วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

นิราศวัดเจ้าฟ้า นิราศเรื่องที่ ๕ ของสุนทรภู่

 นิราศวัดเจ้าฟ้า เป็นนิราศเชิงผจญภัยที่สนุกสนานมากอีกเรื่องหนึ่ง หากเปรียบเทียบกับนิราศสุพรรณที่มีการผจญภัย เสาะหาแร่ปรอท และยาอายุวัฒนะเหมือนกันแล้ว ในความเห็นของข้าพเจ้า เรื่องนี้ท่านสุนทรภู่แต่งได้ออกรสชาติกว่ามาก ลางทีจะเป็นเพราะแต่งเป็นกลอน ซึ่งเป็นงานถนัดของท่านก็เป็นได้ สันนิษฐานกันว่า ท่านแต่งเรื่องนี้ขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๓๗๕ ถึงแม้จะขึ้นต้นแสดงตน เป็นเณรหนูพัด แต่ด้วยสำนวนกลอน ผู้รู้ทุกท่านกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า สำนวนกลอนของท่านสุนทรภู่แท้ๆ และเนื่องจากการแสดงตนเป็นหนูพัด ท่านจึงสามารถแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกต่างๆ ได้มากกว่า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้นิราศเรื่องนี้สนุกยิ่งขึ้นก็ได้


วัดเจ้าฟ้าอากาศฯ ในนิราศเรื่องนี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า คือวัดใดในปัจจุบัน เส้นการเดินทางของท่านสุนทรภู่ เมื่อไปถึงอยุธยาแล้ว ได้แวะนมัสการหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง แล้วเลยไปวัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อค้นหาพระปรอท ก่อนจะออกเดินเท้าไปยังวัดเจ้าฟ้าอากาศฯ ทั้งการค้นหาพระปรอท และวิธีการขุดเอายาอายุวัฒนะ แสดงให้เห็นว่า พระสุนทรภู่ต้องเรียนทางด้านอาคมไสยเวทย์มาไม่น้อย

 เณรหนูพัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร
 เป็นเรื่องความตามติดท่านบิดรกำจัดจรจากนิเวศเชตุพน
 พอออกเรือเมื่อตะวันสายัณห์ย่ำละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน
 ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าเมื่อคราวจนไม่มีคนเกื้อหนุนกรุณา
 โอ้ธานีศรีอยุธย์มนุษย์แน่นนับโกฏิแสนสาวแก่แซ่ภาษา
 จะหารักสักคนพอปนยาไม่เห็นหน้านึกสะอื้นฝืนฤทัย
 เสียแรงมีพี่ป้าหม่อมน้าสาวล้วนขาวขาวคำหวานน้ำตาลใส
 มายามยืดจืดเปรี้ยวไปเจียวใจเหลืออาลัยลมปากจะจากจรฯ
 
ถึงวัดระฆังบังคมบรมธาตุแทบพระบาทบุษบงองค์อัปสร
 ไม่ทันลับกัปกัลป์พุทธันดรพระด่วนจรสู่สวรรคครรไล
 ละสมบัติขัตติยาทั้งข้าบาทโอ้อนาถนึกน่าน้ำตาไหล
 เป็นสูญลับนับปีแต่นี้ไปเหลืออาลัยแล้วที่พระมีคุณ
 ถึงจนยากบากมาเป็นข้าบาทไม่ขัดขาดข้าวเกลือช่วยเกื้อหนุน
 ทรงศรัทธากล้าหาญในการบุญโอ้พระคุณขาดยศทั้งงดงาม
 แม้นตกยากพรากพลัดไปขัดข้องพัดกับน้องหนูตาบจะหาบหาม
 นี่จนใจในป่าช้าพนารามสุดจะตามเสด็จได้ดังใจจง
 ขออยู่บวชกรวดน้ำสุรามฤตอวยอุทิศผลผลาอานิสงส์
 สนองคุณพูนสวัสดิ์ขัตติย์วงศ์เป็นรถทรงสู่สถานวิมานแมน
 มีสุรางค์นางขับสำหรับกล่อมล้วนเนื้อหอมน้อมเกล้าอยู่เฝ้าแหน
 เสวยรมย์โสมนัสไม่ขัดแคลนเป็นของแทนทานาฝ่าละออง
 พระคุณเอ๋ยเคยทำนุอุปถัมภ์ได้อิ่มหนำค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง
 แม้นทูลลามากระนี้ทั้งพี่น้องไหนจะต้องตกยากลำบากกาย
 นี่สิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมอกต้องระหกระเหินไปน่าใจหาย
 เห็นที่ปลงทรงสูญยังมูลทรายแสนเสียดายดังจะดิ้นสิ้นชีวัน
 ทั้งหนูตาบกราบไหว้ร้องไห้ว่าจะคมลาลับไปในไพรสัณฑ์
 เคยเวียนเฝ้าเกล้าจุกให้ทุกวันสารพันพึ่งพาไม่อนาทรฯ
 
ถึงปากง่ามนามบอกบางกอกน้อยยิ่งเศร้าสร้อยทรวงน้องดังต้องศร
 เหมือนน้อยทรัพย์ลับหน้านิราจรไปแรมรอนราวไพรใจรัญจวน
 เคยชมเมืองเรืองระยับจะลับแล้วไปชมแถวทุ่งนาล้วนป่าสวน
 เคยดูดีพี่ป้าหน้านวลนวลจะว่างเว้นเห็นล้วนแต่มอมแมม
 เคยชมชื่นรื่นรสแป้งสดสะอาดจะชมหาดเห็นแต่จอกกับดอกแขม
 โอ้ใจจืดมืดเหมือนเมื่อเดือนแรมไม่เยื้อนแย้มกลีบกลิ่นให้ดิ้นโดย
 เสียดายดวงพวงผกามณฑาทิพย์เห็นลิบลิบแลชวนให้หวนโหย
 เพราะห่วงพุ่มภุมรินไม่บินโบยจะร่วงโรยรสสิ้นกลิ่นผกาฯ
 
ถึงบางพรมพรหมมีอยู่สี่พักตร์คนรู้จักแจ้งจิตทุกทิศา
 ทุกวันนี้มีมนุษย์อยุธยาเป็นร้อยหน้าพันหน้ายิ่งกว่าพรหม
 โอ้คิดไปใจหายเสียดายรักเหมือนเกรียกจักแจกซีกกระผีกผม
 จึงเจ็บอกฟกช้ำระกำตรมเพราะลิ้นลมล่อลวงจะช่วงใช้ฯ
 
ถึงบางจากน้องไม่มีที่จะจากโอ้วิบากกรรมสร้างแต่ปางไหน
 เผอิญหญิงชิงชังน่าคลั่งใจจะรักใคร่เขาไม่มีปรานีเลย
 ถึงบางพลูพลูใบใส่กระบะถวายพระเพราะกำพร้านิจจาเอ๋ย
 แม้นมีใครใจบุญที่คุ้นเคยจะได้เชยพลูจีบหมากดิบเจียน
 นี่จนใจได้แต่ลมมาชมเล่นเปรียบเหมือนเช่นฉากฉายพอหายเหียน
 แม้นเห็นรักจักได้ตามด้วยความเพียรฉีกทุเรียนหนามหนักดูสักคราวฯ
 
ถึงบางอ้อคิดจะใคร่ได้ไม้อ้อทำแพนซอเสียงแจ้วเที่ยวแอ่วสาว
 แต่ยังไม่เคยเชยโฉมประโลมลาวสุดจะกล่าวกล่อมปลอบให้ชอบใจ
 ถึงบางซ่อนซ่อนเงื่อนไม่เยื้อนแย้มถึงหนามแหลมเหลือจะบ่งที่ตรงไหน
 โอ้บางเขนเวรสร้างไว้ปางใดจึงเข็ญใจจนไม่มีที่จะรัก
 เมื่อชาติหน้ามาเกิดในเลิศโลกประสิทธิโชคชอบฤทัยทั้งไตรจักร
 กระจ้อยร่อยกลอยใจวิไลลักษณ์ให้สาวรักสาวกอดตลอดไปฯ
 
ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้างเป็นชื่ออ้างออกนามตามวิสัย
 แม้นขายแก้วแววฟ้าที่อาลัยจะซื้อใส่บนสำลีประชีรอง
 ประดับเรือนเหมือนหนึ่งเพชรสำเร็จแล้วถนอมแก้วกลอยใจมิให้หมอง
 ไม่เหมือนนึกตรึกตราน้ำตานองเห็นแต่น้องหนูแนบแอบอุราฯ
 
ถึงวัดตั้งฝั่งสมุทรพระพุทธสร้างว่าท่านวางไว้ให้คิดปริศนา
 แม้นแก้ไขไม่ออกเอาที่ตอกตานึกก็น่าใคร่หัวเราะจำเพาะเป็น
 จะคิดมั่งยังคำที่ร่ำบอกจะไปตอกที่ตรงไหนก็ไม่เห็น
 ดูลึกซึ้งถึงจะคิดก็มิดเม้นพอยามเย็นยอแสงแฝงโพยมฯ
 
ถึงวัดเขียนเหมือนหนึ่งเพียรเขียนอักษรกลกลอนกล่าวกล่อมถนอมโฉม
 เดชะชักรักลักลอบปลอบประโลมขอให้โน้มน้อมจิตสนิทใน
 ถึงคลองขวางบางศรีทองมองเขม้นไม่แลเห็นศรีทองที่ผ่องใส
 แม้นทองคำธรรมดาจะพาไปนี่มิใช่ศรีทองเป็นคลองบาง
 พอลมโบกโศกสวนมาหวนหอมเหมือนโศกตรอมตรึกตรองมาหมองหมาง
 ถึงบางแพรกแยกคลองเป็นสองทางเหมือนจืดจางใจแยกไปแตกกัน
 ตลาดขวัญขวัญฉันนี้ขวัญหายใครเขาขายขวัญหรือจะซื้อขวัญ
 แม้นขวัญฟ้าหน้าอ่อนเหมือนท่อนจันทน์จะรับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาง
 ถึงบางขวางขวางอื่นสักหมื่นแสนถึงต่างแดนดงดอนสิงขรขวาง
 จะตามไปให้ถึงห้องประคองคางแต่ขัดขวางขวัญความขามระคาย
 เห็นสวาทขาดทิ้งกิ่งสนัดเป็นรอยตัดต้นสวาทให้ขาดสาย
 สวาทพี่นี้ก็ขาดสวาทวายแสนเสียดายสายสวาทที่ขาดลอย
 เห็นรักน้ำพร่ำออกทั้งดอกผลไม่มีคนรักรักมาหักสอย
 เป็นรักเปล่าเศร้าหมองเหมือนน้องน้อยเที่ยวล่องลอยเรือรักจนหนักเรือฯ
 
ถึงบ้านบางธรณีแล้วพี่จ๋าแผ่นสุธาก็ไม่ไร้ไม้มะเขือ
 เขากินหมูหนูพัดจะกัดเกลือไม่ถ่อเรือแหหาปลาตำแบ
 ถึงปากเกร็ดเตร็ดเตร่มาเร่ร่อนเที่ยวสัญจรตามระลอกเหมือนจอกแหน
 มาถึงเกร็ดเขตมอญสลอนแลลูกอ่อนแอ้อุ้มจูงพะรุงพะรัง
 ดูเรือนไหนไม่เว้นเห็นลูกอ่อนไม่หยุดหย่อนอยู่ไฟจนไหม้หลัง
 ไม่ยิ่งยอดปลอดเปล่าเหมือนชาววังล้วนเปล่งปลั่งปลื้มใจมาไกลตาฯ
 
พอออกคลองล่องลำแม่น้ำวกเห็นนกหกเหินร่อนว่อนเวหา
 กระทุงทองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลาดาษดาดอกบัวขาวคลัวเคลีย
 นกกาน้ำดำปลากระสาสูงเป็นฝูงฝูงเข้าใกล้มันไปเสีย
 นกยางขาวเหล่านกยางมีหางเปียล้วนตัวเมียหมดสิ้นทั้งดินแดน
 ถึงเดือนไข่ไปลับแลเมืองแม่ม่ายขึ้นไข่ชายเขาโขดนับโกฏิแสน
 พอบินได้ไปประเทศทุกเขตแคว้นคนทั้งแผ่นดินมิได้ไข่นกยาง
 โอ้นึกหวังสังเวชประเภทสัตว์ต้องขาดขัดคู่ครองจึงหมองหมาง
 เหมือนอกชายหมายมิตรคิดระคางมาอ้างว้างอาทะวาเอกากายฯ
 
ถึงบ้านลาวเห็นแต่ลาวพวกชาวบ้านล้วนหูยานอย่างบ่วงเหมือนห่วงหวาย
 ไม่เหมือนลาวชาวกรุงที่นุ่งลายล้วนกรีดกรายหยิบหย่งทรงสำอาง
 ถึงบางพูดพูดมากคนปาก มดมีแต่ปดเป็นอันมากเขาถากถาง
 พี่พูดน้อยค่อยประคิ่นลิ้นลูกคางเหมือนหญิงช่างฉอเลาะปะเหลาะชายฯ
 
ถึงบางกระไนได้เห็นหน้าบรรดาพี่พวกนารีเรืออ้อยเที่ยวลอยขาย
 ดูจริตติดจะงอนเป็นมอญกลายล้วนแต่งกายกันไรเหมือนไทยทำ
 แต่ไม่มีกิริยาด้วยผ้าห่มกระพือลมแล้วไม่ป้องปิดของขำ
 ฉันเตือนว่าผ้าแพรลงแช่น้ำอ้อยสองลำนั้นจะเอาสักเท่าไร
 เขารู้ตัวหัวร่อว่าพ่อน้อยมากินอ้อยแอบแฝงแถลงไข
 รู้กระนี้มิอยากบอกมิออกไยน่าเจ็บใจจะต้องจำเป็นตำราฯ
 
ถึงไผ่รอบขอบเขื่อนดูเหมือนเขียนชื่อวัดเทียนถวายอยู่ฝ่ายขวา
 ข้างซ้ายมือชื่อบ้านใหม่ทำไร่นานางแม่ค้าขายเต่าสาวทึมทึก
 ปิดกระหมับจับกระเหม่าเข้ามินหม้อดูมอซอสีสันเป็นมันหมึก
 ไม่เหมือนเหล่าชาวสวนหวนรำลึกเมื่อไม่นึกแล้วก็ใจมิใคร่ฟังฯ
 
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบเสียงกบเขียดร้องกรีดเกรียดเกรียวแซ่ดังแตรสังข์
 เหมือนเสียงฆ้องกลองโหมประโคมวังไม่เห็นฝั่งฟั่นเฟือนด้วยเดือนแรม
 ลำภูรายชายตลิ่งล้วนหิ่งห้อยสว่างพรอยแพร่งพรายขึ้นปลายแขม
 อร่ามเรืองเหลืองงามวามวามแวมกระจ่างแจ่มจับน้ำเห็นลำเรือฯ
 
ถึงย่านขวางบางทะแยงเป็นแขวงทุ่งดูเวิ้งวุ้งหว่างละแวกล้วนแฝกเฝือ
 เห็นไรไรไม้พุ่มครุมครุมเครือเหมือนรูปเสือสิงโตรูปโคควาย
 ท่านบิดรสอนหนูให้รู้ว่ามันผินหน้าออกนั้นกันฉิบหาย
 แม้นปากมันผันเข้าข้างเจ้านายจะล้มตายพรายพลัดเร่งตัดรอน
 จารึกไว้ให้เป็นทานทุกบ้านช่องฉันกับน้องนี้ได้จำเอาคำสอน
 ดึกกำดัดสัตว์หลับประทับนอนที่วัดมอญเชิงรากริมปากคลอง
 ต้นไทรครึ้มงึ้มเงียบเซียบสงัดพระพายพัดแผ้วผ่าวหนาวสยอง
 เป็นป่าช้าอาวาสปีศาจคะนองฉันพี่น้องมิได้คลาดบาทบิดา
 ท่านนอนหลับตรับเสียงสำเนียงเงียบเย็นยะเยียบเยือกสยองพองเกศา
 เสียงผีผิวหวิวโหวยโหยวิญญาณ์ภาวนาหนาวนิ่งไม่ติงกาย
 บรรดาศิษย์บิดรที่นอนนอกผีมันหลอกลากปล้ำพลิกคว่ำหงาย
 ลุกขึ้นบอกกลอกกลัวทุกตัวนายมันสาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว
 ขึ้นสั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบเป็นเงาวาบหัวหกเห็นอกขาว
 หนูกลั่นกล้าคว้าได้รากไทรยาวหมายว่าสาวผมผีร้องนี่แน
 พอพระตื่นฟื้นกายค่อยคลายจิตบรรดาศิษย์ล้อมข้างไม่ห่างแห
 ท่านห่มดองครองเคร่งไม่เล็งแลขึ้นบกแต่องค์เดียวดูเปลี่ยวใจ
 สำรวมเรียบเลียบรอบขอบป่าช้าภาวนาตามสงฆ์ไม่หลงใหล
 เห็นศพฝังบังสุกุลส่งบุญไปเห็นแสงไฟรางรางสว่างเวียน
 ระงับเงียบเซียบเสียงสำเนียงสงัดปฏิพัทธ์พุทธคุณค่อยอุ่นเศียร
 บรรดาศิษย์คิดกล้าต่างหาเทียนจำเริญเรียนรุกขมูลพูนศรัทธา
 อสุภธรรมกรรมฐานประหารเหตุหวนสังเวชว่าชีวังจะสังขาร์
 อันอินทรีย์วิบัติอนัตตาที่ป่าช้านี่แลเหมือนกับเรือนตาย
 กลับหายกลัวมัวเมาไม่เข้าบ้านพระนิพพานเพิ่มพูนเพียงสูญหาย
 อันรูปเหมือนเรือนโรคให้โศกสบายแล้วต่างตายตามกันไปมั่นคง
 ค่อยคิดเห็นเย็นเยียบไม่เกรียบกริบประสานสิบนิ้วนั่งดังประสงค์
 พยายามตามจริตท่านบิตุรงค์สำรวมทรงศีลธรรมที่จำเจน
 ประจงจดบทบาทค่อยยาตรย่างประพฤติอย่างโยคามหาเถร
 ประทับทุกรุกรอบขอบพระเมรุจนพระเณรในอารามตื่นจามไอ
 ออกจงกรมสมณาสมาโทษร่มนิโรธน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส
 แผ่กุศลจนจบทั้งภพไตรจากพระไทรแสงทองผ่องโพยมฯ
 
เลยบางหลวงล่วงทางมากลางแจ้งถึงบ้านกระแชงหุงจันหันฉันผักโหม
 ยังถือมั่นขันตีนี้ประโลมถึงรูปโฉมพาหลงไม่งงงวย
 พอเสียงฆ้องกองแซ่เขาแห่นาคผู้หญิงมากมอญเก่าสาวสาวสวย
 ร้องลำนำรำฟ้อนอ่อนระทวยพากันช่วยเขาแห่ได้แลดู
 ถือขันตีทีนั้นก็ขันแตกทั้งศีลแทรกสูดออกกระบอกหู
 ฉันนี้เคราะห์เพราะนางห่มสีชมพูพาความรู้แพ้รักประจักษ์จริง
 แค้นด้วยใจนัยนานิจจาเอ๋ยกระไรเลยแล่นไปอยู่กับผู้หญิง
 ท่านบิดาว่ามันติดกว่าปลิดปลิงถูกจริงจริงจึงจดเป็นบทกลอนฯ
 
ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่มให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน
 แต่ต้องตาพาใจอาลัยวรณ์สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน
 ทั้งหนูกลั่นนั้นคะนองจะลองทิ้งบอกให้หญิงรำรับขยับหัน
 ถ้าทิ้งถูกลูกละบาทประกาศกันเขารับทันเราก็ให้ใบละเฟื้อง
 นางน้อยน้อยพลอยสนุกลุกขึ้นพร้อมงามละม่อมมีแต่สาวล้วนขาวเหลือง
 ใส่จริตกรีดกรายชายชำเลืองขยับเยื้องยิ้มแย้มแฉล้มลอย
 ต่างหมายมุ่งตุ้งติ้งทิ้งหมากดิบเขาฉวยฉิบเฉยหน้าไม่ราถอย
 ไม่มีถูกลูกดิ่งทั้งทิ้งทอยพวกเพื่อนพลอยทิ้งบ้างห่างเป็นวา
 ฉันลอบลองสองลูกถูกจำหนับถูกปุ่มปับปากกรีดหวีดผวา
 ร้องอยู่แล้วแก้วพี่มานี่นาพวกมอญฮาโห่แห่ออกแซ่ไปฯ
 
พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคกเป็นคำโลกสมมติสุดสงสัย
 ถามบิดาว่าผู้เฒ่าท่านกล่าวไว้ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์
 หวังจะไว้ให้ประชาเป็นค่าจ้างด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ
 พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับทองก็กลับกลายสิ้นเป็นดินแดง
 จึงที่นี่มีนามชื่อสามโคกเป็นคำโลกสมมติสุดแถลง
 ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลงที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์
 ชื่อปทุมธานีที่เสด็จเดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก
 มารับส่งตรงนี้ที่สำนักพระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา
 ได้รู้เรื่องเมืองปทุมค่อยชุ่มชื่นดูภูมิพื้นวัดบ้านขนานหน้า
 เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมาล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง
 ฝ่ายสาวสาวเกล้ามวยสวยสะอาดแต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง
 ทั้งห่มผ้าตาหรี่เหมือนสีรุ้งทั้งผ้านุ่งนั้นก็อ้อมลงกรอมตีน
 เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบเหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล
 นี่หากเห็นเป็นเด็กแม้นเจ๊กจีนเจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง
 ชาวบ้านนั้นปั้นอีเลิ้งใส่เพิงพะกระโถนกระทะอ่างโอ่งกระโถงกระถาง
 เขาวานน้องร้องถามไปตามทางว่าบางขวางหรือไม่ขวางพี่นางมอญ
 เขาเบือนหน้าว่าไม่รู้ดูเถิดเจ้าจงถามเขาคนข้างหลังที่นั่งสอน
 ไม่ตอบปากบากหน้านาวาจรคารมมอญมิใช่เบาเหมือนชาวเมืองฯ
 
ถึงบ้านงิ้วงิ้วต้นแต่พ้นหนามไม่งอกงามเหมือนแม่งิ้วที่ผิวเหลือง
 เมื่อแลพบหลบพักตร์ลักชำเลืองดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม
 มาลับนวลหวนให้เห็นไม้งิ้วเสียดายผิวพักตร์ผ่องจะหมองโฉม
 เพราะเสียรักหนักหน่วงน่าทรวงโทรมใครจะโลมเลียมรสช่วยชดเจือฯ
 
ถึงโพแตงคิดถึงแตงที่แจ้งจักดูน่ารักรสชาติประหลาดเหลือ
 แม้นลอยฟ้ามาเดี๋ยวนี้ที่ในเรือจะฉีกเนื้อนั่งกลืนให้ชื่นใจฯ
 
ถึงเกาะหาดราชครามรำรามรกเห็นนกหกหากินบินไสว
 เขาถากถางกว้างยาวทั้งลาวไทยทำนาไร่ร้านผักรั้วฟักแฟง
 สุดละเมาะเกาะกว้างสว่างโว่งแลตะโล่งลิบเนตรทุกเขตแขวง
 เห็นควันไฟไหม้ป่าจับฟ้าแดงฝูงนกแร้งร่อนตัวเท่าถั่วดำ
 โอ้เช่นนี้มีคู่มาดูด้วยจะชื่นช่วยชมชิมได้อิ่มหนำ
 มายามเย็นเห็นแต่ของที่น้องทำเหลือจะรำลึกโฉมประโลมลานฯ
 
ถึงด่านทางบางไทรไขว่เฉลวเห็นไพร่เลวหลายคนอยู่บนด่าน
 ตุ้งก่าตั้งนั่งชักควักน้ำตาลคอยว่าขานขู่คนลงค้นเรือ
 ไม่เห็นของต้องห้ามก็ลามขอมะละกอกุ้งแห้งแตงมะเขือ
 ขอส้มสูกจุกจิกทั้งพริกเกลือจนชาวเรือเหลือระอาด่าในใจ
 แต่ลำเราเขาไม่ค้นมาพ้นด่านดูภูมิฐานทิวชลาพฤกษาไสว
 ถึงอารามนามอ้างวัดบางไทรต้นไทรใหญ่อยู่ที่นั่นน้องวันทา
 เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตพุ่มเพราะเคยอุ้มอุณรุทสมอุษา
 ใคร่น่าจูบรูปร่างเหมือนนางฟ้าช่วยอุ้มพามาให้เถิดจะเชิดชม
 ถนอมแนบแอบอุ้มนุ่มนุ่มนิ่มได้แย้มยิ้มจวนจิตสนิทสนม
 นอนเอนหลังนั่งเล่นเย็นเย็นลมชมพนมแนวไม้รำไรราย
 ดูเหย้าเรือนเหมือนเขียนเตียนตลิบเห็นลิบลิบแลไปจิตใจหาย
 เขาปลูกผักฟักถั่วจูงวัวควายชมสบายบอกแจ้งตำแหน่งนามฯ
 
ถึงเกาะเกิดเกิดสวัสดิ์พิพัฒน์ผลอย่าเกิดคนติเตียนเป็นเสี้ยนหนาม
 ให้เกิดลาภราบเรียบเงียบเงียบงามเหมือนหนึ่งนามเกาะเกิดประเสริฐทรง
 ถึงเกาะพระไม่เห็นพระปะแต่เกาะแต่ชื่อเพราะชื่อพระสละหลง
 พระของน้องนี้ก็นั่งมาทั้งองค์ทั้งพระสงฆ์เกาะพระมาประชุม
 ขอคุณพระอนุเคราะห์ทั้งเกาะพระให้เปิดปะตรุทองสักสองขุม
 คงจะมีพี่ป้ามาชุมนุมฉะอ้อนอุ้มแอบอุราเป็นอาจิณฯ
 
ถึงเกาะเรียงเคียงคลองเป็นสองแยกป่าละแวกวังราชประพาสสินธุ์
 ได้นางห้ามงามพร้อมชื่อหม่อมอินจึงตั้งถิ่นที่เพราะเสนาะนาม
 หวังถวิลอินน้องละอองเอี่ยมแสนเสงี่ยมงามพร้อมเหมือนหม่อมห้าม
 จะหายศอตส่าห์พยายามคงจะงามพักตร์พร้อมเหมือนหม่อมอิน
 อาลัยน้องตรองตรึกรำลึกถึงหวังจะพึ่งผูกจิตคิดถวิล
 เวลาเย็นเห็นนกวิหคบินไปที่ถิ่นทำรังปะนังนอน
 บ้างแนบคู่ชูคอเข้าซ้อแซ้เสียงจอแจโจนจับสลับสลอน
 บ้างคลอเข้าเคล้าเคียงประเอียงอรเอาปากป้อนปีกปกอกประคอง
 ที่ไร้คู่อยู่เปลี่ยวเที่ยวเดี่ยวโดดไม่เต้นโลดแลเหงาเหมือนเศร้าหมอง
 ลูกน้อยน้อยคอยแม่ชะแง้มองเหมือนอกน้องตาบน้อยกลอยฤทัย
 มาตามติดบิดากำพร้าแม่สุดจะแลเหลียวหาที่อาศัย
 เห็นลูกนกอกน้องนี้หมองใจที่ฝากไข้ฝากผีไม่มีเลย
 ถึงเกาะเรียนเรียนรักก็หนักอกแสนวิตกเต็มตรองเจียวน้องเอ๋ย
 เมื่อเรียนกันจนจบถึงกบเกยไม่ยากเลยเรียนได้ดังใจจง
 แต่เรียนรักรักนักก็มักหน่ายรักละม้ายมิได้ชมสมประสงค์
 ยิ่งรักมากพากเพียรยิ่งเวียนวงมีแต่หลงลมลวงน่าทรวงโทรมฯ
 
มาถึงวัดพนังเชิงเทิงถนัดว่าเป็นวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม
 ผนังก่อย่อมุมเป็นซุ้มโคมลอยโพยมเยี่ยมฟ้านภาลัย
 มีศาลาท่าน้ำดูฉ่ำชื่นร่มระรื่นรุกขาน่าอาศัย
 บิดาพร่ำร่ำเล่าให้เข้าใจว่าพระใหญ่อย่างเยี่ยงที่เสี่ยงทาย
 ถ้าบ้านเมืองเคืองเข็ญจะเป็นเหตุก็อาเพศพังหลุดทรุดสลาย
 แม้พาราผาสุกสนุกสบายพระพักตร์พรายเพราพริ้มดูอิ่มองค์
 แต่เจ็กย่านบ้านนั้นก็นับถือร้องเรียกชื่อว่าพระเจ้าปูนเถาก๋ง
 ด้วยบนบานการได้ดังใจจงฉลององค์พุทธคุณกรุณัง
 แล้วก็ว่าถ้าใครน้ำใจบาปจะเข้ากราบเกรงจะทับต้องกลับหลัง
 ตรงหน้าท่าสาชลเป็นวนวังดูพลั่งพลั่งพลุ่งเชี่ยวน่าเสียวใจ
 เข้าจอดเรือเหนือหน้าศาลาวัดโสมนัสน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส
 ขึ้นเดินเดียวเที่ยวหาสุมาลัยจำเพาะได้ดอกโศกที่โคกนา
 กับดอกรักหักเด็ดได้เจ็ดดอกพอใส่จอกจัดแจงแบ่งบุปผา
 ให้กลั่นมั่งทั้งบุนนาคเพื่อนยากมาท่านบิดาดีใจกระไรเลย
 ว่าโศกรักมักร้ายต้องพรายพลัดถวายวัดเสียถูกแล้วลูกเอ๋ย
 แล้วห่มดองครองงามเหมือนตามเคยลีลาเลยเลียบตะพานขึ้นลานทราย
 โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่นหอมแก้วรื่นเรณูไม่รู้หาย
 หอมจำปาหน้าโบสถ์สาโรชรายดอกกระจายแจ่มกลีบดังจีบเจียน
 ดูกุฎีวิหารสะอ้านสะอาดรุกขชาติพุ่มไสวเหมือนไม้เขียน
 ดูภูมิพื้นรื่นราบด้วยปราบเตียนแล้วเดินเวียนทักษิณพระชินวร
 ได้สามรอบชอบธรรมท่านนำน้องเข้าในห้องเห็นพระเจ้าเท่าสิงขร
 ต่างจุดธูปเทียนถวายขจายจรท่านบิดรได้ประกาศว่าชาตินี้
 ทั้งรูปชั่วตัวดำทั้งต่ำศักดิ์ถวายรักไว้กับศีลพระชินสีห์
 ต่อเมื่อไรใครรักมาภักดีจะอารีรักตอบด้วยขอบคุณ
 แต่หนูกลั่นนั้นว่าจะหาสาวที่เล็บยาวโง้งโง้งเหมือนโก่งกระสุน
 ทั้งเนื้อหอมกล่อมเกลี้ยงเพียงพิกุลกอดให้อุ่นอ่อนก็ว่าไม่น่าฟัง
 ฉันกับน้องมองแลดูแต่พระสาธุสะสูงกว่าฝาผนัง
 แต่พระเพลาเท่าป้อมที่ล้อมวังสำรวมนั่งปลั่งเปล่งเพ่งพินิจ
 ตัวของหนูดูจิ๋วเท่านิ้วพระหัตถ์โตถนัดหนักนักจึงศักดิ์สิทธิ์
 ศิโรราบกราบก้มบังคมคิดรำพึงพิษฐานในใจจินดา
 ขอเดชะพระกุศลที่ปรนนิบัติที่หนูพัดพิศวาสพระศาสนา
 มาเคารพพบพุทธปฏิมาเป็นมหาอัศจรรย์ในสันดาน
 ขอผลาอานิสงส์จงสำเร็จสรรเพชญ์พ้นหลงในสงสาร
 แม้นยังไม่ถึงที่พระนิฤพานขอสำราญราคีอย่าบีฑา
 จะพากเพียรเรียนวิสัยแต่ไตรเพทให้วิเศษแสนเอกทั้งเลขผา
 แม้นรักใครให้คนนั้นกรุณาชนมายืนเท่าเขาพระเมรุ
 ขอรู้ทำคำแปลแก้วิมุติเหมือนพระพุทธโฆษามหาเถร
 มีกำลังดังมาฆะสามเณรรู้จัดเจนแจ้งจบทั้งภพไตร
 อนึ่งเล่าเจ้านายที่หมายพึ่งให้ทราบซึ่งสุจริตพิสมัย
 อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาลัยน้ำพระทัยทูลเกล้าให้ยาวยืน
 แล้วลาพระปฏิมาลีลาล่องเข้าในคลองสวนพลูค่อยชูชื่น
 ชมแต่ไม้ไผ่พุ่มดูชุ่มชื้นหอมระรื่นลำดวนรัญจวนใจ
 โอ้ยามนี้มิได้พบน้ำอบสดมาเชยรสบุปผาน้ำตาไหล
 ยิ่งเสียวทรวงง่วงเหงาเศร้าฤทัยมาเหงื่อไคลคล่ำตัวต้องมัวมอม
 นิจจาเอ๋ยเคยบำรุงผ้านุ่งห่มเคยอบรมร่ำกลิ่นไม่สิ้นหอม
 เหมือนหายยศหมดรักมาปลักปลอมจนซูบผอมผิวคล้ำระกำใจ
 จึงมาหายาอายุวัฒนะตามได้ปะลายแทงแถลงไข
 เข้าลำคลองล่องเรือมาเหลือไกลถึงวัดใหญ่ชายทุ่งดูวุ้งเวิ้งฯ
 
พระเจดีย์ที่ยังอยู่ดูตระหง่านเป็นประธานทิวทุ่งดูสูงเทิ่ง
 ต้นโพธิ์ไทรไผ่พุ่มเป็นซุ้มเซิงขึ้นรอบเชิงชั้นล่างข้างเจดีย์
 เสียดายนักหักทรุดชำรุดร้างใครจะสร้างสูงเกินจำเริญศรี
 ท่านบิดาว่าถึงให้ใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีผู้ใดว่าใหญ่โต
 ผู้หญิงย่านบ้านเราชาวบางกอกเขาอมกลอกกลืนพระเสียอะโข
 แต่พระเจ้าเสาชิงช้าที่ท่าโพธิ์ก็เต็มโตชาววังเขายังกลืน
 ฉันกลัวบาปกราบพระอย่าปะพบไม่ขอคบคนโขมดที่โหดหืน
 พอฟ้าคลุ้มพุ่มพฤกษ์ดูครึกครื้นเงาทะมึนมืดพยับอับโพยม
 พายุฝนอนธการสะท้านทุ่งเป็นฝุ่นฟุ้งฟ้าฮือกระพือโหม
 น้ำค้างชะประเปรยเชยชโลมท่านจุดโคมขึ้นอารามต้องตามไป
 เที่ยวหลีกรกวกวนอยู่จนดึกเห็นพุ่มพฤกษ์โพธิ์ทองที่ผ่องใส
 ตักน้ำผึ้งครึ่งจอกกับดอกไม้จุดเทียนใหญ่อย่างตำราบูชาเชิญ
 หวังจะปะพระปรอทที่ยอดยิ่งคะนึงนิ่งนึกรำพันสรรเสริญ
 สำรวมเรียนเทียนอร่ามงามจำเริญจนดึกเกินไก่ขันหวั่นวิญญาณ์
 ทั้งเทียนดับศัพท์เสียงสำเนียงเงียบเย็นยะเยียบน้ำค่างพร่างพฤกษา
 เห็นแวววับลับลงตรงนัยนาปรอทมาสูบซึ่งน้ำผึ้งรวง
 ครั้นคลำได้ในกลางคืนก็ลื่นหลุดต้องจัดจุดธูปเทียนเวียนบวงสรวง
 ประกายพรึกดึกเด่นขึ้นเห็นดวงดังโคมช่วงโชติกว่าบรรดาดาว
 จักจั่นแจ้วแว่วหวีดจังหรีดหริ่งปี่แก้วตริ่งตรับเสียงสำเนียงหนาว
 ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพราวพระพายผ่าวพัดไหวทุกใบโพธิ์ฯ
 -๏ พอรุ่งแรกแปลกกลิ่นระรินรื่น
 โอ้หอมชื่นช่อมะกอกดอกโสนเหมือนอบน้ำร่ำผ้าประสาโซ
 สะอื้นโอ้อารมณ์ระทมทวีหวังจะปะพระปรอทที่ปลอดโปร่ง
 ทั้งสามองค์เอามาไว้ก็ไพล่หนีเชิญพระธาตุราธนาทุกราตรี
 อาบวารีทิพรสหมดมลทินที่ธุระปรอทเป็นปลอดเปล่า
 ยังดูเลาลายแทงแสวงถวิลท่านนอนอ่านลานใหญ่ฉันได้ยิน
 ว่ายากินรูปงามอร่ามเรืองแม้นฟันหักจักงอกผมหงอกหาย
 แก่กลับกลายหนุ่มเนื้อนั้นเรื่อเหลืองตะวันออกบอกแจ้งเป็นแขวงเมือง
 ท่านจัดเครื่องครบครันทั้งจันทน์จวงกับหนูกลั่นจันมากบุนนาคหนุ่ม
 สักสิบทุ่มเดินมุ่งออกทุ่งหลวงมาตาลายปลายคลองถึงหนองพลวง
 แต่ล้วนสวงสาหร่ายเห็นควายนอนนึกว่าผีตีฆ้องป่องป่องโห่
 มันผุดโผล่พลุ่งโครมถีบโถมถอนเถาสาหร่ายควายกลุ้มตะลุมบอน
 ว่าผีหลอนหลบพัลวันเวียนพอเสียงร้องมองดูจึงรู้แจ้ง
 เดินแสวงหาวัดฉวัดเฉวียนพอเช้าตรู่ดูทางมากลางเตียน
 ถึงป่าเกรียนเกรียวแซ่จอแจจริงฯ๏ กระจาบจับนับหมื่นดูดื่นดาษ
 เหมือนตลาดเหลือหูเพราะผู้หญิงเหมือนโกรธขึ้งหึงหวงด้วยช่วงชิง
 ชุมจริงจริงจิกโจดกระโดดโจนจนต้นไม้ใบงอกออกไม่รอด
 ดูกรองกรอดเกรียมกร่องกรองกรอยโกร๋นลมกระทั่งรังกระจาบระยาบโยน
 ตัวมันโหนหวงคู่คอยขู่คนบ้างคาบแขมแซมรังเหมือนดังสาน
 สอดชำนาญเหน็บฝอยเหมือนสร้อยสนจิกสะบัดจัดแจงสอดแซงซน
 เปรียบเหมือนคนช่างสะดึงรู้ตรึงตรองโอ้ว่าอกนกยังมีรังอยู่
 ได้เคียงคู่ค่ำเช้าไม่เศร้าหมองแม้นร่วมเรือนเหมือนหนึ่งนกกกประคอง
 แต่สักห้องหนึ่งก็เห็นจะเย็นใจจนพ้นป่ามาถึงโป่งห้วยโข่งคุด
 มันหมกมุดเหมือนเขาแจ้งแถลงไขเห็นตาลโดดโขดคุ่มกับพุ่มไม้
 มีทิวไผ่พงรายเหมือนลายแทงท่านหลีกลัดตัดทางไปกลางทุ่ง
 ตั้งแต่รุ่งไปจนแดดก็แผดแสงได้พักเพลเอนนอนพอผ่อนแรง
 ต่ออ่อนแสงสุริยาจึงคลาไคลแต่แรกดูครู่หนึ่งจะถึงที่
 เหมือนถอยหนีห่างเหินเดินไม่ไหวเหมือนเรื่องรักชักชิดสนิทใน
 มากลับไกลเกรงกระดากต้องลากจูงฯ๏ พอเย็นจวนด่วนเดินขึ้นเนินโขด
 ถึงตาลโดดดินพูนเป็นมูลสูง
 เที่ยวเลียบชมลมเย็นเห็นนกยูงเป็นฝูงฝูงฟ้อนหางที่กลางทราย
 ทำกรีดปีกหลีกเลี่ยงเข้าเคียงคู่คอยแฝงดูดังระบำรำถวาย
 กระหวัดวาดยาตรเยื้องชำเลืองกรายเหมือนละม้ายหม่อมละครเมื่อฟ้อนรำ
 โอ้เคยเห็นเล่นงานสำราญรื่นได้แช่มชื่นเชยชมที่คมขำ
 มาห่างแหแลลับจับระบำเห็นแต่รำแพนนกน่าอกตรม
 ออกตรูไล่ไปสิ้นขึ้นบินว่อนแฉลบร่อนเรียงตามดูงามสม
 เห็นเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกพนมระรื่นร่มรุกขชาติดาษเดียร
 พิกุลออกดอกหอมพะยอมย้อยนกน้อยน้อยจิกจับเหมือนกับเขียน
 ในเขตแคว้นแสนสะอาดดังกวาดเตียนตลิบเลี่ยนลมพัดอยู่อัตรา
 สารภีที่ริมโบสถ์สาโรชร่วงมีผึ้งรวงรังสิงกิ่งพฤกษา
 รสเร้าเสาวคนธ์สุมณฑาภุมราร่อนร้องละอองนวล
 โอ้บุปผาสารภีส่าหรีรื่นเป็นที่ชื่นเชยถนอมด้วยหอมหวน
 เห็นมาลาอาลัยใจรัญจวนเหมือนจะชวนเชษฐาน้ำตากระเด็นฯ
 
โอ้ยามนี้ที่ตรงนึกรำลึกถึงมาเหมือนหนึ่งใจจิตที่คิดเห็น
 จะคลอเคียงเรียงตามเมื่อยามเย็นเที่ยวเลียบเล่นแลเพลินจำเริญตา
 โบสถ์วิหารฐานบัทม์ยังมีมั่งเชิงผนังหนาแน่นด้วยแผ่นผา
 สงสารสุดพุทธรัตน์ปฏิมาพระศิลาแลดูเป็นบูราณ
 อุโบสถหมดหลังคาฝาผนังพระเจ้านั่งอยู่แต่องค์น่าสงสาร
 ด้วยเรื้อร้างสร้างสมมานมนานแต่โบราณเรื่องพระเจ้าตะเภาทอง
 มาเที่ยวเล่นเห็นหินบนดินโขดเดี่ยวสันโดษดังสำลีไม่มีหมอง
 จึงจัดช่างสร้างอารามตามทำนองทรงจำลองลายหัตถ์เป็นปฏิมา
 รูปพระเจ้าเท่าองค์แล้วทรงสาปให้อยู่ตราบศักราชพระศาสนา
 พอฤๅษีสี่องค์เหาะตรงมาถวายยาอายุวัฒนะ
 เธอไม่อยู่รู้ว่าหลงในสงสารซ้ำให้ทานแท่งยาอุตสาหะ
 ใส่ตุ่มทองรองไว้ที่ใต้พระใครพบปะเปิดได้เอาไปกิน
 ช่วยสร้างโบสถ์โขดเขื่อนให้เหมือนเก่านามนั้นเขาเขียนแจ้งที่แท่งหิน
 วัดเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ให้ทราบสิ้นสืบสายเพราะลายแทง
 เป็นตำรามาแต่เหนือท่านเชื่อถือดูหนังสือเสาะหาอุตส่าห์แสวง
 มาพบปะจะได้ขุดก็สุดแรงด้วยดินแข็งเขาประมูลด้วยปูนเพชร
 ถึงสิ่วขวานผลาญพะเนินไม่เยินยู่เห็นเหลือรู้ที่จะทำให้สำเร็จ
 แต่จะต้องลองตำรากาลเม็ดเผื่อจะเสร็จสมถวิลได้กินยาฯ
 
พอเย็นรอนดอนสูงดูทุ่งกว้างวิเวกวางเวงจิตทุกทิศา
 ลิงโลดเหลียวเปลี่ยวใจนัยนาเห็นแต่ฟ้าแฝกแขมขึ้นแซมแซง
 ดูกว้างขวางว่างโว่งตะโล่งลิ่วไม่เห็นทิวที่สังเกตในเขตแขวง
 สุริยนสนธยาท้องฟ้าแดงยิ่งโรยแรงรอนรอนอ่อนกำลัง
 โอ้แลดูสุริยงจะลงลับมิใคร่จะดับดวงได้อาลัยหลัง
 สลดแสงแฝงรถเข้าบดบังเหมือนจะสั่งโลกาให้อาลัย
 แต่คนเราชาววังทั้งทวีปมาเร็วรีบร้างมิตรพิสมัย
 ไม่รอรั้งสั่งสวาทประหวาดใจโอ้อาลัยแลลับวับวิญญาณ์
 ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างว่างวิเวกเป็นหมอกเมฆมืดมิดทุกทิศา
 แสนแสบท้องต้องเก็บตะโกนานึกระอาออกนามเมื่อยามโซ
 ทั้งหนูกลั่นจันมากบุนนาคน้อยช่วยกันสอยเก็บหักไว้อักโข
 พอเคี้ยวฝาดชาติชั่วตัวตะโกแต่ยามโซแสบท้องก็ต้องกลืน
 พิกุลต้นผลห่ามอร่ามต้นครั้นกินผลพาเลี่ยนให้เหียนหืน
 ชั่งฝาดเฝื่อนเหมือนจะตายต้องคายคืนทั้งขมขื่นแค้นคอไม่ขอกิน
 ท่านบิดรสอนสั่งให้ตั้งจิตโปรดประสิทธิ์สิกขารักษาศิล
 เข้าร่มพระมหาโพธิบนโขดดินระรื่นกลิ่นกลางคืนค่อยชื่นใจ
 เหมือนกลิ่นกลั่นจันทน์เจือในเนื้อหอมแนบถนอมสนิทจิตพิสมัย
 เสมอหมอนอ่อนอุ่นละมุนละไมมาจำไกลกลอยสวาทอนาถนอนฯ
 
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่นทุกค่ำคืนขาดประทิ่นกลิ่นอัปสร
 หอมพิกุลฉุนใจอาลัยวอนพิกุลร่อนร่วงหล่นลงบนทรวง
 ยิ่งเสียวเสียวเฉียวฉุนพิกุลหอมเคยถนอมเสน่ห์หมายไม่หายหวง
 โอ้ดอกแก้วแววฟ้าสุดาดวงมิหล่นร่วงลงมาเลยใคร่เชยชิม
 เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำค้างลงพร่างพร่างพรายพร้อยย้อยหยิมหยิม
 ยิ่งฟั่นเฟือนเหมือนสมรมานอนริมให้เหงาหงิมง่วงเงียบเซียบสำเนียง
 เสนาะดังจังหรีดวะหวีดแว่วเสียงแจ้วแจ้วจักจั่นสนั่นเสียง
 เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรเรียงเสียวสำเนียงนอนแลเห็นแต่ดาว
 จนดึกดื่นรื่นเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิวหนาวดอกงิ้วงิ้วต้นให้คนหนาว
 แม้นงิ้วงามนามงิ้วเล็บนิ้วยาวจะอุ่นราวนวมแนบนั่งแอบอิง
 ทั้งสี่นายหมายว่ากินยาแล้วจะผ่องแผ้วพากันเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
 เดชะยาน่ารักประจักษ์จริงขอให้วิ่งตามฉาวทั้งด้าวแดน
 นากนั้นว่าอายุอยู่ร้อยหมื่นจะได้ชื่นชมสาวสักราวแสน
 ไม่รู้หมดรสชาติไม่ขาดแคลนฉันอายแทนที่ครวญถึงนวลนาง
 ทั้งหนูกลั่นนั้นว่าเมื่อเรือล่องกลับจะแวะรับนางสิบสองไม่หมองหมาง
 แม่เอวอ่อนมอญรำล้วนสำอางจะขวางขวางไปอย่างไรคงได้ดู
 สมเพชเพื่อนเหมือนหนึ่งบ้าประสาหนุ่มแต่ล้วนลุ่มหลงเหลือจนเบื่อหู
 จนพระเมินเดินเวียนถือเทียนชูเที่ยวส่องดูสีมาบรรดามี
 ที่ผุพังยังแต่ตรุบรรจุธาตุขาวสะอาดอรหัตจำรัสศรี
 อาราธนามาไว้สิ้นด้วยยินดีอัญชลีแล้วก็นั่งระวังภัย
 น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิวใบโพธิ์ปลิวแพลงพลิกริกริกไหว
 บ้างร่วงหล่นวนว่อนร่อนไรไรด้วยแสงไฟรางรางสว่างตาฯ
 
จนดึกดื่นรื่นรมลมสงัดดึกกำดัดดาวสว่างพร่างพฤกษา
 เหมือนเสียงโห่โร่หูข้างบูรพากฤษฎาได้ฤกษ์เบิกพระไทร
 สายสิญจน์วงลงยันต์กันปีศาจธงกระดาษปักปลิวหวิวหวิวไหว
 ข้าวสารทรายปรายปราบกำราบไปปักเทียนชัยฉัตรเฉลิมแล้วเจิมจันทน์
 จุดเทียนน้อยร้อยแปดนั้นปักรอบล้อมเป็นขอบเขตเหมือนหนึ่งเขื่อนขัณฑ์
 มนต์มหาวาหุดีพิธีกรรม์แก้อาถรรพณ์ถอนฤทธิ์ที่ปิดบัง
 แล้วโรยหินดินดำคว่ำหอยโข่งจะเปิดโป่งปูนเพชรเป็นเคล็ดขลัง
 พอปักธงลงดินได้ยินดังสำเนียงตังตึงเปรี้ยงแซ่เสียงคน
 ข้างเทียนดับกลับกลัวให้มัวมืดพยุฮึดฮือมาเป็นห่าฝน
 ถูกลูกเห็บเจ็บแสบแปลบสกนธ์เหลือจะทนทานลมลงก้มกราน
 เสียงเกรียวกราววาววามโพลงพลามพลุ่งสะเทือนทุ่งที่บนโขดโบสถ์วิหาร
 กิ่งโพธิ์โผงโกร่งกร่างลงกลางลานสาดข้าวสารกรากกรากไม่อยากฟัง
 ทั้งฟ้าร้องก้องกึกพิลึกลั่นอินทรีย์สั่นซบฟุบเหมือนทุบหลัง
 สติสิ้นวิญญาณ์ละล้าละลังสู่ภวังค์วุบวับเหมือนหลับไป
 เป็นวิบัติอัศจรรย์มหันตเหตุให้อาเพศเพื่อจะห้ามตามวิสัย
 ทั้งพระพลอยม่อยหลับระงับไปแสงอุทัยรุ่งขึ้นจึงฟื้นกาย
 เที่ยวหาย่ามตามหาทั้งผ้าห่มมันตามลมลอยไปข้างไหนหาย
 ไม่พบเห็นเป็นน่าระอาอายจนเบี่ยงบ่ายบิดาจะคลาไคล
 ท่านห่มดองครองผ้าอุกาพระคารวะวันทาอัชฌาสัย
 ถวายวัดตัดตำราไม่อาลัยขออภัยพุทธรัตน์ปฏิมา
 เหมือนรู้ความยามโศกด้วยโรคร้ายจึงตามลายลัดแลงแสวงหา
 จะใคร่เห็นเช่นเขาบอกดอกจึงมามีตำราแล้วก็ต้องทดลองดู
 ไม่รื้อร้างง้างงัดไม่คัดขุดเป็นแต่จุดเทียนเบิกฤกษ์ราหู
 ขอคุณพรตทศธรรมช่วยค้ำชูไม่เรียนรู้รูปงามไม่ตามลาย
 มาเห็นฤทธิ์กฤษฎาอานุภาพก็เข็ดหลาบลมพาตำราหาย
 ได้กรวดน้ำคว่ำขันจนวันตายให้ภูตพรายไพรโขมดที่โขดดิน
 ทั้งเจ้าทุ่งกรุงทวาเทพารักษ์ซึ่งพิทักษ์ที่พระยาคูหาหิน
 พระเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ซึ่งสร้างถิ่นที่วัดพระปฏิมา
 จงพ้นทุกข์สุโขอโหสิไปจุติตามชาติปรารถนา
 ทั้งเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกนาฉันขอลาแล้วเจ้าคะหม่อมตะโก
 ถึงแก่งอมหอมกลิ่นยังกินฝาดแต่คราวขาดคิดรักเสียอักโข
 ทั้งพิกุลฉุนกลิ่นจงภิญโญเสียดายโอ้อางขนางจะห่างไกล
 ออกเดินทุ่งมุ่งหมายพอบ่ายคล้อยไม่ตามรอยแรกมาหญ้าไสว
 จนจวนค่ำย่ำเย็นเห็นไรไรสังเกตไม้หมายทางมากลางคืน
 ต้องบุกรกวกหลงลุยพงแฝกอุตส่าห์แหวกแขมคาสู้ฝ่าฝืน
 มาตามลายหมายจะลุอายุยืนผ้าห่มผืนหนึ่งไม่ติดอนิจจัง
 เจ้าหนูกลั่นนั้นว่าเคราะห์เสียเพราะหอมเหมือนทิ้งหม่อมเสียทีเดียวเดินเหลียวหลัง
 จะรีบไปให้ถึงเรือเหลือกำลังครั้นหยุดนั่งหนาวใจจำไคลคลา
 จนรุ่งรางทางเฟื่อนไม่เหมือนเก่าต้องเดินเดาดั้นดัดจนขัดขา
 จนเที่ยงจึงถึงเรือเหลือระอาอายตามาตาแก้วที่แจวเรือ
 เขาหัวเราะเยาะว่าสาธุสะเครื่องอัฏฐะที่เอาไปช่างไม่เหลือ
 พอมืดมนฝนคลุ้มลงครุมเครือให้ออกเรือรีบล่องออกท้องคุ้ง
 จะเลยตรงลงไปวัดก็ขัดข้องไม่มีของขบฉันจังหันหุง
 ไปพึ่งบุญคุณพระยารักษากรุงท่านบำรุงรักพระไม่ละเมิน
 ทั้งเพลเช้าคาวหวานสำราญรื่นต่างชุ่มชื่นชวนกันสรรเสริญ
 ทั้งสูงศักดิ์รักใคร่ให้เจริญอายุเกินกัปกัลป์พุทธันดร
 ให้ครองกรุงฟุ้งเฟื่องเปรื่องปรากฏเกียรติยศอยู่ตลอดอย่าถอดถอน
 ท่านอารีมีใจอาลัยวอนถึงจากจรใจจิตยังคิดคุณ
 มาทีไรได้นิมนต์ปรนนิบัติสารพัดแผ่เผื่อช่วยเกื้อหนุน
 ต่างชื่นช่วยอวยกุศลผลบุญสนองคุณเจ้าพระยารักษากรุงฯ
 
เมื่อกราบลาคลาเคลื่อนออกเลื่อนล่องเห็นหน้าน้องนามหุ่นนั่งชุนถุง
 ทั้งผัดหน้าทาขมิ้นส่งกลิ่นฟุ้งบำรุบำรุงรูปงามอร่ามเรือง
 ที่แพรายหลายนางสำอางโฉมงามประโลมเปล่งปลั่งอลั่งเหลือง
 ขมิ้นเอ๋ยเคยใช้แต่ในเมืองมาฟุ้งเฟืองฝ่ายเหนือทั้งเรือแพ
 พวกโพงพางนางแม่ค้าขายปลาเต่าจับกระเหม่ามิได้เหลือชั้นเรือแห
 จะล่องลับกลับไปอาลัยแลมาถึงแพเสียงนกแก้วแจ้วเจรจา
 เจ้าของขาวสาวสอนชะอ้อนพลอดแวะมาจอดแพนี้ก่อนพี่จ๋า
 น่ารับขวัญฉันนี่ร้องว่าน้องลาก็เลยว่าสาวกอดฉอดฉอดไปฯ
 
โอ้นกเอ๋ยเคยบ้างหรืออย่างพลอดนางสาวสาวเขาจะกอดให้ที่ไหน
 แต่น้องมีพี่ป้าที่อาลัยท่านยังไม่ช่วยกอดแกล้งทอดทิ้ง
 นึกก็พลอยน้อยใจถึงไม่กอดหนาวก็ทอดเตาไว้ก่อไฟผิง
 ไม่เรียกเป็นเช่นนกแก้วแล้วจริงจริงจะสู้นิ่งหนาวทนอยู่คนเดียว
 ได้เด็ดรักหักใจมาในน้ำถึงพบลำสาวแส้ไม่แลเหลียว
 ประหลาดเหลือเรือวิ่งจริงจริงเจียวมาคืนเดียวก็ได้หยุดถึงอยุธยา
 จึงจดหมายรายเรื่องที่เคืองเข็ญไปเที่ยวเล่นลายแทงแสวงหา
 เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยาได้จดมาเหมือนหนึ่งมีแผนที่ไว้
 ไม่อ่อนหวานขานเพราะเสนาะโสตด้วยอายโอษฐ์มิได้อ้างถึงนางไหน
 ที่เขามีที่จากฝากอาลัยได้ร่ำไรเรื่องหญิงจึงพริ้งเพราะ
 นี่กล่าวแกล้งแต่งเล่นเพราะเป็นม่ายเที่ยวเร่ขายคอนเรือมะเขือเปราะ
 คิดคะนึงถึงตัวน่าหัวเราะเกือบกะเทาะหน้าแว่นแสนเสียดายฯ
 
นารีใดไร้รักอย่าหนักหน่วงจะโรยร่วงรกเรี้ยวแห้งเหี่ยวหาย
 ที่เมตตาอยู่ก็อยากจะฝากกายอย่าหมิ่นชายเชิญตรึกให้ลึกซึ้ง
 เหมือนภุมรินบินหาซึ่งสาโรชถึงร้อยโยชน์แย้มกลิ่นคงบินถึง
 แต่ดอกไม้ไทท้าวในดาวดึงษ์ไม่พ้นซึ่งพวกหมู่แมลงภู่ชม
 เช่นกระต่ายกายสิทธิ์นั้นผิดเพื่อนขึ้นแต้มเดือนได้จนชิดสนิทสนม
 เสน่หาอาลัยใจนิยมจะใคร่ชมเช่นกระต่ายไม่วายตรอม
 แต่เกรงเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มแจ้งสุดจะแฝงฝากเงาเฝ้าถนอม
 ขอเดชะจะได้พึ่งให้ถึงจอมขอให้น้อมโน้มสวาทอย่าคลาดคลา
 ไม่เคลื่อนคลายหน่ายแหนงจะแฝงเฝ้าให้เหมือนเงาตามติดขนิษฐา
 ทุกค่ำคืนชื่นชุ่มพุ่มผกามิให้แก้วแววตาอนาทร
 มณฑาทิพย์กลีบบานตระการกลิ่นภุมรินหรือจะร้างห่างเกสร
 จงทราบความตามใจอาลัยวอนเดชะกลอนกล่าวปลอบให้ตอบคำ
 จะคอยฟังดังคอยสอยสวาทแม้นเหมือนมาดหมายจะชิมให้อิ่มหนำ
 ถ้าครั้งนี้มิได้เยื้อนยังเอื้อนอำจะต้องคร่ำคร่าเปล่าแล้วเราเอยฯ

นิราศเมืองเพชร นิราศเรื่องที่ ๔ ของสุนทรภู่

 นิราศเมืองเพชร เป็นนิราศที่เป็นปริศนา สำหรับนักศึกษางานของท่านสุนทรภู่ ด้วยไม่ทราบว่าท่านแต่งนิราศเรื่องนี้เมื่อใด และท่านไปเมืองเพชรด้วยเหตุใด สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีความเห็นว่า ท่านสุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้เมื่อครั้งกลับเข้ารับราชการ อยู่ในพระอุปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านน่าจะออกเดินทางในหน้าหนาว ปีพ.ศ.๒๓๘๘ โดยอาสาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้ามานั่นเอง และนิราศเรื่องนี้คงเป็นเรื่องสุดท้ายของท่าน เรื่องธุระของท่านนั้นค่อนข้างแน่ ความตอนหนึ่งในนิราศกล่าวถึงธุระของท่านเพียงสองวรรคเท่านั้น คือ

"ที่ธุระจะใคร่ได้ใจนิยม เขารับสมปรารถนาสามิภักดิ์"

นอกจากเรื่องที่ท่านจะไปเมืองเพชรด้วยเหตุใดแล้ว ยังมีกรณีที่น่าสนใจที่ท่านอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว แห่งวิทยาลัยครูเพชรบุรี ได้นำเสนอว่า สุนทรภู่น่าจะมีบรรพบุรุษเป็นชาวเมืองเพชรอีกด้วย

การเดินทางไปเมืองเพชรครั้งนี้ คงเป็นครั้งที่สองของท่าน ตามที่ผู้จัดทำเชื่อว่า ท่านน่าจะเคยหนีความเศร้ามาจากกรุงเทพฯ เมื่อครั้งยังหนุ่ม ด้วยในคราวนี้ ท่านได้พรรณนาถึงความหลังไว้หลายแห่งด้วยกัน เช่นเมื่อเสร็จธุระแล้ว ท่านยังไม่อยากกลับกรุงเทพฯ โดยบอกว่า

"จะกลับหลังยังมิได้ดังใจชั่ว ต้องไปทั่วบ้านเรือนเพื่อนรู้จัก"
"เมื่อเป็นบ้ามาคนเดียวเที่ยวสำนัก เขารับรักรู้คุณกรุณา"

เมื่อหนีมาหลายปี สงบจิตใจได้แล้ว ท่านจึงได้กลับไปกรุงเทพฯ อีกครั้ง ดังนี้

"แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย"

น่าจะเป็นปีระกา พ.ศ.๒๓๕๖ ก่อนท่านเข้ารับราชการสามปี ซึ่งท่านได้เข้าร่วมกับคณะละครนายบุญยัง



                          ๏โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย

 
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย
อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ
จึงจดหมายรายทางกลางคงคา
๏ ได้เห็นแต่แพแขกที่แปลกเพศ
ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงลอย
ถึงวัดพลับลับลี้เป็นที่สงัด
เหมือนกระจายพรายพลัดกำจัดน้อง
ลำเจียกเอ๋ยเคยชื่นระรื่นรส
ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม
จนไม่มีที่รักเป็นหลักแหล่ง
โอ้เปลี่ยวใจไร้รักที่จักเชย
ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก
เมียขาวขาวสาวสวยล้วนรายโป
ไทยเหมือนกันครั้นว่าขอเอาหอห้อง
มีเงินงัดคัดง้างเหมือนอย่างเจ๊ก
๏ ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์
หรือหลวงชีมีบ้างเป็นอย่างไร
ก็มืดค่ำอำลาทิพาวาส
ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมี
ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นไม่เป็นห่วง
ที่เห็นเห็นเป็นแต่ปะได้ประดา
จะแลเหลียวเปลี่ยวเนตรเป็นเขตสวน
พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้
๏ โอ้รื่นรื่นชื่นเชยเช่นเคยหอม
ถึงบางหว้าอารามนามจอมทอง
สาธุสะพระองค์มาทรงสร้าง
ในพระโกศโปรดปรานประทานนาม
มีเขื่อนรอบขอบคูดูพิลึก
ที่ริมน้ำทำศาลาไว้น่าเพลิน
โอ้เทียนเอ๋ยเคยแจ้งแสงสว่าง
เหมือนมืดในใจจนต้องวนเวียน
๏ บางประทุนเหมือนประทุนได้อุ่นจิต
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย
๏ ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา
ทุกวันนี้วิตกเพียงอกพัง
๏ ถึงวัดไทรไทรใหญ่ใบชอุ่ม
ขอเดชะพระไทรซึ่งชัยชาญ
ได้ร่วมเตียงเคียงนอนแนบหมอนหนุน
จะสังเวยหมูแนมแก้มมนุษย์
๏ ถึงบางบอนบอนที่นี่มีแต่ชื่อ
อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมัน
๏ ถึงวัดกกรกร้างอยู่ข้างซ้าย
ถูกทะลุปรุไปแต่ไม่พัง
แม้นมั่งมีมิให้ร้างจะสร้างฉลอง
ด้วยที่นี่ที่เคยตั้งโขลนทวาร
๏ โอ้อกเอ๋ยเลยออกประตูป่า
จะเหลียวหลังสั่งสาราสุดาใด
ช่างเป็นไรไพร่ผู้ดีก็มิรู้
จะปรับไหมได้หรือไม่อื้ออึง
โอ้นึกนึกดึกเงียบยะเยียบอก
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มใบ
เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเขี้ยว
หริ่งหริ่งแร่แม่ม่ายลองไนเรียง
เหมือนดนตรีปี่ป่าประสายาก
ดังขับขานหวานเสียงสำเนียงนวล
๏ ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้าน
ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพานเกรง
ถึงศิษย์หามาตามเมื่อยามเปลี่ยว
ถึงศีรษะละหานเป็นย่านร้าย
ถึงโคกขามคร้ามใจได้ไต่ถาม
ไม่เห็นแจ้งแคลงทางเป็นกลางคืน
ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด
เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ
ถึงบ้านขอมลอมฟืนดูดื่นดาษ
ออกชะวากปากชลามหาชัย
พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน
ไปเมืองเพชรบุรินที่ถิ่นสถาน
อธิษฐานถึงคุณกรุณา
ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา
แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อยฯ
ขายเครื่องเทศเครื่องไทยได้ใช้สอย
เป็นหงส์ห้อยห่วงธงใช่หงส์ทอง
เห็นแต่วัดสังข์กระจายไม่วายหมอง
มาถึงคลองบางลำเจียกสำเหนียกนาม
ต้องจำอดออมระอาด้วยหนาหนาม
คิดถึงยามปลูกรักมักเป็นเตย
ต้องคว้างแคว้งคว้าหานิจจาเอ๋ย
ชมแต่เตยแตกหนามเมื่อยามโซ
ล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข
หัวอกโอ้อายใจมิใช่เล็ก
ต้องขัดข้องแข็งกระด้างเหมือนอย่างเหล็ก
ถึงลวดเหล็กลนร้อนอ่อนละไมฯ
ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน
คิดจะใคร่แวะหาปรึกษาชี
เลยลีลาศล่วงทางกลางวิถี
มาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา
แต่เศร้าทรวงสุดหวังที่ฝั่งฝา
ก็ลอบรักลักลาคิดอาลัย
มะม่วงพรวนหมากมะพร้าวสาวสาวไสว
หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบละอองฯ
เคยถนอมนวลปรางมาหมางหมอง
ดูเรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม
เป็นเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม
โอรสราชอารามงามเจริญ
กุฏิตึกเก๋งกุฏิ์สุดสรรเสริญ
จนเรือเดินมาถึงทางบางขุนเทียน
มาหมองหมางมืดมิดตะขวิดตะเขวียน
ไม่ส่องเทียนให้สว่างหนทางเลยฯ
พอป้องปิดเป็นหลังคานิจจาเอ๋ย
ได้พิงเขนยนอนอุ่นประทุนบังฯ
ใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง
แนะให้มั่งแล้วก็เห็นจะเป็นการฯ
เป็นเซิงซุ้มสาขาพฤกษาศาล
ช่วยอุ้มฉานไปเช่นพระอนิรุธ
พออุ่นอุ่นแล้วก็ดีเป็นที่สุด
เทพบุตรจะได้ชื่นทุกคืนวันฯ
เขาเลื่องลือบอนข้างบางยี่ขัน
แต่ปากคันแก้ไขมิใคร่ฟังฯ
เป็นรอยรายปืนพม่าที่ฝาผนัง
แต่โบสถ์ยังทนปืนอยู่ยืนนาน
ให้เรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร
ได้เบิกบานประตูป่าพนาลัยฯ
กำดัดดึกนึกน่าน้ำตาไหล
ก็จนใจด้วยไม่มีไมตรีตรึง
ใครแลดูเราก็นึกรำลึกถึง
เป็นที่พึ่งพาสนาพอพาใจ
เห็นแต่กกกอปรงเป็นพงไสว
เรไรไพเราะร้องซ้องสำเนียง
เหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง
แซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวน
ทั้งสองฟากฟังให้อาลัยหวน
เมื่อโอดครวญคราวฟังให้วังเวงฯ
ระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง
ให้วังเวงวิญญาณ์เอกากาย
เหมือนมาเดียวแดนไพรน่าใจหาย
ข้างฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน
โคกมะขามดอกมิใช่อะไรอื่น
ยิ่งหนาวชื้นช้ำใจมาในเรือ
ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ
เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน
มีอาวาสวัดวาที่อาศัย
อโณทัยแย้มเยี่ยมเหลี่ยมพระเมรุฯ
 

๏ ข้างฝั่งซ้ายชายทะเลเป็นลมคลื่น
แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเป็นเชิงเลน
หยุดประทับยับยั้งอยู่ฝั่งซ้าย
บรรดาเรือเหนือใต้ทั้งไปมา
บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิง
เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราว
๏ เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ
คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทาน
เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย
บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิว
๏ โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย
แต่ลิงใหญ่อ้ายทโมนมันโลนเหลือ
ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้
บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร
เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้ว
๏ ได้ชมเล่นเห็นแต่นกวิหคกลุ้ม
กลางสมุทรผุดโผล่ล้วนโลมา
ล้วนหัวบาตรวาดหางไปกลางคลื่น
ดูมากมายหลายอย่างยิ่งวางเวง
บ้างถอนหลักชักถ่อหัวร่อร่า
บ้างขับร้องซ้องสำเนียงจนเสียงเครือ
เป็นประมงหลงละโมบด้วยโลภลาภ
ตลิ่งพังฝั่งชลาล้วนปลาตีน
๏ ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูก
ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพง
ถึงบ้านบ่อกอจากมิอยากสิ้น
อันใบจากรากกอไม่ขอคิด
๏ ถึงคลองที่อีรำท่าแร้งเรียก
เขาทำน้ำทำนาปลาอุดม
ที่ปากคลองกองฟืนไว้ดื่นดาษ
ถึงบางขวางข้างซ้ายชายชลา
หรือบ้านนี้ที่เขาว่าตำราร่ำ
ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาเครือ
ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้า
เป็นคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุม
ลำพูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อม
เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม
โอ้เอ็นดูปูไม่มีซึ่งศีรษะ
ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน
แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ
ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า
ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ
จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย
สมเพชสัตว์ทัศนาพฤกษาสล้าง
สงัดเหงาเปล่าเปลี่ยวเมื่อเหลียวแล

นภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน
ลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า
แสนสบายบังลมร่มรุกขา
คอยคงคาเกลื่อนกลาดไม่ขาดคราว
บ้างแกงปิ้งปากเรียกกันเพรียกฉาว
เหมือนเสียงส้าวเกราะโกร่งที่โรงงานฯ
มาคอยขอโภชนากระยาหาร
ต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว
กระจ้อยร่อยกระจิริดจิดจีดจิ๋ว
ดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลยฯ
เพราะแสนสุดเสน่หานิจจาเอ๋ย
กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู
จนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู
ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว
ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว
กลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตา
เที่ยวดุ่มดุ่มเดินดินกินมัจฉา
ดูหน้าตาแต่ละตัวน่ากลัวเกรง
ศีรษะลื่นเลี่ยนโล่งดูโจ่งเหม่ง
จนน้ำขึ้นครื้นเครงเป็นคราวเรือ
บ้างก็มาบ้างก็ไปทั้งใต้เหนือ
ต่างเลี้ยวเรือลงหน้าบ้านท่าจีน
ไม่กลัวบาปเลยช่างนับแต่ทรัพย์สิน
ตะกายปีนเลนเล่นออกเป็นแปลงฯ
ทะลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง
เขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด
เหมือนจากถิ่นท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต
แต่ลูกชิดชอบใจจะใคร่ชมฯ
สุดสำเหนียกที่จะถามความปฐม
เป็นนิคมเขตบ้านพวกพรานปลา
ดูเกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา
ไขคงคาขังน้ำไว้ทำเกลือ
ช่างปั้นน้ำเป็นตัวน่ากลัวเหลือ
ล้วนรกเรื้อรำเริงเป็นเซิงซุ้ม
ดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม
ดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม
มีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม
บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน
เท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน
เป็นเพศพันธุ์ไร้ผัวเพราะมัวเมา
เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา
อุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย
เมียมันคาบคีบเนื้อเป็นเหยื่อเสีย
ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ
ล้วนโกงกางกุ่มแกมแซมแสม
เสียงแอ้แจ้จักจั่นหวั่นวิญญาณ์ฯ
 

๏ ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง
ให้หนูน้อยคอยนับในนาวา
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด
๏ ถึงปากช่องคลองชื่อสุนัขหอน
ต่างแข็งข้อถ่อค้ำที่น้ำวน
เข้ายัดเยียดเสียดแทรกบ้างแตกหัก
บ้างทุ่มเถียงเสียงหญิงขึ้นเกนเกน
ที่น้อยตัวผัวเมียลงลากฉุด
ด้วยยากเย็นเข็นฝืดทั้งมืดมัว
ทั้งยุงชุมรุมกัดปัดเปรียะประ
ที่เข็นเรียงเคียงลำขยำแขยะ
๏ จนตกทางบางสะใภ้ครรไลล่อง
ปลูกทับทิมริมทางสองข้างราย
บ้างดิบห่ามงามงอมจนค้อมกิ่ง
บ้างแตกร้าวพราวเม็ดเพชรโนรี
มาตั้งขายฝ่ายเจ้าของไม่ต้องถือ
จะพูดจาคารวะทั้งคะเออ
นึกเสียดายหมายมั่นใคร่พันผูก
พอนึกหยุดบุตรเราก็เจ้าชู้
เขาอายเอียงเมียงเมินทำเดินเฉย
ได้ตอบต่อล้อเหล่าเจ้าทับทิม
๏ ถึงแม่กลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน
บ้างย่างปลาค่าเคียงเรียงเรียงราย
ขายสำเร็จเป็ดไก่ทั้งไข่พอก
ลูกค้ารับนับกันเป็นพันร้อย
นางแม่ค้าปลาเค็มก็เต็มสวย
บ้างเหน็บท้องป่องปุ่ยตุ่ยตุ่ยตุง

ชะวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา
แต่หนึ่งมาถ้วนสามสิบสองคด
เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด
ถึงคลองคดก็ยังไม่เหมือนใจคนฯ
ทั้งเรือแพแลสลอนเสลือกสลน
คงคาข้นขุ่นตื้นแต่พื้นเลน
บ้างถ่อผลักอึดอัดขัดเขมร
ล้วนโคลนเลนเปื้อนเปรอะเลอะทั้งตัว
นางเมียหยุดผัวโกรธเมียโทษผัว
พอตึงตัวเต็มเบียดเข้าเสียดแซะ
เสียงผัวะผะพึบพับปุบปับแปะ
มันเกาะแกะกันจริงจริงหญิงกับชายฯ
มีบ้านช่องซ้ายขวาเขาค้าขาย
ไม่เปล่าดายดกระย้าทั้งตาปี
เป็นดอกติ่งแตกประดับสลับสี
เขาขายดีเก็บได้ใส่กระเชอ
เห็นเรือล่องร้องว่าซื้อทับทิมเหนอ
เสียงเหน่อเหน่อหน้าตาน่าเอ็นดู
ไว้เป็นลูกสะใภ้ให้เจ้าหนู
อุตส่าห์รู้ร้องต่อจะขอชิม
ไม่เกินเลยลวนลามงามหงิมหงิม
พอแย้มยิ้มเฮฮาประสาชายฯ
น่าสำราญเรือนเรือดูเหลือหลาย
ดูวุ่นวายวิ่งไขว่กันใหญ่น้อย
กระเบนกระบอกปลาทูทั้งปูหอย
ปลาเล็กน้อยขมงโกรยโกยกระบุง
กำไรรวยรวมประจบจนครบถุง
ต่างบำรุงรูปร่างสำอางตาฯ
 

๏ พอออกช่องล่องลำแม่น้ำกว้าง
ข้างซ้ายตรงลงทะเลพอเวลา
ดูซ้ายขวาป่าปะโลงหวายโป่งเป้ง
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน
บ้างเคียงคู่ชูคอเสียงซ้อแซ้
แม้นร่วมเรือนเหมือนนกที่กกรัง
นี่กระไรไม่มีเท่ากี่ก้อย
ต้องลมว่าวหนาวหนังเหมือนคั้งคก
จนเรือออกนอกอ่าวดูเปล่าโว่ง
ไม่เห็นหนสนธยาเป็นราตรี
สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรี่ยม
ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภา
เห็นปลาว่ายกายสล้างกระจ่างแจ่ม
เป็นหมู่หมู่ฟูฟ่องขึ้นล่องลอย
ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลาดึก
แม้นเห็นปลาวารินจะดิ้นโดย
จะเพลินชมยมนาเวหาห้อง
ทะเลโล่งโว่งว่างน้ำค้างกระเซ็น
จะเปรมปรีดิ์ดีใจมิใช่น้อย
โอ้อายจิตคิดรักลักประโลม
ด้วยมืดค่ำสำคัญที่นั่นแน่
ลำพูรายชายเลนดูเอนโอน
หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลือง
เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกร

บ้านบางช้างแฉกแชไปแควขวา
พระสุริยามืดมัวทั่วแผ่นดิน
ให้วังเวงหวั่นไหวฤทัยถวิล
ไปหากินแล้วก็พากันมารัง
โอ้แลแลแล้วก็ให้อาลัยหลัง
จะได้นั่งแนบข้างเหมือนอย่างนก
โอ้บุญน้อยนึกน่าน้ำตาตก
จะได้กกกอดใครก็ไม่มี
ทะเลโล่งแลมัวทั่ววิถี
แต่ลมดีดาวสว่างกระจ่างตา
ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา
แสงคงคาเค็มพราวราวกับพลอย
แลแอร่มเรืองรุ่งชั้นกุ้งฝอย
ตัวน้อยน้อยนางมังกงขมงโกรย
หวนรำลึกแล้วเสียดายไม่วายโหย
ทั้งลมโชยเฉื่อยชื่นระรื่นเย็น
เช่นนี้น้องไหนเลยจะเคยเห็น
ดูดาวเด่นดวงสว่างเหมือนอย่างโคม
น้องจะพลอยเพลินอารมณ์ด้วยชมโฉม
ทรวงจะโทรมตรงช่องปากคลองโคน
เรียกแสมตายห่าพฤกษาโกร๋น
วายุโยนยอดระย้าริมสาคร
ดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัสสร
ยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตาฯ
 

๏ ถึงคลองช่องล่องเลียบเงียบสงัด
เสียงโครมครื้นคลื่นกระทั่งฝั่งชลา
นาวาเหเซหันให้ปั่นป่วน
ถึงสี่แจวแล้วเรือยังเหลือมือ
ทั้งคลื่นซ้ำน้ำซัดให้ปัดปั่น
น่าอายเพื่อนเหมือนคำเขาทำเพลง
ยิ่งแจวทวนป่วนปั่นยิ่งหันเห
เสียงสวบเสยเกยตรงเข้าพงไพร
พอจุดเทียนเซี่ยนขันน้ำมันคว่ำ
เสื่อที่นอนหมอนนวมน้ำท่วมชื้น
ได้กันลมห่มหนาวเมื่อเช้าตรู่
ลมรินรินกลิ่นกลบอบละออง

เห็นเมฆกลัดกลางทะเลบนเวหา
ลมสลาตันตึงหึ่งหึ่งฮือ
ต้องแจวทวนท้ายหันช่วยกันถือ
ลมกระพือพัดโงงดูโคลงเคลง
โอ้แต่ชั้นคลื่นลมยังข่มเหง
มาเท้งเต้งเรือลอยน่าน้อยใจ
ลมทะเลเหลือจะต้านทานไม่ไหว
ติดอยู่ใต้ต้นโกงกางแต่กลางคืน
ต้องวิดน้ำนาวาไม่ฝ่าฝืน
เหลือแต่ผืนผ้าแพรของแม่น้อง
ยังรักรู้จักคุณการุญสนอง
ได้ปกครองคุมเครือเมื่อเรือค้างฯ
 

๏ เขาหลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท
เสียงนกร้องซ้องแซ่ครอแครคราง
เสียงชะนีที่เหล่าเขายี่สาน
หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดย
เหมือนวิตกอกน้องที่ตรองตรึก
จะเรียกบ้างอย่างชะนีก็มีอาย
จนรุ่งแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น
จะเข็นค้ำล้ำเหลือเป็นเรือญวน
ต้นแสมแลดูล้วนปูแสม
เขาสั่นต้นหล่นผอยผ็อยผ็อยไป

พี่นี้คิดใคร่ครวญจนจวนสว่าง
ทั้งลิงค่างครอกโครกละโอกโอย
วิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย
ชะนีโหยหาคู่ไม่รู้วาย
เหลือรำลึกอาลัยมิใคร่หาย
ต้องเรียกสายสวาทในใจรำจวน
ต้องค้างตื้นติดป่าพากันสรวล
พอเห็นจวนน้ำขึ้นค่อยชื่นใจ
ขึ้นไต่แต่ต้นกิ่งวิ่งไสว
ลงมุดใต้ตมเลนเห็นแต่ตาฯ
 
๏ โอ้เอ็นดูหนูน้อยร้องหอยเหาะ
ล้วนจุ๊บแจงแผลงฤทธิ์เขาปลิดมา
จุ๊บแจงเอ๋ยเผยฝาหาข้าวเปียก
ทั้งงวงทั้งงาออกมากิน
เขาร่ำเรียกเพรียกหูได้ดูเล่น
เยี่ยมออกฟังทั้งตัวกลัวแม่ยาย
เหมือนจะรู้อยู่ในเล่ห์เสน่หา
เปรียบเหมือนคนจนทุนทั้งบุญน้อย
พอลอยลำน้ำมากออกจากป่า
ในดงฟืนชื่นชุ่มทุกพุ่มพฤกษ์
แล้วเคลื่อนคลาลาจากปากคลองช่อง
ข้ามยี่สานบ้านสองพี่น้องแล้ว
น้ำยังน้อยค่อยค้ำพอลำเลื่อน
ในคลองลัดทัศนายิ่งอาดูร
ป่าปะโลงโกงกางแกมแสม
ตลอดหลามตามตลิ่งล้วนลิงโลน
ครั้นล้วงชุดสุดอย่างเอาหางยอน
เพื่อนเข้าคร่าหน้าหลังออกพรั่งพรู
ทั้งหอยแครงแมงดามันหาคล่อง
ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซ
ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง
เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนา
ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด
ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ
แม้นเดี๋ยวนี้มีหญิงไม่ทิ้งผัว
โอ้อาลัยใจอย่างนางแมงดา
ขึ้นไปเกาะกิ่งตลอดยอดพฤกษา
กวักตรงหน้าเรียกให้มันได้ยิน
แม่ยายเรียกจะให้ไปกฐิน
ช่วยปัดริ้นปัดยุงกระทุงราย
มันอยากเป็นลูกเขยทำเงยหงาย
โอ้นึกอายด้วยจุ๊บแจงแกล้งสำออย
แต่หากว่าพูดยากเป็นปากหอย
จะกล่าวถ้อยออกไม่ได้ดังใจนึก
ได้แอบอาศัยแสมอยู่แต่ดึก
ผู้ใดนึกฟันฟาดให้คลาดแคล้ว
ไปตามร่องน้ำหลักปักเป็นแถว
ค่อยคล่องแคล่วเข้าชะวากปากตะบูน
ไม่มีเพื่อนเรือประหลาดช่างขาดสูญ
เป็นดินพูนพานจะตื้นแต่พื้นโคลน
แต่ล้วนแต่ตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น
อ้ายทโมนนำหน้าเที่ยวคว้าปู
มันหนีบนอนร้องเกลือกเสือกหัวหู
ลากเอาปูออกมาได้ไอ้กะโต
ฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่
อกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา
ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา
ทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป
เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน
ก็บรรลัยแลกลาดดาษดา
ถึงรูปชั่วฉันจะรักให้หนักหนา
แต่ดูหน้าในมนุษย์เห็นสุดแลฯ
 

๏ จนออกช่องคลองบางตะบูนใหญ่
นกกะลางยางกรอกกระรอกกระแต
๏ ถึงที่วังตั้งประทับรับเสด็จ
ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดาน
แต่เดี๋ยวนี้ที่วังก็รั้งร้าง
ยังแลเลี่ยนเตียนดีที่พลับพลา
เดิมเป็นป่ามาเป็นวังตั้งประทับ
เหมือนมียศลดลงไม่คงคืน
๏ ถึงบางหอหอใครที่ไหนหนอ
อันย่านนี้ที่บนบกก็รกเรื้อ
ถึงเจ้าสาวชาวสวรรค์ฉันไม่อยู่
ด้วยพรั่นตัวกลัวเสือก็เหลือโซ
ทั้งเหลืองดำคร่ำคร่าล้วนกล้าแกล้ว
ดูน่ากลัวตัวใหญ่มิใช่น้อย
เห็นนกบินกินปลาล้วนน่ารัก
นกกระเต็นเต้นตามนกกามกวม
๏ ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท
มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ
กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้
เขานับถือลืออยู่แต่บุราณ
ขึ้นลานวัดทัศนาดูอาวาส
พฤกษาออกดอกช่ออรชร
ต้นโพธิ์ไทรไม้งอกตามซอกหิน
เหล่าลั่นทมร่มรอบขอบคิรี
ได้ชมเพลินเดินมาถึงหน้าโบสถ์
เคารพสามตามกำหนดหมดมลทิน
ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์
ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดาร
ให้ได้แหวนแทนทรงสักวงหนึ่ง
แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง
ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย
สาธุสะพระสัมฤทธิ์ประสิทธิ์พร

ล้วนป่าไม้ตีนเป็ดเสม็ดแสม
เสียงซ้อแซ้สองข้างทางกันดารฯ
มาทรงเบ็ดปลากะโห้ไม่สังหาร
แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา
เป็นรอยทางทุบปราบราบรุกขา
นึกระอาอนิจจังไม่ยั่งยืน
แล้วก็กลับไปเป็นป่าไม่ฝ่าฝืน
นึกสะอื้นอายใจมาในเรือฯ
มาปลูกหอเสน่หาในป่าเสือ
ทั้งทางเรือจระเข้ก็เฉโก
จะโศกสู้เอกาอนาโถ
เห็นแต่โพธิ์ทะเลจระเข้ลอย
จนเรือแจวจวนใกล้มิใคร่ถอย
ต่างคนคอยภาวนาอุตส่าห์สำรวม
นกปักหลักลงน้ำเสียงต้ำป๋วม
กับเหี้ยต้วมเตี้ยมต่ายตามชายเลนฯ
มีอาวาสวัดวามหาเถร
พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ
จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์พิษฐาน
ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน
ศิลาลาดเลียบเดินเนินสิงขร
หอมขจรจำปาสารภี
อินทนิลนางแย้มสอดแซมสี
สุมาลีหล่นกลาดดูดาษดิน
สมาโทษถือเทียนเวียนทักษิณ
กับหนูนิลหนูพัดเข้ามัสการ
ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน
ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง
กับแพรซึ่งหอมห่มให้สมหวัง
จะแต่งตั้งบายศรีมีละคร
เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร
ให้ได้นอนฟูกฟูเหมือนชูชกฯ
 

๏ แล้ววันทาลาเลียบลงเหลี่ยมเขา
ออกนาวามาทางบ้านบางครก
มีส้มสูกลูกไม้เหมือนในสวน
เขาเลียนล้อต่อถามตามทำนอง
จนเรือออกนอกชะวากปากบางครก
เป็นถิ่นฐานบ้านนาป่ารำไร
แต่ฟักทองร้องเรียกว่าน้ำเต้า
ล้วนเลี้ยงวัวทั่วถิ่นได้กินแรง
เจ้าสำนวนชวนตีแต่ฝีปาก
แสนแสงอนค้อนว่าค่อนด่าวัว
ล้วนแช่งซ้ำล้ำเหลืออ้ายเสือขบ
อ้ายวัวเฒ่าเขาล้มคือสมภาร
๏ ถึงบ้านใหม่ไถ่ถามตามสงสัย
ไม่บอกก่อนย้อนถามเป็นความแคลง
ถ้าพายหนักสักครู่หนึ่งก็ถึงดอก
บ้างโห่ฉาวกราวเกรียวเกี่ยวข้าวเบา
๏ ถึงบางกุ่มหนุ่มแก่สาวแซ่ซ้อง
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านสะท้านยายนม
อย่างไรหรือชื่อเช่นนั้นขันหนักหนอ
ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้ง
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่
เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ
นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง
จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ

พอบังเงาแดดร่มทั้งลมตก
มะพร้าวดกดูสล้างสองข้างคลอง
ตลอดล้วนเรียงรายเรียกขายของ
ไม่ยิ้มย่องนิดหน่อยอร่อยใจ
ต้องเลี้ยววกไปตามลำแม่น้ำไหล
เขาทำไร่ถั่วผักปลูกฟักแฟง
ฟักเขียวเล่าเรียกว่าขี้พร้าแถลง
แต่เสียงแปร่งเปรี้ยวหูไม่รู้กลัว
พูดด้วยยากชาวบางกอกจนกลอกหัว
เขาตัดหัวแขนห้อยร้อยประการ
ลำเลิกทบทวนชาติเสียงฉาดฉาน
มันขี้คร้านทดข้าวเขาจึ่งแทงฯ
ว่ายังไกลอยู่หรือบ้านท่านขุนแขวง
จะพายแรงหรือว่านายจะพายเบา
สำนวนนอกน้ำเพชรแล้วเข็ดเขา
บ้างตั้งเตาเคี่ยวตาลพานอุดมฯ
มีบ้านสองฟากข้ามนามประถม
น่าใคร่ชมชื่นจิตคิดรำพึง
หรือแกล้งล้อจะให้นึกรำลึกถึง
เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร
สถิตที่ทับนาพออาศัย
จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ
เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ
เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอนฯ
 

๏ โอ้สงสารท่านรองเคยครองรัก
เคยร่วมใจไหนจะร่วมนวมที่นอน
แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง
เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชาย
๏ ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุนนาค
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล
เมื่อเจ็บป่วยช่วยรักษาจะหาคู่
ยังยากไร้ไม่มีของสนองคุณ
ทั้งนารีที่ได้รักลักรำลึก
ขอสมาอย่าได้มีราคีปน
แต่ปรางทองน้องหญิงยังจริงจิต
จะแวะหาสารพัดยังขัดใน
๏ ถึงอารามนามที่กุฎีทอง
ริมอารามข้ามน้ำทำตะพาน
ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลดชื่อคดอ้อย
ค่อยคล่องแคล่วแจวรีบถึงพริบพรี
ด้วยวัดนี้ที่สำหรับประทับร้อน
ขอเดชะอานุภาพช่วยปราบภัย
ดูเรือแพแซ่ซ้องทั้งสองฟาก
นอนค้างคืนตื่นเช้าเห็นชาวเมือง
๏ ได้เยี่ยมเยือนเรือนบ้านท่านขุนแพ่ง
ด้วยศึกลาวคราวนั้นเธอบรรลัย
แสนสงสารท่านผู้หญิงมิ่งเมียหลวง
ทั้งเมียน้อยอ้อยอิ่งหญิงคนครัว
เมื่อมาเรือนเยือนศพได้พบพักตร์
เพราะครวญคร่ำกำสรดสู้อดออม
โอ้อกเอ๋ยเคยสำราญอยู่บ้านนี้
ทั้งหญิงชายฝ่ายเพื่อนริมเรือนเรียง
โอ้คิดคุณขุนแพ่งเสียแรงรัก
ได้สวดทั้งบังสุกุลแบ่งบุญไป
๏ แล้วอำลาอาลัยใจจะขาด
ลงเรือจอดทอดท่าหน้าตะพาน
เห็นหน้าน้องทองมีอารีรัก
ได้เคยเห็นเป็นฝีมือมักดื้อดึง
ทั้งที่ปรางค์นางใหญ่ได้ให้ผ้า
ได้ห่มหนาวคราวระกำจงจำเริญ

เมื่อมาพักบ้านโพธิ์สโมสร
ทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย
ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย
แสนเสียดายดูหน้านึกอาลัยฯ
เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มาทำไร่ทำนาท่านการุญ
จะขอสู่ให้เป็นเนื้อช่วยเกื้อหนุน
ขอแบ่งบุญให้ท่านทั่วทุกตัวตน
เป็นแต่นึกลับหลังหลายครั้งหน
เป็นต่างคนต่างแคล้วแล้วกันไป
แนบสนิทนับเชื้อว่าเนื้อไข
ต้องอายใจจำลากลัวช้าการฯ
ดูเรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร
นมัสการเดินมาในวารี
ตะวันคล้อยคล้ำฟ้าในราศี
ประทับที่หน้าท่าพลับพลาชัย
นรินทรท้าวพระยามาอาศัย
ให้มีชัยเหมือนเช่นนามอารามเมือง
บ้างขายหมากขายพลูหนวกหูเหือง
ดูนองเนืองนาวาบ้างมาไปฯ
มาปลูกแปลงแปลกกว่าเมื่ออาศัย
ไม่มีใครครอบครองจึ่งหมองมัว
เฝ้าข้อนทรวงเสียใจอาลัยผัว
พากันมัวหมองคล้ำระกำตรอม
ไม่หมองนักคราวนี้รูปช่างซูบผอม
เหมือนแก่งอมหงิมเงียบเซียบสำเนียง
ได้ฟังปี่พาทย์เพราะเสนาะเสียง
เคยพร้อมเพรียงเพรางายสบายใจ
ไม่พบพักตร์พลอยพาน้ำตาไหล
ให้ท่านได้สู่สวรรค์ชั้นวิมานฯ
จำนิราศแรมร้างห่างสถาน
แสนสงสารศิษย์หาออกมาอึง
ครั้นจะทักเล่าก็กลัวผัวจะหึง
จะตูมตึงแตกซ้ำระยำเยิน
เมื่อครั้งมาสอนบุตรสุดสรรเสริญ
ยังเชื้อเชิญชวนชักรักอารมณ์ฯ
 

๏ แล้วไปบ้านท่านแพ่งตำแหน่งใหม่
ที่ธุระจะใคร่ได้ใจนิยม
จะกลับหลังยังมิได้ดั่งใจชั่ว
เมื่อเป็นบ้ามาคนเดียวเที่ยวสำนัก
ที่ไหนไหนไมตรียังดีสิ้น
ช่างตัดญาติขาดเด็ดไม่เมตตา
โอ้คิดแค้นแหวนประดับกับแพรเพลาะ
จนรักตายกลายตอเป็นกอเตย
๏ โอ้คิดถึงพึ่งบุญท่านขุนแพ่ง
ตำข้าวเม่าเคล้าน้ำตาลทั้งหวานมัน
เขาไปเที่ยวเกี่ยวข้าวอยู่เฝ้าห้อง
เนื้อเอ๋ยเนื้อเหลือเจ็บจนเล็บลิ
ครั้นไปเยือนเรือนหลานบ้านวัดเกาะ
ต้องใช้สีทับทิมจึ่งยิ้มพรายฯ
๏ แล้วไปบ้านตาลเรียงเคียงบ้านไร่
พอวันนัดชัดน้ำเขาทำบุญ
เขาว่าน้องของเราเป็นเจ้าสาว
เหมือนจุดไต้ว่ายน้ำมาตำตอ
จะแทนบุญคุณมาประสายาก
ได้ฝากแต่แพรผ้ากับป้าทรัพย์
ไปปีหนึ่งครึ่งปีเมื่อมีลูก
แล้วมาเรือเหลือรำลึกเฝ้าตรึกตรอง
๏ แค้นแต่ขำกรรมอะไรไฉนน้อง
ช่างกระไรใจจิตไม่บิดเบือน
จึงฝากคำทำกลอนไว้สอนสั่ง
พอวันพระศรัทธาพากันไป
พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลัง
ยี่สิบวาฝากั้นเป็นบัลลังก์
พระเนตรหลับทับพระบาทไสยาสน์เหยียด
พระเจ้างามยามประทมน่าชมเชย
แล้วนึกว่าหน้าหนาวมาคราวนี้
ยังมีแต่แพรหอมถนอมชม
อุทิศว่าผ้านี้ของพี่น้อง
มาห่มพระจะให้ผลดลบันดาล
ทั้งรูปงามทรามประโลมโฉมแฉล้ม
ทั้งเนื้อหอมพร้อมสิ้นกลิ่นขจร
หนึ่งผ้าข้าได้ห่มประทมพระ
ให้มีใหม่ได้ดีสีทับทิม
ทั้งศิษย์หาผ้ามีต่างคลี่ห่ม
ขอเนื้อหอมพร้อมกันเหมือนจันทน์ปน

ยังรักใคร่ครองจิตสนิทสนม
เขารับสมปรารถนาสามิภักดิ์
ต้องไปทั่วบ้านเรือนเพื่อนรู้จัก
เขารับรักรู้คุณกรุณา
เว้นแต่อินวัดเกศของเชษฐา
พอเห็นหน้าน้องก็เบือนไม่เหมือนเคย
เป็นคราวเคราะห์เพราะเป็นบ้านิจจาเอ๋ย
ไม่เห็นเลยว่าจะเป็นไปเช่นนั้นฯ
ไปหน้าแล้งรับแขกแรกวสันต์
ได้ช่วยกันคั้นขยำน้ำกะทิ
เหมือนพี่น้องนึกโอ้อโหสิ
ยังปริปริปริ่มพร้อยเป็นรอยราย
ยังทวงเพลาะแพรดำที่ทำหาย
วิลาสลายลอยทองสนองคุณฯ
ที่นับในน้องเนื้อช่วยเกื้อหนุน
เห็นคนวุ่นหยุดยั้งยืนรั้งรอ
ไม่รู้ราวเรื่องเร่อมาเจอหอ
เสียแรงถ่อกายมาก็อาภัพ
ต้องกระดากดังหนึ่งศรกระดอนกลับ
ไว้สำรับหนึ่งนั้นทำขวัญน้อง
จะมาผูกมือบ้างอย่าหมางหมอง
เที่ยวฉลองคุณท่านทุกบ้านเรือนฯ
เฝ้าท้องท้องทุกทุกปีไม่มีเหมือน
จะไปเยือนเล่าก็รู้ว่าอยู่ไฟ
เมื่อมิฟังพี่ห้ามตามวิสัย
เที่ยวแวะไหว้พระอารามตามกำลัง
สาธุสะพระนอนสิงขรเขา
ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย
อ่อนละเมียดอาสนะพระเขนย
ช่วยรำเพยพัชนีนั่งวีลม
ถึงแท่นที่พระสถิตสนิทสนม
ได้คลี่ห่มหุ้มอุระพระประธาน
ฝ่ายเจ้าของขาดรักสมัครสมาน
ได้พบพานภายหน้าสถาพร
ขอให้แก้มสองข้างอย่างเกสร
คนแสนงอนให้มาง้อมาขอชิม
ขอทิฏฐะจงเห็นเป็นปัจฉิม
ทั้งขลิบริมหอมฟุ้งปรุงสุคนธ์
คลุมประทมพิษฐานการกุศล
ได้เยาะคนขอจูบรักรูปเราฯ
 

๏ แล้วลดเลี้ยวเที่ยวไปบันไดอิฐ
จิกจันทน์แจงแทงทวยกรวยกันเกรา
เหล่าลั่นทมยมโดยร่วงโรยกลิ่น
โบสถ์วิหารลานวัดทัศนา
มีกุฎีที่พระสงฆ์ทรงสถิต
น่าสนุกรุกขชาติดาษเดียร
๏ พอแดดร่มลมชายสบายจิต
ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี
ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์
พะองยาวก้าวตีนปีนทะยาน
แต่ใจดีที่ว่าใครเข้าไปขอ
ได้ชื่นฉ่ำน้ำตาลหวานหวานทรวง
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ
บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาลัย
ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้อง
เวียนประเวศเกษราบุปผาพวง
๏ โอ้อกน้องท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต
กับหนูน้อยพลอยเพลินเที่ยวเดินวง
ต่างเหนื่อยบอบนอบน้อมอยู่พร้อมพรั่ง
เห็นประเทศเขตแคว้นในแดนดิน
คีรีรอบขอบเขื่อนดูเหมือนเมฆ
เห็นทะเลเคหาหน้าหาดทราย
ได้ชมเพลินเมินมุ่งดูทุ่งกว้าง
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน
ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวร้อง
กินปลีเปล้าเขาไฟจับไม้เรียง
รอกกระแตแลโลดกระโดดแล่น
ที่ทุ่งกว้างกลางหนเห็นคนเดิน
ทั้งล้อเกวียนเดียรดาษดูกลาดเกลื่อน
โสมนัสทัศนาจนสายัณห์

ต่างเพลินพิศเพิงผารุกขาเขา
โมกข์แมงเม่าไม้งอกซอกศิลา
ระรวยรินรื่นรื่นชื่นนาสา
ล้วนศิลาแลสะอาดด้วยกวาดเตียน
พฤกษาชิดชั้นไผ่เหมือนไม้เขียน
เที่ยวเดินเวียนวงรอบขอบคีรีฯ
เที่ยวชมทิศทุ่งทางกลางวิถี
เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล
มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร
กระบอกตาลแขวนกันคนละพวง
ให้กินพออิ่มอุทรบห่อนหวง
ขึ้นเขาหลวงเลียบเดินเนินบันได
รุกขชาติช่อดอกออกไสว
ต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง
เหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง
ได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจงฯ
ไม่มีมิตรที่จะชมสมประสงค์
ขึ้นถึงองค์พระเจดีย์บนคีริน
บ้างหยุดนั่งเอนนอนกับก้อนหิน
มีบ้านถิ่นทิวไม้ไรไรราย
แลวิเวกหวาดหวั่นยิ่งขวัญหาย
ดูเรียงรายเรี่ยเรี่ยเตี้ยติดดิน
มีแถวทางเถื่อนท่าชลาสินธุ์
บ้างโบยบินว้าว่อนบ้างร่อนเรียง
ประสานซ้องสกุณาภาษาเสียง
กรอดเคียงคู่กรอดแล้วพลอดเพลิน
กระต่ายเต้นตามลำเนาภูเขาเขิน
หาบน้ำตาลคานเยิ่นหยอกเอินกัน
ทุกถิ่นเถื่อนทุ่งแถวแพ้วจังหัน
แล้วพากันเข้าในถ้ำน่าสำราญฯ
 

๏ มีพระไสยาสน์พระบาทเหยียด
พระทรวงพังทั้งพระเพลาก็ร้าวราน
ทั้งผนังพังทับอยู่กับถ้ำ
ดูว้างเวิ้งเชิงพนมน่าชมเชย
เป็นลดหลั่นชั้นช่องมีห้องหับ
กลางคิรินหินห้อยย้อยระย้า
ฉะเช่นนี้มีฤทธิ์จะคิดช้อน
เห็นหนุ่มสาวชาวบุรินสิ้นทั้งปวง
เขาตั้งอ่างกลางถ้ำมีน้ำย้อย
เป็นไคลคล้ำน้ำแท่งกลับแข็งคุม
๏ แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม
เป็นห้องน้อยรอยหนังสือลายมือมี
ชมลูกจันกลั่นกลิ่นระรินรื่น
เห็นห้องหินศิลาน่าอาวรณ์
พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง
คิดคะนึงถึงตัวกลัวต้องตี
โอ้ยามยากจากบุรินมาถิ่นเถื่อน
เดือนสว่างต่างไต้เมื่อไสยา
ยังรินรินกลิ่นกลั่นจันทน์กระแจะ
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น
มาเห็นถ้ำน้ำตาลงพรากพราก
จะไปเรือนเยือนเยี่ยมก็เจียมใจ
อันถ้ำนี้ที่มนุษย์หยุดกินน้ำ
เขาช่วยเล่าเถิดว่าเขาไม่ล่อลวง
จึงเขียนกลอนนอนค้างไว้ต่างพักตร์
จะภิญโญโมทนาให้อาภัย
๏ แล้วลัดออกนอกลำเนาภูเขาหลวง
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างที่กลางนา
มาตามทางหว่างโตนดลิงโลดจิต
เห็นกระต่ายไล่โลดโดดทะยาน
ต่างชิมชมดมเดินเจริญรื่น
ต่างลดเลี้ยวเที่ยวเด็ดดอกแคแตร
สักสองยามตามทักล้วนปักษา
โอ้ฟังฟังหวังสวาทไม่ขาดคิด
๏ แล้วเลี้ยวลงตรงหน้าวัดพระธาตุ
ดูพระปรางค์กลางอารามก็งามดี
สาธุสะพระมหาตถาคต
พอไก่ขันวันทาลาครรไล
๏ จึงจดหมายรายความตามสังเกต
ให้อ่านเล่นเป็นเรื่องเมืองพริบพรี
ทั้งผ้าหอมย้อมเหลืองได้เปลื้องห่ม
กุศลนั้นบรรดาที่การุญ

คนมันเบียดเบียนขุดสุดสงสาร
โอ้ชาวบ้านช่างไม่สร้างขึ้นบ้างเลย
โอ้นึกน้ำตาตกเจียวอกเอ๋ย
ต่างแหงนเงยชมชะง่อนก้อนศิลา
แลสลับเลื่อมคล้ายลายเลขา
ดาษดาดูดูดังพู่พวง
เอาสิงขรเข้าไปตั้งริมวังหลวง
จะแหนหวงห้องหับถึงจับกุม
ดูผ็อยผ็อยเผาะลงที่ตรงหลุม
เป็นหินหุ้มอ่างอิฐสนิทดีฯ
บ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี
คิดถึงปีเมื่อเป็นบ้าเคยมานอน
จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน
เคยกล่าวกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี
เรไรซ้องเสียงจังหรีดดังดีดสี
ต่อช้าปีจึงค่อยวายฟายน้ำตา
ไม่มีเรือนแรมอยู่ในคูหา
แผ่นศิลาต่างฟูกกระดูกเย็น
เหมือนจะแนะนำจิตให้คิดเห็น
โอ้จำเป็นเป็นกรรมจึงจำไกล
แต่เพื่อนยากยังไม่เห็นว่าเป็นไฉน
ขอสั่งไว้เถิดถ้ำที่ช้ำทรวง
มิใช่ถ้ำของอิเหนาถ้ำเขาหลวง
แต่เขาหวงเขาห้ามต้องขามใจ
หวังประจักษ์มิ่งมิตรพิสมัย
อย่าน้อยใจเลยถ้ำขออำลาฯ
ดูเด่นดวงเดือนสว่างกลางเวหา
เสียงปักษาเพรียกพลอดบนยอดตาล
แต่พวกศิษย์แสนสุขสนุกสนาน
เสียงลูกตาลกรากตึงตะลึงแล
เที่ยวชมชื่นเขตแขวงด้วยแสงแข
ได้เห็นแต่นกน้อยต้อยตีวิด
เสียงแจ้วจ้าจ้อยเจี๋ยวเตี๋ยวเตี๋ยวติด
ช่างไม่ผิดเสียงสาวชาวพริบพรีฯ
พอเดือนคลาดคล้อยจำรัสรัศมี
แต่ไม่มีเงาบ้างเป็นอย่างไร
ยังปรากฏมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส
ลงเรือใหญ่ล่องมาถึงธานีฯ
ถิ่นประเทศแถวทางกลางวิถี
ผู้ใดมีคุณก็ได้ไปแทนคุณ
พระประทมที่ลำเนาภูเขาขุน
รับส่วนบุญเอาเถิดท่านที่อ่านเอยฯ

เนื้อเพลง