคนเดินที่ยาวที่สุด คือ สะพานข้ามแม่น้ำมูล ภายในอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ โครงสร้างเป็นเหล็ก ยึดโยงด้วยลวดสลิงขนาดใหญ่ พื้นปูด้วยไม้กระดาน มีความกว้าง 2 เมตร ยาว 295 เมตร

40. อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาเพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา

41. อุโมงค์ที่ยาวที่สุด คือ อุโมงค์ขุนตาน ใช้เป็นทางลอดผ่านของรถไฟสายเหนือ ตั้งอยู่บริเวณเขตติดต่อระหว่างอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง กับอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน มีความยาวทั้งสิ้น 1,352 เมตร เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2450 แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2461

42. ถนนเลียบชายทะเลที่ยาวที่สุด และ สวยที่สุด คือ ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต จังหวัดจันทบุรี

43. พระที่นั่งซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด คือ พระที่นั่งวิมานเมฆ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรก ในพระราชวังดุสิต สร้างขึ้นด้วยไม้สักทองทั้งหลัง เมื่อปี พ.ศ. 2444 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

44. เขื่อนดินที่ยาวที่สุด คือ เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความยาว 7,800 เมตร

45. เขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ที่สุด คือ เขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท

46. เขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก คือ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เขื่อนขุนด่านปราการชล อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก มีความยาวทั้งสิ้น 2,720 เมตร

47. เขื่อนคอนกรีตอเนกประสงค์แห่งแรกของไทย คือ เขื่อนภูมิพล (ยันฮี) จังหวัดตาก

48. เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดของไทย คือ เขื่อนสิริกิติ์ (ท่าปลา) จังหวัดอุตรดิตถ์ มีความจุ 9,510 ล้านลูกบาศก์เมตร

49. สายทางรถไฟซึ่งมีระยะทางยาวที่สุด คือ ทางรถไฟสายใต้ เริ่มจากสถานีรถไฟกรุงเทพ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ผ่านจังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพรสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมทางหาดใหญ่ (สงขลา) ปัตตานี ยะลา จนถึงสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส รวมระยะทางทั้งสิ้น 1,160 กิโลเมตร

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

4 ยอดหญิงงาม ในตำนานจีน : ไซซี-หวางเจาจิน-เตียวเสียน-หยางกุ้ยเฟย

 “มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง”

4 ยอดหญิงงาม ในตำนานจีน : ไซซี-หวังเจาจิน-เตียวเสียน-หยางกุ้ยเฟย

เป็นคำเรียกสตรี 4 คนที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีนโบราณ โดยทั้ง 4 คนนี้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองพลิกผันหรือเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์

เรียงตามลำดับความงามคือ 
ไซซีเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ  หวังเจาจวิน เตียวเสียน และ หยางกุ้ยเฟย ตามลำดับ
ไซซี (ภาพจาก https://commons.wikimedia.org)

1. ไซซี เกิดประมาณ ค.ศ. 506 ก่อนคริสตกาลในสมัยชุนชิว ได้ฉายาว่า "มัจฉาจมวารี" หมายถึง “ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ” เนื่องจากเหล่าปลาในลำธาร เมื่อได้เห็นรูปโฉมของนางก็ถึงกับตะลึงในความงามของนางนั้น ทำให้ฝูงปลาถึงกับจมลงไปในน้ำโดยไม่รู้ตัว

ไซซีเป็นเครื่องบรรณาการที่รัฐเยว่ ส่งให้อู่อ๋องฟูซาแห่งรัฐอู่รับไว้ จนเกิดความลุ่มหลงไม่บริหารบ้านเมือง ต่อมา 13 ปีให้หลัง รัฐอู่ก็ล่มสลาย อู่อ๋องฟูซาต้องฆ่าตัวตาย และรัฐเยว่กลับสู่อิสรภาพในที่สุด

เมื่อเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2554 ได้มีเสวนาวิชาการ "เรื่องยอดหญิงงามไซซี เป็นบรรพชนของคนไท?" ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ถนนแจ้งวัฒนะ

ประเด็น "ไซซีเป็นคนไท.....หรือไม่?" อาจารย์ทองแถม นาถจำนงบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยจะลากเข้าหาทำนองอะไรก็ไทย แต่นักวิชาการจีนค้นคว้าบอกมาเอง แล้วก็ตื่นเต้นกันเองในหมู่นักวิชาการจีน"

ประวัติศาสตร์จีนเฉียดสามพันปีที่แล้ว เรื่องของเย่ว์อ๋องโกวเจี้ยนรบแพ้อู๋อ๋องจนถูกจับเป็นเฉลย เมื่อได้รับการปล่อยตัวกลับแคว้น เย่ว์อ๋องกับฟ่านหลีเสนาบดีคู่ใจก็วางแผนปลดปล่อยแคว้นเย่ว์ออกจากการเป็นเมืองขึ้นของแคว้นอู่ เย่ว์อ๋องตั้งปณิธาน"นอนหนุนขอน กินดีขม" เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำการสำเร็จ แผน "นารีพิฆาต" นี้ก็เป็นหนึ่งในการกอบกู้แคว้น ผู้รับหน้าที่นี้ก็คือโฉมงามนาม "ไซซี"

เราไปดูความเป็นมาของไซซีกันว่านางเป็นใครมาจากไหน?

 "ไซซี" ตามสำเนียงแต้จิ๋ว หรือ "ซีซือ" ตามสำเนียงจีนกลาง เกิดประมาณ 506 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งตรงกับยุคชุนชิว ที่มณฑลเจ้อเจียง ในแคว้นเย่ว์

ไซซีได้รับฉายานามว่า "มัจฉาจมวารี" หมายถึง "ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ" ไซซีนั้นมีโรคประจำตัวคือ "โรคหัวใจ" เวลาอาการกำเริบนางจะขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้นคนที่ได้เห็นยังยอมรับว่า "แม้นขมวดคิ้วนิ่วหน้าหรือแย้มยิ้มก็งามเพียงกันยิ่งเห็นยิ่งชวนลุ่มหลง รูปร่างนั้นจะทอนออกนิดก็ผอมไปจะเพิ่มอีกหน่อยก็อ้วนเกิน" นับได้ว่าความงามของนางนั้นเป็นสิ่งที่ "ธรรมชาติ" ได้สร้างมาอย่างพอดี

ในยุคเลียดก๊กที่แต่ละแคว้นรบกันนั้น แคว้นอู๋เป็นรัฐที่มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งจึงสามารถรบชนะแคว้นเย่ว์และจับตัว "เย่ว์อ๋องโกวเจี้ยน" และ "อัครเสนาบดีฟ่านหลี" ไปเป็นตัวประกันที่แคว้นอู๋ เย่ว์อ๋องโกวเจี้ยนต้องการที่จะกู้ชาติแต่จำต้องยอมจงรักภักดีเพื่อให้อู๋อ๋องไว้ใจ

ครั้งหนึ่งอู๋อ๋องเกิดมีอาการปวดท้อง บรรดาหมอหลวงทั้งหลายไม่สามารถให้การรักษาได้ เย่ว์อ๋อง

โกวเจี้ยนได้ชิมอุจจาระของอู๋อ๋องต่อหน้าเสนาธิการทั้งปวง และบอกว่าอู๋อ๋องเพียงแค่มีพระวรกายที่เย็นเกินไป หากได้ดื่มสุราและทำร่างกายให้อบอุ่นขึ้นก็จะมีอาการดีขึ้นเอง เมื่ออู๋อ๋องทำตามก็หายประชวร อู๋อ๋องเห็นว่าเย่ว์อ๋องโกวเจี้ยนมีความจงรักภักดีจึงปล่อยตัวกลับคืนสู่แคว้นเย่ว์ เมื่อกลับสู่แคว้น เย่ว์อ๋องโกวเจี๋ยนก็วางแผนที่จะกู้ชาติทันที โดยมีเสนาบดีฟ่านหลี่คอยให้คำปรึกษา ฟ่านหลี่ได้เสนอแผนการสามอย่าง คือ ฝึกฝนกองกำลังทหาร พัฒนาด้านกสิกรรม และ ส่งสาวงามไปเป็นเครื่องบรรณาการพร้อมกับเป็นไส้ศึกคอยส่งข่าวภายในให้

 ไซซีเป็นหญิงชาวบ้าน นางเป็นลูกสาวคนตัดฟืนที่เขาจู้หลัวซาน (ภาษาแต้จิ๋วออกเสียงว่า กิวล่อซัว) ถูกพบครั้งแรกขณะซักผ้าริมลำธาร ไซซีมีหน้าตางดงามมาก

พร้อมกับเจิ้งตัน (แต้ตัน) ซึ่งมีความงามด้อยกว่าไซซีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฟ่านหลี่เสนาบดีของแคว้นเย่ว์เป็นผู้ดูแลอบรมทั้ง 2 นางให้มีอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง เป็นเวลานานถึง 3 ปี เพื่อที่จะไปเป็นบรรณาการให้กับอู๋อ๋อง เพื่อมอมเมาให้อู่อ๋องฟูซาเจ้าแคว้นอู่ ลุ่มหลงอยู่กับเสน่ห์ของนาง จนไม่บริหารบ้านเมืองให้เป็นปกติสุข เมื่ออู๋อ๋องฟูซาได้ตัวไซซีกับเจิ้งตันสองสาวงามจากแคว้นเย่ว์ ก็บังเกิดความหลงใหลในตัวไซซีมากกว่าเจิ้งตัน ทำให้เจิ้งตันน้อยใจจนผูกคอตาย ขณะที่มาอยู่แคว้นอู๋ได้เพียง 2 ปีเท่านั้น(เจิ้งตันซึ่งมาอยู่ที่แคว้นอู่ได้ลืมอุดมการณ์และปณิธานเพื่อบ้านเมืองไปหมดสิ้นเมื่อเป็นสนมของอู๋อ๋อง นับว่าไซซียังโชคดีที่เจิ้งตันไม่ได้เปิดเผยความลับว่าพวกนางทั้งสองถูกส่งมาทำอะไร)

 เมื่อเจิ้งตันตายไปภาระทั้งหมดจึงตกอยู่กับไซซีเพียงคนเดียว การใช้ชีวิตในฐานะสนมของอู่อ๋องนั้นไม่ง่ายเลยไหนจะต้องคอยระวังตัวจากบรรดาสนมและเจ้าจอมคนอื่นที่คอยจะกำจัดนางให้พ้นหูพ้นตา ไหนจะต้องคอยหาข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองและการทหารแล้วลอบส่งข่าวกลับไปยังแคว้นเย่ว์โดยที่ไม่ให้มีคนจับพิรุธหรือสงสัยในตัวนางได้ และยังต้องคอยเบี่ยงเบนความสนใจของอู่อ๋องจากการบริหารบ้านเมือง ผ่านไป 13 ปี เมื่อแคว้นอู่อ่อนแอลง แคว้นเย่ว์ก็สามารถเอาชนะได้สำเร็จในที่สุด

ภายหลังจากที่อู่อ๋องฟูซาฆ่าตัวตายไปแล้ว ไซวีกับเสนาบดีฟ่านหลี่ที่ว่ากันว่า ได้ผูกสัมพันธ์ทางใจไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว(ตั้งแต่ครั้งที่ฟ่านหลี่นำตัวไซซีและเจิ้งตันไปถวายเป็นบรรณาการแด่อู๋อ๋อง) ได้ถอนตัวออกจากการเมือง ฟ่านหลี่หันไปประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า ด้วยนิสัยซื่อตรงและมีคุณธรรมทำให้กิจการของฟ่านหลี่ประสบความสำเร็จกลายเป็นคหบดีที่ร่ำรวยและมั่งคั่งที่สุดในแคว้นเย่ว์ บั้นปลายของชีวิตฟ่านหลี่กับไซซีได้หายตัวไป บ้างก็ว่าทั้งคู่ได้เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ และไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่ทะเลสาบไซ้โอว (ทะเลสาบซีหู) เป็นต้น แต่ไม่มีใครสามารถระบุถึงที่ตั้งของสุสานของทั้งสองได้

อาจารย์ถาวร สิกขโกศล บอกว่า "นักวิชาการจีนพยายามถอดความภาษาพูดแคว้นเย่ว์ที่บันทึกไว้ด้วยตัวหนังสือจีน" ด้วยภาษาหลายภาษา ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายภาษาแคว้นเย่ว์ ถอดความได้ด้วยภาษา "ไทยสยาม"

เผ่าเย่ว์ เผ่าของไซซี เป็นไทหรือไม่?.....คำเรียก.....ไป่เย่ว์ แปลว่า "เย่ว์ร้อยเผ่า" คำนี้ชี้ให้เห็นว่า "เย่ว์ไม่ได้มีเผ่าเดียว" แต่มีภาษาของตัวเอง มีขนบธรรมเนียมเหมือนกัน ตัดผมสั้น สักร่างกาย อาศัยอยู่บนเรือนเสาสูง ชำนาญทางน้ำ เก่งการใช้เรือและรบทางเรือ เชี่ยวชาญการหล่อสำริด ฯลฯ

อาจารย์ทองแถมบอกว่า แม้ว - เย้าบางเผ่าเมื่อลงจากภูเขามาอยู่พื้นราบหรืออยู่ริมน้ำก็เก่งทางน้ำ และแม้ว - เย้าก็คือหนึ่งในเย่ว์ จึงสรุปไม่ได้ว่า เย่ว์เป็นไทชาติพันธุ์เดียว

ชื่อ "เย่ว์" เป็นชื่อที่ถูกเรียกขานในช่วงโบราณ สมัยเมื่อเกือบสามพันปีที่แล้ว เมื่อชื่อเย่ว์หายไป ชื่อจ้วง ต้ง และอีกหลายชื่อของเผ่าพันธุ์ที่มีวิธีชีวิตแบบเย่ว์ก็เกิดตามมา

กระบวนการพิสูจน์ชาติพันธุ์เผ่าเย่ว์ไม่ได้ทำเพียงแค่ค้นคว้าหลักฐานและบันทึกตามประวัติศาสตร์ เทียบเคียงภาษาพูด และตัวหนังสือเท่านั้น นักวิชาการจีนที่ค้นคว้าเรื่องนี้ เอาจริงเอาจังกันถึงขั้น "พิสูจน์ดีเอ็นเอ"

การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ทำเอานักวิชาการจีนระดับศาสตราจารย์แปลกใจ.....ทำไมดีเอ็นเอชาวจีนผืนแผ่นดินใหญ่ ไปตรงกับชาวลาวแถวหลวงพระบาง?

อาจารย์ทองแถม นาถจำนง สรุปว่า "ไซซีเป็นชาวเผ่าเย่ว์ และไทเป็นหนึ่งในเผ่าเย่ว์" แต่ไม่ยืนยัน "เผ่าไซซีเป็นไท"แต่ไซซีเป็นไทหรือไม่? เย่ว์อ๋องโกวเจี้ยนวีรบุรุษในประวัติศาสตร์จะเป็นวีรบุรุษของคนไทยได้ด้วยหรือเปล่า? คงเป็นเพียงแค่ประเด็นให้เราได้คิดกัน ว่าราก.....ลึก ดั้งเดิม.....แท้จริง เรามาจากไหน?

ความจริงทางวิชาการชี้ให้เห็นว่า "แม้จะต่างชาติต่างภาษา เดิมทีเราอาจจะเริ่มต้นมาจากรากเหง้าเผ่าพันธุ์เดียวกัน เพียงแต่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป ทำให้เราไม่เหมือนกัน"

เราจะทะเลาะกันไปทำไม? ให้ตัวเองเหนื่อย คนอื่นก็เหนื่อย ประเทศชาติก็เหนื่อย?




หวางเจาจวิน (ภาพจาก https://commons.wikimedia.org)

2. หวังเจาจวิน 

หวังเจาจวิน มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ได้ฉายาว่า "ปักษีตกนภา" ซึ่งหมายถึง “ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงนกยังต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า”

หวังเจาจวินเดิมเป็นนางกำนัลในวังหลวงที่ฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นส่งไปให้แก่ข่านของเผ่าซงหนูเพื่อกระชับสัมพันธ์ไมตรี แล้วในที่สุดหวังเจาจวินก็กลายเป็นภรรยาคนโปรดของ หู ฮันเซีย

แม้ว่าในอดีต "ผู้ชาย" จะเป็นผู้กุมอำนาจและบริหารบ้านเมือง แต่ก็มีหลายครั้งที่บทบาทสำคัญกลับไปอยู่ในมือของฝ่ายหญิง เกิดเป็นเรื่องราวของ "วีรสตรี" ที่แสดงความกล้าหาญน่ายกย่อง และเรื่องราวของ "หญิงงามล่มเมือง" ที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์มานักต่อนัก

ในบรรดา 4 หญิงงามแห่งแผ่นดินจีน คงมี หวังเจาจวิน เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ชื่อว่าเป็น "หญิงงามกู้เมือง" เธอได้รับการยกย่องเทิดทูนมากทางแถบตอนเหนือของจีน ความงดงาม ความกล้าหาญ และความเสียสละของเธอยังเป็นที่กล่าวขาน แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 2,000 ปี

แต่งงานเพราะการเมือง

 ในรัชสมัยฮั่นซวนตี้ บรรดาชนชั้นหัวหน้า ของชนเผ่าซงหนูต่างแย่งชิงอำนาจกัน จนในชั้นสุดท้าย ข่านฮูหานเสีย รบแพ้ ข่านจื้อจือ ผู้ซึ่งเป็นพี่ชาย

ฮูหานเสีย ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ยังคงมีอำนาจในชนเผ่า จึงตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ฮั่น และไปเข้าเฝ้าฮั่นซวนตี้ด้วยตนเอง

และเนื่องจาก "ฮูหานเสีย" เป็นข่านเผ่าซงหนูคนแรก ที่เดินทางมาเชื่อมสัมพันธไมตรียังดินแดนภาคกลาง (ตงง้วน) "ฮั่นซวนตี้" จึงได้เสด็จออกไปต้อนรับที่ชานเมืองหลวง (ฉางอานหรือซีอาน) ด้วยพระองค์เอง และได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่

ฮูหานเสียพักอยู่ที่นครฉางอานกว่าหนึ่งเดือน หลังจากนั้นพอสบโอกาส จึงได้ร้องขอต่อฮ่องเต้ฮั่นซวนตี้ ช่วยเหลือตนให้ได้เดินทางกลับไปยังเผ่าของตัวเอง

ฮั่นซวนตี้ได้ช่วยเหลือ โดยส่งแม่ทัพสองนายนำทหารม้าหนึ่งหมื่น คุ้มกันไปส่งฮูหานเสีย ขณะนั้นชนเผ่าซงหนูกำลังขาดแคลนอาหาร ทางราชสำนักฮั่นจึงได้จัดส่งเสบียงอาหารจำนวนมากไปช่วยด้วย ฮูหานเสียรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง และตั้งใจที่จะเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ฮั่น

หลังจากฮั่นซวนตี้สวรรคต พระโอรสก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อมา ทรงพระนามว่าฮั่นหยวนตี้ ต่อมาข่านจื้อจือแห่งเผ่าซงหนู ได้มารุกรานแคว้นต่างๆ ทางตะวันตกของราชสำนักฮั่น และยังได้สังหารทูตที่ราชวงศ์ฮั่นส่งไปอีก

ทางราชสำนักฮั่นจึงได้ส่งกองทัพออกไปปราบปราม และได้สังหารข่านจื้อจือเป็นผลสำเร็จ หลังจากที่ข่านจื้อจือตายแล้ว ฐานะของข่านฮูหานเสียก็มีความมั่นคงมากขึ้น

 ปี พ.ศ. ๕๑๐ ข่านฮูหานเสียเดินทางมายังนครฉางอานอีกครั้ง และเจรจาขอให้มีการเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยการสมรสระหว่างราชวงศ์ ซึ่งฮั่นหยวนตี้ก็ได้พระราชทานอนุญาต

การที่หัวหน้าเผ่าซงหนูจะสมรสกับราชวงศ์ฮั่นนั้น ต้องเลือกจากบรรดาองค์หญิงหรือธิดาของเชื้อพระวงศ์เท่านั้น

ในครั้งนั้น ฮั่นหยวนตี้ทรงตัดสินพระทัยที่จะเลือกนางสนมคนหนึ่งเพื่อพระราชทานให้กับฮูหานเสีย พระองค์ได้ส่งขุนนางไปยังพระราชวังหลังและให้ประกาศว่า “ผู้ใดยินดีที่จะไปยังเผ่าซงหนู ฮ่องเต้ก็จะแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง”

บรรดานางสนมในวังหลังนั้น ต่างก็ถูกเก็บคัดเลือกมาจากราษฎรสามัญชน เมื่อพวกนางถูกคัดเลือกเข้ามาในวังหลวงแล้วก็เหมือนกับนกที่ถูกกักขังอยู่ในกรง บางคนก็ไม่เคยมีโอกาสได้พบฮ่องเต้ ดังนั้นนางสนมส่วนมากต่างก็หวังว่า "สักวันหนึ่งที่พวกนางจะได้ออกจากวังไป"

 แต่เมื่อได้ยินว่าจะต้องจากบ้านเกิดไปยังเผ่าซงหนู จึงไม่มีผู้ใดอาสาที่จะไป แต่กระนั้นก็ยังมีนางสนมคนหนึ่งนามว่าหวังเฉียง ฉายาเจาจวิน มีรูปโฉมที่งดงามและกอปรด้วยความรู้ ยินดีเสียสละเพื่อชาติที่จะไปแต่งงานยังเผ่าซงหนู

ฮ่องเต้ฮั่นหยวนตี้ จึงได้เลือกวันที่จะจัดงานสมรสพระราชทานให้ ฮูหานเสียและหวังเจาจวิน ที่นครฉางอาน

ในขณะที่ ฮูหานเสียและหวังเจาจวินกำลังแสดงความเคารพต่อฮั่นหยวนตี้อยู่นั้น พระองค์ก็ได้ทรงเห็นใบหน้าอันงดงามของหวังเจาจวิน รวมทั้งกิริยามารยาทก็สุภาพเรียบร้อย นับว่าเป็นสุดยอดสาวงามในราชสำนักฮั่นคนเลยทีเดียว

เมื่อฮั่นหยวนตี้เสด็จกลับวังแล้ว ทรงพระพิโรธเป็นอย่างยิ่ง มีบัญชาให้หัวหน้าขันทีไปนำเอารูปภาพของหวังเจาจวินมาให้ทอดพระเนตร ในรูปภาพนั้นแม้จะมีส่วนที่คล้ายคลึงอยู่บ้าง แต่ไม่มีความงดงามเหมือนหวังเจาจวินตัวจริงโดยสิ้นเชิง

ตามประเพณีของจีนแล้ว บรรดานางสนมที่ถูกคัดเลือกส่งเข้ามาในวัง โดยปรกติจะไม่ได้พบกับองค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่ทางราชสำนักจะจัดให้นางสนมเหล่านั้นเป็นแบบให้จิตรกรวาดภาพ และส่งภาพเหล่านั้นไปให้ฮ่องเต้เลือก หากเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย ก็จะได้มีโอกาสรับใช้องค์ฮ่องเต้

หนึ่งในจิตรกรที่วาดภาพเหล่านางสนมนั้น มีอยู่คนนามว่า "เหมาเหยียนโซ่ว " เวลาที่วาดภาพนางสนมทั้งหลายนั้น หากนางสนมคนใดให้สินบน ก็จะวาดให้สวยงาม

 หวังเจาจวิน มิคิดที่จะติดสินบน ดังนั้นเหมาเหยียนโซ่ว จึงวาดภาพให้นาง "งดงามต่ำกว่าความเป็นจริง" เมื่อฮั่นหยวนตี้ทรงประจักษ์ในความจริงเช่นนี้ จึงทรงพิโรธอย่างมาก รับสั่งให้ประหารชีวิตเหมาเหยียนโซ่วทันที

หวังเจาจวินได้เดินทางออกจากนครฉางอาน ภายใต้การคุ้มกันของบรรดาทหารราชวงศ์ฮั่นและเผ่าซงหนู นางได้ขี่ม้าฝ่าลมหนาวอันทารุณ เดินทางนับพันลี้ไปยังเผ่าซงหนู เป็นมเหสีของข่านฮูหานเสีย ได้รับยศเป็น “หนิงหูเยียนจือ”ด้วยความหวังว่านางจะสามารถนำเอาความสงบสุขและสันติภาพมาสู่ชนเผ่าซงหนู

หวังเจาจวินต้องจากบ้านเกิดไปไกล อาศัยอยู่ในดินแดนของเผ่าซงหนูเป็นเวลานาน นางได้ "เกลี้ยกล่อม" ฮูหานเสียอย่าให้ทำสงคราม ทั้งยังเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวฮั่นให้แก่ชาวซงหนูอีกด้วย

 นับจากนั้นเป็นต้นมา เผ่าซงหนูและราชวงศ์ฮั่นต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และไม่มีสงครามเป็นเวลายาวนานถึงหกสิบกว่าปี ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ข่านฮูหานเสียสิ้นชีวิตแล้ว นางก็ได้ “ทำตามประเพณีของชาวซงหนู” โดยได้แต่งงานใหม่กับบุตรชายคนโตที่เกิดกับภรรยาหลวงของข่านฮูหานเสีย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะขัดกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวฮั่น แต่นางก็คำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก และคิดที่รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวฮั่นและชาวซงหนู

หวังเจาจวิน ได้ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คน และบุตรสาว 2 คน ที่เผ่าซงหนู เวลาและสถานที่ ที่นางถึงแก่กรรมนั้น ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้

 “ความงามที่ทำให้ฝูงนก ต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า” เป็นเรื่องราวตอนที่ หวังเจาจวิน เดินทางออกไปนอกด่าน (ในรัชสมัยฮั่นหยวนตี้ ทางเหนือและใต้ทำสงครามกันไม่หยุดหย่อน ชายแดนไม่มีความสงบสุข เพื่อที่จะทำให้เผ่าซงหนูทางชายแดนด้านเหนือสงบลง ฮั่นหยวนตี้จึงได้พระราชทางหวังเจาจวินให้สมรสกับข่านฮูหานเสีย เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองเมือง) ในวันที่ท้องฟ้าสดใส หวังเจาจวินได้จากบ้านเกิดเดินทางไปทางเหนือ ระหว่างทาง เสียงม้าและเสียงนกร้องทำให้นางเศร้าโศก ยากที่จะทำใจได้ นางจึงได้ดีดผีผา(พิณจีนชนิดหนึ่ง  ว่ากันว่าหวังเจาจวินมีฝีมือการเล่ยผีผาที่ไพเราะจับใจผู้ฟังยิ่งนัก  ยามที่นางเดินทางไปแคว้นซงหนูก็นำผีผาที่นางรักยิ่งติดตัวไปด้วย  รูปวาดส่วนใหญ่ของนางจึงเป็นรูปวาดหญิงงามที่มีผีผาอยู่ในอ้อมแขน)  ขึ้นเป็นทำนองที่แสดงความโศกเศร้าจากการพลัดพราก บรรดานกที่กำลังจะบินไปทางใต้ ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะเช่นนี้ จึงมองลงไป เห็นหญิงงามอยู่บนหลังม้า ก็ตะลึงในความงาม ลืมที่จะขยับปีก จึงร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน นับแต่นั้นเป็นต้นมา หวังเจาจวินจึงได้รับขนานนามว่า “ปักษีตกนภา” หรือ “ความงามที่ทำให้ฝูงนก ต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า” นั่นเอง.




 3. เตียวเสี้ยน 

เตียวเสี้ยนมีชีวิตอยู่ในยุคสามก๊ก ได้ฉายาว่า "จันทร์หลบโฉมสุดา" ซึ่งหมายถึง “ความงามที่ทำให้แม้แต่ดวงจันทร์ยังต้องหลบให้”

 เตียวเสี้ยน ถือเป็นหญิงงามอันดับที่สามจากหญิงงามทั้งสี่คนในบันทึกแดนมังกร ที่คนทั่วไปต่างก็รู้จักเธอผ่าน วรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง สามก๊ก แต่ความเป็นจริงนั้นเตียวเสี้ยนเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์

เธอเป็นเพียงสตรีที่ถูกสร้างขึ้นจาก ปลายปากกาของ หลอก้วนจง นักเขียนอัจฉริยะ ผู้แต่งนิยายสามก๊ก "ซานกั๋วเหยี่ยนอี้" เท่านั้น เธอเป็นหญิงงามที่มีประวัติส่วนตัวน้อยที่สุด หากเทียบกับหญิงงามคนอื่นในประวัติศาสตร์

ในสามก๊ก บรรยายว่า เตียวเสี้ยน เป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นปลายแถว เมื่อตอนเด็กมีฐานะยากจน ต้องช่วยแม่ทอเสื่อขายเลี้ยงชีพ จนได้มาเป็นนางรำในจวน อ้องอุ้น ขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเ้ยนเต้ (ปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก) เนื่องด้วยมีรูปโฉมที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง มีความสามารถในการฟ้อนรำเป็นเลิศและมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว อ้องอุ้นจึงเมตตารักเหมือนลูกและรับเป็น บุตรบุญธรรม

อ๋องอุ้น เห็นว่า ทรราชตั๋งโต๊ะ กำเริบเสิบสานคิดล้มราชวงศ์ฮั่นตะวันออก แล้วยกตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้ อ้องอุ้นคิดจะกำจัด ตั๋งโต๊ะ ขุนนางกังฉินกินบ้านเมือง จึงได้วางแผนการอันแยบยล กลยุทธ์สาวงาม ยกเตียวเสี้ยนให้แก๋ ลิโป้ ก่อนอย่างลับๆ แล้วจึงค่อยยกนางให้แก่ ตั๋งโต๊ะ

คราครั้งนั้น นางเตียวเสี้ยนผู้กตัญญู ได้ยอมสละตัวเอง เพื่อทำให้ตั๋งโต๊ะแตกคอบาดหมางกับ ลิโป้

นับแต่นั้นมาเวลาที่ เตียวเสี้ยน อยู่กับ ตั๋งโต๊ะ เพียงลำพัง ก็จะใช้จริตมารยายั่วยวนจนตั๋งโต๊ะหลงใหล แต่หากว่ามี ลิโป้ อยู่ด้วย นางก็จะแอบส่งสายตาให้ และเมื่อบางครั้งที่ได้อยู่กับลิโป้เพียงลำพัง นางก็จะร้องว่า ตั๋งโต๊ะใช้กำลังเข้าข่มขู่นางไม่อาจปฏิเสธได้แต่เมื่อเวลาที่ตั๋งโต๊ะสงสัยว่านางกับลิโป้มีชู้กัน นางก็จะบอกว่าลิโป้หาทางจะลวนลามนาง และขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากว่าตั๋งโต๊ะไม่เชื่อ เมื่อตั๋งโต๊ะห้ามนางไว้ได้ นางก็โผเข้ากอดและร้องไห้ที่ตัวของตั๋งโต๊ะ

วันหนึ่ง ในขณะที่ตั๋งโต๊ะไปร่วมประชุมเหล่าขุนนาง ลิโป้ก็แอบเข้าไปพบกับเตียวเสี้ยน และนัดพบกันที่ ศาลาฟ่งอี๋ เมื่อเตียวเสี้ยนไปพบลิโป้ ก็ได้แสร้งร้องไห้บอกเล่าความทุกข์ที่ถูกตั๋งโต๊ะขืนใจ ลิโป้โกรธมาก ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ตั๋งโต๊ะกลับมาพบเข้า และด้วยความโกรธจึงได้แย่งเอาง้าวในมือของลิโป้และตรงเข้าแทง แต่ลิโป้หนีไปได้ นับจากนั้นทั้งสองต่างก็เกิดความระแวงซึ่งกันและกัน จนท้ายที่สุด อ๋องอุ้น ก็สามารถเกลี้ยกล่อม ลิโป้ ให้กำจัดตั๋งโต๊ะได้ในที่สุด

หลังจาก ตั๋งโต๊ะ ตายแล้ว ลิโป้ เก็บนางเป็นเมียน้อย ต่อมา โจโฉ ประหาร ลิโป้ แล้วจึงพานางกลับ เมืองฮูโต๋

เรื่องเตียวเสี้ยน เป็นเพียงตัวละครที่ หลอก้วนจง สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มสีสันให้เรื่อง สามก๊ก ที่เต็มไปด้วยเรื่องฆ่าฟัน ให้คนดูงิ้วหรือคนอ่านได้เพลิดเพลินกับบทรักของลิโป้และเตียวเสี้ยนบ้าง จึงมีการเดินเรื่องหลายรูปแบบ

บ้างก็ว่า นางฆ่าตัวตาย หลังจากที่กำจัดตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ

บ้างก็ว่า นางไปอยู่กับโจโฉ แล้วถูกกวนอูฆ่า

หรือกวนอูไม่ฆ่า แล้วไล่ไป

ซึ่งก็เป็นเรื่องตามนิยายหรือบทงิ้ว

กลยุทธ์สาวงาม กลอุบายโดยใช้ให้หญิงงามยั่วยุให้สองฝ่ายเข่นฆ่ากันเอง หรือไม่ก็ใช้หญิงงามทำให้เป้าหมายหลงคลั่งไคล้จนเสียผู้เสียคน ซึ่งก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ ก็เคยมีผู้ใช้แผนนี้สำเร็จนี้มามากแล้ว แต่ถึงกระนั้นแผนนี้ก็ยังคงใช้ได้ดีแม้จะในยุคนี้ก็ตาม นั่นเพราะสันดานของผู้ชาย และผู้มีอำนาจนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย นั่นคือ ความบ้าผู้หญิงจนหน้ามืดตามัวจนเสียการงาน

 

หยางกุ้ยเฟย (ภาพจาก https://commons.wikimedia.org)


4. หยางกุ้ยเฟย 

หยางกุ้ยเฟย มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง ได้ฉายาว่า "มวลผกาละอายนาง" ซึ่งหมายถึง “ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องละอาย”

หยางกุ้ยเฟยเป็นพระสนมเอกในจักรพรรดิถังเสวียนจงของราชวงศ์ถัง อิทธิพลของหยางกุ้ยเฟยทำให้ญาติของพระนางขึ้นมามีบทบาทในราชสำนัก ในภายหลังเกิดการกบฏขึ้นมา ฮ่องเต้ถังเสวียนจงได้มีพระบรมราชโองการให้พระนางสำเร็จโทษโดยแขวนพระศอ โดยที่หยางกุ้ยเฟยมีอายุเพียง 37 ปี อีกทั้งตระกูลหยางยังถูกตัดสินฆ่าล้างทั้งตระกูล

หยางกุ้ยเฟย นามเดิมคือ หยางอี้หวน เกิด 1 มิถุนายน ค.ศ. 719 เป็นหนึ่งในสี่หญิงงามแห่งแผ่นดินจีนกล่าวกันว่า หยางกุ้ยเฟยทรงเป็นสตรีที่มีความงามเป็นเลิศ ใช้ชนม์ชีพในรัชสมัยราชวงศ์ถัง ได้รับฉายานามว่า "มวลผกาละอายนาง"  ซึ่งหมายถึง "ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องละอาย" (a face that would make all flowers feel shameful)

นางมีชื่อเดิมว่า หยางอวี้หวน เป็นชาวเมืองหย่งเล่อ "อวี้หวน" แปลว่า "ตุ้มหูหยก" นางเป็นธิดาของ "หยางหยวนเหยียน"

ตอนที่นางจะเกิดนั้น มารดาของนางได้ฝันเห็นสายรุ้งพาดโค้งจากฟากฟ้าลงมาที่เตียงนอน พร้อมส่งแสงประกายระยิบระยับงดงาม แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็หายวับไป กลายเป็นดาวตกพุ่งตกลงมาสู่พื้น มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

อวี้หวน เมื่อเจริญวัยขึ้น มีรูปโฉมที่งดงามและเปล่งปลั่งชวนมองยิ่งนัก อีกทั้งยังมีผิวกายที่มีกลิ่นหอมจรุงใจ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และตำบลที่นางอาศัยอยู่ นางมีความสามารถทางดนตรี ขับร้องและฟ้อนรำ

ในปีที่ ๒๕ ของรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง พระองค์ทรงดำริที่จะหาพระชายาให้พระโอรสโซ่วอ๋อง โอรสองค์ที่ ๑๘ อาของอวี้หวนทราบข่าวจึงนำนางเข้าไปถวาย และก็ไม่ผิดหวัง

โซ่วอ๋อง เมื่อแรกได้เห็นนางนั้น ก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริดในความงามของนาง ดังนั้นนางจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาของพระโอรสโซ่วอ๋อง ตั้งแต่นางมีอายุได้เพียง ๑๖ ปี ซึ่งกำลังอยู่ในวัยสาวแรกรุ่น

ต่อมา อู่กุ้ยเฟย พระสนมที่จักรพรรดิถังเสวียนจง ทรงโปรดปรานได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน พระองค์ยังทรงหาพระชายาใหม่ที่ถูกพระทัยไม่ได้ ขันทีเกาลี่ซื่อผู้ใกล้ชิดจึงทูลเสนอว่า หญิงงามที่สุดในแผ่นดินไม่มีใครงามเกินหยางอวี้หวน พระชายาของโซ่วอ๋อง

 แล้วเกาลี่ซื่อได้ออกอุบายให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรนาง เพียงแรกประสบพบเท่านั้น พระองค์ก็ถึงกับลุ่มหลงในความงามของนางโดยทันที แต่เนื่องจากติดขัดที่นางเป็นชายาของโซ่วอ๋อง

เกาลี่ซื่อจึงบอกอุบายอันแยบยล ให้พระองค์แต่งตั้งนางเป็นนักพรตหญิงฉายาไท่เจิน แล้วหาพระชายาใหม่ให้โซ่วอ๋องแทน

สมัยเทียนเป่าปีที่สี่ (พ.ศ.๑๒๘๘) อวี้หวนได้เข้าวัง และเป็นที่โปรดปรานของถังเสวียนจง จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสนมเอกหรือกุ้ยเฟย (ขณะนั้นจักรพรรดิถังเสวียนจงมีพระชนมายุ ๖๑ พรรษา ส่วนหยางกุ้ยเฟยมีอายุเพียง ๒๗ ปีเท่านั้น)

พ่อ พี่น้องแลเครือญาติของนางทั้งหมดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนาง และฮูหยินทั้งหมด จนเป็นที่โจษจันกันไปทั่วว่า เพราะมีลูกสาวดี จึงได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า

ทุกครั้งที่นางจะนั่งรถม้า ต่างก็มีบรรดาขุนนางใหญ่บังคับรถม้าให้ด้วยตัวเอง นางมีช่างถักทอและปักผ้าถึงเจ็ดร้อยคน มีผู้คนมากมายแย่งกันมอบของกำนัลต่างๆ ให้ เนื่องจากขุนนางจางจิ่วจางและหวังอี้มอบของกำนัลให้นางจึงได้เลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างก็หวังที่จะได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกันหยางกุ้ยเฟยโปรดปรานลิ้นจี่จากแดนหลิ่งหนาน ก็มีผู้คนคิดหาวิธีที่จะนำมาส่งมาถึงเมืองฉางอานให้เร็วที่สุด

ความที่จักรพรรดิ์ถังเสวียนจง ทรงลุ่มหลงอยู่แต่นาง และเล่นดนตรี จนละเลยการปกครองว่าราชการเมือง ทำให้หยางกั๋วจง พี่ชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ของนางได้รวบอำนาจการปกครองไว้ถึง ๔๐ ตำแหน่ง จนมีตำแหน่งเทียบเท่าสมุหนายก กินสินบนอย่างเปิดเผย ใช้ระบบอุปถัมภ์ในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการหรือเลื่อนตำแหน่ง ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว

เป็นเหตุให้ อานลู่ซาน ได้หยิบยกข้ออ้างนี้มาก่อการกบฏ โดยนำทหารจากชายแดนและทหารทิเบตเข้ามายึดนครฉางอานได้โดยง่ายดายในปี พ.ศ. ๑๒๙๙ ทำให้องค์จักรพรรดิถังเสวียนจง ต้องทรงลี้ภัยชั่วคราวไปในทางตอนใต้ของมณฑลซื่อชวน (เสฉวน)

อานลู่ซานยกกองทัพติดตามไป ไม่เพียงเพราะต้องการแผ่นดินราชวงศ์ถังเท่านั้น แต่ยังต้องการครอบครองสาวงามหยางกุ้ยเฟยอีกด้วย

ในระหว่างทางที่ทรงลี้ภัยไปนั่นเอง หยางกั๋วจงได้ถูกเหล่าทหารรุมจับสังหารเสีย จากนั้นเหล่าทหารได้ทูลพระองค์ว่า "การที่เกิดกบฏเข้ายึดบ้านครองเมือง ทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมถอยก็เพราะหยางกั๋วจงเป็นต้นเหตุ เมื่อหยางกั๋วจงตายไปแล้ว แต่โดยรากยังคงอยู่นั่นคือ หยางกุ้ยเฟย ฉะนั้นนางก็ไม่สมควรอยู่ให้เป็นที่ครหาด้วย"

จักรพรรดิ์ถังเสวียนจงทรงโทมนัสในพระทัยอย่างสุดพรรณนา ในที่สุดจึงทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตหยางกุ้ยเฟย โดยให้กาลี่ซื่อผู้นำนางมาถวายพระองค์ นำผ้าแพรขาวไปมอบให้นางเพื่อให้แขวนคอตายใต้ต้นหลีในสวน

หยางกุ้ยเฟยได้จบชีวิตลงอย่างน่าสงสารในปี พ.ศ.๑๒๙๙ ระหว่างทางลี้ภัยไปมณฑลซื่อชวน ขณะนั้นนางมีอายุเพียง ๓๘ ปีเท่านั้น

ภายหลัง กวีเอกไป๋จวีอี้ได้แต่งลำนำ “ฉางเฮิ่นเกอ”  บรรยายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ตอนนี้ขึ้น

"...ยามเมื่อนางหันมาแย้มสรวล ก็นำมาซึ่งเสน่ห์ร้อยประการ

เป็นเหตุให้นางสนมทั้ง ๖ ตำหนัก ต้องด้อยรัศมีลง

ยามเมื่อนางอาบน้ำในสระ (หัวชิงฉือ)

เหล่านางสวรรค์กำนัลใน (๓,๐๐๐ นาง)

ต่างก็พรึงเพริดด้วยโฉมอันงามวิไลนัก..."

เล่ากันว่า ทั้ง ๒ ทรงโปรดปรานในการมาสรงน้ำที่หัวชิงฉือเป็นยิ่งนัก ตลอดระยะเวลาที่ทรงอยู่ร่วมกัน ได้มาสรงน้ำที่นี่ถึง ๔๙ ครั้ง จนมีสระหนึ่งของที่นี่ เรียกว่า สระหยางเฟย เป็นที่สรงน้ำของนางโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังมีคำร่ำลือกันว่า หยางกุ้ยเฟย เธอมีกลิ่นกายที่หอมกรุ่น เนื่องจากนางได้นำเอากลีบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานาพรรณ มาบดให้ละเอียดเป็นแป้งแล้วใช้ชโลมกาย ในยามที่เธอมีเหงื่อไหลในช่วงฤดูร้อนนั้น ร่ำลือกันว่ายิ่งส่งกลิ่นหอมอบอวลให้เป็นที่ใหลหลงยิ่งนัก ซึ่งทำให้หญิงสาวจีนในยุคนั้นเอาตามอย่างนาง โดยนำกลีบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมมาทำเป็นแป้งใช้ทาชโลมกาย จนถือเป็นต้นกำเนิดของแป้งฝุ่นจีนมาตราบจนทุกวันนี้

หยางกุ้ยเฟยได้รับฉายานามว่า "มวลผกาละอายนาง" ซึ่งหมายถึง "ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องละอาย" (a face that would make all flowers feel shameful)

มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งขณะอยู่ในวัง นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ มองเห็นดอกโบตั๋นและกุหลาบจีนที่กำลังบานสะพรั่ง แล้วคิดถึงชีวิตตนเองที่ถูกกักอยู่ในวังหลวง ผ่านวัยสาวไปอย่างไร้ความหมาย นางร้องไห้พลางลูบดอกไม้นั้น เมื่อนางแตะถูกกลีบดอกไม้กลีบนั้นก็หุบลง ใครจะคิดว่าต้นไม้ที่นางลูบนั้นคือต้นนางอาย

นางกำนัลคนหนึ่งพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้า จึงนำไปเล่าลือว่าหากหยางอี้หวนเทียบความงามกับดอกไม้แล้ว ดอกไม้ยังต้องละอายก้มลงให้แก่นาง

 

ถึงแม้ 4 สาวงามของประวัติศาสตร์จีนจะงดงามจนเป็นที่เลื่องลือ แต่ยังคงมีปมด้อยในความงามนั้น เพียงแต่รู้จักปกปิดไว้ นั่นคือ

ไซซี มีปมด้อยคือ เท้าใหญ่ ต้องห่มเสื้อผ้ากรอมเท้าเพื่อปกปิดส่วนนี้ของเธอเอาไว้ตลอดเวลา

เตียวเสี้ยน มีปมด้อยคือ ใบหูเล็ก จำต้องปล่อยผมหรือแต่งทรงผมให้ปิดใบหูของเธอไว้

หวังเจาจวิน มีปมด้อยคือ ไหล่ทั้งสองข้างสูงต่ำไม่เท่ากัน จึงสวมใส่อาภรณ์ปกปิดตั้งแต่ศีรษะลงมาเพื่อปิดส่วนนี้ของเธอเอาไว้

หยางกุ้ยเฟย มีปมด้อยคือ มีกลิ่นตัว อ้วนมาก และสวยมาก ซึ่งต้องอาบน้ำบ่อยที่สุดเพื่อลดกลิ่นตัวของนาง และมักจะมีแมลงหลากชนิดตอมตัวเธอเป็นประจำ

แม้ 4 สาวงามของประวัติศาสตร์จีนจะถูกยกย่องเป็นที่เลื่องลือด้านความงาม แต่ก็ยังคงมีปมด้อยอยู่ดี

หมายเหตุ

มาตรฐานสาวงามตามแบบจีนดั้งเดิม(3)

ใบหน้า

ใบหน้ารูปไข่เป็นรูปหน้าที่ได้สัดส่วนที่สุด เมื่อแบ่งตามขวางแล้วจะได้ 3 ส่วน : จากไรผมถึงคิ้ว จากคิ้วถึงปลายจมูก จากปลายจมูกถึงคาง เมื่อมีรูปหน้าที่สวยงามแล้ว รายละเอียดบนใบหน้าก็ต้องเหมาะเจาะ ระยะห่างระหว่างตา 2 ข้างจะต้องเท่ากับความยาวของดวงตา ยิ่งถ้าใครมีลักยิ้มบนแก้มก็จะถูกมองว่ามีเสน่ห์
คิ้ว
คิ้วรูปแบบไหนจึงจะเรียกว่าสวยนั้นขึ้นอยู่กับยุคสมัย อย่างในสมัยราชวงศ์ฉิน (221-207 ปีก่อน

คริสต์ศักราช) นิยมคิ้วดก ยาว และโค้ง ขณะที่สาวสมัยฮั่นนิยมคิ้วรูปสามเหลี่ยมคล้าย “八” เรื่อยมาจนถึงสมัยราชวงศ์ถังหญิงสาวนิยมกันคิ้วให้เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวหรือใบหลิว กระทั่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 คิ้วโก่งบางก็กลายเป็นรูปทรงยอดนิยม
ดวงตา
ดวงตาเรียวยาว หางตาตวัดโค้งขึ้น ลูกนัยน์ตาดำสนิท

ริมฝีปาก
ริมฝีปากเล็ก สีชมพู เป็นมันเงา มุมปากโค้งขึ้น หรือที่เรียกว่า “ปากเล็กเหมือนผลเชอร์รี่” เป็นปากที่ชาวจีนสมัยก่อนมองว่างามที่สุด
รูปร่าง
เอวที่คอดกิ่วเป็นความงามอย่างหนึ่งของผู้หญิงจีนในยุคโบราณ มองว่าหญิงสาวที่มีเอวและสะโพกเป็นรูปนาฬิกาทรายนับเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม
เซ็กซี่อย่างจีน
คิ้วคือสิ่งที่เซ็กซี่ที่สุดของผู้หญิง ส่วนอวัยวะที่ถูกมองว่าเซ็กซี่รองลงมา ได้แก่ ไหปลาร้า และคอ

งามที่ใจ
แม้จะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงไร แต่สิ่งที่สำคัญและได้รับการยกย่องเสียยิ่งกว่าความงามภายนอกก็คือ หญิงสาวผู้ทรงไว้ซึ่ง 3 เชื่อฟัง 4 คุณธรรม...3 เชื่อฟัง ได้แก่ ก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย ถือเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงในสมัยก่อน ทั้งชีวิตทำเพื่อคนอื่นและอยู่เพื่อคนอื่น

ส่วน 4 คุณธรรมนั้น ได้แก่ รูปร่างหน้าตาจะต้องสะอาดสะอ้าน อีกทั้งกิริยามารยาทเพียบพร้อม กล่าวมธุรสวาจา อีกทั้งการบ้านการเรือนไม่ขาดตกบกพร่องนั่นเอง
ความรู้ของหญิงสาว

ดนตรี - ดนตรีในที่นี้หมายถึงพิณ 7 สาย ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี
หมากล้อม - หญิงสมัยก่อนได้รวมตัวกันเล่นหมากล้อมเพื่อผ่อนคลาย
เขียนพู่กัน - พวกเธออ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง เขียนบทกลอนเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกและเรื่องราวชีวิตของตัวเอง และเขียนพู่กันจีนเพื่อความบันเทิง
วาดภาพ - หัวข้อที่พวกเธอชอบวาดส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับดอกไม้ สัตว์เลี้ยง และหญิงงาม
งานเย็บปัก - งานเย็บปักถักร้อยนั้นก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของหญิงสาวที่ขยันขันแข็ง และสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และความฉลาดของผู้หญิงด้วย ทั้งยังเป็นมาตรฐานของศรีภรรยาที่ดี





วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

พระเจ้าอู่ทองเป็นใคร มาจากไหน โอรสพระเจ้ากรุงจีน กษัตริย์ขอมหนีตาย หรือลูกท้าวแสนปม

 

พระเจ้าอู่ทองเป็นใคร มาจากไหน

โอรสพระเจ้ากรุงจีน กษัตริย์ขอมหนีตาย หรือลูกท้าวแสนปม





พระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี และเสวยราชย์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรก จึงเป็นที่สงสัยกันว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นใครมาจากไหน จึงมาสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นได้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ ๖๗๔ ปีมาแล้ว ทั้งยังไม่มีการบันทึกไว้อย่างศิลาจารึกของกรุงสุโขทัย เรื่องราวของพระเจ้าอู่ทองจึงมีข้อสันนิษฐานกันมากมาย ส่วนใหญ่ก็เหมือนนิยายที่ต่างคนต่างแต่ง นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีจึงต้องค้นคว้าหาหลักฐานมาพิสูจน์กันว่า แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าอู่ทองเป็นใคร มาจากไหนกันแน่

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง (3 เมษายน พ.ศ. 1857 – พ.ศ. 1912) เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 1912 ทรงพระนามว่าพระเจ้าอู่ทองก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1893 มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับภูมิหลังของพระเจ้าอู่ทอง รวมทั้งอาจเป็นเชื้อสายของพ่อขุนมังราย

จดหมายเหตุโหรระบุว่าพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีเสด็จพระราชสมภพวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล จ.ศ. 676 (ตรงกับวันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 1857) ได้ทรงสถาปนาเมืองหลวงขึ้นในบริเวณที่หนองโสนเมื่อ จ.ศ. 712 ปีขาล โทศก วันศุกร์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 เวลา 3 นาฬิกา 9 บาท ตรงกับวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 หรือ 12 มีนาคม พ.ศ. 1893 ตามปฏิทินไทยสากลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เมื่อครองราชย์ได้รับเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ถึงปีระกา พ.ศ. 1912 เสด็จสวรรคต อยู่ในราชสมบัติ 19 ปี

แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าพระองค์พระราชสมภพที่ไหน และมาจากเมืองไหน เอกสารทางประวัติศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ทั้งไทยและต่างประเทศขัดแย้งกัน โดยมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับที่มาของพระเจ้าอู่ทองดังนี้


ที่ว่าเป็นโอรสพระเจ้ากรุงจีนถูกเนรเทศมา ก็ดูเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ และหลายสิ่งก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ผู้แปลบันทึกนี้ของกรมศิลปากรได้โน้ตท้ายหน้าไว้ว่า อย่างเมืองที่อ้างว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นผู้สร้าง เช่น พริบพลี ก็มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งกัมพูชา ส่วน พิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร มีอยู่ในศิลาจารึกตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมาแล้ว ที่ว่าพระเจ้าอู่ทองไปประทับอยู่กัมพูชา ๙ ปี และสร้างนครวัดขึ้นก่อนกลับมาสวรรคตที่กรุงศรีอยุธยา พงศาวดารไทยต่างระบุว่าพระเจ้าอู่ทองทรงส่งพระราเมศวรไปตีเมืองพระนครแต่ไม่สำเร็จ จึงรับสั่งให้ขุนหลวงพะงั่ว พระเชษฐาพระมเหสีจากสุพรรณบุรีให้ไปช่วยหลาน

อีกแนวคิดหนึ่งว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นขอมในราชวงศ์วรมันที่ครองอาณาจักรกัมพูชามาถึง ๕๐๐ ปี แต่ในปี พ.ศ.๑๘๗๙ เป็นต้นมา ราชวงศ์วรมันก็สิ้นสุดลง กษัตริย์ราชวงศ์ใหม่มีชื่อว่า ตระซอกเปรแอม หรือ พระเจ้าแตงหวาน มาจากสามัญชน และกวาดล้างกลุ่มอำนาจเก่าจนสิ้นซาก ทำให้กลุ่มราชวงศ์วรมันต้องหนีตายมาพึ่งพรรคพวกที่ลพบุรี อีกกลุ่มได้มาตั้งเมืองใหม่ขึ้นคือกรุงศรีอยุธยาในอีก ๑๔ ปีต่อมา ซึ่งกลุ่มนี้มีพระเจ้าอู่ทองเป็นหัวหน้า ทั้งฝ่ายกัมพูชาใหม่ยังเรียกกลุ่มวรมันที่ถูกกำจัดออกไปว่าเป็นพวกสยาม และเรียกชื่อเมืองพระนครใหม่ว่า เสียมเรียบ หมายถึงสยามถูกขจัดออกไปหมดนั่นเอง แนวคิดนี้ยังสนับสนุนคำกล่าวที่ว่า ชาวกัมพูชาในปัจจุบันไม่ใช่เชื้อสายของขอม แต่เป็นพวกจามจากชายแดนที่ขอมเอามาเป็นทาส ตอนนั้นขอมรุ่งเรืองใช้ชีวิตหรูหรา แต่ละคนมีทาสกันมากมาย ในที่สุดทาสที่มีตาแตงหวานเป็นหัวหน้าก็ยึดอำนาจเจ้านายเสียเลย

แนวคิดอีกแนวหนึ่งอ้างว่า พระเจ้าอู่ทองก็คือลูกของท้าวแสนปมนั่นเอง เรื่องนี้ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสว่า ใน พ.ศ.๑๘๖๓ ท้าวแสนปมได้ไปสร้างเมืองใหม่ชื่อเมืองเทพนคร และขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสิริไชยเชียงแสน ต่อมามีพระราชโอรสองค์แรก จึงได้เอาทองคำมาทำพระอู่ให้บรรทม ปรากฏพระนามสืบต่อมาว่า เจ้าอู่ทอง เมื่อพระเจ้าสิริไชยเชียงแสนทิวงคตเมื่อ พ.ศ.๑๘๘๗ เจ้าอู่ทองจึงครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา ต่อมาจึงมาสถาปนากรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่ใน พ.ศ.๑๘๙๓ และทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ซึ่งเรื่องนี้ถูกนำมาเป็นเค้าโครงบทละครพระราชนิพนธ์เรื่อง “ท้าวแสนปม” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ที่มาของพระเจ้าอู่ทองที่ได้รับความเชื่อถือกันมากที่สุดในยุคก่อนหน้านี้ เป็นแนวคิดของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” ซึ่งเสด็จไปตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรีเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖ และได้ไปทอดพระเนตรเมืองอู่ทอง ต่อมาทรงนิพนธ์ไว้ว่า

“มีตำนานทางเมืองสุพรรณบุรีเชื่อถือกันมาจนทุกวันนี้ว่า เดิมพระเจ้าอู่ทองอยู่ทางเมืองสุพรรณบุรี เมืองของพระเจ้าอู่ทองก็ยังมีอยู่ริมแม่น้ำจระเข้สามพัน ในระหว่างเมืองสุพรรณบุรีทุกวันนี้กับเมืองกาญจนบุรี

ข้าพเจ้าได้ไปถึงเมืองอู่ทองเมื่อปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๖๕ พ.ศ.๒๔๔๖ ได้เห็นเมืองโบราณมีเชิงเทินกำแพงเมืองใหญ่โต

ความคิดเห็นเกิดแก่ข้าพเจ้าในครั้งนั้นว่า ที่เรียกในศิลาจารึกและหนังสือโบราณว่าเมืองสุพรรณภูมิหรือสุวรรณภูมินั้น จะหมายว่าเมืองอู่ทองนี้เอง มิใช่เมืองสุพรรณบุรีทุกวันนี้ที่ตั้งเมื่อภายหลัง

คำว่าสุวรรณภูมิเป็นภาษามคธ แปลว่าที่เกิดทองหรือที่มีทอง ในภาษาไทยก็ตรงกับคำว่าอู่ทอง เช่นที่พูดกันว่าอู่ข้าวอู่น้ำ เพราะฉะนั้นชื่อเมืองอู่ทองนี้เป็นชื่อภาษาไทยของเมืองสุวรรณภูมินั้นเอง

เมื่อคิดเห็นเช่นนี้ก็คิดเห็นตลอดไปว่าที่เรียกพระเจ้าอู่ทองนั้น เห็นจะไม่ใช่มาจากบรรทมเปลทองอย่างพงศาวดารว่าเป็นแน่แล้ว คงจะเป็นพระนามที่เรียกเจ้าผู้ปกครองเมืองอู่ทอง อย่างเราเรียกพระเจ้าเชียงใหม่ พระเจ้าน่าน เจ้าองค์ใดครองเมืองอู่ทองก็เรียกว่าพระเจ้าอู่ทองทุกองค์

เพราะฉะนั้นพระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยานี้ จะเป็นโอรสนัดดาสืบพระวงศ์มาแต่ผู้ใด และได้มีประวัติแต่เดิมมาอย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนจะมาสร้างกรุงศรีอยุธยา คงเป็นเจ้าครองเมืองอู่ทอง หรือที่เรียกในภาษามคธว่าเมืองสุวรรณภูมิอยู่ก่อนจริงดังตำนานเมืองสุพรรณ

ความคิดอย่างนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนลงในรายงานตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี พิมพ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๒๖๗ พ.ศ.๒๔๔๘ ต่อมาสมาชิกในโบราณคดีสโมสรได้รับความคิดเห็นเช่นนี้ว่าเป็นถูกต้อง”

ความคิดที่ว่าพระเจ้าอู่ทองทรงครองราชย์อยู่ที่เมืองอู่ทองก่อนมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งใหม่นี้ ได้รับความเชื่อถืออย่างกว้างขวาง แต่เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗ กรมศิลปากรได้เชิญ ศาสตราจารย์ ช็อง บัว เซอริเยร์ ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งมหาวิทยาลัยซอร์บอน ประเทศฝรั่งเศส มาช่วยสำรวจโบราณสถานในประเทศไทย และได้สรุปผลสำรวจไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ว่า เมืองอู่ทองที่เชื่อกันว่าพระเจ้าอู่ทองอพยพหนีโรคห่ามาสร้างกรุงศรีอยุธยานั้น ได้เป็นเมืองร้างไปก่อนที่จะมีการสร้างกรุงศรีอยุธยาราว ๓๐๐ ปีมาแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าอู่ทองจะอพยพมาจากเมืองอู่ทอง

เรื่องนี้ อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ซึ่งเคยสำรวจเมืองอู่ทอง ได้เขียนบทความในช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๕ - ๒๕๐๖ เปิดเผยผลสำรวจมาแล้วว่า เมืองอู่ทองร้างมาก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างกรุงศรีอยุธยาไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปี

ต่อมารองศาสตราจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม อาจารย์ประจำคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นบุตรของอาจารย์มานิต เคยสำรวจเมืองอู่ทอง ละโว้ และอยุธยา ตลอดจนแหล่งโบราณคดีทางประวัติศาสตร์อื่นๆ มาแล้ว ได้เขียนบทความเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๙ ระบุว่าพระเจ้าอู่ทองไม่ได้มาไกลจากไหนก่อนที่จะมาสร้างกรุงศรีอยุธยา แต่ได้ครองกรุงอโยธยาซึ่งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีวัดพนัญเชิงซึ่งสร้างมาก่อนกรุงศรีอยุธยา ต่อมามีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งจึงมาสร้างราชธานีใหม่ที่ฝั่งตรงข้าม

ส่วนอาจารย์มานิตได้ค้นคว้าเอกสารโบราณหลายฉบับ และได้เขียนบทความชื่อ

“สมเด็จพระรามาธิบดีศรีอโยธยา” ซึ่งคณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ได้รวบรวมพิมพ์อยู่ในหนังสือ “เฉลิมพระราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบพิตร พระพุทธิเจ้าอยู่หัว” เป็นที่ระลึกเนื่องในอภิลักขิตสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีที่ ๑ และอยุธยาปราสาท เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓

บทความนี้ได้ลำดับเรื่องราวของเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๑๖๒๕ มีกษัตริย์ปกครอง ๑๐ พระองค์ ซึ่งพระองค์ที่ ๑๐ ก็คือ พระเจ้าอู่ทอง ครองราชย์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๘๘๗ ก่อนจะย้ายราชธานีใน พ.ศ.๑๘๙๓

จึงสรุปในขณะนี้ได้ว่า พระเจ้าอู่ทองไม่ได้มาไกลจากเมืองจีนหรือเขมร แต่เป็นกษัตริย์ที่ครองกรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร ก่อนที่จะข้ามแม่น้ำมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.๑๘๙๓  

การสถาปนากรุงศรีอยุธยา

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล จุลศักราช 712 ตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 ชีพ่อพราหมณ์ถวายพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี แล้วโปรดให้ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งเป็นพระเชษฐาของพระมเหสีเป็น สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า ไปครองเมืองสุพรรณบุรี ส่วนพระราเมศวร รัชทายาทให้ไปครองเมืองลพบุรี

การสงครามกับเขมร

ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองค์ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นต่าง ๆ มากมาย แม้กระทั่ง ขอม ซึ่งก็เป็นมาด้วยดีจนกระทั่งกษัตริย์ขอมสวรรคต เนื่องจากการปฏิวัติขอมของนายแตงหวาน ชนชั้นแรงงานได้ยึดอำนาจจากชนชั้นปกครอง  และครองเมืองแทนซึ่งรู้จักในนาม พระบาทตระซ็อกประแอม หรือ พระบาทสมเด็จพระศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1  ซึ่งพระราชนัดดานาม พระบรมลำพงศ์ ทรงขึ้นครองราชย์ ซึ่งพระบรมลำพงศ์ก็แปรพักตร์ไม่เป็นไมตรีดังแต่ก่อน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จึงให้สมเด็จพระราเมศวรยกทัพไปตีกัมพูชา และให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ทรงยกทัพไปช่วย เพื่อเป็นการล้างแค้นให้กับพระสหาย พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 จึงสามารถตีเมืองนครธมแตกได้ พระบรมลำพงศ์สวรรคตในศึกครั้งนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงแต่งตั้ง พระราชโอรสเป็นกษัตริย์ปกครองอังกอร์ .. จนกระทั่งเมื่อน้องชายของพระบรมลำพงศ์ซึ่งไปลี้ภัยในประเทศลาวได้ยึดเมืองกลับคืนมาและได้สวมมงกุฎที่นั่นในนามพระเจ้าศรีสุริโยวงษ์ที่ 1 

ตรากฎหมาย

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงประกาศใช้กฎหมายถึง 10 ฉบับ ในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่

  • พระราชบัญญัติลักษณะพยาน
  • พระราชบัญญัติลักษณะอาญาหลวง
  • พระราชบัญญัติลักษณะรับฟ้อง
  • พระราชบัญญัติลักษณะลักพา
  • พระราชบัญญัติลักษณะอาญาราษฎร์
  • พระราชบัญญัติลักษณ์โจร
  • พระราชบัญญัติเบ็ดเสร็จว่าด้วยที่ดิน
  • พระราชบัญญัติลักษณะผัวเมีย
  • พระราชบัญญัติลักษณะโจรว่าด้วยโจร

ในประวัติศาสตร์บางแหล่งบอกว่ามีมากกว่านี้ แต่เท่าที่หาหลักฐานได้ มีเพียงเท่านี้เท่านั้น

การศาสนา

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างวัดต่าง ๆ เช่น วัดพุทไธศวรรย์ (สร้างปี พ.ศ. 1876) วัดป่าแก้ว (สร้างปี พ.ศ. 1900) และวัดพระราม (สร้างปี พ.ศ. 1912)

การสงครามกับสุโขทัย

รัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยานั้นคาบเกี่บวกับรัชสมัยของ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) แห่งกรุงสุโขทัย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สุโขทัยมิอาจต้านทานความแข็งแกร่งของอยุธยาได้ แม้ว่าพระมหาธรรมราชาลิไท จะเสด็จไปประทับที่สองแคว (พิษณุโลก) เพื่อเตรียมรับศึกอยุธยาแล้วก็ตาม

แต่สุดท้ายพระมหาธรรมราชาลิไทก็ได้เจรจาประนีประนอมยอมให้กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีคู่กับสุโขทัย และทั้งสองนครนี้ก็เป็นไมตรีต่อกันมาจนตลอดรัชกาลของพระองค์

การค้าขาย และสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ

ในด้านไมตรีกับต่างประเทศในสมัยเมื่อสร้างกรุงศรีอยุธยานั้น ฝรั่งกับญี่ปุ่นยังไม่มีมาค้าขาย แต่การไปมาค้าขายกับเมืองจีน, แขก, จาม, ชวา, มลายู ตลอดจนอินเดีย, เปอร์เซีย และ ลังกานั้นไปถึงกันมานานแล้ว

สำหรับการค้าขายกับจีนนั้น ราชวงศ์อู่ทองของไทย ตรงกับราชวงศ์หมิงของจีน พระเจ้าหงอู่ แห่งราชวงศ์หมิงเมื่อทราบว่ากรุงศรีอยุธยาตั้งเป็นอิสรภาพก็แต่งให้ หลุย จงจุ่น เป็นราชทูตเข้ามาเจริญพระราชไมตรีถึงกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงแต่งให้ราชทูตออกไปเมืองจีนพร้อมกับราชทูตจีน เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนในคราวนั้นด้วย

พระโอรส

เนื้อเพลง