วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

นิราศภูเขาทอง นิราศเรื่องที่ ๓ ของสุนทรภู่

 นิราศภูเขาทอง ได้รับยกย่องว่าเป็นนิราศเรื่องเยี่ยมที่สุดของท่านสุนทรภู่ ท่านแต่งเรื่องนี้ เมื่อครั้งเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทอง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คาดว่าไปในราวปี พ.ศ.๒๓๗๑ หลังจากเกิดมีเรื่องมีราวที่วัดราชบูรณะฯ ขณะนั้นท่าน มีอายุราว ๔๒ ปี


นิราศเรื่องนี้ไม่ยาวนัก แต่พร้อมไปด้วยกระบวนกลอนอันไพเราะ และแง่คิดสำหรับการดำรงชีวิต อาจเป็นด้วยท่านสุนทรภู่ได้บวชมาหลายพรรษาแล้ว และได้ตระหนักถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น เส้นทางเดินทางจะคล้ายกับนิราศ พระบาท เพราะออกจากพระนครทวนแม่น้ำขึ้นไปทางเหนือ ขอให้สังเกตความเปรียบเทียบในนิราศภูเขาทองกับนิราศพระบาท ซึ่งท่านแต่งขึ้นเมื่อรุ่นหนุ่มอายุเพียง ๒๑ ปีว่า ท่านสุนทรภู่คิดเห็นสุขุมขึ้นอย่างไร

นอกจากนี้ แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่ความจงรักภักดีของท่านสุนทรภู่ ในพระองค์ก็มิได้เสื่อมคลายไปแม้แต่น้อย ด้วยท่านยังคร่ำครวญรำพันถึงพระองค์อยู่ตลอดการเดินทางในนิราศเรื่องนี้




๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
รับกฐินภิญโญโมทนาชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาสเมื่อตรุษสารทพระพรรษาได้อาศัย
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัยมาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น
โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหารแต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็นเพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้งก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้างมาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ
 
๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาดคิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทรแต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาดด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็นไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวายประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกาขอเป็นข้าเคียงบาททุกชาติไป ฯ
 
ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่งคิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
 เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวยแล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง
 เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถเคยรับราชโองการอ่านฉลอง
 จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลองมิได้ข้องเคืองขัดหัทยา
 เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
 สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธาวาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ฯ
 
ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล
 ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกลให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ฯ
 ถึงอารามนามวัดประโคนปักไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
 เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดินมิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
 ขอเดชะพระพุทธคุณช่วยแม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
 อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลาอยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
 ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำแพประจำจอดรายเขาขายของ
 มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตองทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภาฯ
 
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมงมีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
 โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเราให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
 ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
 ถึงสุราพารอดไม่วอดวายไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
 ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารักสุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
 ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไปแต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ
 
ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้องมามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
 เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืนจึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง
 ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครองเคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง
 ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคืองทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน
 ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์ร่มนิโรธรุกขมูลให้พูนผล
 ขอเดชะอานุภาพพระทศพลให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกายฯ
 
ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่งมีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย
 ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางรายพวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง
 จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถานทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง
 ถึงเขมาอารามอร่ามทองพึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืนฯ
 
โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศมาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น
 ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืนทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา
 โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลองเพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา
 เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนาพอนาวาติดชลเข้าวนเวียน
 ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอกกลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน
 บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียนดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน
 ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วงครรไลล่วงเลยทางมากลางหน
 โอ้เรือพ้นวนมาในสาชลใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลาฯ
 
ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้งสองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา
 โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคาเหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ
 เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝงทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
 เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือเพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย
 ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญมีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย
 ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงรายพวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืนฯ
 
มาถึงบางธรณีทวีโศกยามวิโยคยากใจให้สะอื้น
 โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้นถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
 เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
 ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจเหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกาฯ
 
ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่าผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
 เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตาทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
 โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยงเหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
 นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิดฯ
 
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
 แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตรจะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ
 
ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่านจะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา
 ขอให้สมคะเนเถิดเทวาจะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย
 ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาดบังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
 เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมในอุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา
 ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรักสู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา
 เป็นล่วงพ้นรนราคราคาถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดีฯ
 
ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้าพระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
 ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรีชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว
 โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลังแต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว
 โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัวไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ
 สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย
 แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใดขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี
 สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้างอย่ารู้ร้างบงกชบทศรี
 เหลืออาลัยใจตรมระทมทวีทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมาฯ
 
ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูงไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา
 ด้วยหนามดกรกดาษระดะตานึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ
 งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลมดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว
 ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัยก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
 เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้วยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
 ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนองเจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไรฯ
 
โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาดตัดสวาทตัดรักมิยักไหว
 ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น
 ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่งระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ
 เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้นเที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอาฯ
 
พระสุริยงลงลับพยับฝนดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา
 ถึงทางลัดตัดทางมากลางนาทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
 เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้างทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
 เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียวล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
 เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืดเรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
 ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคยประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
 กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอนเรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก
 เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานกน้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
 ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่งพอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
 เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัดต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอนฯ
 
แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้างในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
 จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพรกาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
 ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อยพระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
 วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
 สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อมอยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
 โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัดช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย
 จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอกระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย
 เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่ายข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร
 จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผักดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
 เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจรก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
 สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่าเป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา
 กระจับจอกดอกบัวบานผกาดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย
 โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็นจะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย
 ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพายเที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา
 ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิงไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา
 คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมาอุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน
 นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน
 พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยนถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจฯ
 
มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้งคิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
 จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวยก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน
 แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลกอกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
 เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควรจะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณฯ
 
มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้ามริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
 บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
 บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
 มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็งเมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
 อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมากช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู
 ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงูจนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอนฯ
 
ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัดจนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน
 ประมาณสามยามคล้ำในอัมพรอ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ
 นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้องมันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ
 ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อเหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ
 แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่องไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ
 ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระชัยชนะมารได้ดังใจปองฯ
 
ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถเจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
 ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทองดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย
 อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่นเป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
 ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันไดคงคาลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
 มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัดในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
 ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกันเป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
 บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่นต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
 ประทักษิณจินตนาพยายามได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
 มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวายด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
 เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก
 ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสกเผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
 โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรักเสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
 กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศจะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
 เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็นคิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้นฯ
 
ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศบรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์
 ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
 จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
 ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กรายแสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์
 ทั้งโลโภโทโสแลโมหะให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง
 ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายงทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
 อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่วอย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
 ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวรฯ
 
พอกราบพระปะดอกปทุมชาติพบพระธาตุสถิตในเกสร
 สมถวิลยินดีชุลีกรประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา
 กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้วใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
 มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชาไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ
 แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล
 โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกลเสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน
 สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศกกำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน
 พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานีฯ
 
ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวงค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์
 นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา
 ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูปทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา
 เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธาตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ
 ใช่จะมีที่รักสมัครมาดแรมนิราศร้างมิตรพิสมัย
 ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไรตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
 เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัดสารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา
 อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกาต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจฯ
 จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้นอย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน
 นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจจึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอยฯ

นิราศพระบาท นิราศเรื่องที่ ๒ ของสุนทรภู่

 นิราศพระบาท นิราศเรื่องที่ 2  ของ สุนทรภู่ เป็นนิราศคำกลอนมีความยาวถึง 462 คำกลอน นับเป็นนิราศที่ยาวมากเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่ โดยมีเนื้อหาบรรยายการเดินทางขณะโดยเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ไปนมัสการรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่อำเภอขุนโขลน จังหวัดสระบุรี เมื่อวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ พ.ศ. 2350

การเดินทางเริ่มต้นจากคลองขวางกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทางทางน้ำโดยใช้เรือ และการเดินทางทางบกโดยใช้ช้าง โดยลงเรือจากพระนครผ่านโรงสุราบางยี่ขัน ผ่านบ้านปูน บางพลู บางพลัด สามเสน บางซื่อ บางซ่อน เข้าปากเกร็ด บางพูด จังหวัดนนทบุรี แล้วล่องเรือไปขึ้นฝั่งที่บ้านขวาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นนั่งช้างและเดินเท้าต่อไปยังวัดพระพุทธบาท โดยผ่านสถานที่ในบริเวณนั้น อย่าง เขาโพธิ์ลังกา เขาขาด ถ้ำกินนร ถ้ำจักรี ฯลฯ

สุนทรภู่แต่งนิราศพระบาทขณะมีอายุ 21 ปี โดยบรรยายเรื่องราวชีวิตและอุปนิสัยส่วนตัวของสุนทรภู่ โดยเน้นความรักที่มีต่อนางจันภรรยา โดยบรรยายผ่านสถานที่ที่เดินทางผ่าน บางตอนสะท้อนชีวิตสาวชาววังและชาวบ้าน ตลอดจนวิถีชีวิตของคนในสังคมไว้ด้วย เช่น การแต่งกายของสาวชาววังที่ร่วมขบวนเสด็จ การแต่งกายของสาวมอญที่สามโคก และลักษณะบ้านของชาวมอญในสังคมไทย เล่าถึงงานวัดพระพุทธบาทอันเป็นงานสำคัญและยิ่งใหญ่

 โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
ดังศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวงเสียดายดวงจันทราพะงางาม
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
จนพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงพระนามจากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาทจำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดารนมัสการรอยบาทพระศาสดาฯ
  
วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำพอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลาพี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้าก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย
แสนสลดให้ระทดระทวยกายไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครันฯ
  
ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิตใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น
ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกันพิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง
ทั้งจากที่จากคลองเป็นสองข้อยังจากกอนั้นก็ขึ้นในคลองขวาง
โอ้ว่าจากช่างมารวบประจวบทางทั้งจากบางจากไปใจระบม
แสนวิบากหลากใจอาลัยเหลียวเห็นเวียงวังก็ยิ่งเสียวถึงเคยสม
ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนมน้อมบังคมเทวารักษาวัง
ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศอย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง
ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชังเทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานีฯ
  
ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียกเมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารีไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้งเออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคินแต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรักให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำสักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจฯ
  
ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิตนิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกลประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร
ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริตเหมือนซื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร
มิตรจิตขอให้มิตรใจจรใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง
ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง
เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนางจะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้วฯ
  
ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่านเขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้วพี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอกตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปรางต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่นแมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง
พฤกษาพ้องต้องนามกานดาดวงพี่ยลพวงผลจันทน์ให้หวั่นใจ
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองชิดนิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบเหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา
พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อยให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า
โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเราจึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นานฯ
  
ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญเป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลานเรือขนานจอดโจษกันจอแจ
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชมท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่
ใส่เสื้อตึงรึงรัดดูอัดแอพี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย
ชมคณาฝูงนางมากลางชลสุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพายหยุดสบายบริโภคอาหารพลัน
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออกเขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกันพี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว
เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอกใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว
จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียวใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลยฯ
  
ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่งโอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชยโอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้ามก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมนสะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้นระวังตนตีนมือระมัดมั่น
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครันถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำเปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้ารารานถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวงฯ
  
ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปักพี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวงจนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชกถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรงเห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้นเป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลางใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรีจำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไปฯ
  
๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวยแล้วก็เลยตามแควกระแสไหล
ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจโอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง
แต่โศกพี่หรือไม่มีเวลาว่างระยะทางก็ยังไกลถึงไพรระหง
ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดงเมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม
เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่งถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม
ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอมเรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนางฯ
  
ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลางต้องแยกทางสองแควกระแสชล
ปางบุรำคำบุราณขนานนามราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์
ในแถวทางกลางย่านกันดารคนนาวาดลเดินเบื้องบูรพา
โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอมาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า
ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคานี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ
ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบนาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้ามเป็นสามง่ามน้ำนองในคลองเขิน
ปักษาโบกปีกบินลงดินเดินมัจฉาเพลินผุดพล่านในคงคา
นกยางเลียบเหยียบปลานขาหยิกเอาปากจิกบินฮือขึ้นเวหา
กระทุงน้อยลอยทวนนาวามาโอ้ปักษาเอ๋ยจะลอยถึงไหนไป
หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนกให้แนบอกของพี่รู้ว่าโหยไห้
มิทันสั่งสกุณินก็บินไปลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน
ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อมเหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน
โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคนเมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวงฯ
  
ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำเหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวงจะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยวยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอินกระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวังกษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา
พาสนมออกมาชมคณานกก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตาก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋นทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม
โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตามจะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไปฯ
  
ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่มเภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแสพี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรืออุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่องเข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมาล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่นพี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึงจนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียนฯ
  
เห็นวัดวาอารามตามตลิ่งออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียรการเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทังอารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง
สังเวชวัดธารมาที่อาศัยถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครองมงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอกแสนวิตกมาตามแควกระแสสาย
ถึงคลองสระปทุมานาวารายน่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรกเห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกาดังป่าช้าพงชัฏสงัดคนฯ
  
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชนจะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มโหรีปี่กลองจะก้องกึกจะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจังยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรกชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามาเมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลกระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลินเสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึกไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัยโอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุคไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตายให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวงฯ
  
พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่นดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวงชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิตดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่
ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใครนั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนานฯ
  
สุริยนเย็นสนธยาย่ำประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรักจะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
พลพายนายไพร่บรรดามาหุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ
พี่ตันอกตกยากจากสถานเห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ
ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือพอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม
จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียวมีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม
กินประทับแต่พอรับกับโรคลมครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย
ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้มพี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทรายพงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตรเขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนานจัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลาฯ
  
๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะดูเกะกะรอร้างทางพม่า
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอราแต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียนตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทางหมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอกถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ
แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือเฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครันฯ
  
ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุกจะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชันถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ
โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้านลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจเคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้านระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย
โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลยหรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืนฯ
  
ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวงยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืนกว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย
ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย
จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวายแต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา
ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับเสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามาถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอดระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอดเรือตลอดแลหลามตามกระแส
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุดอุตลุดขนของขึ้นกองสุม
เสบียงใครใครนั่งระวังคุมพร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารีฯ
  
ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขาขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารีแต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย
อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อนระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย
แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพรายหัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว
ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญเขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว
พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัวฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร
กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือกมาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกววิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่งเวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวงพระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลันฯ
  
อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ
แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพันให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์
สดับเสียงสัปปุรุษที่หยุดพักเขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละครถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน
เฝ้าแหงนดูดวงแขชะแง้พักตร์เห็นจันทร์ชักรถร่อนเวหาเหิน
ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน
จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้วดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร
เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพรกองกุญชรผูกช้างมายืนเรียงฯ
  
บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่บ้างจอแจจัดการประสานเสียง
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียงบ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่างเสียงโฉ่งฉ่างขามแตกกระแทกขัน
จนคนบนสัปคับรับไม่ทันหม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริกกลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้ายเมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดินฯ
  
สงสารนางชาวในที่ไปด้วยทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น
หวีกระจกตกแตกกระจายดินเจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขาแต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ
มือตะกายสายรัดสกนธ์คอเห็นช้างงองวงหนีก็หวีดอึง
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาดสองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึงทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุดดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็วบ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพังฯ
  
สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลกบริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่งเป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดินเขยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้งระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย
แต่ตัวพี่นี้จำเพาะเป็นเคราะห์ร้ายต้องขึ้นพลายนำทางช้างน้ำมัน
เพื่อนเขาแกล้งตบมือกระพือผัดช้างสะบัดบุกไปในไพรสัณฑ์
ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทันโอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง
นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อนแล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง
แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิงเอาขอพิงพาดตักมาตามทางฯ
  
ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิดถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยางไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ
รุกขชาติดาษดูระดะป่าสกุณาจอแจประจำจับ
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับจะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพรในจิตใจทดท้อระย่อเย็นฯ
  
ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้างบรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น
มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็นไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง
บ้างขายของสองข้างตามทางป่าจำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียงเห็นของเรียงอยู่บนร้านทั้งหวานคาว
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้งเห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาวมาตามราวมรคาพนาวัน
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวนปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครันไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคูฯ
  
ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศกยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู
ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ
ระยะเดินเถินทางมากลางป่าสองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่
พอได้กึ่งมรคาพนาลัยพี่รีบไสช้างเดินโดยลำพองฯ
  
มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียวยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง
ถึงหนองคนทีมีสระละหานนองเป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้างรอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ
โอ้น้ำใจในอุราทาระกรรมเหมือนน้ำดำอยู่ในหนองเป็นฟองคราม
พี่ยลน้ำช้ำใจแล้วไสช้างมาตามทางทิวป่าพนาหนาม
กำหนดนับมรคาพยายามก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย
โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่าแต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย
จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกายจะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่างพะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียงนกเขาเคียงคู่คูประสานคำ
โอ้นกคู่ดูน่าจะผาสุกพี่นี้ทุกข์เพราะจากเจ้างามขำ
เห็นนกหนึ่งจับนิ่งกิ่งระกำโอ้นกน้อยเห็นจะจำจากตัวเมีย
ถ้านกผู้ดูเหมือนหัวอกพี่แสนทวีเวทนาประดาเสีย
นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมียจะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว
พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อยจะครวญคอยนับวันกระสันเสียว
ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียวพี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมาฯ
  
ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณรในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆาจะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน
ยามระงิดพี่ไม่คิดว่าเสือร้ายเขม้นหมายมุ่งลำเนาภูเขาเขิน
ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกินเขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล
ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไสจนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน
ถึงสระยอรอช้างเสวยเพลจนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทันฯ
  
พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญให้ป้องกันอันตรายในราวไพร
เห็นเขาตกเขาแตกมาตกลึกอนาถนึกแล้วน่าน้ำตาไหล
ที่ตกยากจากนางมากลางไพรวิตกใจตกมาถึงคีรี
รำจวญจิตคิดไปน่าใจหายไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี
จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรีจงสุขีเถิดนะข้าขอลาจรฯ
  
ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกรรีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัดออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม
ลงหยุดปลงไอยราริมอารามสมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่นก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย
ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไปตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบังฯ
  
ประจวบจนสุริยนเย็นพยับไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดังระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ววิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม
ทุกที่ทับสัปปุรุษก็พูดพึมรุกขาครึ้มครอบแสงพระจันทร
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถามในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร
เป็นวันบรรณรสีรวีวรพระจันทรทรงกลดรจนา
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑปกระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตาจับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุกในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพรายพลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
ดอกไม้ร้องป้องปีปสนั่นป่าในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน
แต่คนเดินพัลวันออกฟั่นเฟือนจนจันทร์เคลื่อนรถคล้อยลับเมฆา
สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบเย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา
เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนาต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว
ทั้งต้องน้ำอำมฤกเมื่อดึกเงียบแสนยะเยียบเนื้อเย็นเป็นเหน็บหนาว
ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราวไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น
โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ
ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็นใครปะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง
ถึงผ้าผ่อนซ้อนห่มเป็นไหนไหนไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดหญิง
แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิงจนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม
ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม
ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางามเหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง
สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่งตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง
พอลืมตาก็ผวาคว้าประคองไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญฯ
  
จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศกบริโภคโภชนากระยาหาร
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการเข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่นพิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย
แสนรโหโอฬาร์น่าสบายทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาคมีรูปรากษสสองอสูรขยัน
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามันยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น
บันไดนาคนาคในบันไดนั้นดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็นตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัดลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชายบ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราวฯ
  
ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้นมีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาวครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้นสิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทางพี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัดประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกันตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่มกระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย
มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลายกลางกระจายดอกจอกประจำทำฯ
  
พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำกินนรรำรายเทพประนมกร
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุขสุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธรกระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อยใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดังวิเวกวังเวงในหัวใจครันฯ
  
บานทวารลานแลล้วนลายมุกน่าสนุกในกระหนกดูผกผัน
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยวเทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม
ชมพูพานกอดก้านกระหนกรุมสุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑาเหินพรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์เสด็จทรงคชสารในบานบัง
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้านโอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบังที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม
มณฑปน้อยสรวมรอยพระบาทนั้นล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงามพระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อยระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอายฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทองฯ
  
พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาทอภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปองเดชะกองกุศลที่ตนทำ
มาคำรพพบพุทธบาทแล้วขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์
ฉันเกิดมาชาตินี้ก็มีกรรมแสนระยำยุบยับด้วยอับจน
ได้เคืองแค้นแสนยากลำบากบอบไม่สมประกอบทรัพย์สินก็ขัดสน
แม้นกลับชาติเกิดใหม่เป็นกายคนชื่อว่าจนแล้วจงจากกำจัดไกล
สตรีหึงหนึ่งแพศยาหญิงทั้งสองสิ่งอย่าได้ชิดพิสมัย
สัญชาติชายทรชนที่คนใดให้หลีกไกลร้อยโยชน์อย่าร่วมทาง
ถ้ารักใครขอให้ได้คนนั้นด้วยบุญจงช่วยปฏิบัติอย่าขัดขวาง
อย่ารู้มีโรคาในสารพางค์ทั้งรูปร่างขอให้ราวกับองค์อินทร์
หนึ่งบิดรมารดาคณาญาติให้ผุดผาดผาสุกเป็นนิจสิน
ความระยำคำใดอย่าได้ยินให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง
ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบากให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง
ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเองให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฎครันฯ
  
อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาทเที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชันมีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อยเขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียงมีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน
มีชะวากคูหาศิลาหุบในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์
แต่คนนมัสการนานอนันต์บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชายฯ
  
เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารักพระกลดหักทองขวางกางถวาย
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตายกรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม
เป็นบุญจริงจับกิ่งสะแกได้ในจิตใจยอกเจ็บดังเหน็บหนาม
กำลังอายก็ซังตายพยายามลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร
พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผาเขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข
พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไปให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมาฯ
  
ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขาผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกาลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบกงกระทบเขากระจายทลายหมด
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถจึงปรากฎตั้งนามมาตามกันฯ
  
พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิตพี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์
นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ
แล้วย่องเหยียบเลียบเนินลงเดินล่างตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว
เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัยสลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง
ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกดฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง
น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียงเหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน
ระกำป่ากาหลงกะลิงจับระกำกับเราระกำก็จำเหมือน
เห็นไม้จันทน์พี่ยิ่งฟั่นอารมณ์เฟือนเหมือนจันทร์เตือนใจตัวให้ตรอมใจ
โอ้นามไม้หรือมาต้องกับน้องพี่ขณะนี้นึกหน้าน้ำตาไหล
เจ้าอยู่เรือนชื่อเชือนมาอยู่ไพรเหมือนเตือนใจให้พี่ทุกข์ทุกย่างเดินฯ
  
มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนินพิศเพลินพฤกษาบรรดามี
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียกสำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี
สำคัญปากคูหาศาลามีชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ย้อยมีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน
พอเทียนดับลับแลไม่เห็นคนผู้หญิงปนเดินปะปะทะชาย
เสียงร้องกรีดหวีดก้องในห้องถ้ำชายขยำหยอกแย่งผู้หญิงหวาย
ใครกอดแม่แปรกอกแตกตายใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว
ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อนมันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว
บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาวก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดงฯ
  
ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้นสะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลงเป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดินกว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่นร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าวยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้
ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจโอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้านด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคารอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครันฯ
  
บนยอดเขามีสองสุนัขาสังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชันสี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง
เช่นนี้เจ้าเสาวภาคย์มาตามพี่จะถามจี้ไปทุกสิ่งไม่ขาดเสียง
พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียงประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม
นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตกเพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม
ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรมซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวงฯ
  
ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำวิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวงเป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง
สมมุติแลแง่หินชะง่อนหุบเป็นที่รูปสิงสัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดงที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อเห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัวดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่มศิลาแวมวาววามอร่ามฉาย
พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกายด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา
แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลังที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา
จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนาด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็นฯ
  
จะกลับหลังยังพระพุทธบาทเหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น
ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็นครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนางเจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย
สารพันกันภัยลูกนาคพดเครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลายเป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้าลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัวมันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทางฯ
  
พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลงเห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลางถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยมวารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธารเสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้มโถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึงกระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจฯ
  
ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วยพี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกวสนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน
ดูทำนองนางในไกวชิงช้าดังสีดาผูกคอที่โรงโขน
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยนก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่างทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรมให้แสนโทมนัสทัศนาฯ
  
คำขนานธารเกษมก็สมชื่อสนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา
เมื่อใช้บนเล่นชลธาราอันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราชสดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกันแล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชมแสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อยลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง
ล้วนจับคู่ชู้ชายชม้ายเมียงที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน
แสนสนุกจะมาทุกข์อยู่เพียงพี่ยิ่งทวีความวิโยคให้โศกศัลย์
เห็นคู่รักเขาสมัครสมานกันคิดถึงวันเมื่อมาดสวาทนาง
แต่วอนเวียนเจียนวายชีวิตพี่จึงได้ศรีเสาวภาคย์มาแนบข้าง
เจ้าเคืองขัดตัดสวาทขาดระวางจนแรมร้างออกมาราวอรัญวา
ครั้นอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริชพระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา
พระสุธนร้างห่างมโนห์ราพระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม
องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตรเสียพระเวทผูกทวารกรุงพาลถนอม
สุจิตราลาตายไม่วายตรอมล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์
แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรักยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์
ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรงว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย
พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย
แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชายก็กลับหมายมุ่งมายังอารามฯ
  
ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความเมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้าเป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลังหาบุญยังไปฉลองศาลาลัย
มีละครผู้คนอลหม่านกรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไปพี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอกชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอบ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกันฯ
  
ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกันตั้งประจันจดจับกระหยับมือ
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิดประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือคนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมากจมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขาบุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียนแต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วันฯ
  
จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่งจะกลับยังอาวาสเกษมสันต์
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญอภิวันท์ลาบาทพระชินวร
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุดก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร
แต่ตัวพี่ยังมาในสาครน้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัดโทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้ายเราจดหมายตามมีมาชี้แจง
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดงฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอยฯ

เนื้อเพลง