วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

นิราศพระบาท นิราศเรื่องที่ ๒ ของสุนทรภู่

 นิราศพระบาท นิราศเรื่องที่ 2  ของ สุนทรภู่ เป็นนิราศคำกลอนมีความยาวถึง 462 คำกลอน นับเป็นนิราศที่ยาวมากเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่ โดยมีเนื้อหาบรรยายการเดินทางขณะโดยเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ไปนมัสการรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่อำเภอขุนโขลน จังหวัดสระบุรี เมื่อวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ พ.ศ. 2350

การเดินทางเริ่มต้นจากคลองขวางกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทางทางน้ำโดยใช้เรือ และการเดินทางทางบกโดยใช้ช้าง โดยลงเรือจากพระนครผ่านโรงสุราบางยี่ขัน ผ่านบ้านปูน บางพลู บางพลัด สามเสน บางซื่อ บางซ่อน เข้าปากเกร็ด บางพูด จังหวัดนนทบุรี แล้วล่องเรือไปขึ้นฝั่งที่บ้านขวาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นนั่งช้างและเดินเท้าต่อไปยังวัดพระพุทธบาท โดยผ่านสถานที่ในบริเวณนั้น อย่าง เขาโพธิ์ลังกา เขาขาด ถ้ำกินนร ถ้ำจักรี ฯลฯ

สุนทรภู่แต่งนิราศพระบาทขณะมีอายุ 21 ปี โดยบรรยายเรื่องราวชีวิตและอุปนิสัยส่วนตัวของสุนทรภู่ โดยเน้นความรักที่มีต่อนางจันภรรยา โดยบรรยายผ่านสถานที่ที่เดินทางผ่าน บางตอนสะท้อนชีวิตสาวชาววังและชาวบ้าน ตลอดจนวิถีชีวิตของคนในสังคมไว้ด้วย เช่น การแต่งกายของสาวชาววังที่ร่วมขบวนเสด็จ การแต่งกายของสาวมอญที่สามโคก และลักษณะบ้านของชาวมอญในสังคมไทย เล่าถึงงานวัดพระพุทธบาทอันเป็นงานสำคัญและยิ่งใหญ่

 โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
ดังศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวงเสียดายดวงจันทราพะงางาม
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
จนพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงพระนามจากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาทจำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดารนมัสการรอยบาทพระศาสดาฯ
  
วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำพอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลาพี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้าก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย
แสนสลดให้ระทดระทวยกายไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครันฯ
  
ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิตใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น
ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกันพิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง
ทั้งจากที่จากคลองเป็นสองข้อยังจากกอนั้นก็ขึ้นในคลองขวาง
โอ้ว่าจากช่างมารวบประจวบทางทั้งจากบางจากไปใจระบม
แสนวิบากหลากใจอาลัยเหลียวเห็นเวียงวังก็ยิ่งเสียวถึงเคยสม
ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนมน้อมบังคมเทวารักษาวัง
ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศอย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง
ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชังเทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานีฯ
  
ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียกเมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารีไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้งเออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคินแต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรักให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำสักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจฯ
  
ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิตนิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกลประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร
ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริตเหมือนซื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร
มิตรจิตขอให้มิตรใจจรใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง
ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง
เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนางจะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้วฯ
  
ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่านเขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้วพี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอกตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปรางต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่นแมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง
พฤกษาพ้องต้องนามกานดาดวงพี่ยลพวงผลจันทน์ให้หวั่นใจ
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองชิดนิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบเหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา
พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อยให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า
โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเราจึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นานฯ
  
ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญเป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลานเรือขนานจอดโจษกันจอแจ
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชมท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่
ใส่เสื้อตึงรึงรัดดูอัดแอพี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย
ชมคณาฝูงนางมากลางชลสุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพายหยุดสบายบริโภคอาหารพลัน
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออกเขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกันพี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว
เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอกใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว
จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียวใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลยฯ
  
ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่งโอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชยโอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้ามก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมนสะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้นระวังตนตีนมือระมัดมั่น
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครันถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำเปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้ารารานถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวงฯ
  
ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปักพี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวงจนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชกถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรงเห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้นเป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลางใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรีจำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไปฯ
  
๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวยแล้วก็เลยตามแควกระแสไหล
ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจโอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง
แต่โศกพี่หรือไม่มีเวลาว่างระยะทางก็ยังไกลถึงไพรระหง
ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดงเมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม
เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่งถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม
ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอมเรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนางฯ
  
ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลางต้องแยกทางสองแควกระแสชล
ปางบุรำคำบุราณขนานนามราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์
ในแถวทางกลางย่านกันดารคนนาวาดลเดินเบื้องบูรพา
โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอมาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า
ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคานี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ
ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบนาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้ามเป็นสามง่ามน้ำนองในคลองเขิน
ปักษาโบกปีกบินลงดินเดินมัจฉาเพลินผุดพล่านในคงคา
นกยางเลียบเหยียบปลานขาหยิกเอาปากจิกบินฮือขึ้นเวหา
กระทุงน้อยลอยทวนนาวามาโอ้ปักษาเอ๋ยจะลอยถึงไหนไป
หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนกให้แนบอกของพี่รู้ว่าโหยไห้
มิทันสั่งสกุณินก็บินไปลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน
ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อมเหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน
โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคนเมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวงฯ
  
ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำเหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวงจะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยวยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอินกระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวังกษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา
พาสนมออกมาชมคณานกก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตาก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋นทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม
โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตามจะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไปฯ
  
ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่มเภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแสพี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรืออุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่องเข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมาล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่นพี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึงจนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียนฯ
  
เห็นวัดวาอารามตามตลิ่งออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียรการเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทังอารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง
สังเวชวัดธารมาที่อาศัยถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครองมงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอกแสนวิตกมาตามแควกระแสสาย
ถึงคลองสระปทุมานาวารายน่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรกเห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกาดังป่าช้าพงชัฏสงัดคนฯ
  
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชนจะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มโหรีปี่กลองจะก้องกึกจะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจังยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรกชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามาเมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลกระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลินเสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึกไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัยโอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุคไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตายให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวงฯ
  
พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่นดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวงชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิตดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่
ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใครนั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนานฯ
  
สุริยนเย็นสนธยาย่ำประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรักจะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
พลพายนายไพร่บรรดามาหุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ
พี่ตันอกตกยากจากสถานเห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ
ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือพอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม
จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียวมีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม
กินประทับแต่พอรับกับโรคลมครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย
ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้มพี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทรายพงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตรเขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนานจัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลาฯ
  
๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะดูเกะกะรอร้างทางพม่า
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอราแต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียนตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทางหมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอกถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ
แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือเฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครันฯ
  
ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุกจะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชันถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ
โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้านลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจเคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้านระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย
โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลยหรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืนฯ
  
ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวงยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืนกว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย
ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย
จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวายแต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา
ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับเสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามาถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอดระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอดเรือตลอดแลหลามตามกระแส
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุดอุตลุดขนของขึ้นกองสุม
เสบียงใครใครนั่งระวังคุมพร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารีฯ
  
ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขาขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารีแต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย
อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อนระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย
แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพรายหัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว
ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญเขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว
พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัวฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร
กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือกมาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกววิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่งเวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวงพระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลันฯ
  
อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ
แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพันให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์
สดับเสียงสัปปุรุษที่หยุดพักเขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละครถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน
เฝ้าแหงนดูดวงแขชะแง้พักตร์เห็นจันทร์ชักรถร่อนเวหาเหิน
ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน
จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้วดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร
เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพรกองกุญชรผูกช้างมายืนเรียงฯ
  
บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่บ้างจอแจจัดการประสานเสียง
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียงบ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่างเสียงโฉ่งฉ่างขามแตกกระแทกขัน
จนคนบนสัปคับรับไม่ทันหม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริกกลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้ายเมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดินฯ
  
สงสารนางชาวในที่ไปด้วยทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น
หวีกระจกตกแตกกระจายดินเจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขาแต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ
มือตะกายสายรัดสกนธ์คอเห็นช้างงองวงหนีก็หวีดอึง
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาดสองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึงทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุดดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็วบ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพังฯ
  
สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลกบริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่งเป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดินเขยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้งระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย
แต่ตัวพี่นี้จำเพาะเป็นเคราะห์ร้ายต้องขึ้นพลายนำทางช้างน้ำมัน
เพื่อนเขาแกล้งตบมือกระพือผัดช้างสะบัดบุกไปในไพรสัณฑ์
ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทันโอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง
นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อนแล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง
แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิงเอาขอพิงพาดตักมาตามทางฯ
  
ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิดถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยางไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ
รุกขชาติดาษดูระดะป่าสกุณาจอแจประจำจับ
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับจะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพรในจิตใจทดท้อระย่อเย็นฯ
  
ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้างบรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น
มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็นไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง
บ้างขายของสองข้างตามทางป่าจำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียงเห็นของเรียงอยู่บนร้านทั้งหวานคาว
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้งเห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาวมาตามราวมรคาพนาวัน
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวนปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครันไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคูฯ
  
ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศกยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู
ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ
ระยะเดินเถินทางมากลางป่าสองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่
พอได้กึ่งมรคาพนาลัยพี่รีบไสช้างเดินโดยลำพองฯ
  
มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียวยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง
ถึงหนองคนทีมีสระละหานนองเป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้างรอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ
โอ้น้ำใจในอุราทาระกรรมเหมือนน้ำดำอยู่ในหนองเป็นฟองคราม
พี่ยลน้ำช้ำใจแล้วไสช้างมาตามทางทิวป่าพนาหนาม
กำหนดนับมรคาพยายามก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย
โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่าแต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย
จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกายจะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่างพะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียงนกเขาเคียงคู่คูประสานคำ
โอ้นกคู่ดูน่าจะผาสุกพี่นี้ทุกข์เพราะจากเจ้างามขำ
เห็นนกหนึ่งจับนิ่งกิ่งระกำโอ้นกน้อยเห็นจะจำจากตัวเมีย
ถ้านกผู้ดูเหมือนหัวอกพี่แสนทวีเวทนาประดาเสีย
นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมียจะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว
พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อยจะครวญคอยนับวันกระสันเสียว
ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียวพี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมาฯ
  
ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณรในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆาจะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน
ยามระงิดพี่ไม่คิดว่าเสือร้ายเขม้นหมายมุ่งลำเนาภูเขาเขิน
ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกินเขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล
ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไสจนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน
ถึงสระยอรอช้างเสวยเพลจนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทันฯ
  
พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญให้ป้องกันอันตรายในราวไพร
เห็นเขาตกเขาแตกมาตกลึกอนาถนึกแล้วน่าน้ำตาไหล
ที่ตกยากจากนางมากลางไพรวิตกใจตกมาถึงคีรี
รำจวญจิตคิดไปน่าใจหายไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี
จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรีจงสุขีเถิดนะข้าขอลาจรฯ
  
ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกรรีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัดออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม
ลงหยุดปลงไอยราริมอารามสมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่นก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย
ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไปตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบังฯ
  
ประจวบจนสุริยนเย็นพยับไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดังระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ววิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม
ทุกที่ทับสัปปุรุษก็พูดพึมรุกขาครึ้มครอบแสงพระจันทร
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถามในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร
เป็นวันบรรณรสีรวีวรพระจันทรทรงกลดรจนา
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑปกระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตาจับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุกในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพรายพลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
ดอกไม้ร้องป้องปีปสนั่นป่าในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน
แต่คนเดินพัลวันออกฟั่นเฟือนจนจันทร์เคลื่อนรถคล้อยลับเมฆา
สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบเย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา
เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนาต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว
ทั้งต้องน้ำอำมฤกเมื่อดึกเงียบแสนยะเยียบเนื้อเย็นเป็นเหน็บหนาว
ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราวไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น
โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ
ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็นใครปะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง
ถึงผ้าผ่อนซ้อนห่มเป็นไหนไหนไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดหญิง
แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิงจนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม
ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม
ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางามเหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง
สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่งตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง
พอลืมตาก็ผวาคว้าประคองไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญฯ
  
จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศกบริโภคโภชนากระยาหาร
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการเข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่นพิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย
แสนรโหโอฬาร์น่าสบายทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาคมีรูปรากษสสองอสูรขยัน
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามันยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น
บันไดนาคนาคในบันไดนั้นดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็นตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัดลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชายบ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราวฯ
  
ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้นมีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาวครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้นสิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทางพี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัดประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกันตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่มกระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย
มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลายกลางกระจายดอกจอกประจำทำฯ
  
พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำกินนรรำรายเทพประนมกร
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุขสุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธรกระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อยใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดังวิเวกวังเวงในหัวใจครันฯ
  
บานทวารลานแลล้วนลายมุกน่าสนุกในกระหนกดูผกผัน
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยวเทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม
ชมพูพานกอดก้านกระหนกรุมสุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑาเหินพรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์เสด็จทรงคชสารในบานบัง
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้านโอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบังที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม
มณฑปน้อยสรวมรอยพระบาทนั้นล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงามพระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อยระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอายฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทองฯ
  
พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาทอภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปองเดชะกองกุศลที่ตนทำ
มาคำรพพบพุทธบาทแล้วขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์
ฉันเกิดมาชาตินี้ก็มีกรรมแสนระยำยุบยับด้วยอับจน
ได้เคืองแค้นแสนยากลำบากบอบไม่สมประกอบทรัพย์สินก็ขัดสน
แม้นกลับชาติเกิดใหม่เป็นกายคนชื่อว่าจนแล้วจงจากกำจัดไกล
สตรีหึงหนึ่งแพศยาหญิงทั้งสองสิ่งอย่าได้ชิดพิสมัย
สัญชาติชายทรชนที่คนใดให้หลีกไกลร้อยโยชน์อย่าร่วมทาง
ถ้ารักใครขอให้ได้คนนั้นด้วยบุญจงช่วยปฏิบัติอย่าขัดขวาง
อย่ารู้มีโรคาในสารพางค์ทั้งรูปร่างขอให้ราวกับองค์อินทร์
หนึ่งบิดรมารดาคณาญาติให้ผุดผาดผาสุกเป็นนิจสิน
ความระยำคำใดอย่าได้ยินให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง
ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบากให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง
ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเองให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฎครันฯ
  
อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาทเที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชันมีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อยเขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียงมีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน
มีชะวากคูหาศิลาหุบในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์
แต่คนนมัสการนานอนันต์บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชายฯ
  
เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารักพระกลดหักทองขวางกางถวาย
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตายกรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม
เป็นบุญจริงจับกิ่งสะแกได้ในจิตใจยอกเจ็บดังเหน็บหนาม
กำลังอายก็ซังตายพยายามลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร
พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผาเขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข
พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไปให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมาฯ
  
ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขาผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกาลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบกงกระทบเขากระจายทลายหมด
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถจึงปรากฎตั้งนามมาตามกันฯ
  
พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิตพี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์
นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ
แล้วย่องเหยียบเลียบเนินลงเดินล่างตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว
เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัยสลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง
ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกดฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง
น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียงเหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน
ระกำป่ากาหลงกะลิงจับระกำกับเราระกำก็จำเหมือน
เห็นไม้จันทน์พี่ยิ่งฟั่นอารมณ์เฟือนเหมือนจันทร์เตือนใจตัวให้ตรอมใจ
โอ้นามไม้หรือมาต้องกับน้องพี่ขณะนี้นึกหน้าน้ำตาไหล
เจ้าอยู่เรือนชื่อเชือนมาอยู่ไพรเหมือนเตือนใจให้พี่ทุกข์ทุกย่างเดินฯ
  
มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนินพิศเพลินพฤกษาบรรดามี
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียกสำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี
สำคัญปากคูหาศาลามีชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ย้อยมีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน
พอเทียนดับลับแลไม่เห็นคนผู้หญิงปนเดินปะปะทะชาย
เสียงร้องกรีดหวีดก้องในห้องถ้ำชายขยำหยอกแย่งผู้หญิงหวาย
ใครกอดแม่แปรกอกแตกตายใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว
ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อนมันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว
บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาวก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดงฯ
  
ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้นสะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลงเป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดินกว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่นร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าวยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้
ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจโอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้านด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคารอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครันฯ
  
บนยอดเขามีสองสุนัขาสังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชันสี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง
เช่นนี้เจ้าเสาวภาคย์มาตามพี่จะถามจี้ไปทุกสิ่งไม่ขาดเสียง
พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียงประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม
นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตกเพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม
ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรมซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวงฯ
  
ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำวิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวงเป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง
สมมุติแลแง่หินชะง่อนหุบเป็นที่รูปสิงสัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดงที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อเห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัวดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่มศิลาแวมวาววามอร่ามฉาย
พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกายด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา
แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลังที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา
จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนาด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็นฯ
  
จะกลับหลังยังพระพุทธบาทเหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น
ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็นครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนางเจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย
สารพันกันภัยลูกนาคพดเครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลายเป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้าลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัวมันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทางฯ
  
พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลงเห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลางถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยมวารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธารเสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้มโถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึงกระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจฯ
  
ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วยพี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกวสนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน
ดูทำนองนางในไกวชิงช้าดังสีดาผูกคอที่โรงโขน
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยนก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่างทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรมให้แสนโทมนัสทัศนาฯ
  
คำขนานธารเกษมก็สมชื่อสนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา
เมื่อใช้บนเล่นชลธาราอันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราชสดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกันแล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชมแสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อยลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง
ล้วนจับคู่ชู้ชายชม้ายเมียงที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน
แสนสนุกจะมาทุกข์อยู่เพียงพี่ยิ่งทวีความวิโยคให้โศกศัลย์
เห็นคู่รักเขาสมัครสมานกันคิดถึงวันเมื่อมาดสวาทนาง
แต่วอนเวียนเจียนวายชีวิตพี่จึงได้ศรีเสาวภาคย์มาแนบข้าง
เจ้าเคืองขัดตัดสวาทขาดระวางจนแรมร้างออกมาราวอรัญวา
ครั้นอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริชพระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา
พระสุธนร้างห่างมโนห์ราพระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม
องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตรเสียพระเวทผูกทวารกรุงพาลถนอม
สุจิตราลาตายไม่วายตรอมล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์
แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรักยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์
ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรงว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย
พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย
แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชายก็กลับหมายมุ่งมายังอารามฯ
  
ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความเมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้าเป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลังหาบุญยังไปฉลองศาลาลัย
มีละครผู้คนอลหม่านกรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไปพี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอกชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอบ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกันฯ
  
ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกันตั้งประจันจดจับกระหยับมือ
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิดประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือคนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมากจมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขาบุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียนแต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วันฯ
  
จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่งจะกลับยังอาวาสเกษมสันต์
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญอภิวันท์ลาบาทพระชินวร
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุดก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร
แต่ตัวพี่ยังมาในสาครน้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัดโทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้ายเราจดหมายตามมีมาชี้แจง
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดงฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอยฯ

นิราศเมืองแกลง นิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่

                                                    นิราศเมืองแกลง





นิราศเมืองแกลง เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ เป็นนิราศเรื่องแรกของเขาที่ได้แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2349 มีใจความกล่าวถึงการเดินทางโดยเรือเพื่อไปยังเมืองแกลง โดยมีศิษย์ 2 คนร่วมโดยสารไปด้วยกัน คือ น้อยกับพุ่ม และมีผู้นำทางชื่อนายแสง เป้าหมายการเดินทางของสุนทรภู่ไม่ปรากฏแน่ชัด บ้างว่าเขาต้องการไปบวชกับบิดา บ้างว่าเขาเดินทางไปขอเงินเพื่อกลับมาแต่งงาน นักวิชาการยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าสุนทรภู่กลับไปทำไม แต่ทางจังหวัดระยองได้นำเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นไปสร้างเป็นอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่เมืองแกลง

เนื้อหาโดยย่อ และเส้นทางการเดินทาง

ปีพ.ศ. 2349 หลังจากกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคต สุนทรภู่ซึ่งถูกจองจำอยู่เหตุจากการลอบรักใคร่กับแม่จัน จึงได้รับการปล่อยตัวเป็นการถวายพระกุศล 

สุนทรภู่ถูกใช้ไปราชการด่วนจนถึงกับไม่มีเวลาไปบอกลาแม่จันได้เลย ผู้ร่วมทางของสุนทรภู่ในการเดินทางคราวนี้ ได้แก่ นายแสง เป็นผู้นำทาง และน้อยกับพุ่ม ศิษย์น้องสองคน ทั้งหมดล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ลัดเลาะคลองบางนาไปออกมาแม่น้ำบางปะกงแล้วลงสู่ทะเล เลียบริมทะเลไปขึ้นฝั่งที่บริเวณหาดบางแสน จากนั้นจึงเดินเท้าต่อ สุนทรภู่ได้แวะพักที่บ้านขุนรามอยู่เป็นหลายวัน ก่อนจะออกเดินทางต่อไปเมืองแกลง ซึ่งในเวลานั้นเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่ในป่าทึบ หนทางจะไปถึงนั้นแสนกันดารและเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งคณะเดินทางกันต่อจนไปถึงเมืองระยอง ถึงตรงนี้ นายแสงมิได้ร่วมเดินทางต่อไปด้วย

สุนทรภู่กับน้องทั้งสองเดินทางต่อไปอีกจนถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง ได้พบบิดาของตนซึ่งบวชเป็นพระมาตลอดนับแต่สุนทรภู่เกิด สุนทรภู่ได้ถือศีลกินเจอยู่กับบิดาพักหนึ่ง แล้วเกิดล้มป่วยเป็นไข้ ต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือนกว่าจะเดินทางกลับมาถึงพระนครศรีอยุธยา


โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชยต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้าไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลาใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาทจึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจรไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่มน้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญจะพากันแรมทางไปต่างเมือง
 
๏ ถึงยามสองล่องลำนาวาเลื่อนพอดวงเดือนดั้นเมฆขึ้นเหลืองเหลือง
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรืองแลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้าจะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดาโอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วังเทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วยเอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพรให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแพ้วพาน
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำแพประจำจอดเรียงเคียงขนาน
มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจานยังสำราญร้องขับไม่หลับลง
โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ยนึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์
จะลำบากยากแค้นไปแดนดงเอาพุ่มพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน ฯ
 
๏ ถึงย่านยาวดาวคะนองคะนึงนิ่งยิ่งดึกยิ่งเสียใจใครจะเหมือน
พระพายพานซ่านเสียวทรวงสะเทือนจนเดือนเคลื่อนคล้อยดงลงไรไร
โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย
เห็นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจเดือนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร
หอมสุคนธ์ปนกายขจายจรโอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย
ถึงบางผึ้งผึ้งรังก็รั้งร้างพี่ร้างนางร้างรักสมัครหมาย
มาแสนยากฝากชีพกับเพื่อนชายแม่เพื่อนตายมิได้มาพยาบาล
ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้นดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน
เขาแจวจ้วงล่วงแล่นแสนสำราญมาพบบ้านบางระเจ้ายิ่งเศร้าใจ
อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวนจนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย
ศศิธรอ่อนอับพยับไพถึงเซิงไทรศาลพระประแดงแรง
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาลลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแหง
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลงเจ้าจงแจ้งใจภัคนีที
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิตใช่จะคิดอายอางขนางหนี
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปีท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจพอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง
เห็นเพื่อนเรือเรียงรายทั้งชายหญิงดูก็ยิ่งทรวงช้ำเป็นน้ำหนอง
ไม่แม้นเหมือนคู่เชยเคยประคองก็เลยล่องหลีกมาไม่อาลัย
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลดดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไปนี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา
ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝั่งซ้ายตะวันฉายแสงส่องต้องพฤกษา
ออกสุดบ้านถึงทวารอรัญวาเป็นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน
ลมระริ้วปลิวหญ้าคาระยาบระเนนนาบพลิ้วพลิกกระดิกหัน
ดูโล่งลิ่วทิวรุกขะเรียงรันเป็นเขตคันขอบป่าพนาลัย ฯ
 
๏ ถึงทับนางวางเวงฤทัยวับเห็นแต่ทับชาวนาอยู่อาศัย
นางชาวนาก็ไม่น่าจะชื่นใจคราบขี้ไคลคร่ำคร่าดังทาคราม
อันนางในนคราถึงทาสีดีกว่านางทั้งนี้สักสองสาม
โอ้พลัดพรากจากบุรินแล้วสิ้นงามยิ่งคิดความขวัญหายเสียดายกรุง
ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง
เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุงต้องลากจุงจ้างควายอยู่รายเรียง
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียดเข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียงบ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวาย
โอ้เรือเราคราวเข้าไปติดแห้งเห็นนายแสงผู้เป็นใหญ่ก็ใจหาย
นั่งพยุงตุ้งก่านัยน์ตาลายเห็นวุ่นวายสับสนก็ลนลาน
น้อยกับพุ่มหนุ่มตะกอถ่อกระหนาบเสียงสวบสาบแทรกไปด้วยใจหาญ
นายแสงร้องรั้งไว้ไม่ได้การเอาถ่อกรานโดยกลัวจนตัวโกง
สงสารแสงแข็งข้อไม่ท้อถอยพุ่มกับน้อยแทรกกลางเสียงผางโผง
ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกรงนาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคม
 
จนตกลึกล่วงทางถึงบางโฉลงเป็นทุ่งโล่งลานตาล้วนป่าแขม
เหงือกปลาหมอกอกกกับกุ่มแกมคงคาแจ่มเค็มจัดดังกัดเกลือ
ถึงหัวป่าเห็นป่าพฤกษาโกร๋นดูเกรียนโกรนกรองกรอยเป็นฝอยเฝือ
ที่กิ่งก้านกรานกีดประทุนเรือลำบากเหลือที่จะร่ำในลำคลอง
ถึงหย่อมย่านบ้านไร่อาลัยเหลียวสันโดษเดียวมิได้พบเพื่อนสนอง
เขารีบแจวมาในนทีทองอันบ้านช่องมิได้แจ้งแห่งตำบล
ถึงคลองขวางบางกระเทียมสะท้านอกโอ้มาตกอ้างว้างอยู่กลางหน
เห็นแต่หมอนอ่อนแอบอุระตนเพราะความจนเจียวจึงจำระกำใจ
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ป่าแสมตะลึงแลปูเปี้ยวเที่ยวไสว
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพรฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวากข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม
เข้าสร้างศาลเทพาพยายามกระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา
สักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลาเห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก
โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทกดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่งเขาว่าลิงจองหองมันพองขน
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลนเขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง
 
ถึงชะวากปากคลองเป็นสองแพร่งน้ำก็แห้งสุริยนก็หม่นหมอง
ข้างซ้ายมือนั้นแลคือปากตะครองข้างขวาคลองบางเหี้ยทะเลวน
ประทับทอดนาวาอยู่ท่าน้ำดูเรียงลำเรือรายริมไพรสณฑ์
เขาหุงหาอาหารให้ตามจนโอ้ยามยลโภชนาน้ำตาคลอ
จะกลืนข้าวคราวโศกในทรวงเสียวเหมือนขืนเคี้ยวกรวดแกลบให้แสบศอ
ต้องเจือน้ำกล้ำกลืนพอกลั้วคอกินแต่พอดับลมด้วยตรมใจ
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบลงหรบรู่ยุงออกฉู่ชิงพลบตบไม่ไหว
ได้รับรองป้องกันเพียงควันไฟแต่หายใจมิใคร่ออกด้วยอบอาย
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้งมากรำยุงเวทนาประดาหาย
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตายแม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา
พอน้ำตึงถึงเรือก็รีบล่องเข้าในคลองคึกคักกันนักหนา
ด้วยมืดมัวกลัวตอต้องรอรานาวามาเรียงตามกันหลามทาง
ถึงบางบ่อพอจันทร์กระจ่างแจ้งทุกประเทศเขตแขวงนั้นกว้างขวาง
ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาภางค์วิเวกทางท้องทุ่งสะท้านใจ
ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ปลายแฝกทุกละแวกหวาดหวั่นอยู่ไหวไหว
รำลึกถึงขนิษฐายิ่งอาลัยเช่นนี้ได้เจ้ามาด้วยจะดิ้นโดย
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาดกัมปนาทเสียงนกวิหคโหย
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรยเมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตกด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกยเมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจ ฯ
 
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัยล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวางเป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง
ว่าผีสางสิงนางตะเคียนคะนองใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปากเห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ
กระทบผางตอนางตะเคียนดำก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา
พวกเรือพี่สี่คนขนสยองก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา
พ้นระวางนางรุกขฉายาต่างระอาเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์จริง
ขอนางไม้ไพรพฤกษ์เทพารักษ์ขอฝากภัคนีน้อยแม่น้องหญิง
ใครสามารถชาติชายจะหมายชิงให้ตายกลิ้งลงเหมือนตอที่ตำเรือ
จนล่วงล่องมาถึงคลองที่คับแคบไม่อาจแอบชิดฝั่งระวังเสือ
ด้วยครึ้มครึกพฤกษาลัดดาเครือค่อยรอเรือเรียงล่องมานองเนือง
ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับสว่างวับแวววามอร่ามเหลือง
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรืองค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาดมาแคล้วคลาดมิได้อยู่กับคู่สม
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
แสนกันดารบ้านเมืองไม่แลเห็นยะเยือกเย็นหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
โอ้คลองเปลี่ยวพี่ก็เปล่าเศร้าฤทัยจะถึงไหนก็ไม่แจ้งแห่งสำคัญ
ประจวบจนถึงตำบลบ้านมะพร้าวพอฟ้าขาวขอบไพรเสียงไก่ขัน
เป็นที่กุมภาพาลชาญฉกรรจ์ให้หวาดหวั่นรีบมาในสาชล
ถึงบางวัวเห็นแต่ศาลตระหง่านง้ำละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน
ดาวเดือนดับลับเมฆเป็นหมอกมนสุริยนเยี่ยมฟ้าพนาลัย
พอเรือออกนอกชะวากปากตะครองค่อยลอยล่องตามลำแม่น้ำไหล
ดูกว้างขวางว้างเวิ้งวิเวกใจเป็นพงไพรฝูงนกวิหคบิน ฯ
 
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านบางมังกงนั้นดูเรียงรันเรือนเรียบชลาสินธุ์
แต่ล้วนบ้านตากปลาริมวารินเหม็นแต่กลิ่นเน่าอบตลบไป
เห็นศาลเจ้าเหล่าเจ๊กอยู่เซ็งแซ่ปูนทะก๋งองค์แก่ข้างเพศไสย
เกเลเอ๋ยเคยข้ามคงคาลัยช่วยคุ้มภัยปากอ่าวเถิดเจ้านาย
พอพ้นบ้านลานแลดูปากช่องเห็นทิวท้องสมุทรไทน่าใจหาย
แลทะเลเลี่ยนลาดล้วนหาดทรายทั้งสามนายจัดแจงโจงกระเบน
ไปตามช่องล่องออกไปนอกรั้วเห็นเมฆมัวลมแดงดังแสงเสน
สักประเดี๋ยวเหลียวดูลำพูเอนยอดระเนนนาบน้ำอยู่รำไร
ป่าแสมแลเห็นอยู่ริ้วริ้วให้หวิวหวิววาบวับฤทัยไหว
จะหลบหลีกเข้าฝั่งก็ยังไกลคลื่นก็ใหญ่โยนเรือเหลือกำลัง
สงสารแสงแข็งข้อจนขาสั่นเห็นเรือหันโกรธบ่นเอาคนหลัง
น้ำจะพัดปัดตีไปสีชังแล้วคุ้มคลั่งเงี่ยนยาทำตาแดง
ปลอบเจ้าพุ่มพึมพำว่ากรรมแล้วอุตส่าห์แจวเข้าเถิดพ่อให้ข้อแข็ง
สงสารน้อยหน้าจ๋อยนั่งจัดแจงคิดจะแต่งตัวตายไม่พายเรือ
พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่งแลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือคลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสำมุกจงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลายทั้งสามนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา
หยุดตะพานย่านกลางบางปลาสร้อยพุ่มกับน้อยสรวลสันต์ต่างหรรษา
นายแสงหายคลายโทโสที่โกรธาชักกัญชานั่งกริ่มยิ้มละไม
แล้วหุงหาอาหารสำราญรื่นจนเที่ยงคืนขึ้นศาลาได้อาศัย
ฟังเสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นไปดูมือในเมฆานภาภางค์
พี่เล็งแลดูกระแสสายสมุทรละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง
เป็นฟองฟุ้งรุ่งเรืองอยู่รางรางกระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย
เห็นคล้ายคล้ายปลาว่ายเฉวียนฉวัดระลอกซัดสาดกระเซ็นขึ้นเต้นหยอย
ฝูงปลาใหญ่ไล่โลดกระโดดลอยน้ำก็พลอยพร่างพร่างกลางคงคา
 
แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุชไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตาเห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละพวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซสมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย
อันนารีที่ยังสาวพวกชาวบ้านถีบกระดานถือตะกร้าเที่ยวหาหอย
ดูแคล่วคล่องล่องแล่นแฉลบลอยเอาขาห้อยทำเป็นหางไปกลางเลน
อันพวกเขาชาวประโมงไม่โหย่งหยิบล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพลดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาปแต่ต้องสาปเคหาให้สาสม
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลมใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม
โอ้ดูเรือนเหมือนอกเราไร้คู่ผู้ใดดูจึงไม่ออกเอี่ยมสนาม
หรือต้องสาปบาปหลังยังติดตามผู้หญิงงามจึงไม่มีปรานีเลย
จะรักใครเขาก็ไม่เมตตาตอบสมประกอบได้แต่สอดกอดเขนย
เอ็นดูเขาเฝ้านึกนิยมเชยโอ้ใจเอ๋ยจะเป็นกรรมนั้นร่ำไป
พลางรำพึงถึงทางที่กลางเถื่อนจึงคล้อยเคลื่อนนาวาเข้าอาศัย
มีมิตรชายท้ายย่านเป็นบ้านไทยสำนักในคูหาขุนจ่าเมือง
 
ใครพบพักตร์เขาก็ทักว่าทรงซูบจะดูรูปตัวเองก็ผอมเหลือง
ซังตายชื่นฝืนฤทัยให้ประเทืองเที่ยวชำเลืองแลชมตลาดเรียง
เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่งบ้างยืนบ้างนั่งร้านประสานเสียง
ดูรูปร่างนางบรรดาแม่ค้าเคียงเห็นเกลี้ยงเกลี้ยงกล้องแกล้งเป็นอย่างกลาง
ขายหอยแครงแมงภู่กับปูม้าหมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวางมะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถงล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกองพี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์
ดูก็งามตามประสาพนาเวศไม่นวลเนตรเหมือนหนึ่งในไอศวรรย์
แต่แรมค้างบางปลาสร้อยได้สามวันก็ชวนกันเลยลาขุนจ่าเมือง
พอฟ้าขาวดาวเดือนลงเลื่อนลดอร่ามรถสุริยาเวหาเหลือง
จากเคหาชลนาพี่นองเนืองขืนประเทืองปล้ำทุกข์มาตามทาง
พอพ้นบ้านลานแลล้วนทุ่งเลี่ยนหนทางเตียนตัดเข้าภูเขาขวาง
ดูกรวดทรายพรายงามเหมือนเงินรางหยาดน้ำค้างข้อหลุมที่ขุมควาย
ดูสีขาวราวกับน้ำตาลโตนดที่หว่างโขดขอบผาศิลาฉลาย
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายรายเห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง
ถึงหมองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง
ต้องเดินเฉียงเลี่ยงลัดตัดทแยงตามนายแสงนำทางไปกลางไพร
กำดัดแดดแผดร้อนทุกขุมขนไม่มีต้นพฤกษาจะอาศัย
ล้วนละแวกแฝกคาป่ารำไรจนสุดไร่เลียบริมทะเลมา
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงบางพระดูระยะบ้านนั้นก็แน่นหนา
พอพบเรือนเพื่อนชายชื่อนายมาเขาโอภาต้อนรับให้หลับนอน
 
พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศลงเลียบหาดหวนคะนึงถึงสมร
เห็นกรวดทรายชายทะเลชโลทรละเอียดอ่อนดังละอองสำลีดี
ดูกาบหอยรอบคลื่นกระเด็นสาดก็เกลื่อนกลาดกลางทรายประพรายสี
เป็นหลายอย่างลางลูกก็เรียวรีโอ้เช่นนี้แม่มาด้วยจะดีใจ
จะเชยชมก้มเก็บไปกลางหาดเห็นประหลาดก็จะถามตามสงสัย
พี่ไม่รู้ก็จะชวนสำรวลไปถึงเหนื่อยใจจะค่อยเบาบรรเทาคลาย
โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อนไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทรายเห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน
อันชื่อนี้ศรีมหาราชาชาติขึ้นจากหาดเข้าป่าพนาสัณฑ์
ค่อยเลียบเดินเนินโขดสิงขรคันเสียงจักจั่นแซ่เซ็งวังเวงใจ
สองข้างทางนางไม้ไพรสงัดไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว
เย็นระรื่นชื่นชุ่มชอุ่มใบหนาวฤทัยโทมนัสระมัดกาย
เสียงนกร้องก้องกู่กันกลางป่าฟังภาษาสัตว์ไพรก็ใจหาย
จนออกดงลงเดินเนินสบายค่อยเคลื่อนคลายรอเรียงมาเคียงกัน
ถึงเขาขวางว่างเวิ้งชะวากวุ้งเขาเรียกทุ่งสงขลาพนาสัณฑ์
เป็นป่ารอบขอบเขินเนินอรัญนกเขาขันคู่เรียกกันเพรียกไพร
บ้างถาบถาพาคู่ลงฟุบฝุ่นเห็นคนผลุนโผผินบินไถล
บ้างก่งคอคูคูกุกกูไปฝูงเขาไฟฟุบแฝงที่แฝกฟาง
โอ้ปักษีมีคู่ที่ชูชื่นสำราญรื่นปกปิดด้วยปีกหาง
พี่เปลี่ยวใจอายนกเพราะห่างนางมาเดินกลางดงแดนแสนกันดาร
แล้วรีบรุดไปจนสุดที่ทิวทุ่งถึงบางละมุงพบน้ำลำละหาน
เป็นประเทศเขตนิคมกรมการมีเรือนบ้านแออัดทั้งวัดวา
น้ำตาตกอกโอ้อนาถเหนื่อยให้มึนเมื่อยขัดข้องทั้งสองขา
ลงหยุดหย่อนผ่อนนั่งที่ศาลาต่างระอาอ่อนจิตระอิดแรง
ลงอาบน้ำลำห้วยพอเหนื่อยหายแต่เส้นสายรุมรึงให้ขึงแข็ง
สลดใจเห็นจะไม่ถึงเมืองแกลงแต่นายแสงวอนว่าให้คลาไคล
พี่ดูดวงสุริย์ฉายก็บ่ายคล้อยชวนพุ่มน้อยจากศาลาที่อาศัย
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไปค่อยคลายใจจรเลียบชลามา
 
ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อมลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา
โอ้คิดเห็นเอ็นดูหมู่แมงดาตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล
เขาจับตัวผัวทิ้งไว้กลางน้ำระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัยโอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี
แม้น้องตายพี่จะวายชีวิตด้วยเป็นเพื่อนม้วยมิ่งแม่ไปเมืองผี
รำจวนจิตคิดมาในวารีจนถึงที่ศาลาบ้านนาเกลือ
หยุดประทับดับดวงพระสุริย์แสงยิ่งโรยแรงร้อนรนนั้นล้นเหลือ
จะเคี้ยวข้าวตละคำเอาน้ำเจือพอกลั้วเกลี้อกล้ำกลืนค่อยชื่นใจ
ทั้งล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิทจนอาทิตย์แย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
อนสะอื้นตื่นตายังอาลัยรำจวนใจจรจากศาลามา
เข้าเดินดงพงชัฏสงัดเงียบเย็นยะเยียบน้ำค้างพร่างพฤกษา
ออกชะวากปากทุ่งพัทยานายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน
บุกละแวกแฝกแขมแอร่มรกกับกอกกสูงสูงเสมอเศียร
ด้วยน้ำฝนล้นลงหนทางเกวียนขึ้นโขดเตียนตอกรอกยอกระยำ
กลัวปลิงเกาะเลาะลัดตัดเขมรลงลุยเลนพรวดพราดพลาดถลำ
ถึงแนวน่องย่องก้าวเอาเท้าคลำแต่ท่องน้ำอยู่จนเที่ยงจึงพบทาง
พอยกเท้าก้าวเดินบนเนินแห้งทั้งขาแข้งเข่าข้อให้ขัดขวาง
เจ็บระบมคมหญ้าคาระคางค่อยย่องย่างเหยียบฝุ่นให้งุนโงง
เห็นพฤกษาไม้มะค่ามะขามข่อยทั้งไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง
เหมือนไม้ดัดจัดวางข้างพระโรงเป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย
เดินพินิจเหมือนคิดสมบัติบ้าจะใคร่หาต้นไม้เข้าไปถวาย
นี่เหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าบรรดาตายแสนเสียดายดูเดินจนเกินไป
ถึงท้องธารศาลเจ้าริมเขาขวางพอได้ทางลงมหาชลาไหล
เข้าถามเจ๊กลูกจ้างตามทางไปเป็นจีนใหม่อ้อแอ้ไม่แน่นอน
ร้องไล้ขื่อมือชี้ไปที่เขาก็ดื้อเดาเลียบเดินเนินสิงขร
ศิลาแลเป็นชะแง่ชะงักงอนบ้างพรุนพรอนแตกกาบเป็นคราบไคล
ต้องเลี่ยงเลียบเหยียบยอกเอาปลาบแปลบถึงที่แคบเป็นเขินเนินไศล
ค่อยตะกายป่ายปีนเปะปะไปจะขาดใจเสียด้วยเหนื่อยทั้งเมื่อยกาย
ถึงที่โขดต้องกระโดดขึ้นบนแง่ก่นเอาแม่จีนใหม่นั้นใจหาย
บอกว่าใกล้ไกลมาบรรดาตายทั้งแค้นนายแสงนำไม่จำทาง
ทำซมเซอะเคอะคะมาปะเขาแต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง
แกไขหูสู้นิ่งไปตามทางถึงพื้นล่างแลลาดล้วนหาดทราย
ต่างโหยหิวนิ่วหน้าสองขาแข็งในคอแห้งหอบรนกระหนกระหาย
กลืนกระเดือกเกลือกลิ้นกินน้ำลายเจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง
น้ำก็นองอยู่ในท้องชลาสินธุ์จะกอบกินเค็มขมไม่สมหวัง
เหมือนไร้คู่อยู่ข้างกำแพงวังจะเกี้ยวมั่งก็จะเฆี่ยนเอาเจียนตาย
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมกระทำไว้นึกอะไรจึงไม่สมอารมณ์หมาย
แล้วปลอบน้องสองราปรีชาชายมาถึงท้ายทิวป่านาจอมเทียน
เห็นบ่อน้ำร่ำดื่มเอาโดยอยากพออ้าปากเหม็นหืนให้คลื่นเหียน
ค่อยมีแรงแข็งใจไปทางเกวียนไม่แวะเวียนเดาเดินดำเนินไป
 
ถึงห้วยขวางตัดทางเข้าไต่ถามพบขุนรามเรียกหาเข้าอาศัย
กินข้าวปลาอาหารสำราญใจเขาแต่งให้หลับนอนผ่อนกำลัง
สงสารแสงแสนสุดเมื่อหยุดพักเฝ้านั่งชักกัญชากับตาสัง
เสียงขาคะอยู่จนพระเคาะระฆังต่างร่ำสั่งฝากรักกันหนักครัน
แสนวิตกอกพี่เมื่ออ้างว้างถามถึงทางที่จะไปในไพรสัณฑ์
ชาวบ้านบอกมรคาว่ากว่าพันสะกิดกันแกล้วกล้าเป็นน่ากลัว
ยิ่งหวาดจิตคิดคุณพระชินสีห์กับชนนีบิตุเรศบังเกิดหัว
ข้าตั้งใจไปหาบิดาตัวให้พ้นชั่วที่ชื่อว่าไภยันต์
อธิษฐานแล้วสะท้านสะท้อนอกสำเนียงนกเพรียกไพรทั้งไก่ขัน
เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวันก็ชวนกันอำลาเขาคลาไคล
เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดึกดูซึ้งซึกมิได้เห็นพระสุริย์ใส
เสียงฟ้าร้องก้องลั่นสนั่นไพรไม้ไหวไหวเหลียวหลังระวังคอย
สงัดเงียบเยียบเย็นยะเยือกอกน้ำค้างตกหยดเหยาะลงเผาะผอย
พฤกษาสูงยูงยางสล้างลอยดูชดช้อยชื่นชุ่มชอุ่มใบ
ถึงปากช่องหนองชะแง้วเข้าแผ้วถางแม้นค่ำค้างอรัญวาได้อาศัย
เป็นที่ลุ่มขุมขังคงคาลัยวังเวงใจรีบเดินไม่เมินเลย
หนทางรื่นพื้นทรายละเอียดอ่อนในดงดอนดอกพะยอมหอมระเหย
หายละหวยด้วยพระพายมาชายเชยชะแง้เงยแหงนทัศนามา
ถึงบางไผ่ไม่เป็นไผ่เป็นไพรชัฏแสนสงัดเงียบในไพรพฤกษา
ต้องข้ามธารผ่านเดินเนินวนาอรัญวาอ้างว้างในกลางดง
ถึงพงค้อคอเขาเป็นโขดเขินต้องขึ้นเนินภูผาป่าระหง
ส่งกระทั่งหลังโคกเป็นโตรกตรงเมื่อจะลงก็ต้องวิ่งเหมือนลิงโลน
ไต่ข้ามห้วยเหวผาจนขาขัดต้องกำดัดวิ่งเต้นดังเล่นโขน
ทั้งรากยางขวางโกงตะโขงโคนสะดุดโดนโดดข้ามไปตามทาง
 
ถึงพุดรสาครเป็นพวยพุน้ำทะลุออกจากชะวากขวาง
ดูซึ้งใสไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลางสไบบางชุบซับกับอุรา
แล้วขึ้นเนินเดินในดงไม้หอมสะพรั่งพร้อมปรูปรายปฤษณา
ยามพระพายชายเชยรำเพยมาหอมบุปผารื่นรื่นชื่นอารมณ์
เหมือนกลิ่นปรางนางปนสุคนธ์รื่นคิดถึงคืนเคียงน้องประคองสม
ถอนสะอื้นยืนเด็ดลำดวนดมพี่นึกชมต่างนางไปกลางไพร
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุดดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไปล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง
สะท้อนหล่นใต้ต้นออกเกลื่อนกลิ้งฝูงค่างลิงกินเล่นเป็นเจ้าของ
ต่างเก็บเคี้ยวเปรี้ยวปรายเสียก่ายกองแต่โดยลองเลือกชิมจนอิ่มไป
ถึงโตรกตรวยห้วยพระยูนจะหยุดร้อนเห็นแรดนอนอยู่ในดงให้สงสัย
เรียกกันดูด้วยไม่รู้ว่าสัตว์ใดเห็นหน้าใหญ่อย่างจระเข้ตะคุกตัว
มันเห็นหน้าทำตากระปริบนิ่งเห็นหลายสิ่งคอคางทั้งหางหัว
รู้ว่าแรดกินหนามให้คร้ามกลัวขยับตัววิ่งพัลวันไป
 
ครู่หนึ่งถึงชะวากชากลูกหญ้าล้วนพฤกษายางยูงสูงไสว
แต่ล้วนทากตะเละลำรำพูไพรไต่ใบไม้ยูงยางมากลางแปลง
กระโดดเผาะเกาะผับกระหยับคืบถีบกระทืบมิใคร่หลุดสุดแสยง
ปลดที่ตีนติดขาระอาแรงทั้งขาแข้งเลือดโซมชะโลมไป
ออกเดินถี่หนีทากถึงชากขามเป็นสนามน้ำท่าได้อาศัย
เห็นรอยคนแรมค้างอยู่กลางไพรขึ้นต้นไม้หักรังไว้เรียงราย
เห็นลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวยกระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกายเห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัวเหมือนตัวพี่จากน้องให้หมองหมาง
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยางพี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ
เห็นป่าสูงฝูงนกในดงดึกหวนระลึกถึงสุดาน้ำตาไหล
จักจั่นร้องพร้องเพราะเสนาะไพรทั้งเสียงไก่เถื่อนขันสนั่นเนิน
พฤกษาเบียดเสียดสีดังปี่แก้ววิเวกแว่วหว่างลำเนาภูเขาเขิน
สดับฟังวังเวงเป็นเพลงเพลินต้องรีบเดินโดยด่วนด้วยจวนเย็น
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหลคงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็นบ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศพระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ
ทั้งสองข้างมรคาป่าระกำสล้างลำแลสลับอยู่กับกอ
หอมบุปผาสาโรชมารื่นรื่นต่างหยุดยืนใจหายเสียดายหนอ
แม้นอยู่เคียงเวียงชัยเห็นไม่พอจะตัดต่อเรือแล่นเล่นตามกัน
ทลายลูกสุกแลดูแออัดเอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์
มันแสนเปรี้ยวเบี้ยวหน้าเข้าหากันออกเข็ดฟันเป็นจะตายด้วยรายชิม ฯ
 
ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้าเห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิมอุระปิ้มศรปักสลักทรวง
ออกเดินรีบถีบถอนไปทุกย่างกลัวจะค้างค่ำลงในดงหลวง
ด้วยครื้นครึกพฤกษาลดาพวงไม่เห็นดวงสุริยาเวลาไร
พอเต็มตึงถึงสุนัขกะบากนั้นรอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย
เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจรู้ว่าใกล้ออกดงเดินตะบึง
แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบยิ่งเหยียบฟุบขาแข็งให้แข็งขึง
ยิ่งจวนเย็นเส้นสายให้ตายตึงดูเหมือนหนึ่งเหยียบโคลนให้โอนเอน
ออกปากช่องท้องทุ่งที่ตลิ่งต่างเกลือกกลิ้งลงทั้งรกถกเขมร
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนระเนนจนสุริเยนทร์ลับไม้ชายทะเล
ผลัดกันทำย่ำเหยียบแล้วยืนหยัดกระดูกดัดผัวะเผาะให้โผเผ
ค่อยย่างเท้าก้าวเขยกดูเกกเกออกโซเซเดินข้ามตามตะพาน
เป็นทุ่งแถวมีแนวแม่น้ำอ้อมระยะหย่อมเคหาน่าสนาน
เป็นเนินสวนล้วนเหล่ามะพร้าวตาลเข้าลับบ้านทับม้าลีลาไป
พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่องถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจเขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน
ฝ่ายนายแสงถึงตำแหน่งสำนักน้องเขายิ้มย่องชมหลานคลานสลอน
พี่ว้าเหว่เอกาอนาทรด้วยจะจรต่อไปเป็นหลายคืน
ครั้นรุ่งเช้าเท้าบวมทั้งสองข้างจะย่องย่างสุดแรงจะแข็งขืน
อยู่ระยองสองวันสู้กลั้นกลืนค่อยแช่มชื่นชวนกันว่าจะคลาไคล
นายแสงหนีลี้หลบไม่พบเห็นโอ้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล
น้อยหรือเพื่อนเหมือนจะร่วมชีวาลัยมาสูญใจจำจากเมื่อยากเย็น
จึงกรวดน้ำร่ำว่าต่ออาวาสอันชายชาตินี้หนอไม่ขอเห็น
มาลวงกันปลิ้นปลอกหลอกทั้งเป็นจะชี้เช่นชั่วช้าให้สาใจ
เดชะสัตย์อธิษฐานประจานแจ้งให้เรียกแสงเทวทัตจนตัดษัย
เหมือนชื่อตั้งหลังพิหารเขียนถ่านไฟด้วยน้ำใจเหมือนมินหม้อทรชน
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิตให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน
จากระยองย่องตามกันสามคนเลียบถนนคันนาป่ารำไร
 
ถึงบ้านนาตาขวัญสำคัญแน่เห็นยายแก่แวะถามตามสงสัย
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไปประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา
ถึงบ้านแสงทางแห้งเห็นทุ่งกว้างเฟื่อนหนทางทวนทบตลบหา
บุกละแวกแฝกแขมกับหญ้าคาจนแดดกล้ามาถึงย่านบ้านตะพง
มีเคหาอารามงามระรื่นด้วยพ่างพื้นพุ่มไม้ไพรระหง
ตัดกระพ้อห่อได้ทุกไร่กงพี่หลีกลงทางทุ่งกระทอลอ
เห็นสาวสาวชาวไร่เขาไถที่บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ
แลขี้ไคลใส่ตาบเป็นคราบคอผ้าห่มห่อหมากแห้งตาแบงมาน
พี่สู้เมินเดินตรงเข้าดงสูงเสียงนกยูงเบญจวรรณขึ้นขันขาน
คิดถึงน้องหมองใจอาลัยลานแม้นแจ้งการว่าพี่จากอยุธยา
จะเศร้าสร้อยคอยท่าเป็นทุกข์ร้อนถึงยามนอนยามกินถวิลหา
พี่ก็แสนสุดยากลำบากมาทั้งเดินป่าปิ้มกายจะวายวาง
ต้องเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยวด้วยรกเรี้ยวห้วยหนองเป็นคลองขวาง
ระหกระเหินเดินภาวนาพลางพอพบทางลงถึงท้องทะเลวน
เสียงพิลึกครึกครึ้มกระหึ่มคลื่นร่มระรื่นรุกขาพฤกษาสน
เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกลสล้างต้นเต็งตั้งสะพรั่งตา
ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้างมีโรงร้างเรียงรายชายพฤกษา
เป็นชุมรุมหน้าน้ำเขาทำปลาไม่รอรารีบเดินดำเนินพลาง
ถึงศาลเจ้าอ่าวสมุทรที่สุดหาดเลียบลีลาศขึ้นตามช่องที่คลองขวาง
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลางเห็นฝูงนางสานเสื่อนั้นเหลือใจ
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิกจนมือหงิกงอแงไม่แบได้
เป็นส่วยบ้านสานส่งเข้ากรุงไกรเด็กผู้ใหญ่ทำเป็นไม่เว้นคน
 
พอพลบค่ำสำนักที่เรือนเพื่อนดูเหย้าเรือนชาวแขวงทุกแห่งหน
มุงด้วยไม้หวายโสมแสนพิกลไม่มีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง
ครั้นคนมาเอาหลังคาขึ้นคลุมคลี่ดูก็ดีเร็วรัดไม่ขัดขวาง
เวลาค่ำล้ำเหลือด้วยเสือกวางปีบมาข้างเรือนเหย้าที่เรานอน
เขาดักจั่นชั้นในใส่สุนัขมันหอบฮักดิ้นโดยแล้วโหยหอน
ยิ่งดึกฟังวังเวงวนาดรสังเวชนอนมิใคร่หลับระงับลง
จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศกบริโภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์
จากสถานบ้านแกลงไปกลางดงต้นรังรงร่มชื่นระรื่นเย็น
เห็นรอกแตแย้ตุ่นออกวุ่นวิ่งเอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น
ลูกมะม่วงร่วงกลาดดาษกระเด็นเสียดายเป็นกลางไพรมิได้การ
อยู่ใกล้วังดังนี้นางสาวสาวจะโน้มน้าวกิ่งเก็บเกษมศานต์
นึกดำเนินเดินกลางทางกันดารถึงตะพานยายเหมสร้างที่กลางไพร
เป็นทุ่งแถวแนวน้ำสกัดกั้นจึงพากันลุยเลียบทะเลไหล
แล้วขึ้นข้ามตามตะพานสำราญใจลงเลียบในตีนเขาลำเนาทาง
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัดทะลุลัดตัดทะเลแหลมทองหลาง
ต่างเพลิดเพลินเดินว่าเสภาพลางถูกขุนช้างเข้าหอหัวร่อเฮ
เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้าริมห้างทำถามทางชักชวนให้สรวลเส
พอเจ้าของแตงโมปะโลปะเลสมคะเนกินแตงพอแรงกัน
แล้วภิญโญโมทนาลาลีลาศลงเลียบหาดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ถึงปากช่องคลองน้ำเป็นสำคัญตำแหน่งนั้นชื่อชะวากปากลาวน
ไม่หยุดยั้งตั้งหน้าเข้าป่ากว้างไปตามทางโขดเขินเนินถนน
สดับเสียงลิงค่างครางคำรนเหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตา ฯ
 
ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดากลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย
ศิโรราบกราบเท้าให้เปล่าจิตรำคาญคิดอาลัยมิใคร่หาย
ชะรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพรายจึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยาบิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัยจึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้วดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัวค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย
บรรดาเหล่าชาวบ้านประมาณมากต่างมาฝากรักใคร่เหมือนใจหมาย
พูดถึงที่ตีโบยขโมยควายกล่าวขวัญนายเบียดเบียนแล้วเฆี่ยนตี
ถามราคาพร้าขวานจะวานซื้อล้วนอออือเอ็งกูกะหนูกะหนี
ที่คะขาคำหวานนานนานมีเป็นว่าขี้คร้านฟังแต่ซังตาย
เวลาเช้าก็ชวนกันออกป่ามันโม้หมาไล่เนื้อไปเหลือหลาย
พอเวลาสายัณห์ตะวันชายได้กระต่ายตะกวดกวางมาย่างแกง
ทั้งแย้บึ้งอึ่งอ่างเนื้อค่างคั่วเขาทำครัวครั้นไปปะขยะแขยง
ต้องอดสิ้นกินแต่ข้าวกับเต้าแตงจนเรี่ยวแรงโรยไปมิใคร่มี
อยู่บุรินกินสำราญทั้งหวานเปรี้ยวตั้งแต่เที่ยวยากไร้มาไพรศรี
แต่น้ำตาลมิได้พานในนาภีปัถวีวาโยก็หย่อนลง
ด้วยเดือนเก้าข้าวสาเป็นหน้าฝนจึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์
ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์ไปบ้านพงค้อตั้งริมฝั่งคลอง
ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิตไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง
ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชองไม่เห็นน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น
แล้วไปชมกรมการบ้านดอนเด็จล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้อดูเหลือเข็ญ
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็นเมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา ฯ
 
แล้วไปบางทางเถื่อนบ้านพงอ้อไม่เหลือหลอหลายตำแหน่งแสวงหา
จะเที่ยวดูคนผู้ทำยาตาไม่เห็นหน้านึกระทดสลดใจ
ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยวสันโดษเดี่ยวด้วยว่าจิตผิดวิสัย
มาอยู่ย่านบ้านกร่ำระกำใจชวนกันไปชมทะเลทุกเวลา
เห็นเงื้อมเขาเงาบังขึ้นนั่งเล่นลมเย็นเย็นอยากดูหมู่มัจฉา
แลตลิ่งโล่งลิ่วทิวชลาดูนาวาแล่นละเลาะริมเกาะเกียน
บ้างก้าวเสียดเฉียดทางไปข้างเขาบ้างออกเข้าข้ามฟากดังฉากเขียน
เรือตระเวนเจนแดนเที่ยวแล่นเวียนดาษเดียรดูสล้างกลางชลา
ครั้นยามเย็นเห็นเหมือนหนึ่งเมฆพลุ่งเป็นควันฟุ้งราวกับไฟไกลหนักหนา
แล้วถอยลงโพลงขึ้นไม่ขาดตาถามผู้เฒ่าเขาว่าปลามันพ่นฟอง
เห็นจริงจังนั่งนึกพิลึกล้ำจนพลบค่ำมืดมนขนสยอง
ยิ่งอาลัยใจมาอยู่ที่คู่ครองแม้นแม่น้องได้มาเห็นเหมือนเช่นนี้
จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถามตำแหน่งนามเกาะแก่งแขวงวิถี
ได้เชยชื่นรื่นรสสุมาลีแล้วจะชี้ให้แม่ชมยมนา
ไหนตัวพี่นี้จะชมทะเลหลวงจะชมดวงนัยน์เนตรของเชษฐา
โอ้อาลัยไกลแก้วกานดามากลั้นน้ำตามิใคร่หยุดสุดระกำ
เสียดายนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ยยังชื่นเชยชมชิมไม่อิ่มหนำ
มายากเย็นเห็นแต่ผ้าแพรดำได้ห่มกรำอยู่กับกายไม่วายตรอม
อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับบิตุเรศถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม
ทุกคืนค่ำกำสรดสู้อดออมประณตน้อมพุทธคุณกรุณา
ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวชเย็นเย็นสวดศักราชศาสนา
พยายามตามกิจด้วยบิดาเป็นฐานานุประเทศอธิบดี
จอมกษัตริย์มัสการขนานนามเจ้าอารามอารัญธรรมรังษี
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลีกำหนดยี่สิบวสาสถาวร
ได้พบเห็นเป็นทำนุอุปถัมภ์ก็กรวดน้ำนึกคะนึงถึงสมร
ให้ไพบูลย์พูนสวัสดิ์พิพัฒน์พรอย่ารู้ร้อนโรคภัยสิ่งไรพาน
ถึงชาตินี้มิได้สมอารมณ์คิดด้วยองค์อิศรารักษ์จะหักหาญ
ขอให้น้องครองสัตย์ซึ่งปฏิญาณได้พบพานภายหน้าเหมือนอารมณ์
พอควรคู่รู้รักประจักษ์จิตได้ชื่นชิดชมน้องประคองสม
ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนมให้ลอยลมลงมาแอบแนบอุรา
อย่ารู้จักพลักผลิกทั้งหยิกข่วนแขนแต่ล้วนรอยเล็บเจ็บหนักหนา
ให้แย้มยิ้มพริ้มพร้อมน้อมวิญญาณ์แล้วก็อย่าขี้หึงตะบึงตะบอน
ขอแบ่งบุญคุณศีลถวิลถึงให้ทราบซึ่งโสตทรวงดวงสมร
ถึงอยู่ไกลในป่าพนาดรแต่ใจจรจงสวาทไม่คลาดคลา
ไปเที่ยวเล่นเห็นดอกไม้แล้วใจอยากจะใคร่ฝากดวงเนตรของเชษฐา
ก็จนใจไกลทางต่างสุธาแต่น้ำตานี้แลฟูมละลุมลง
เวลาค่ำช้ำใจเข้าไสยาสน์โอ้อนาถในวนาป่าระหง
ยินแต่เสียงลิงค่างที่กลางดงวิเวกวงวันเวศวังเวงใจ
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียงเหมือนสำเนียงวนิดาน้ำตาไหล
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพรโอ้เจียนใจพี่จะขาดอนาถนึก
ได้แนบหมอนอ่อนอุ่นให้ฉุนชื่นระรวยรื่นรสลำดวนเมื่อจวนดึก
ทั้งหอมแพรดำร่ำยิ่งรำลึกทรวงสะทึกทุกทุกคืนสะอื้นใจ ฯ
 
จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพรำฝนทุกตำบลบ้านกร่ำล้วนน้ำไหล
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจจนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปีศาจประหวาดหวั่นอินทรีย์สั่นเศียรพองสยองขน
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสางที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก
แต่หมอเฒ่าเป่าปัดชะงัดนักทั้งเซ่นวักหลายวันค่อยบรรเทา
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา
ไม่งอนง้อขอสู่ทำดูเบาท่านปู่เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด
ครั้นตาหมอขอโทษก็โปรดให้ที่จริงใจพี่ก็รู้อยู่ว่าปด
แต่ชาวบ้านท่านถือข้างท้าวมดจึงสู้อดนิ่งไว้ในอุรา
ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา
เห็นเจ็บปวดนวดฟั้นช่วยฝนยาตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน
ครั้นหายเจ็บเก็บดอกไม้มาให้บ้างกลับระคางเคืองข้องกันสองหลาน
จะว่ากล่าวน้าวโน้มประโลมลานไม่สมานสโมสรเหมือนก่อนมา
ก็จนจิตคิดเห็นว่าเป็นเคราะห์จึงจำเพาะหึงหวงพวงบุปผา
ต้องคร่ำครวญรวนอยู่ดูเอกาก็เลยลาบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน
ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยคกำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน
เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาลแต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน
ครั้นจะมิหนีมาจะลาเล่าจะสร้อยเศร้าโศกาเพียงอาสัญ
จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย
อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้าจึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อายจงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์
โอ้จากหลานบ้านกร่ำระกำจิตก็เพราะคิดถึงแม่หญิงมิ่งสมร
สู้ฟูมฝนทนฟ้าอุตส่าห์จรเป็นทุกข์ร้อนแรมทางมากลางไพร
ถึงกรุงศรีอยุธยาขึ้นห้าค่ำจึงเขียนคำจริงแจ้งแถลงไข
ให้ดวงเนตรเชษฐาด้วยอาลัยจงเห็นใจเถิดที่จิตคิดคำนึง
ถึงเจ็บไข้ไม่ตายไม่คลายรักมีแต่ลักลอบนึกรำลึกถึง
ช่วยยิ้มแย้มแช่มชื่นอย่ามึนตึงให้เหือดหึงลงเสียบ้างจงฟังคำ
พี่อุ้มทุกข์บุกป่ามหารณพมาหมายพบพูดความกับงามขำ
อย่าบิดเบือนเชือนช้าทาระกำแต่อยู่กร่ำตรอมกายมาหลายเดือน
ได้ดูงามตามทางที่นางอื่นก็หลายหมื่นเหยียบแสนไม่แม้นเหมือน
ไม่มีสู้คู่ควรกระบวนเบือนเหมือนแม่เพื่อนชีพชายจนปลายแดน
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้องมากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทนอย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา
ด้วยเกิดความลามถึงเพราะหึงหวงคนทั้งปวงเขาคิดริษยา
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดาไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย
แม่อยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสวัสดิ์หรือเคืองขัดขุกเข็ญเป็นไฉน
หรือแสนสุขทุกเวลาประสาใจสิ้นอาลัยลืมหมายว่าวายวาง
หรือพร้อมพรักพักตร์เพื่อนที่เยือนยิ้มให้เปรมปริ่มประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง
จะปราบปรามห้ามหวงพวงมะปรางให้จืดจางจำจากกระดากใจ
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝากเหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัยให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอย ฯ


เนื้อเพลง