วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 8

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 8

เนื้อหา

  • ลิฉุย กุยกีแก้แค้นแทนตั๋งโต๊ะ 
  • พวกลิฉุย กุยกีได้มีอำนาจในเมืองหลวง 
  • ม้าเท้งกับหันซุยอาสาปราบลิฉุย กุยกี
  • โจโฉได้เป็นเจ้าเมืองกุนจิ๋ว 


ฝ่าย ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวทหารตั๋งโต๊ะที่หนีไปอยู่เมืองเซียงไสจึงปรึกษา กันแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงอ้องอุ้นว่า ซึ่งได้เปนพวกตั๋งโต๊ะนั้นด้วยความจำเปน โทษข้าพเจ้าทั้งสี่ซึ่งได้ทำผิดนั้นขออภัยเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอทำราชการด้วยท่านสืบไป

ฝ่ายอ้องอุ้นเห็นหนังสือดังนั้นจึงว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าก็เพราะลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ถ้ารับสั่งให้ยกโทษคนทั้งปวงเสียเราก็จะยอม แต่ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวนั้นจะขอเอาตัวมาฆ่าเสียให้ได้ แลผู้ถือหนังสือจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวตามคำอ้อ งอุ้นว่า ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวจึงปรึกษากันว่า ซึ่งจะเข้าเกลี้ยกล่อมอ้องอุ้นก็มิยอม แลเราทั้งปวงต่างคนต่างเอาตัวรอดเถิด

ฝ่ายกาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ซึ่งจะคิดหนีนั้นเห็นไม่พ้น ขอให้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเซียงไสได้แล้วประจบกับกองทัพเรายกไปทำการตีเอา เมืองเตียงฮัน ถ้าได้เมืองแล้วจึงจะให้ฆ่าอ้องอุ้นเสีย แลท่านทั้งสี่คนนี้จึงจะได้ทำราชการในเมืองหลวงสืบไป แม้ไม่สมคิดจึงพากันหนี ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวเห็นชอบด้วย จึงแต่งทหารซึ่งมีสติปัญญาไปเจรจากับชาวเมืองเซียงไสว่า บัดนี้อ้องอุ้นได้เปนใหญ่แล้ว จะยกทหารมาฆ่าชาวเมืองเซียงไสซึ่งหาความผิดมิได้เสียให้สิ้น แล้วลิฉุยให้ตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่นอกเมือง จึงให้ทหารเที่ยวร้องป่าวชาวเมืองเซียงไสว่า ถ้าผู้ใดรักชีวิตกลัวอ้องอุ้นจะฆ่าเสีย ก็ให้มาเข้าด้วยเรา จึงจะรอดจากความตาย

ฝ่ายชาวเมืองเซียงไส ครั้นแจ้งดังนั้นก็ตกใจกลัวความตาย จึงชวนกันมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ประมาณสิบห้าหมื่น ลิฉุยจึงแบ่งทหารให้กุยกีเตียวเจหวนเตียวยกไปสี่กอง ครั้นไปถึงกลางทางพบงิวฮูบุตรเขยตั๋งโต๊ะ คุมทหารห้าพันจะไปแก้แค้นอ้องอุ้น นายทัพทั้งสี่กองจึงให้งิวฮูเปนทัพหน้า แล้วยกไปใกล้จะถึงเมืองเตียงฮัน


ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นรู้ข่าวดังนั้นจึงปรึกษากับลิโป้ว่า ซึ่งลิฉุยกุยกียกมาดังนี้เราจะคิดประการใด ลิโป้จึงตอบว่าลิฉุยกุยกียกมานี้ท่านอย่าวิตกเลยไว้เปนธุระข้าพเจ้า แล้วให้ลิซกคุมทหารออกไปรบ ลิซกนั้นยกออกมาพบทัพงิวฮูได้รบพุ่งกันเปนสามารถ งิวฮูเห็นจะต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา แลลิซกนั้นมีใจกำเริบ จึงให้ทหารตั้งเปนชุมนุมอยู่ มิได้ตรวจตราป้องกันโดยกระบวรทัพ แลงิวฮูเห็นลิซกประมาท ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยาม งิวฮูก็ยกทหารเข้าโจมตีปล้นเอาทัพลิซก ฆ่าทหารเสียเปนอันมาก ลิซกนั้นหนีได้จึงเอาเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิโป้ ๆ รู้ดังนั้นก็มีใจโกรธ จึงให้เอาตัวลิซกไปตัดสีสะเสีย แล้วเสียบไว้ณประตูเมือง

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงยกทหารออกไปต่อรบงิวฮู ๆ แตกหนีไป แล้วงิวฮูจึงปรึกษากับเอาซกยีว่า ลิโป้นั้นมีกำลังนักเห็นเราจะสู้ลิโป้มิได้ จำจะคิดอ่านหนีไป เอาซกยีเห็นชอบด้วย ครั้นเวลากลางคืนงิวฮูจึงจัดเอาทรัพย์สิ่งสินที่ดีของตัว แล้วพาเอาซกยีกับพรรคพวกซึ่งสนิธสี่คนห้าคนหนีไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง แลเอาซกยีคิดเอาใจออกหากฆ่างิวฮูเสีย แล้วเอาทรัพย์สิ่งของๆ งิวฮู พาเอาคนสี่ห้าคนกับสีสะงิวฮูไปให้ลิโป้ ณ เมืองเตียงฮัน ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดสงสัยเอาซกยี จึงลอบถามคนสี่ห้าคนซึ่งมาด้วยว่า เกิดเหตุขัดเคืองกันเปนประการใด เอาซกยีจึงฆ่างิวฮูเสียแล้วตัดเอาสีสะมาให้เรา คนทั้งนั้นจึงบอกความแต่หลังให้ฟัง

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เอาซกยีนั้นเปนคนโลภหาความสัตย์มิได้ จะเลี้ยงไว้นั้นไม่ควร จึงสั่งให้ทหารเอาเอาซกยีไปฆ่าเสีย แล้วลิโป้จัดแจงทหารยกกองทัพไป พบลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ก็ขับม้าแลพาทหารเข้าไล่โจมตี ทหารลิฉุยกุยกีไม่ทันเตรียมตัวก็แตกพ่ายไปทางประมาณห้าร้อยเส้น ถึงเขาแห่งหนึ่งจึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ลิฉุยจึงปรึกษากุยกีเตียวเจหวนเตียวว่า ลิโป้นั้นมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญแต่หาปัญญาความคิดมิได้ เราจะคิดอุบายให้กุยกีคุมทหารไปคอยสกัดทางซึ่งจะเข้าไปเมือง ตัวเราจะคุมทหารรบล่อ ถ้าได้ยินเสียงม้าฬ่อก็ให้ขับทหารเข้ารบ ถ้าได้ยินเสียงกลองก็ให้ทำเปนถอยทหารมา แลเตียวเจหวนเตียวนั้นให้คุมทหารแยกกันเข้ารบเมืองเตียงฮันเปนสองด้าน เห็นลิโป้จะรบป้องกันหน้าหลังมิทัน จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง กุยกีเตียวเจหวนเตียวเห็นชอบด้วยก็คุมทหารยกไปทำตามคำลิฉุยว่า

ฝ่ายลิโป้ก็ยกตามมาถึงท้ายเขา พบกองทัพลิฉุยได้รับกันเปนสามารถ ลิฉุยจึงให้ตีกลอง แล้วถอยทหารขึ้นบนเนินเขา ลิโป้ก็ตามรบขึ้นไป ครั้นเห็นทหารลิฉุยยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ลิโป้ก็ให้ถอยทหารลงมา

ฝ่ายกุยกีแลเห็นดังนั้นก็ให้ตีม้าฬ่อ ยกทหารเข้าไป ลิโป้ก็ให้กลับหน้ามารบ ฝ่ายกุยกีก็ให้ตีกลองแล้วถอยทหารมา ลิฉุยก็ยกทหารลงมาจากเนินเขาเข้ารบด้วยลิโป้แล้วถอยมา กุยกีรบกระหนาบเข้ามา แต่ลิฉุยกุยกีรบยั่วลิโป้อยู่ถึงสามวันสามคืน แลลิโป้นั้นอยู่ในระหว่างทัพกระหนาบ มิรู้ที่จะป้องกันรบพุ่งข้างไหน จะถอยไปก็มิได้ พอม้าใช้เล็ดลอดมาบอกแก่ลิโป้ว่า บัดนี้กองทัพเตียวเจหวนเตียวยกเข้ารบเมืองเตียงฮันอยู่เปนสามารถ เห็นข้าศึกได้ทีจวนจะได้เมืองอยู่แล้ว ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดจะเข้าไปช่วยเมืองเตียงฮัน จึงคุมทหารรบฝ่าหักออกไป แล้วลิฉุยกุยกีนั้นตามรบลิโป้มา ลิโป้มิได้เปนกังวลรบทัพข้างหลัง ตั้งหน้ารีบจะไปช่วยเมืองเตียงฮันไว้ให้รอด ลิโป้นั้นเสียทหารเปนอันมาก ครั้นมาใกล้เมืองเห็นทหารเตียวเจหวนเตียวล้อมเมืองไว้ แลทหารลิโป้นั้นกลัวความตาย ก็ไปเข้าด้วยเตียวเจหวนเตียวเปนอันมาก ลิโป้เห็นดังนั้นก็เสียใจ จึงพาทหารซึ่งเหลืออยู่นั้น รวนเรไปมาอยู่ถึงสองวันสามวัน

ฝ่ายลิบ้องอ่องหองสองคนนี้ เปนขุนนางอยู่ในเมืองเตียงฮันเปนพรรคพวกตั๋งโต๊ะ จึงคิดกันเปนไส้ศึกคุมทหารของตัวลอบเปิดประตูทั้งสี่ด้านออกรับกองทัพ ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวเข้าไปได้ในเมือง แลลิโป้นั้นก็หักเข้าไปในเมืองรบพุ่งฆ่าฟันทหารลิฉุยกุยกีเสียเปนอันมาก แลลิโป้นั้นเหลือกำลัง จึงพาทหารประมาณร้อยเศษรบหักออกไปจากประตูวัง พอพบอ้องอุ้นเข้าลิโป้จึงว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ซึ่งจะอยู่ต่านทานนั้นเห็นเหลือกำลัง ขอท่านเร่งขึ้นม้าหนีเอาตัวรอดไว้ก่อนจึงจะได้คิดการต่อไป

อ้องอุ้นจึงตอบว่าเดิมเรากับท่านคิดกัน จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุขก็สมคิดแล้ว บัดนี้เกิดเหตุขึ้นเพราะพวกตั๋งโต๊ะ แลเราจะหนีเอาตัวรอดนั้นไม่ควร ถึงจะตายก็เอาความชอบไว้ภายหน้า ท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ช่วยเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งแก่หัวเมืองทั้งปวงว่าเราคำนับไปด้วย บัดนี้เกิดเหตุขึ้นในเมืองหลวง ให้หัวเมืองทั้งปวงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินยกกองทัพเข้ามาช่วยกำจัดศัตรูราช สมบัติเสีย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็พูดจาชักชวนเปนหลายครั้งอ้องอุ้นก็มิไป พอเห็นแสงเพลิงซึ่งข้าศึกจุดเผาขึ้นนั้นเปนหลายตำบล ลิโป้ก็ทิ้งครอบครัวเสีย ขึ้นม้าพาทหารร้อยเศษหนีออกจากเมือง ไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง อ้องอุ้นนั้นเข้าไปในวัง

ฝ่ายลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ซึ่งหักเข้าไปในเมืองนั้นก็ฆ่าฟันขุนนางแลทหารเสียเปนอันมาก แล้วยกเข้าถึงในพระราชวัง ขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับอ้องอุ้นขึ้นไปบน พระตำหนักหอสูง ลิฉุยกุยกีกับทหารทั้งปวงก็ถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ จึงตรัสถามลิฉุยกุยกีว่า ซึ่งตัวบังอาจทำการเข้ามาในพระราชวังจะประสงค์สิ่งใด ลิฉุยกุยกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าทำการทั้งนี้จะได้คิดขบถต่อพระองค์หามิได้ เดิมตั๋งโต๊ะเปนมหาอุปราชได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน แลอ้องอุ้นคบคิดกับลิโป้ฆ่ามหาอุปราชเสีย ข้าพเจ้าจึงเข้ามาหวังจะฆ่าอ้องอุ้นเสียให้หายแค้น ถ้าพระองค์ทรงพระเมตตาส่งตัวอ้องอุ้นให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะพาทหารออกไป อ้องอุ้นได้ยินลิฉุยกุยกีว่าดังนั้นก็ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้ามีสัตย์สุจริตต่อแผ่นดิน จึงฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ลิฉุยกุยกีจะเอาตัวข้าพเจ้า ครั้นข้าพเจ้าจะรักชีวิตบิดพลิ้วอยู่ก็จะเกิดอันตรายในพระราชฐานมากไป ข้าพเจ้าจะขอเอาชีวิตไปให้ลิฉุยกุยกีฆ่าเสียสนองพระคุณพระองค์ ว่าแล้วอ้องอุ้นก็โจนลงไปในช่องแกลพระตำหนักร้องว่า ตัวกูอยู่นี่มึงจะทำประการใดก็มาเถิด ลิฉุยกุยกีได้ยินดังนั้นจึงถามอ้องอุ้นว่า มหาอุปราชมีความผิดสิ่งใดตัวจึงคบคิดกับลิโป้ฆ่าเสีย อ้องอุ้นจึงตอบว่า อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเปนศัตรูราชสมบัติ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดินเปนอันมากกูจึงฆ่าเสีย ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีด้วย เหตุไฉนตัวมึงจึงมีความเจ็บแค้นด้วยอ้ายขบถ ลิฉุยกุยกีจึงตอบว่า มหาอุปราชทำความผิดตัวจึงฆ่าเสีย แลเราทั้งสี่นี้ได้มีหนังสือมาอ่อนน้อมจะขอทำราชการด้วยตัวมิยอมว่าจะฆ่า เสียนั้น เรามีความผิดประการใด อ้องอุ้นจึงร้องตวาดแล้วตอบว่า ซึ่งกูมิเอามึงทั้งสี่ไว้ทำราชการด้วยนั้น เพราะมึงเปนพวกขบถกลัวแผ่นดินจะเปนอันตราย ซึ่งมึงคิดการทั้งนี้จะปราถนาสิ่งใดก็เร่งทำเถิดกูมิได้กลัวความตาย ลิฉุยกุยกีได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงเอากระบี่ฟันอ้องอุ้นถึงแก่ความตาย แล้วให้ทหารไปจับบุตรภรรยาญาติพี่น้องอ้องอุ้นมาฆ่าเสียสิ้น แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวง ครั้นรู้ว่าอ้องอุ้นตายก็ชวนกันร้องไห้รัก


ลิฉุยกุยกีจึงคิดกันว่า เราทำการเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว จะละไว้นั้นมิได้ จำจะคิดเอาราชสมบัติฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียจึงจะควร เตียวเจหวนเตียวจึงห้ามว่า ซึ่งจะทำจลาจลถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเราไม่เห็นด้วย หัวเมืองทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรเห็นจะไม่ยอมด้วยเรา ก็จะยกทหารเข้ามาทำการรบพุ่งเปนการใหญ่เราจะได้ความขัดสน ขอให้ชวนกันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทูลขอทำราชการในเมืองหลวง แล้วจึงค่อยคิดอ่านแอบรับสั่งให้หาหัวเมืองเข้ามาจับฆ่าเสียให้สิ้น ราชสมบัตินั้นจะได้แก่เราโดยง่าย ลิฉุย กุยกี เห็นชอบด้วย จึงพาเตียวเจหวนเตียวเข้าไปถวายบังคม

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสถามลิฉุยกุยกีว่า เดิมตัวบอกว่าจะขอเอาตัวอ้องอุ้นแล้วจะยกทหารกลับออกไป บัดนี้ตัวฆ่าอ้องอุ้นเสียแล้วแลยังมิยกกลับไป เองยังอยู่จะประสงค์สิ่งใด ลิฉุยกุยกีจึงทูลว่าแต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าได้ทำราชการมีความชอบต่อแผ่นดิน มากอยู่ หาผู้ใดพิททูลพระองค์มิได้ พระองค์จึงมิได้ปูนบำเหน็จข้าพเจ้าให้เปนที่ขุนนาง บัดนี้ข้าพเจ้าสี่คนจะขอทำราชการเปนที่ขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ถ้าพระองค์โปรดให้ตามปราถนา ข้าพเจ้าจึงจะยกทหารออกไปจากพระราชวัง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า แลตัวทั้งสี่จะพอใจเปนที่ขุนนางตำแหน่งใดก็ให้ว่ามา

ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวปรึกษากันแล้ว จึงเขียนหนังสือถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ทอดพระเนตรเห็นหนังสือนั้นว่า ลิฉุยเปนที่กีจงกุ๋น ภาษาไทยว่าเปนนายทหารใหญ่กองใน แล้วเปนผู้สำเร็จราชการด้วย กุยกีนั้นเปนที่ฮอจงกุ๋น ภาษาไทยว่าเปนนายทหารกองหลัง แล้วว่าที่จางวางขุนนางทั้งปวงด้วย เตียวเจแลหวนเตียวนั้นเปนนายทหารซ้ายขวา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ประทานให้ แลลิฉุย กุยกีครั้นได้รับสั่งแล้วจึงออกมาตั้งอยู่นอกวัง จึงปรึกษากันว่า เมืองฮองหลงนั้นเปนเมืองหน้าด่านจะไว้ใจแก่ข้าศึกมิได้ จึงให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปรักษาอยู่ แลลิบ้องอ่องหองซึ่งเปิดประตูรับนั้น เลื่อนที่ขึ้นเปนขุนนาง แลทหารซึ่งมีสติปัญญาก็ตั้งขึ้นเปนขุนนางด้วย แล้วให้ทหารไปสืบเสาะเก็บเอากระดูกตั๋งโต๊ะมาให้แต่งการศพอย่างที่มหาอุปราช แล้วให้แห่ออกไปจะฝังศพไว้ตามธรรมเนียม ในขณะทำการเมื่อจะฝังศพนั้น พอเกิดลมพายุพัดหนักฝนตกห่าใหญ่น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอก อัสนีผ่าถูกศพ กระดูกนั้นกระจายไป ครั้นฝนสงบลง ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกมาผสมกันเข้า แล้วจะให้ฝังเวลากลางคืนนั้น ซ้ำเกิดพายุฝนตกฟ้าผ่าถูกกระดูกนั้นกระจายไป ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกนั้นมาผสมกันเข้าอีกเปนหลายครั้ง ฝนก็ตกฟ้าคนองผ่าลงทุกครั้ง จนกระดูกนั้นสาบสูญไปสิ้นมิได้ฝัง ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลลิฉุย กุยกี ก็กลับเข้าไปเมืองหลวง ทำการกำเริบหยาบช้าต่างๆ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน แลลิฉุยกุยกีเอาเงินทองไปถึงใจแก่ขันทีซึ่งรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วสั่ง ว่า ถ้าได้ยินพระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสดีแลร้ายประการใด ก็ให้เอาเนื้อความมาบอก

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังทรงพระเยาว์อยู่ จะตรัสตราสินราชการเมืองก็ผันแปรฟั่นเฟือนไป ราชการแลขุนนางในเมืองหลวงนั้นก็เปนสิทธิ์อยู่ในบังคับบัญชาลิฉุยกุยกีสิ้น ลิฉุยกุยกีจึงให้หาจูฮีซึ่งเปนขุนนางนอกราชการนั้น มาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการ

ฝ่ายม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง กับหันซุยเจ้าเมืองเป๊งจิ๋วปรึกษากันว่า บัดนี้ลิฉุยกุยกีได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ทำการหยาบช้าเหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ จำเราจะคิดอ่านกำจัดเสีย บ้านเมืองทั้งปวงจึงจะเปนสุข จึงแต่งหนังสือเข้าไปถึงม้าฮูหนึ่ง ตงเซียวหนึ่ง เลาเฉียหนึ่ง สามคนนี้เปนขุนนางข้าหลวงเดิมของพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ลิฉุยกุยกีทำการหยาบช้าทุกวันนี้แผ่นดินได้ความเดือนร้อนเหมือนครั้งตั๋ง โต๊ะ แลเนื้อความทั้งนี้จงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทราบ เราจะยกกองทัพเข้าไปล้างลิฉุยกุยกีเสีย ท่านทั้งสามจงคิดกระทำข้างในเมือง

ม้าฮูตงเซียวเลาเฉีย ครั้นรู้ในหนังสือนั้นแล้ว จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ก็มีพระทัยยินดี จึงทรงพระอักษรเปนใจความว่า ซึ่งม้าเท้งกับหันซุยคิดทั้งนี้เราขอบใจนัก ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วส่งให้ทหารม้าเท้งหันซุยถือกลับมา

ม้าเท้งหันซุยเห็นลายพระหัตถ์ก็มีความยินดีนัก จึงจัดแจงทหารสองหัวเมืองได้ประมาณสิบเอ็ดสิบสองหมื่น ยกไปถึงกลางทาง แล้วให้ทหารร้องประกาศแก่ชาวเมืองว่า ซึ่งยกมานี้จะทำการกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย

ฝ่ายม้าใช้แจ้งดังนั้นก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ลิฉุยกุยกี ๆ จึงให้หาเตียวเจหวนเตียวมาปรึกษาว่า ม้าเท้งหันซุยยกมานี้ใครยังจะคิดประการใด กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ม้าเท้ง หันซุยยกมานั้นเปนทางไกลกันดาร เราจะรักษาหน้าที่ไว้ให้ยกเข้าล้อมถึงเชิงกำแพง ถ้าเห็นว่าขาดสเบียงลงแล้ว จึงให้ยกทหารออกโจมตีก็จะจับม้าเท้งกับหันซุยได้โดยง่าย

ลิบ้องอ่องหองจึงว่า ซึ่งกาเซี่ยงว่านั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าพเจ้าจะขอทหารหมื่นหนึ่ง จะยกออกไปตัดเอาสีสะม้าเท้งหันซุยมาให้ท่าน กาเซี่ยงจึงตอบว่า ลิบ้องอ่องหองจะยกไปนั้นเห็นจะเสียทีเปนมั่นคง ลิบ้องอ่องหองจึงตอบว่า ถ้าเราสองคนออกไปไม่ได้สีสะม้าเท้งกับหันซุยเข้ามา ท่านจงตัดสีสะเรานี้แทนเถิด ถ้าได้สีสะนายทัพทั้งสองนั้นเข้ามา ท่านจงตัดสีสะท่านให้แก่เราด้วย กาเซี่ยงจึงว่าแก่ลิฉุยกุยกีว่า ลิบ้องอ่องหองจะอาสาออกไปรบก็ตามเถิด แต่เขาเจียวจิดนั้นทางไกลเมืองหลวงประมาณสองพันเส้น อยู่ฝ่ายตวันตกมีทางจำเพาะเดิรตามซอกเขา ขอให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปซุ่มอยู่ตำบลนั้นให้จงมาก ภายหลังถ้าลิบ้องอ่องหองเสียทีมาประการใดก็จะได้ช่วย


ลิฉุยกุยกีจึงตอบว่า ซึ่งจะให้เตียวเจหวนเตียวยกออกไปตั้งอยู่ ณ ซอกเขานั้นเราไม่เห็นด้วย แล้วลิฉุยกุยกีจึงเกณฑ์ทหารหมื่นห้าพันให้ลิบ้องอ่องหองยกออกไปทางประมาณสอง พันเส้น พบกองทัพม้าเท้งหันซุยก็ตั้งประชิดกันอยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้านายทัพทั้งสองฝ่ายยกทหารออกตั้งอยู่นอกค่าย ม้าเท้ง หันซุย จึงร้องว่า อ้าย ลิบ้อง อ่องหองเปนศัตรูราชสมบัติผู้ใดจะอาสาไปจับมาให้เราได้

ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งอายุสิบแปดปี หน้าดังสีหยกกิริยาว่องไวรับอาสา แล้วถือทวนขับม้าฝ่าทหารขึ้นไป อ่องหองเห็นม้าเฉียวยังเด็กอยู่ก็คิดประมาท ขับม้ารำง้าวออกมารบด้วยม้าเฉียวได้ห้าเพลง ม้าเฉียวเอาทวนแทงอ่องหองตกม้าตาย แล้วม้าเฉียวชักม้าจะกลับมา ลิบ้องเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวไล่ตามม้าเฉียวมาข้างหลัง ม้าเฉียวชำเลืองดูแต่ทำเปนไม่เห็น ม้าเท้งเห็นลิบ้องตามมา จึงร้องบอกแก่ม้าเฉียวว่า ศัตรูตามมาจะทำร้ายข้างหลัง ให้เร่งระวังตัว ลิบ้องเห็นจวนจะทันเข้า จึงเอาง้าวฟันเอาม้าเฉียว ๆ หลบได้ จึงชักม้ากลับหลังโถมเข้าจับลิบ้องได้ เอามาให้แก่บิดา แลทหารม้าเท้งหันซุยได้ทีดังนั้น ก็ไล่ฆ่าฟันทหารลิบ้องล้มตายเปนอันมาก ม้าเท้งกับหันซุยจึงยกทหารเข้าไปตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองเตียงฮัน แล้วให้เอาลิบ้องไปฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะเสียบไว้หน้าค่าย

ฝ่ายม้าใช้จึงเอาเนื้อความมาบอกแก่ลิฉุย กุยกี ๆ ครั้นแจ้งดังนั้นก็คิดว่ากาเซี่ยงว่านั้นชอบ เรามิได้ทำตามคำจึงเสียทหารไปทั้งนี้ แต่นั้นมาลิฉุยกุยกีก็นับถือเชื่อฟังกาเซี่ยง แล้วก็ให้จัดแจงค่ายคูประตูหอรบ เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินพร้อมมั่นคงทุกด้าน

ฝ่ายม้าเท้งกับหันซุยก็ยกทหารถึงเชิงกำแพงเมืองได้ประมาณสองเดือน ทหารในกองทัพนั้นขาดสเบียงอดเข้าปลาอาหารอิดโรย ม้าเท้งหันซุยเห็นทหารขาดสเบียง จึงปรึกษากันจะให้ยกกองทัพถอยไป ยังมิตกลงกัน

ขณะนั้นคนใช้สนิธของม้าฮู ลอบเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิฉุยกุยกีว่า ม้าฮูนายข้าพเจ้าคบคิดกับตงเซียวเลาเฉียรับเปนไส้ศึก ม้าเท้งจึงยกมาทำการสงคราม ลิฉุยกุยกีครั้นแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารไปจับตัว ม้าฮูหนึ่ง ตงเซียวหนึ่ง เลาเฉียหนึ่ง กับบุตรภรรยาญาติพี่น้องมาฆ่าเสียสิ้น แล้วก็ตัดสีสะตัวนายทั้งสามคนเสียบประจานไว้บนหน้าที่เชิงเทินให้ข้าศึกเห็น ม้าเท้งหันซุยเห็นดังนั้นจึงปรึกษากันว่า ไส้ศึกในเมืองก็เปนเหตุแล้ว ฝ่ายทหารในกองทัพเราก็ขาดสเบียงลง ถ้าจะตั้งล้อมไว้ดังนี้ก็จะเสียทหารมาก ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันก็เลิกทัพถอยไป ลิฉุยกุยกีเห็นดังนั้นจึงให้เตียวเจคุมทหารยกไปตามม้าเท้งกองหนึ่ง แล้วให้หวนเตียวยกทหารไปตามหันซุยกองหนึ่ง ครั้นมาถึงเขาตันฉอง หันซุยเหลียวมาเห็นหวนเตียว หันซุยจึงร้องว่า ตัวท่านกับเราเปนชาวบ้านเดียวกันมาแต่น้อย เปนไฉนท่านหามีความเมตตาไม่ จะมาทำอันตรายแก่เรา หวนเตียวจึงตอบว่า ทุกวันนี้ราชการในเมืองหลวงเปนสิทธิ์อยู่กับลิฉุยกุยกี ๆ ให้เรายกออกมาตามท่านทั้งนี้ก็เปนการใหญ่ แลเราจะเห็นแก่หน้าท่านอยู่นั้นมิได้ หันซุยจึงตอบว่า เรายกมาทำการทั้งนี้ก็เพราะหวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข ถึงท่านจะมิคิดถึงเราก็จงคิดถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งครองราชสมบัตินั้นเถิด หวนเตียวได้ยินหันซุยว่าดังนั้น เปนข้อกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ หวนเตียวก็ให้ทหารทั้งปวงหยุดตั้งมั่นอยู่ แลหันซุยนั้นก็เร่งขับทหารทั้งปวงรีบไปถึงเมืองเป๊งจิ๋ว

ฝ่ายเตียวเจซึ่งไปตามม้าเท้งนั้น ครั้นไม่ทันแล้วก็ยกทหารกลับมาตั้งอยู่กับหวนเตียว แลลิเบียดซึ่งเปนหลายลิฉุยนั้น มาในกองทัพหวนเตียว ครั้นเห็นหวนเตียวมิได้จับหันซุย ก็เอาเนื้อความทั้งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิฉุยผู้เปนอาว์ ลิฉุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จะให้ทหารออกไปจับตัวหวนเตียวมา กาเซี่ยงจึงห้ามว่าบัดนี้บ้านเมืองยังมิสงบ ซึ่งจะให้ทหารออกไปจับหวนเตียว เห็นว่าหวนเตียวจะไม่ยอมให้จับโดยง่าย ก็จะเกิดรบพุ่งกันขึ้นอีก ขอให้แต่งคนออกไปบอกแก่เตียวเจหวนเตียวโดยดีว่า ซึ่งยกไปตามม้าเท้งหันซุยไม่ทันนั้นก็แล้วไปเถิด บัดนี้เราแต่งโต๊ะเชิญขุนนางทั้งปวงมาเสพย์สุรา จึงให้เตียวเจ หวนเตียวเข้ามากินโต๊ะด้วย ถ้าเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะแล้วจึงค่อยจับเอา การจึงจะไม่วุ่นวาย ลิฉุยเห็นชอบด้วย จึงให้คนออกไปหาเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะ เตียวเจหวนเตียวมิได้รู้เหตุก็ยกทหารกลับเข้ามาเมืองเตียงฮัน แล้วเข้าไปกินโต๊ะด้วยลิฉุยกุยกี เมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นลิฉุยจึงว่าแก่หวนเตียวว่า เราให้ยกทหารไปตามจับหันซุย แลตัวมิได้ทำตามคำเรา เอาน้ำใจไปแผ่เผื่อกับหันซุยนั้น ตัวจะคิดร้ายแก่เราหรือ หวนเตียวได้ยินดังนั้นก็ตกใจยังมิทันตอบประการใด บู๋ซูก็ลากเอาตัวหวนเตียวไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะหวนเตียวมาให้ลิฉุยดู เตียวเจเห็นดังนั้นยังมิได้รู้เหตุประการใดก็ตกใจหมอบลงกับริมโต๊ะ ลิฉุยเข้าประคองเตียวเจขึ้นแล้วจึงว่า หวนเตียวนั้นเอาใจออกหากเราคิดกับหันซุยจะทำร้ายเรา ท่านหาความผิดมิได้อย่าตกใจกลัว แล้วยกเอาทหารซึ่งหวนเตียวคุมนั้นให้แก่เตียวเจ ให้เตียวเจยกออกไปรักษาเมืองฮองหลงอยู่ดังแต่ก่อน

ขณะนั้นขุนนางทั้งปวงในเมืองหลวง ก็ยิ่งคิดเกรงกลัวลิฉุยกุยกีขึ้นเปนอันมาก แลกาเซี่ยงนั้นว่ากล่าวให้ลิฉุย กุยกี เกลี้ยกล่อมเอาใจขุนนางแลราษฎรทั้งปวงให้มีน้ำใจรัก แลขุนนางทั้งนั้นก็อยู่ในอำนาจลิฉุยกุยกีสิ้น

ขณะนั้นมีหนังสือบอกเมืองเซียงจิ๋วมาว่า มีโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบสี่สิบหมื่นเที่ยวทำร้ายอาณาประชาราษฎร ลิฉุยกุยกีเห็นหนังสือบอกดังนั้น จึงปรึกษาแห่ขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งเกิดโจรทำอันตรายหัวเมืองดังนี้ เราจะคิดประการใดจึงจะบำราบโจรได้ จูฮีจึงว่า ซึ่งเกิดโจรขึ้นณแดนเมืองเซียงจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นแต่โจโฉผู้เดียว มีฝีมือจะไปปราบโจรฝ่ายตวันออกได้ ลิฉุยกุยกีจึงถามว่า โจโฉนั้นอยู่แห่งใด จูฮีจึงบอกว่า โจโฉนั้นได้มาทำการกับอ้วนเสี้ยวเมื่อครั้งรบตั๋งโต๊ะ บัดนี้กลับไปอยู่เมืองตงกุ๋นมีทหารอยู่เปนอันมาก ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกไป ให้โจโฉยกออกไปปราบโจรณแดนเมืองเซียงจิ๋วเห็นจะได้โดยง่าย ลิฉุยกุยกีเห็นด้วย จึงแต่งหนังสือรับสั่งสองฉบับ ๆ หนึ่งให้เปาสิ้นเจ้าเมืองปักเป๋งยกทหารไปเข้าด้วยโจโฉปราบโจร ฉบับหนึ่งให้โจโฉกับเปาสิ้นยกไปปราบโจรณแดนเมืองเซียงจิ๋ว

ฝ่ายเปาสิ้นครั้นแจ้งในหนังสือรับสั่งแล้ว ก็จัดแจงยกทหารไปหาโจโฉ แลโจโฉนั้นครั้นทราบในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดีจึงจัดแจงทหารเปนอันมาก แล้วพาเปาสิ้นยกไปถึงตำบลซิวสุนแดนเมืองเซียงจิ๋ว พบโจรโพกผ้าเหลืองพวกหนึ่งตั้งอยู่เปนอันมาก เปาสิ้นจึงอาสายกเข้าโจมตีพวกโจร พวกโจรต่อรบเปนสามารถ แล้วแต่งทหารโจรวกหลังฆ่าเปาสิ้นตายในที่นั้น ฝ่ายโจโฉเห็นเปาสิ้นตายก็โกรธ จึงยกทหารเข้ารบฆ่าพวกโจรล้มตายเปนอันมาก แลโจโฉคุมทหารไล่พวกโจรไปถึงแดนเมืองเจปัก ทหารทั้งปวงจับโจรได้บ้าง โจรมาเข้าเกลี้ยกล่อมบ้าง ได้คนประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น แล้วโจโฉให้พวกโจรชเลยนั้นเปนกองหน้ายกไปเที่ยวปราบโจรทุกตำบล แต่โจโฉยกทหารเที่ยวปราบโจรนั้นได้ประมาณสองเดือน โจรทั้งปวงนั้นมาเข้าเกลี้ยวกล่อมทั้งเก่าทั้งใหม่ได้ประมาณสามสิบหมื่น บันดาหญิงชายชาวเมืองซึ่งโจรจับไว้ได้นั้นประมาณร้อยหมื่น โจโฉเลือกจัดเอาที่ฉกรรจ์นั้นไว้เปนทหารประมาณยี่สิบหมื่นเศษ ชายชรากับหญิงนั้นให้กลับไปทำมาหากินอยู่ตามภูมิลำเนา โจโฉจึงบอกหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้าปราบโจรสงบแล้ว ลิฉุยกุยกีแจ้งในหนังสือโจโฉดังนั้น จึงเอาขึ้นกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ตรัสว่า โจโฉครั้งนี้มีความชอบเปนอันมาก ให้มีหนังสือไปตั้งให้โจโฉเปนใหญ่กว่าหัวเมืองตวันออกทั้งปวง ลิฉุยกุยกีนั้นหาทันคิดไม่ ก็ให้มีหนังสือตั้งโจโฉตามรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้

โจโฉครั้นได้หนังสือรับสั่งก็มีความยินดีนัก จึงยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋ว แล้วให้ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คน แลจัดหาผู้มีสติปัญญาไว้ จะได้เปนที่ปรึกษาไปภายหน้า แลผู้คนทั้งปวงมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยเปนอันมาก

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ซุนฮกผู้เปนอาว์ ซุนสิวผู้หลาน ซึ่งอยู่กับอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษากันว่า อ้วนเสี้ยวเปนคนหยาบช้า เห็นเราจะอยู่ด้วยสืบไปนั้นมิได้ บัดนี้หัวเมืองฝ่ายตวันออกนั้นโจโฉได้เปนใหญ่ มีใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง เราพากันไปอยู่ด้วยจึงจะควร ซุนสิวผู้หลานเห็นด้วยจึงพากันหนีอ้วนเสี้ยว ไปเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉ ณ เมืองกุนจิ๋ว โจโฉเห็นซุนฮก ซุนสิวนั้นคมสัน เห็นจะมีสติปัญญาจึงหาเข้ามาพูดจาแล้วตั้งไว้เปนที่ปรึกษา ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าได้ยินคนทั้งปวงเล่าลือว่า เทียหยกชาวเมืองตงกุ๋นนั้นมีสติปัญญา บัดนี้อยู่ในเมืองกุนจิ๋ว เปนไฉนท่านมิเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ โจโฉจึงว่าเราได้ยินเขาลืออยู่ช้านานแล้วแต่เรายังมิรู้จักตัว แล้วโจโฉจึงให้คนไปสืบเสาะเกลี้ยกล่อมได้เทียหยกมา โจโฉเห็นก็มีความยินดี จึงเอาเทียหยกไว้ทำราชการด้วย

ฝ่ายเทียหยกรู้ว่าซุนฮกเสนอความดีแก่โจโฉทั้งนั้น เทียหยกจึงว่าแก่ซุนฮกว่า ซึ่งท่านสรรเสริญข้าพเจ้า ๆ นี้มีสติปัญญาน้อย แลกุยแกชาวเมืองเดียวกันกับท่าน มีสติปัญญาเปนอันมาก เปนไฉนท่านมิว่าให้เอาตัวกุยแกมาไว้ทำราชการด้วย ซุนฮกจึงตอบว่าเราลืมไป ต่อท่านมาว่าบัดนี้จึงระลึกขึ้นได้ ซุนฮกจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ๆ ก็ให้ไปเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ กุยแกจึงบอกแก่โจโฉว่า เล่าหัวเปนเชื้อพระเจ้าฮั่นกองบู๊หนึ่ง บวนทงชาวเมืองซันหยงหนึ่ง ลิเกียนชาวเมืองบู๊เสงหนึ่ง มอกายชาวเมืองตันลิวหนึ่ง สี่คนนี้มีสติปัญญาเปนอันมาก โจโฉจึงให้เกลี้ยกล่อมทั้งสี่คนนั้นมาไว้เปนที่ปรึกษา

ฝ่ายอิกิ๋มชาวเมืองกิเป๋งซึ่งเปนโจรมีพรรคพวกเปนอันมาก ก็คุมพวกเพื่อนมาเข้าเกลี้ยกล่อม ขอเปนทหารอยู่ด้วยโจโฉ ครั้นอยู่มาแฮหัวตุ้นพาเตียนอุยมาหาโจโฉ แล้วบอกว่าเตียนอุยคนนี้เปนชาวเมืองตันลิว แลเตียนอุยนั้นมีกำลังกล้าแขง ฆ่าบ่าวเตียวเมาเสียเปนอันมาก แล้วหนีไปอยู่ป่า พอข้าพเจ้าออกไปเที่ยวเล่นเห็นเตียนอุยตีเสือตาย แล้วข้ามแม่น้ำมาพบข้าพเจ้า ๆ เห็นสมควรเปนทหาร ข้าพเจ้าจึงเกลี้ยกล่อมมาอยู่เปนทหารท่าน โจโฉได้ยินดังนั้นก็พิศดูเตียนอุย เห็นรูปร่างนั้นโตใหญ่เข้มแข็งสมควรเปนทหาร จึงถามเตียนอุยว่า ตัวจะเปนทหารนั้นถืออาวุธสิ่งใด เตียนอุยจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเคยชำนาญถือทวนสองเล่ม หนักเล่มละแปดสิบชั่งจีน มีสำหรับตัวข้าพเจ้าอยู่แล้ว โจโฉได้ยินดังนั้นจึงให้จัดม้ามีฝีเท้า ให้แก่เตียนอุยขึ้นขี่ม้ารำทวนดูโจโฉเห็นเตียวอุยขี่ม้ารำทวนนั้นเข้มแข็ง ว่องไว ขณะนั้นโจโฉเห็นธงใหญ่สำคัญสำหรับทัพซึ่งปักอยู่หน้าเมืองนั้น ต้องพายุเอนจะล้มลง ทหารประมาณยี่สิบห้าคน เข้าประคองยกขึ้นก็ไม่ไหว เตียนอุยเห็นดังนั้นจึงโจนลงจากม้าวิ่งไปขับทหารทั้งปวงเสีย เตียนอุยจึงเข้ายกธงนั้นตรงขึ้นดังเก่า โจโฉเห็นดังนั้นจึงสรรเสริญเตียนอุยว่า มีกำลังดุจหนึ่งคนโบราณ แล้วให้จัดเกราะให้แก่เตียนอุย ตั้งให้เตียนอุยเปนนายทหาร สำหรับรักษาตัวโจโฉ

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 7

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 7

เนื้อหา

  • ตั๋งโต๊ะสร้างเมืองอยู่ใหม่ 
  • อ้องอุ้นคิดกำจัดตั๋งโต๊ะ
  • เรื่องตั๋งโต๊ะกับนางเตียวเสี้ยน 
  • ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะ 
ฝ่าย ตั๋งโต๊ะรู้กิตติศัพท์ว่าซุนเกี๋ยนตายแล้วก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่ที่ปรึกษาว่า ซึ่งซุนเกี๋ยนตายเสียนั้นเราค่อยเบาใจมีความสุขขึ้น อุปมาเหมือนบ่งหนามออกจากอกเราได้เล่มหนึ่ง ทุกวันนี้ผู้ใดยังรู้ว่าอายุซุนเซ็กบุตรซุนเกี๋ยนอายุเท่าใด ลิยูจึงว่าซุนเซ็กนั้นอายุได้สิบห้าปี ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็เห็นว่ายังเด็กอยู่ มิได้มีสงสัยประการใด ในขณะนั้นตั๋งโต๊ะยิ่งทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งตัวให้คนทั้งปวงเรียกว่าซ่องฮู แปลว่าเปนบิดาเลี้ยงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าจะไปแห่งใดให้ตั้งกระบวรแห่อย่างพระมหากษัตริย์เสด็จ แล้วตั้งให้ตั๋งห้องผู้น้องเปนนายทหารกองนอก แต่บันดาแซ่ตั๋งนั้นเอามาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยสิ้น ตั๋งโต๊ะจึงเกณฑ์ไพร่ยี่สิบห้าหมื่นไปตั้งเมืองอยู่ ทางไกลเมืองเตียงฮันสองพันห้าร้อยเส้น กำแพงสูงเท่าเมืองหลวง มีตำหนักใหญ่น้อยหน้าหลัง คลังแลฉางเข้าปลาอาหารนั้นขนเข้าไว้สำหรับจะเลี้ยงทหารกำหนดได้ยี่สิบปี แลเงินทองในท้องพระคลัง กับส่วยสัดวัฒนานั้นเอามาไว้ในคลังเมืองใหม่ แล้วให้จัดหญิงรูปงามมาไว้ได้ประมาณแปดร้อยคน แลตั๋งโต๊ะนั้นเดือนหนึ่งบ้างยี่สิบวันบ้าง จึงขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงต้องมารับส่งถึงนอกประตูเมือง แลทางจะขึ้นไปเฝ้านั้นมีที่ประทับเปนหลายตำบล ในเมืองเตียงฮันนั้นก็มีที่อยู่แห่งหนึ่ง ครั้นอยู่มาวันหนึ่งตั๋งโต๊ะออกจากเฝ้าขุนนางทั้งปวงตามไปส่งถึงนอกประตู เมือง ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปกินโต๊ะณที่ประทับ

ในขณะนั้นหัวเมืองฝ่ายเหนือ บอกส่งคนเกลี้ยกล่อมมาประมาณห้าร้อย ตั๋งโต๊ะจึงให้ทหารเอาคนทั้งปวงมาตัดแขนตัดขาบ้าง ตัดหูตัดลิ้นบ้าง ให้ใส่กระทะเหล็กบ้าง คนทั้งปวงยังมิทันสิ้นใจก็เจ็บปวดร้องครางอื้ออึงไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นแลเห็นก็มีความสงสารนัก ลางคนตกใจจนตะเกียบพลัดตกบ้าง จอกสุราพลัดจากมือบ้าง เพราะมีความสังเวช แต่ตั๋งโต๊ะนั้นมิได้มีใจปราณี เสพย์สุราพลางดูพลางหัวเราะพลาง คนทั้งห้าร้อยนั้นก็ตายสิ้น ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนต่างก็ไป ตั๋งโต๊ะจึงลอบสั่งลิโป้ว่า เราจะให้หาขุนนางมากินโต๊ะพร้อมกันแล้วเจ้าจงเข้าไปกระซิบแก่เรา ๆ จะสั่งให้เอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะเข้ามา ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะพร้อมกันอยู่ ณ เมืองใหม่ ตั๋งโต๊ะก็นั่งเสพย์สุราอยู่ด้วย

ฝ่ายลิโป้จึงเข้าไปทำเปนกระซิบข้างหูตั๋งโต๊ะ ๆ ทำเปนหัวเราะแล้วว่า คิดอย่างนี้ดอกหรือเร่งเอาตัวมันไป ลิโป้ก็เข้าจับเอาตัวเตียวอุ๋นลากออกไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นมิได้แจ้งเนื้อความประการใด ต่างคนต่างนิ่งตลึงดูกันอยู่ ประเดี๋ยวหนึ่งเห็นลิโป้เอาสีสะเตียวอุ๋นใส่ตระบะเข้ามาให้ตั๋งโต๊ะดู ขุนนางทั้งปวงก็ยิ่งตกใจ ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะเตียวอุ๋นให้หนังสือลับไปถึงอ้วนสุดให้มาทำร้ายแก่ เรา มีผู้รู้จึงบอกหนังสือมา ลิโป้จึงมากระซิบบอกเรา ๆ จึงให้จับไปฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงมิได้ร่วมคิดด้วยมันก็อย่าได้เปนทุกข์ จงกินโต๊ะพูดกันเล่นให้สบาย ครั้นกินโต๊ะแล้วขุนนางทั้งปวงก็ลาไป
ฝ่ายอ้องอุ้นกลับมาถึงบ้านจึงคิดว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะให้หาไปกินโต๊ะแล้วเอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย เมื่อพิเคราะห์ดูนั้นไม่เห็นว่าเตียวอุ๋นจะคบคิดกับอ้วนสุดให้มาทำร้าย ซึ่งตั๋งโต๊ะคิดผูกพันธ์ทำทั้งนี้ เพราะจะทำอำนาจมิให้ขุนนางทั้งปวงคิดร้ายสืบไป แลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้ หาผู้ใดจะช่วยคิดล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ อ้องอุ้นคิดรำคาญใจนอนมิหลับ ครั้นเวลาดึกจึงถือไม้เท้าลงไปยืนพิงต้นไม้อยู่ ณ สวนดอกไม้ จึงแลขึ้นไปดูบนอากาศ เห็นดาวเดือนนั้นขุ่นมัวเสร้าหมอง จึงคิดว่าทุกวันนี้พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะ ตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นก็ทอดใจใหญ่แล้วร้องไห้

พอได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่ง ทอดใจใหญ่อยู่ตรงหน้านั้น อ้องอุ้นจึงเดิรเข้าไปดู เห็นนางเตียวเสียนคนขับร้องซึ่งอ้องอุ้นช่วยมาไว้แต่น้อย รูปงามขับร้องก็เพราะ อายุได้สิบหกปี อ้องอุ้นมีความเอ็นดูเลี้ยงไว้เปนบุตรเลี้ยง อ้องอุ้นจึงถามว่า เวลาดึกสงัดถึงเพียงนี้ยังมินอน ลงมาเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ แล้วทอดใจใหญ่ทุกข์ด้วยไม่เห็นชู้มาหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้มีชู้มาคอยกันหามิได้ ตัวข้าพเจ้าเปนทาสี ซึ่งท่านเลี้ยงข้าพเจ้าเปนบุตรมาแต่น้อยนั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า ถ้าท่านมีทุกข์สิ่งใดข้าพเจ้าจะสนองพระคุณท่าน ถึงมาทว่าชีวิตจะตายแลกระดูกจะแหลกเปนผงก็ดี ข้าพเจ้ามิได้เสียดายแก่ชีวิต เมื่อเวลากลางวันนั้นตั๋งโต๊ะเชิญท่านไปกินโต๊ะแล้วกลับมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านนั้นเศร้าหมองยิ่งกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีทุกข์สิ่งใดใหญ่หลวงอยู่ท่านจึงเปนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตามลงมาหวังจะใคร่รู้เหตุ แล้วจะได้คิดอ่านสนองคุณท่านไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็คิดว่า ครั้งนี้แผ่นดินเห็นจะค่อยมีความสุขเพราะเตียวเสียนเปนมั่นคง จึงพานางเตียวเสียนขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือนั้นเปนที่สงัด ให้นางเตียวเสียนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงลงจากเก้าอี้คำนับ แล้วเข้ากอดเอาเท้าอ้องอุ้นไว้ แล้วห้ามว่าท่านอย่าคำนับข้าพเจ้าผู้บุตรนี้ไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่าเราได้ยินเจ้าว่าทั้งนี้ก็มีความยินดีนักเราจึงคำนับเจ้า เจ้าจงมีใจเมตตาแก่พระมหากษัตริย์ แลอาณาประชาราษฎรด้วยเถิด ว่าเท่านั้นแล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากว่าจะเอาชีวิตแทนคุณท่าน เปนไฉนท่านมิบอกเหตุ ซึ่งจะมาร้องไห้อยู่ฉนี้ทุกข์ของท่านจะสำเร็จแล้วหรือ อ้องอุ้นจึงว่าทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น อุปมาดังฟองไก่อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรนั้น อุปมาดังอยากเยื่ออันใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้น จะชิงเอาราชสมบัติ หาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรเลี้ยงคนหนึ่งชื่อลิโป้ ๆ ก็มีฝีมือกล้าหาญ แลน้ำใจตั๋งโต๊ะนั้น มักยินดีด้วยสัตรีรูปงาม ถ้าเจ้าจะช่วยกู้แผ่นดินแล้ว พ่อจะคิดเปนกลอุบายจะยกเจ้าให้แก่ลิโป้ แล้วจึงจะไปบอกตั๋งโต๊ะให้มารับเจ้าไปเปนภรรยา เมื่อเจ้าไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนั้นจงลอบทำกลมารยาต่าง ๆ ให้ลิโป้มีความรักใคร่ในเจ้าแล้ว เจ้าจึงลอบบอกแก่ตั๋งโต๊ะด้วยกลมารยาความคิดเจ้า นานไปเห็นตั๋งโต๊ะกับลิโป้จะมีความสงสัยกินแหนงแก่กัน ลิโป้ก็จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เมื่อศัตรูราชสมบัติตายแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเปนสุขสืบไป ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากู้แผ่นดินก็จะมีชื่อปรากฎไปชั่วฟ้าชั่วดิน ซึ่งพ่อคิดทั้งนี้เจ้าจะยอมด้วยหรือประการใด

ฝ่ายนางเตียวเสียนจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากไว้ว่าจะสนองคุณท่าน อย่าว่าแต่จะเสียตัวเพียงนี้เลย ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ซึ่งท่านจะคิดประการใดนั้นก็ให้เร่งคิดเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้ไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดกลมารยาให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสียจงได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่า ถ้าเจ้าจะอาสาแผ่นดินแทนคุณพ่อแล้ว จะคิดการสิ่งใดให้ปิดป้องให้จงดี ถ้าเนื้อความแพร่งพราย ตัวเจ้ากับบิดาแลญาติก็จะพากันตายสิ้น นางเตียวเสียนจึงว่า ความทั้งนี้ถ้าข้าพเจ้าแพร่งพรายแก่ผู้ใด ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยอาวุธต่าง ๆ เถิด อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก

ครั้นเวลารุ่งเช้าอ้องอุ้นจึงจัดเพ็ชร์พลอยกับทองคำ แล้วหาช่างมาทำหมวกสำหรับลูกหลวงใส่ แล้วแต่งคนอันสนิธให้ลอบเอาออกไปให้เปนกำนัลแก่ลิโป้ ๆ เห็นหมวกอย่างลูกหลวงก็มีความยินดีนัก จึงลอบมาหาอ้องอุ้น ณ บ้าน

ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นเห็นลิโป้มาก็ออกไปรับเข้ามาในตึก อ้องอุ้นเชิญให้ลิโป้กินโต๊ะ ลิโป้กินโต๊ะแล้วตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนแต่นายทหารเอกของมหาอุปราช ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนไฉนท่านจึงให้เอาของดีไปให้ข้าพเจ้า แลนับถือข้าพเจ้าผู้น้อยไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้เราเลงดูในเมืองหลวง แลหัวเมืองทั้งปวงก็หาผู้ใดเข้มแขงกล้าหาญเสมอท่านมิได้ ซึ่งเราให้ของแลนับถือท่านทั้งนี้ ใช่จะให้ด้วยเกรงบรรดาศักดิ์นั้นหามิได้ เราให้เพราะรักฝีมือในการทหารท่าน ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก แล้วอ้องอุ้นรินสุราคำนับส่งให้แก่ลิโป้ จึงพูดจายกยอสรรเสริญตั๋งโต๊ะกับลิโป้เปนอันมาก แล้วให้ขับคนใช้ผู้ชายนั้นเสียสิ้น เอาแต่ผู้หญิงไว้ใช้สี่คน อ้องอุ้นจึงว่าแก่หญิงนั้นให้ไปเชิญนางเตียวเสียนออกมา หญิงคนใช้สองคนนั้นจึงเข้าไปประคองนางเตียวเสียนออกมา

ลิโป้เห็นนางเตียวเสียนรูปงาม จึงถามอ้องอุ้นว่าหญิงคนนี้เปนบุตรผู้ใด อ้องอุ้นจึงบอกว่า นางเตียวเสียนนี้เปนบุตรของเรา ทุกวันนี้เราได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะบุญของมหาอุปราชกับท่าน ๆ ก็มีความเมตตาแก่เราดังญาติพี่น้อง เราจึงให้หาออกมาหวังจะให้ท่านรู้จักไว้ แล้วอ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ลิโป้

ฝ่ายนางเตียวเสียนจึงรินสุราส่งให้ลิโป้ แล้วทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ อ้องอุ้นจึ่งทำเปนเมา แล้วว่าแก่นางเตียวเสียนว่า พ่อนี้ชราแล้วกำลังน้อยเสพย์สุราก็เมา เจ้าคำนับแทนพ่อเถิด

ลิโป้จึงเชิญให้นางเตียวเสียนนั่ง นางเตียวเสียนแกล้งทำละอายลิโป้มิได้นั่งลง จึงคำนับบิดาแล้วจะลาเข้าไปที่ข้างใน อ้องอุ้นจึงว่าลูกเอ๋ยอย่าอายเลย ลิโป้มีความเมตตาแก่เราดังญาติ จงนั่งลงคำนับรินสุราให้เถิด นางเตียวเสียนจึงนั่งลงข้างอ้องอุ้น แล้วรินสุราคำนับให้ลิโป้ทีไร ก็ชายหางตาให้สบตาลิโป้แล้วให้ที
ฝ่ายลิโป้รับจอกสุราทีไร ก็ชำเลืองไปต้องตานางเตียวเสียนทุกครั้ง ก็มีใจประวัติยินดีกับนางเตียวเสียนเปนอันมาก อ้องอุ้นเห็นกิริยาลิโป้พอใจนางเตียวเสียนแล้ว จึงว่าแก่ลิโป้ว่า ตัวเรานี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ก็จริงแต่ชราแล้ว อุปมาเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง บุตรของเราคนนี้จะยกให้เปนภรรยาน้อยท่าน จะได้ฝากผีแก่ท่านสืบไป ซึ่งเราว่าทั้งนี้ท่านจะเห็นประการใด ถ้าไม่ควรท่านอย่าถือโทษเลย ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับอ้องอุ้นแล้วจึงว่า ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้นั้นคุณหาที่สุดไม่ ถึงจะเปนประการใดข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงว่าบุตรเรานี้ก็ได้ให้เปนสิทธิ์แก่ท่านแล้ว แต่ว่างดอยู่ให้เราหาวันดีแล้วเมื่อใด จึงจะส่งบุตรเราให้เปนภรรยาท่าน ลิโป้จึงว่าตามเถิด แล้วลิโป้ลุกขึ้นทำจะลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นจึงยึดมือไว้ว่าอย่าเพ่อไป ใจเราจะใคร่เชิญให้ท่านอยู่นอนพูดกันเล่นก่อนแต่หากคิดเกรงมหาอุปราชอยู่ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ขอบคุณนัก วันนี้ข้าพเจ้ามีธุระอยู่ ต่อสบายวันอื่นจึงจะมาอยู่นอนด้วย แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไป

ครั้นเวลาเช้าอ้องอุ้นก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้เห็นลิโป้เข้ามาด้วยตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้ความสุข หาทุกข์ภัยอันตรายสิ่งใดมิได้ ก็เพราะบุญของท่านมหาอุปราชคุ้มครองอยู่ ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะทดแทนคุณท่านมิได้ เวลาวันนี้ขอเชิญท่านไปกินโต๊ะ ณ บ้านข้าพเจ้าให้สบายใจ ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ ถ้าไม่ควรก็ขอท่านอย่าได้เอาโทษแก่ข้าพเจ้าเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้น มิได้รู้กลก็มีความยินดีนัก จึงตอบว่าซึ่งท่านนับถือเรา จะให้เราไปกินโต๊ะ ณ บ้านนั้นก็ขอบใจท่าน เวลากลางวันนี้เราจะไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลาตั๋งโต๊ะกลับไป จึงให้แต่งที่กับโต๊ะเตรียมไว้

ครั้นเวลาเที่ยงตั๋งโต๊ะออกจากเฝ้า จึงขึ้นรถแล้วให้ทหารทั้งปวงแห่เปนกระบวรไป ณ บ้านอ้องอุ้น ๆ รู้ก็ออกมาคำนับถึงนอกบ้าน แล้วเชิญตั๋งโต๊ะขึ้นไปยังที่แต่งไว้ อ้องอุ้นก็คุกเข่าคำนับอยู่ แล้วรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ ๆ รับจอกสุรามากินแล้วว่า ท่านอย่าคุกเข่าคำนับเลย จงนั่งให้เปนสุขเถิด อ้องอุ้นทำทีอ่อนง้อแล้วพูดจาสรรเสริญตั๋งโต๊ะเปนอันมาก ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้น เสพย์สุราพลาง ก็มีความยินดีนัก แลตั๋งโต๊ะนั้นกินโต๊ะอยู่กับอ้องอุ้นจนเวลาเย็น แล้วอ้องอุ้นจึงเชิญตั๋งโต๊ะให้เข้าไปนั่งเล่นที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะมิได้มีความสงสัยแก่อ้องอุ้น จึงขับทหารทั้งปวงลงไปเสียแผ่นดิน แล้วตั๋งโต๊ะก็เข้าไปที่ข้างใน

อ้องอุ้นจึงว่าเมื่ออายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้าปีนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนดูดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ แลดาวประจำเมืองกับดาวบริวารทั้งปวงนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์นั้นเสร้าหมอง แลดาวมหาอุปราชนั้นมีรัศมีรุ่งเรือง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้จะดับสูญ ราชสมบัตินั้นจะได้แก่ท่านเปนอันมั่นคง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงถามว่าเรานี้จะถึงเศวตฉัตรเจียวหรือ เรายังไม่เห็นด้วย อ้องอุ้นจึงตอบว่าอันอย่างธรรมเนียมโบราณ ถ้าผู้ใดหาบุญแลสติปัญญามิได้ ก็ย่อมแพ้แก่ผู้มีบุญแลปัญญาความคิด ข้าพเจ้าเห็นดังนี้ ไฉนท่านจึงว่าไม่เห็นด้วย

ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วตอบว่า ถ้าเราได้ราชสมบัติเหมือนคำท่าน เราจะตั้งท่านให้เปนมหาอุปราช เปนบำเหน็จปากซึ่งท่านทำนายนั้น อ้องอุ้นก็ทำยินดี ครั้นเวลาพลบก็ให้จุดเทียนชวาลา แล้วยกโต๊ะมาจึงรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ แล้วเรียกนางมะโหรีแลนางรำออกมา ให้นางเตียวเสียนรำบำเรอตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นนางเตียวเสียนนั้นรูปงามรำก็ดี จึงเรียกเข้ามาแล้วถามอ้องอุ้นว่านางนี้ชื่อไร อ้องอุ้นบอกว่าชื่อนางเตียวเสียน ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้แต่น้อย ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าขับได้หรือไม่ อ้องอุ้นบอกว่าขับก็เพราะ แล้วให้นางเตียวเสียนขับให้ตั๋งโต๊ะฟัง นางเตียวเสียนก็ขับเปนเพลงว่า หญิงรูปงามขับเสียงเพราะ ลิ้นจี่แต้มริมฝีปากชูสีขึ้น แลหยกสองอันถึงมาทว่าไม่แกะเปนรูปสิ่งใดก็แอบเนื้อเย็นใจ พริกไทยนั้นเมล็ดเล็กก็จริง ถ้าลิ้มเข้าไปถึงลิ้นแล้วจะมีพิษเผ็ดร้อน ตั๋งโต๊ะได้ฟังนางเตียวเสียนขับมิทันสังเกตในกลสตรีซึ่งขับนั้นก็ชมว่าเพราะ

อ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ตั๋งโต๊ะ ๆ จึงถามว่าเจ้านี้อายุได้เท่าใด นางเตียวเสียนบอกว่าอายุข้าพเจ้าได้สิบหกปี ตั๋งโต๊ะเห็นรูปนางเตียวเสียนงาม ทั้งเสียงก็เพราะ ก็มีใจประวัติยินดี ตั๋งโต๊ะยิ้มแล้วจึงว่าเจ้านี้รูปงามดังนางฟ้าหาผู้เสมอมิได้ นางเตียวเสียนได้ยินก็ทำทีให้ตั๋งโต๊ะยวนใจ อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงคุกเข่าคำนับตั๋งโต๊ะ แล้วว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะบุญท่าน ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะสนองคุณมิได้ แลนางเตียวเสียนนี้ข้าพเจ้าได้เลี้ยงมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะยกให้แก่ท่านเปนสิทธิ์ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงตอบว่าซึ่งท่านมีน้ำใจยกนางเตียวเสียนให้แก่เรานั้น เราจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงให้จัดแจงเข้าของเสื้อผ้าอย่างดี ให้นางเตียวเสียนเปนอันมาก แล้วให้นางเตียวเสียนขี่เกี้ยว เกณฑ์ผู้คนทั้งปวงให้ไปส่งณที่อยู่ตั๋งโต๊ะในเมืองหลวงในเวลากลางคืนนั้น

ตั๋งโต๊ะครั้นเห็นอ้องอุ้นแต่งให้คนไปส่งนางเตียวเสียน แล้วตั๋งโต๊ะก็ลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงที่อยู่ แล้วก็ลากลับมาถึงกลางทาง พอพบลิโป้ขี่ม้าถือทวนมา ลิโป้จึงยุดเอาชายเสื้ออ้องอุ้นแล้วถามว่า นางเตียวเสียนนั้นตัวยกให้เปนภรรยาเราแล้ว เปนไฉนจึงส่งตัวไปให้ตั๋งโต๊ะเล่า แลตัวทำดังนี้ลวงเราหรือประการใด

อ้องอุ้นจึงตอบว่าที่นี่เปนกลางทางอยู่ ครั้นจะบอกเนื้อความก็ไม่ควร เชิญท่านไปบ้านข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความทั้งปวงให้แจ้ง ลิโป้ก็ตามมา ณ บ้านอ้องอุ้น ๆ จึงพาลิโป้ขึ้นไปบนตึก แล้วแต่งกลแก้ว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธเราเลย เราจะเล่าเนื้อความให้ท่านแจ้ง เวลาวานนี้เราเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฝ่ายมหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่า มีกังวลเวลากลางวันจะมาหาเรา ๆ จึงแต่งที่แลโต๊ะไว้รับ ครั้นมหาอุปราชมาถึงจึงถามเราว่า มีผู้บอกเนื้อความว่าเรายกนางเตียวเสียนผู้บุตรให้แก่ลิโป้ มหาอุปราชมีความยินดีนัก จึงมาว่ากล่าวขอเราต่อปากว่าจะให้ท่าน เราก็รับว่าจริง มหาอุปราชว่าจะขอดูตัว เราจึงให้นางเตียวเสียนออกมาคำนับ มหาอุปราชจึงว่าซึ่งยกนางนี้ให้เปนภรรยาลิโป้ผู้บุตรนั้น มหาอุปราชมีความยินดีด้วย มหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่าฤกษ์ดีแล้ว จะรับนางไปแต่งงารกับลิโป้ผู้บุตรให้อยู่กินด้วยกันตามประเพณี ซึ่งมหาอุปราชว่าทั้งนี้ท่านคิดดูเถิด เราเปนผู้น้อยจะอาจขัดได้หรือ เราจึงส่งบุตรให้ไป
ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าโกรธท่านนั้นผิดอยู่ ข้าพเจ้าขออภัยเถิด แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไปในเวลากลางคืนนั้น ลิโป้มาถึงบ้านคอยตรับฟังกิตติศัพท์ผู้คนพูดจา ซึ่งตั๋งโต๊ะจะแต่งนางเตียวเสียนนั้นก็เงียบอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าลิโป้จึงเดิรขึ้นไปบนตึกตั๋งโต๊ะ แล้วถามหญิงคนใช้ว่ามหาอุปราชไปไหน หญิงนั้นจึงบอกว่าท่านไม่รู้หรือคืนนี้มหาอุปราชได้หญิงรูปงามมา บัดนี้ยังนอนหลับอยู่ ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงค่อยเดิรเข้าไปข้างผนังตึกคอยแอบฟังอยู่ แลนางเตียวเสียนนั้นตื่นก่อนตั๋งโต๊ะ ลุกขึ้นล้างหน้าอยู่ พอแลเห็นเงาเข้ามาตรงหน้าต่างก็เยี่ยมออกไปเห็นลิโป้ นางเตียวเสียนทำเปนร้องไห้ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้านั้นเช็ดน้ำตา ลิโป้เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีน้ำใจโกรธตั๋งโต๊ะ จึงเดิรกลับออกไป

ครั้นตั๋งโต๊ะตื่นขึ้นจึงออกมาที่ข้างหน้า ลิโป้ก็กลับขึ้นไป ตั๋งโต๊ะจึงถามลิโป้ว่าวันนี้มีราชการสิ่งใดบ้าง ลิโป้จึงบอกด้วยเสียงอันดังว่า หามีราชการสิ่งใดไม่ ตั๋งโต๊ะก็นิ่งกินอาหารอยู่ ลิโป้ก็เข้าไปยืนอยู่ข้างหลังตั๋งโต๊ะตามเคย แลนางเตียวเสียนนั้นเผยมุลี่ขึ้นเยี่ยมหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง ทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ ๆ แลไปเห็นนางเตียวเสียนก็ยิ่งมีความรักขึ้นเปนอันมาก

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเหลือบไปเห็นลิโป้ดูนางเตียวเสียนไปเปนทีดังนั้น ตั๋งโต๊ะก็มีความหึงสา จึงว่าแก่ลิโป้ว่า วันนี้ไม่มีราชการสิ่งใดแล้วจะไปบ้านก็ไปเถิด ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงแลไปดูนางเตียวเสียนก็ทอดใจใหญ่ แล้วกลับไปบ้าน เมื่อตั๋งโต๊ะได้นางเตียวเสียนมาไว้นั้น มีความรักใคร่ลุ่มหลงไป ไม่ได้ออกว่าราชการกำหนดได้ถึงเดือนเศษ ครั้นตั๋งโต๊ะป่วยลงแล้ว นางเตียวเสียนนั้นแสร้งอุตส่าห์กระทำรักษาพยาบาลปรนนิบัติตั๋งโต๊ะมิให้ อนาทรร้อนใจ ตั๋งโต๊ะก็มีความรักนางเตียวเสียนเปนอันมาก

ครั้นเวลาวันหนึ่งลิโป้เข้าไปเยี่ยมถึงที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะนั้นนอนหลับอยู่ นางเตียวเสียนเห็นลิโป้เข้ามา จึงเอนตัวออกไปข้างหลังมุ้ง แล้วทำเปนกลมารยาเอามือชี้ไปตรงตั๋งโต๊ะ แล้วชี้เข้าที่อกของตัว จึงทำเปนร้องไห้ ลิโป้แจ้งในกิริยาซึ่งนางเตียวเสียนทำนั้น ก็ยิ่งมีความเสน่หาอาลัยขึ้นเปนอันมาก

ฝ่ายตั๋งโต๊ะตื่นขึ้น เห็นลิโป้เข้ามาแลไปดูข้างหลังมุ้งมิได้พริบตา จึงชะโงกไปดูเห็นนางเตียวเสียนยืนดูอยู่ข้างหลังมุ้ง ตั๋งโต๊ะโกรธจึงร้องตวาดว่า อ้ายลิโป้นี้เสียแรงกูไว้ใจรักดังบุตรไปอุทร บังอาจหยอกเมียกูได้ แล้วให้หญิงคนใช้ขับลิโป้ลงไปเสีย ว่าแต่นี้สืบไปอย่าให้เข้ามาที่ข้างใน ลิโป้นั้นได้ความอัปยศน้อยใจก็เดิรออกไปจากบ้านตั๋งโต๊ะ ครั้นมาถึงกลางทางพอพบลิยู ลิโป้จึงเอาเนื้อความซึ่งตั๋งโต๊ะด่าว่านั้นเล่าให้ลิยูฟังแล้วก็ไปบ้าน ลิยูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงรีบเข้ามาว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านสิจะคิดการใหญ่ เปนไฉนมาขัดเคืองกับลิโป้ด้วยความมโนสาเร่เล่า ถ้าลิโป้เอาใจออกหาก ท่านก็จะหวังเอาผู้ใดเปนกำลังสืบไปเล่า ตั๋งโต๊ะได้ยินลิยูว่าก็สดุ้งใจ จึงว่าซึ่งลิโป้โกรธเรานั้นท่านจะให้เราคิดประการใดดี ลิยูจึงว่าขอให้ท่านหาตัวลิโป้มา จึงเอาเงินทองของดีทั้งปวงให้ แล้วว่ากล่าวปลอบโยนสมัคสมานเสีย เห็นลิโป้จะมีใจปรกติไปแก่ท่าน ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย

ครั้นรุ่งเช้าขึ้นจึงให้คนใช้ไปหาตัวลิโป้มา แล้วว่าเวลาวานนี้เราป่วยอยู่ให้ร้อนรนในใจ ซึ่งเราได้ว่ากล่าวแก่เจ้าทั้งนั้นอย่าถือโทษเราเลย แล้วตั๋งโต๊ะเอาทองคำสิบชั่ง แพรอย่างดียี่สิบไม้ให้แก่ลิโป้ ๆ ก็คำนับแล้วรับเอาทองกับแพรไว้ แต่นั้นมาลิโป้ก็ไปหาสู่ตั๋งโต๊ะอยู่ตามเคย แต่ใจนั้นระลึกถึงนางเตียวเสียนอยู่มิได้ขาด ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะคลายป่วยแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ลิโป้นั้นก็ถือทวนขี่ม้าตามเข้าไปด้วย ในขณะเมื่อตั๋งโต๊ะยังเฝ้าอยู่นั้น ลิโป้จึงขึ้นม้าควบกลับมา ณ บ้านตั๋งโต๊ะ เอาม้าผูกไว้หน้าตึกแล้วถือทวนเข้าไปหานางเตียวเสียนที่ข้างใน นางเตียวเสียนเห็นลิโป้มาก็ทำเปนมีใจยินดีคำนับแล้วจึงว่า ถ้าจะพูดกันที่นี่เกลือกว่าตั๋งโต๊ะมาพบก็จะแก้ตัวยาก ท่านจงลงไปคอยข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่นั่งเย็นในสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าจะลงไปตาม ลิโป้ก็ลงไปคอยอยู่ตามสัญญา

ฝ่ายนางเตียวเสียนก็ลงไปตามลิโป้ ครั้นขึ้นไปบนที่นั่งเย็นปากสระแลในตานั้นชำเลืองแลดูต้นทางซึ่งตั๋งโต๊ะจะ มานั้น แล้วก็ทำกลอุบายเข้ากอดเอาเท้าลิโป้ไว้ แล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าเปนบุตรเลี้ยงอ้องอุ้น ๆ รักข้าพเจ้าเหมือนหนึ่งบุตรในอุทร จึงยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาท่าน ข้าพเจ้าก็มีความยินดีด้วย แลมหาอุปราชไปรับข้าพเจ้ามาว่าจะแต่งการให้อยู่เปนภรรยาท่าน ครั้นมาถึงที่อยู่มหาอุปราชมิได้ทำตามคำว่า ทำข่มเหงข้าพเจ้าทั้งนี้ แลในอกข้าพเจ้านี้กรมเปนหนองอยู่ ได้ประมาณเดือนเศษมาแล้ว คิดว่าจะกลั้นใจตายเสียก็ยังมิได้ลาแลแจ้งความทุกข์แก่ท่าน ชีวิตจึงยังคงอยู่ วันนี้ข้าพเจ้าได้กราบลาแลแจ้งความทุกข์ในอกแล้วก็จะลาตายไปให้พ้นความระกำ ใจ ต่อหน้าท่านให้เห็นความสัตย์ข้าพเจ้า ว่าแล้วก็ทำเปนปีนฝากรงที่นั่งเย็นขึ้นไปจะโจนน้ำตาย ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงเข้าอุ้มเอานางเตียวเสียนไว้ ลิโป้ร้องไห้แล้วว่า อันความสัตย์แลความรักของเจ้านั้น เราเห็นประจักษ์อยู่ แต่หากว่ามีที่กีดขวาง เราทั้งสองจึงมิได้ปรับทุกข์กัน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ซึ่งจะทรมานในชาตินี้ ก็ยิ่งได้ความลำบากนัก เพราะเจ้ากรรมมาตามทัน ชาตินี้บุญน้อยแล้วมิได้อยู่ปรนนิบัติท่านผู้เปนสามี ข้าพเจ้าจะขอตายไปให้พ้นความเวทนา เกิดมาชาติหน้าข้าพเจ้าจะขอเปนภรรยาท่าน จะปรนนิบัติรักษาท่านตามความปราถนาข้าพเจ้า ลิโป้จึงปลอบว่าเจ้าจะมาด่วนตีตนตายไปก่อนไข้นั้นไม่ควร จงฟังคำเราว่าเถิด ในชาตินี้ถ้าเรามิได้เจ้ามาเปนภรรยา เราก็ไม่ขออยู่เปนชายสืบไปเลย นางเตียวเสียนจึงตอบว่า แต่ข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมานมานี้ถึงเดือนเศษแล้ว แลความระกำใจในอกวันหนึ่งนั้นอุปมาช้าเหมือนกึ่งขวบปี ถ้าท่านเมตตาจะเลี้ยงข้าพเจ้าเปนภรรยาอยู่ จะคิดผ่อนผันประการใด ก็ขอให้ท่านเร่งคิด ลิโป้จึงตอบว่าเราตามตั๋งโต๊ะเข้าไปในวัง ครั้นเห็นได้ทีจึงกลับออกมาหาเจ้า มิได้บอกตั๋งโต๊ะว่าจะไปแห่งใด เกลือกตั๋งโต๊ะไม่เห็นจะมีความสงสัยเรา ๆ จะลาเจ้ารีบกลับไปก่อน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ถ้าท่านกลัวอ้ายศัตรูเฒ่าอยู่ฉนี้ ท่านจะไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าสืบไปแล้ว

ลิโป้จึงว่าของดให้เราไปตรึกตรองการก่อน นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นจึงแกล้งว่า ข้าพเจ้าได้ยินลือชาปรากฎแต่ชื่อท่านดังเสียงฟ้า ข้าพเจ้าเอามือปิดหูไว้ด้วยกลัวอำนาจ ว่าเข้มแข็งกล้าหาญในการสงครามหาผู้ใดเสมอมิได้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นแลฟังวาจาของท่านนั้นไม่สมกับคำลือ เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นว่าท่านกลัวอำนาจตั๋งโต๊ะเปนอันมากอยู่ฉนี้ เห็นจะคิดการไปมิตลอดแล้ว แลนางเตียวเสียนก็ทำเปนร้องไห้ ปลิดมือลิโป้เสียจะโจนน้ำตาย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นมีความลอายใจนัก จึงเอาทวนพิงไว้กับฝากรง แล้วปลอบโยนเล้าโลมนางเตียวเสียนอยู่เปนช้านาน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเมื่อเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นั้น เหลียวดูไม่เห็นลิโป้ก็คิดกริ่งใจ พอเสด็จเข้าตั๋งโต๊ะก็รีบมา ณ บ้าน เห็นม้าลิโป้ผูกอยู่หน้าตึก ก็ขึ้นไปบนตึกมิได้เห็นลิโป้ จึงเดิรเข้าไปที่ข้างในมิได้เห็นนางเตียวเสียน จึงถามหญิงทั้งปวง ๆ บอกว่านางเตียวเสียนลงไปชมสวนดอกไม้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยิ่งสดุ้งใจคิดว่าชรอยอ้ายลิโป้มาอยู่นั่นด้วย ก็ตามลงไปถึงประตูสวน

ฝ่ายนางเตียวเสียนเหลือบเห็นตั๋งโต๊ะมาก็ทำทีจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็เข้าอุ้มไว้ ครั้นตั๋งโต๊ะมาถึงที่นั่งเย็นแลเห็นลิโป้เข้าอุ้มนางเตียวเสียน ๆ ดิ้นปลิดมือลิโป้อยู่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมิได้รู้กลมารยาแห่งสัตรีก็มีใจโกรธลิโป้เปนอันมาก จึงร้องตวาดด้วยเสียงว่าเหม่อ้ายลิโป้

ฝ่ายลิโป้เหลียวมาเห็นตั๋งโต๊ะก็กลัว ไม่ทันฉวยเอาทวนก็โดดลงวิ่งหนีไป แลตั๋งโต๊ะฉวยเอาทวนของลิโป้ซึ่งพิงอยู่นั้นไล่ตามไป จึงเอาทวนนั้นพุ่งลิโป้ก็มิได้ถูก แลลิโป้นั้นวิ่งหนีออกนอกประตูสวนได้ ตั๋งโต๊ะวิ่งไปฉวยเอาทวนได้แล้วไล่ตามไปถึงประตูสวนดอกไม้ แลลิยูนั้นรู้จะเข้าไปห้ามก็วิ่งมาโดน ตั๋งโต๊ะล้ม ลิยูก็เข้าประคองเอาตั๋งโต๊ะขึ้นไปบนตึก ตั๋งโต๊ะจึงถามลิยูว่าท่านวิ่งเข้ามานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ลิยูตอบว่าข้าพเจ้าตามท่านออกมาจากเฝ้า มาถึงประตูตึกจะลากลับไปบ้าน พอไปถึงประตูท้ายสวน เห็นลิโป้วิ่งร้องออกมาว่ามหาอุปราชจะฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจึงวิ่งเข้ามาหวังว่าจะห้ามท่าน พอโดนท่านเข้านั้น ข้าพเจ้าขออภัยเถิด ตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่ลิยูว่า ลิโป้นั้นเปนคนหามีกตัญญูไม่ เสียแรงเราเลี้ยงเปนบุตร ควรหรือมาทำหยาบช้าแก่นางเตียวเสียนซึ่งเปนภรรยาเรา เราจำจะฆ่าลิโป้เสียจึงจะหายความแค้น ลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านจะฆ่าลิโป้เสียนั้นข้าพเจ้านี้เห็นมิบังควร ข้าพเจ้าจะเปรียบเนื้อความให้ท่านฟังข้อหนึ่ง ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองฌ้อซ้องอ๋อง รู้ข่าวว่าเจ้าเมืองหนึ่งมีลูกสาวรูปงามจึงให้คนไปขอ เจ้าเมืองนั้นมิยอมให้ ฌ้อซ้องอ๋องก็โกรธ จึงให้เจียวหยองทหารเอกคุมทหารไปตีเมืองนั้นได้ เจียวหยองจึงเอาลูกสาวมาถวายแก่ฌ้อซ้องอ๋อง ๆ จึงว่าแก่เจียวหยองว่าท่านมีความชอบไปตีเมืองได้จะเอานางมาให้แก่เรานั้นเรา หายินดีไม่ ควรท่านจะเอาไว้เปนภรรยาเถิด ฌ้อซ้องอ๋องก็ยกนางนั้นให้แก่เจียวหยองตามมีความชอบ เจียวหยองก็มีความยินดีคิดกตัญญูต่อฌ้อซ้องอ๋อง
ครั้นอยู่มามีศึกมาล้อมเมืองไว้เปนสามารถ หาผู้ใดจะรับอาสาออกรบด้วยข้าศึกมิได้ เจียวหยองมีความภักดีต่อฌ้อซ้องอ๋องรับอาสาออกตีข้าศึกแตกไป[๑] แลลิโป้เปนทหารเอก แล้วท่านก็เลี้ยงเปนบุตรไว้เนื้อเชื่อใจอยู่ ควรที่จะบำรุงน้ำใจลิโป้ไว้ แลท่านจะมาเห็นแก่หญิงคนเดียวนี้ด้วยอันใด ขอให้ยกนางเตียวเสียนให้เปนภรรยาลิโป้จึงจะควร ลิโป้ก็จะมีใจภักดีไปต่อท่าน ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่งดให้เราตรึกตรองดูก่อน ลิยูก็กลับไปบ้าน

ขณะเมื่อตั๋งโต๊ะกับลิยูว่ากันนั้น นางเตียวเสียนก็มาแอบฟังอยู่ที่ข้างใน ครั้นลิยูกลับไปแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงเข้าไปถามนางเตียวเสียนว่า ตัวกับลิโป้เปนชู้กันหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ทำเปนร้องไห้แล้วบอกว่า เวลาวันนี้ข้าพเจ้าลงไปชมสวนดอกไม้ ลิโป้ลอบเข้ามาข้างใน ข้าพเจ้ามิได้แจ้ง ต่อลิโป้มาใกล้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าถือทวนเข้ามาด้วย ข้าพเจ้ากลัวเข้าแอบที่นั่งเย็น ครั้นลิโป้เห็นจึงว่าแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าเปนบุตรมหาอุปราช ตัวท่านก็เปนภรรยามหาอุปราช จะกลัวข้าใย แล้วลิโป้ก็พูดเกี้ยวพานเปนข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าด่าว่าก็มิฟัง ขืนจะมาต้องตัวข้าพเจ้า ๆ โกรธจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็ยุดตัวข้าพเจ้าไว้ พอท่านมาถึงเข้า หาไม่ลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าได้ แลลิโป้ทำทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นแล้วจึงตอบว่า ลิโป้นั้นมีความรักเจ้าเปนอันมากนัก เราจะยกเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ตามความปราถนา นางเตียวเสียนได้ฟังทำตกใจร้องไห้แล้วว่า ข้าพเจ้าเปนผู้หญิงอุตส่าห์รักษาตัวมาจนได้เปนภรรยามหาอุปราช ข้าพเจ้าก็เหมือนมารดาลิโป้ แลท่านจะยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ผู้บุตรท่านข้าพเจ้าไม่ยอม อุปมาเหมือนท่านเขียนรูปนกยูงแล้วเอาหมึกมาทาให้ดำเสียสีไปฉนี้ ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก ซึ่งจะครองชีวิตอยู่ดูหน้าคนสืบไปนั้นไม่ได้ แล้วก็ทำเปนลุกขึ้นชักเอากระบี่ซึ่งแขวนอยู่นั้นมาจะเชือดคอตาย

ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าชิงเอากระบี่ไว้แล้วก็ปลอบว่า ซึ่งเราว่าทั้งนี้เปนคำหยอกเจ้าเล่นดอก นางเตียวเสียนจึงซบหน้าลงกับตักตั๋งโต๊ะแล้วทำเปนร้องไห้ว่า อันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะลิยูมีความรักลิโป้ จึงคิดอ่านให้ท่านยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ เห็นว่าลิยูหามีความรักท่านแลเอ็นดูข้าพเจ้าไม่ ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าถึงลิยูจะว่าประการใดเราก็มิได้ฟังคำ แล้วนางเตียวเสียนจึงว่า ซึ่งจะอยู่ในที่นี้สืบไปนั้นเห็นว่าลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าเปนมั่นคง ข้าพเจ้าก็จะซ้ำได้ความอายยิ่งกว่าแต่ก่อน ขอท่านยกออกไปอยู่ ณ เมืองใหม่ ข้าพเจ้าจึงจะพ้นภัย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงว่าพรุ่งนี้เราจะยกไป

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิยูเข้าไปว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า วันนี้ดีแล้วท่านจะยกนางเตียวเสียนให้เปนภรรยาลิโป้ก็ให้เร่งทำการตามฤกษ์ดี เถิด ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าลิโป้เปนบุตรของเรา นางเตียวเสียนก็ได้เปนภรรยาเราแล้ว แลซึ่งจะยกให้เปนภรรยาลิโป้นั้นผิดอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ซึ่งลิโป้ได้เกี้ยวพาลเย้าหยอกนางเตียวเสียนได้ความลอายนัก เราก็ยกโทษให้เสียแล้ว แลเนื้อความทั้งนี้ท่านจงออกไปบอกลิโป้ให้แจ้งเถิด ลิยูจึงตอบว่าซึ่งท่านมิฟังคำข้าพเจ้า แลการซึ่งคิดไว้นั้นเห็นจะเสียท่วงทีเพราะหญิงคนนี้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งท่านจะขืนให้เราเอาภรรยายกให้แก่ลิโป้นั้น เราไม่ฟังคำท่านแล้ว ถ้าท่านมีใจรักลิโป้อยู่ จงเอาภรรยาท่านมายกให้แก่ลิโป้เองเถิด แต่นี้สืบไปอย่าให้ผู้ใดเอาเนื้อความข้อนี้มาซ้ำว่าฉนี้อีก ถ้าผู้ใดมิฟังเราจะตัดสีสะเสีย ลิยูได้ยินดังนั้นจึงลาลุกเดิรออกมาแล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงซึ่งมาหาตั๋งโต๊ะ อยู่นั้นว่า เราท่านทั้งนี้จะพากันฉิบหายเพราะอีเตียวเสียนคนนี้เปนมั่นคง ว่าแล้วลิยูก็กลับไปบ้าน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะก็ให้จัดแจงทหาร แล้วพานางเตียวเสียนขึ้นรถไปอยู่เมืองใหม่ แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงนอกประตูเมือง แลนางเตียวเสียนนั้นแลไปเห็นลิโป้ยืนอยู่กับเหล่าขุนนาง ก็แสร้งแลไปให้สบตาลิโป้ แล้วทำกิริยาเปนโศกเศร้า ลิโป้เห็นดังนั้นก็มีความทุกข์ยืนดูตลึงไปจนลับตาแล้วทอดใจใหญ่ อ้องอุ้นเห็นจึงเข้ายุดมือลิโป้ไว้แล้วถามว่ามหาอุปราชออกไปแล้ว ตัวท่านนี้มีกังวลสิ่งใดท่านจึงไม่ไปตาม แล้วอ้องอุ้นบอกว่าเรานี้ป่วยอยู่เปนหลายวัน มิได้มาหามหาอุปราชแล้วมิได้พบท่าน วันนี้เรารู้ข่าวว่ามหาอุปราชจะกลับออกมาอยู่เมืองใหม่ เราจึงอุตส่าห์ออกมาส่ง แลเราเห็นท่านไม่สู้สบายนั้นมีทุกข์สิ่งใดหรือ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งมีเหตุได้ทุกข์ร้อนทั้งนี้ก็เพราะนางเตียวเสียนบุตรของท่าน อ้องอุ้นทำอุบายถามว่า ตั๋งโต๊ะยังไม่แต่งงารให้ท่านอยู่กับนางเตียวเสียนหรือ ลิโป้จึงตอบว่าตั๋งโต๊ะมิได้ให้แก่เรา มันเอาไว้เปนภรรยามันแล้ว อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำตกใจ แล้วจึงตอบว่าซึ่งท่านว่านี้เราไม่เห็นจริง มหาอุปราชหรือจะเปนดังนั้น ลิโป้จึงเอาเนื้อความแต่หลังเล่าให้อ้องอุ้นฟังทุกประการ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นทำกระทืบเท้าลงแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชทำดังนี้อุปมาดังสัตว์เดียรัจฉาน แล้วอ้องอุ้นก็พาลิโป้กลับมา ณ บ้าน ขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือแล้วให้แต่งโต๊ะเชิญให้ลิโป้เสพย์สุราอยู่ อ้องอุ้นจึงว่าซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อบุตรเราซึ่งเปนภรรยาท่าน ๆ กับเราได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวงเปนอันมาก แต่ตัวเรานี้ชราแล้ว ชีวิตเราจะอยู่ไปสักกี่วันเราคิดเอ็นดูแก่ท่าน ด้วยคนทั้งปวงนับถืออยู่ว่า ท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญ ซึ่งตั๋งโต๊ะทำดังนี้คนทั้งปวงก็จะติเตียนท่าน ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธเอามือตบโต๊ะลงแล้วว่า ซึ่งอ้ายตั๋งโต๊ะมันเปนศัตรูทำดังนี้ ข้าพเจ้าจะขอแก้แค้นฆ่ามันเสียให้จงได้ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำเปนเอามือปิดปากลิโป้ไว้ แล้วห้ามว่าท่านอย่ากล่าวคำดังนี้ จะพาเราได้ความผิดด้วย ลิโป้จึงตอบว่าตัวข้าพเจ้าเกิดมานี้ก็ถือว่ามีฝีมือกล้าหาญมิได้คิดจะอยู่ใน อำนาจผู้ใด อ้องอุ้นจึงว่าอันความคิดแลฝีมือของท่านซึ่งจะอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยนั้นไม่ ควร อุปมาเหมือนแก้วได้แก่วานร

ลิโป้จึงตอบว่าแต่ข้าพเจ้ามีความแค้น คิดจะฆ่าอ้ายศัตรูเฒ่าก็ได้ถึงเดือนเศษแล้ว แต่คิดรั้งรออดใจอยู่ด้วยได้เรียกว่าบิดาแล้ว ครั้นจะฆ่าเสียกลัวคนจะครหานินทาได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่าตัวเปนแซ่ลิ ตั๋งโต๊ะนั้นเปนแซ่ตั๋ง จะนับถือว่าเปนบิดาด้วยอันใด เมื่อตั๋งโต๊ะเอาทวนพุ่งจะฆ่าท่านนั้นมิได้คิดว่าเปนบุตร ซึ่งท่านจะกลัวนินทานั้นไม่ชอบ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสดุ้งขึ้น จึงตอบว่าความข้อนี้หากท่านว่าออกมา หาไม่ข้าพเจ้าก็คิดมิถึง

อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ลิโป้เอาใจออกหากจากตั๋งโต๊ะเปนมั่นคงอยู่แล้วจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะเปนศัตรูราชสมบัติท่านก็ย่อมแจ้งอยู่กับใจ ซึ่งท่านทำราชการอยู่ในตั๋งโต๊ะก็มีความชอบเปนอันมาก ตั๋งโต๊ะจะได้ปูนบำเหน็จให้เปนขุนนางตำแหน่งใดก็หามิได้ ถ้าท่านสัตย์ซื่อต่อพระมหากษัตริย์ ตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย แล้วท่านจะได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ มีชื่อในกฎหมายพระราชพงศาวดารสืบไป

ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับอ้องอุ้นแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาแผ่นดิน แลแก้แค้นฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ ท่านอย่าสงสัยข้าพเจ้าเลย อ้องอุ้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดบำรุงแผ่นดินดังนี้ก็ขอบใจแล้ว แต่เกรงอยู่ว่าท่านกับเรานี้จะคิดการไปมิตลอดก็จะพากันตายเสีย ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงชักเอากระบี่มาแทงข้อมือเอาโลหิตใส่ลงในจอกสุราแล้วสา บาลว่า ถ้าข้าพเจ้ามิได้ฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียเหมือนคำว่านี้ ขอให้อาวุธต่าง ๆ สังหารข้าพเจ้าเถิด แล้วก็เอาสุรานั้นกินเข้าไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับลิโป้แล้วว่า ครั้งนี้พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรจะได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะสติปัญญา ของท่าน แลจะทำการได้เมื่อใดเราจึงจะบอกให้ท่านแจ้ง ลิโป้ก็ลาไป

ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้หาซุนซุยกับอุยอ๋วน ซึ่งเปนที่ปรึกษามาบอกเหตุซึ่งคิดกับลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียนั้นทุกประการ อุยอ๋วนจึงว่า ซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรนั้น ตั๋งโต๊ะก็แจ้งอยู่ บัดนี้คลายประชวรขึ้นได้สองวันแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยังมิได้แจ้ง ขอให้จัดหาคนซึ่งมีสติปัญญาไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า รับสั่งให้หาเข้ามาจะปรึกษาราชการข้อใหญ่ แล้วให้แต่งเปนหนังสือรับสั่งลอบให้ลิโป้คุมทหารซุ่มอยู่ข้างที่เสด็จออก ถ้าตั๋งโต๊ะเข้ามาให้มีสัญญากัน แล้วการซึ่งคิดไว้นั้นก็จะทำได้สดวก ซุนซุยจึงว่าซึ่งคิดทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่จะหาผู้ใดซึ่งถือรับสั่งออกไปหาตั๋งโต๊ะได้ อุยอ๋วนจึงตอบว่า ลิซกนั้นทำราชการมีความชอบอยู่ ตั๋งโต๊ะก็มิได้เพททูลให้เลื่อนที่ขึ้นไปหามิได้ ลิซกนั้นก็มีความน้อยใจอยู่ ถ้าให้ลิซกถือรับสั่งไปเห็นตั๋งโต๊ะจะไม่มีความสงสัย อ้องอุ้นเห็นชอบด้วย จึงให้หาลิโป้มา แล้วบอกเนื้อความซึ่งปรึกษากันนั้นให้ฟังทุกประการ ลิโป้เห็นชอบด้วย แล้วจึงว่าอันลิซกนั้นได้ไปเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าเมื่อครั้งอยู่กับเต๊งหงวน ถ้าลิซกมิไปแลทำเนื้อความให้แพร่งพรายออก ข้าพเจ้าจึงจะฆ่าลิซกเสีย อ้องอุ้นกับลิโป้จึงให้ไปหาลิซกมา ลิโป้จึงว่าแก่ลิซกว่า เมื่อครั้งเราอยู่กับเต๊งหงวนนั้น ท่านได้เกลี้ยกล่อมให้เราฆ่าเต๊งหงวนเสีย ชักชวนให้เรามาอยู่กับตั๋งโต๊ะ บัดนี้เราเห็นตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลเราทั้งปวงคิดอ่านจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย เราจะให้ท่านถือรับสั่งออกไปหาตัวตั๋งโต๊ะเข้ามา แล้วเราจะฆ่าเสีย ท่านจะยอมไปหรือไม่ไป

ลิซกได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้เราคิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะอยู่ แต่ยังหาผู้ช่วยดำริห์การมิได้ ซึ่งท่านว่าทั้งนี้เรามีความยินดีนัก จะขอรับอาสาไปหาตั๋งโต๊ะเข้ามา ขณะนั้นลิซกจึงเอาลูกเกาทัณฑ์มาหักเปนสองท่อน แล้วจึงสาบาลตัวว่า ถ้าเนื้อความนี้เรามิได้ทำตาม แลกลับเอาไปแพร่งพรายให้ตั๋งโต๊ะรู้ ขอให้ตัวเราขาดออกเปนสองท่อนด้วยอาวุธต่าง ๆ เหมือนเราหักลูกเกาทัณฑ์นี้เถิด อ้องอุ้นได้ฟังลิซกว่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงลุกขึ้นคำนับแล้วตอบว่า ซึ่งท่านสุจริตต่อแผ่นดินจะทำการทั้งนี้ ถ้าสำเร็จแล้วท่านก็จะได้เปนขุนนางผู้ใหญ่

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า อ้องอุ้นจึงแต่งหนังสือรับสั่ง แล้วให้เกณฑ์ทหารม้ายี่สิบให้ไปด้วยลิซก ๆ มาถึงหน้าเมืองใหม่ ทหารคนหนึ่งจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกตั๋งโต๊ะ ๆ รู้ก็ออกมาคำนับหนังสือ แล้วพาลิซกเข้าไปในเมืองใหม่ ลิซกจึงบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรอยู่ หาผู้ใดจะว่าราชการมิได้ ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันให้มาเชิญมหาอุปราชเข้าไปจะมอบราชสมบัติให้ ตั๋งโต๊ะจึงถามลิซกว่า ซึ่งขุนนางทั้งปวงปรึกษากันฉนี้ ท่านได้ยินอ้องอุ้นนั้นว่าประการใดบ้าง ลิซกจึงบอกว่า ซึ่งจะมอบราชสมบัติให้แก่ท่านนี้อ้องอุ้นเปนผู้เสนอขุนนางทั้งปวงจึงเห็น ด้วย บัดนี้อ้องอุ้นก็จัดแจงตราสำหรับว่าราชการเมืองไว้ให้ท่าน

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงบอกแก่ลิซกว่า เวลาคืนนี้เรานิมิตฝันว่า มีมังกรตัวหนึ่งมาเกี้ยวกระหวัดอยู่รอบกายเรา ครั้นเวลาวันนี้มีข่าวดีมาถึงเรา จำเราจะยกไปเมืองหลวง แลลิซกได้ถือรับสั่งมาหาเราก็มีความชอบอยู่ ถ้าเราได้ราชสมบัติแล้วจะตั้งให้ท่านเปนอัครมหาเสนาผู้ใหญ่ ลิซกทำทีประหนึ่งว่าจะรับเอา ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารสามพันอยู่รักษาเมือง ตั่งโต๊ะนั้นไปหามารดาแล้วบอกว่า บัดนี้ขุนนางทั้งปวงปรึกษาจะมอบราชสมบัติให้แก่ข้าพเจ้า แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปครองราชสมบัติแล้ว ท่านผู้เปนมารดาก็จะได้เปนหองไทฮอ แปลภาษาไทยว่าสมเด็จพระพันปีหลวง มารดาจึงตอบว่า ตัวแม่ก็แก่ชราแล้วอายุได้เก้าสิบเศษ แม่ได้พึ่งบุญเจ้าก็ค่อยมีความสุขมา ครั้งนี้แม่ให้ประหลาทใจ ด้วยให้เขม่นไปทั่วทั้งกาย แลใจก็ให้สดุ้งตกประหม่ามาเปนหลายเวลาแล้ว ซึ่งเจ้าจะเข้าไปนั้นให้คิดการระมัดตัวจงดี

ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งมารดาเปนเช่นนั้นเพราะบุญจะมาถึงแล้วจึงพะเอิญให้เปนทั้งนี้ แล้วตั๋งโต๊ะก็ลามารดาไปหานางเตียวเสียน จึงเอาเนื้อความทั้งนั้นเล่าให้ฟังแล้วว่า ถ้าเราได้ครองราชสมบัติแล้ว เราจะให้เจ้าเปนมเหษีฝ่ายซ้าย นางเตียวเสียนได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงให้มาว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย นางเตียวเสียนคำนับแล้วทำเปนยินดี ตั๋งโต๊ะก็ให้จัดแจงทหารแล้วขึ้นรถยกไปทางประมาณสามร้อยเส้น เพลารถซึ่งตั๋งโต๊ะขี่นั้นหัก ตั๋งโต๊ะจึงขึ้นม้าไปทางประมาณร้อยหนึ่ง ม้านั้นมีพยศบังเหียนขาด ตั๋งโต๊ะจึงเหลียวหลังมาถามลิซกว่า ซึ่งเพลารถหัก แลม้ามีพยศบังเหียนขาดฉนี้ ท่านยังเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่า ซึ่งเปนเหตุทั้งนี้ เพราะมหาอุปราชจะได้ครองราชสมบัติ แลจะได้ทรงรถประดับด้วยหยกกับม้าที่นั่ง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมิได้รู้กลมารยาก็มีความยินดี ครั้นมาถึงประตูเมืองหลวงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ออกมารับตั๋งโต๊ะ แต่ลิยูนั้นป่วยอยู่มิได้มารับ ตั๋งโต๊ะก็เข้าไปในที่อยู่

ฝ่ายลิโป้ก็เข้ามาเยือนแล้วคำนับ ตั๋งโต๊ะจึงว่าถ้าเราได้ราชสมบัติเราจะให้ท่านเปนใหญ่คุมทหารทั้งปวง ลิโป้ได้ฟังดังนั้นทำเปนยินดีรับคำตั๋งโต๊ะแล้วลาไป

ครั้นเวลาค่ำเดือนหงาย เด็กลูกชาวบ้านสามสิบคนชวนกันเล่นอยู่หน้าบ้านตั๋งโต๊ะ แล้วทำเพลงเปนใจความว่า หญ้าเหล่านี้มีใบเขียวสดชุ่มอยู่ เห็นไม่ช้าประมาณเก้าวันสิบวันก็จะตาย ฝ่ายตั๋งโต๊ะได้ยินเด็กทำเพลงเสียงนั้นดังร้องไห้ ตั๋งโต๊ะคิดประหลาดจึงหาลิซกมาถามว่า ซึ่งเด็กทำเพลงเปนเสียงร้องไห้ดังนี้ ท่านเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่าซึ่งเด็กทำเพลงดังนี้ เปนศุภนิมิตของท่านใหญ่หลวง เพราะแซ่เล่าจะสาบสูญแล้ว แซ่ตั๋งจะรุ่งเรืองสืบไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าแต่งตัวแล้วขึ้นรถจะเข้าไปในพระราชวัง

ครั้นมาถึงกลางทางพอพบโต้หยิน ๆ นั้นใส่เสื้อเขียวหมวกขาวมือถือไม้รวก แล้วเอาผ้านางเอี๋ยวยาวแปดศอก ผูกทำธงมีอักษรอยู่ต้นธงตัวหนึ่งว่า เคา ปลายธงตัวหนึ่งก็ว่า เคา ทั้งสองนั้นประสมกันเรียกว่าลี่ แปลภาษาไทยว่าแซ่ลี ผ้าขาวนั้นภาษาจีนเรียกว่าโป้ ซึ่งโต้หยินทำปฤศนาดังนี้ว่า ลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย แลตั๋งโต๊ะมิได้รู้ในปฤศนา แต่มีความสงสัยจึงถามลิซกว่า ซึ่งโต้หยินทำทั้งนี้ท่านยังเห็นประการใด ลิซกนั้นแจ้งในปฤศนาอยู่ จึงอุบายบอกตั๋งโต๊ะว่า โต้หยินทำทั้งนี้เพราะเสียจริตอยู่ จะถือเอาว่าดีแลร้ายนั้นมิได้ แล้วลิซกก็ให้ทหารขับโต้หยินเสียให้ไกลทาง ครั้นตั๋งโต๊ะเข้าไปถึงประตูวัง ลิซกจึงอุบายให้ตั๋งโต๊ะห้ามทหารไว้แต่นอก แลลิซกนำรถตั๋งโต๊ะเข้าไปในลับแลที่เฝ้า ตั๋งโต๊ะแลเห็นขุนนางถือกระบี่อยู่ทุกคน ตั๋งโต๊ะตกใจถามลิซกว่า เหตุใดขุนนางจึงถือกระบี่อยู่ฉนั้น ลิซกมิได้ตอบประการใดก็เร่งชักรถเข้าไปในที่เสด็จออก

อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงร้องประกาศว่า ศัตรูราชสมบัติมาถึงแล้ว เปนไฉนทหารเราจึงมิได้ลงมือเล่า ฝ่ายทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นได้ยินเสียงอ้องอุ้นร้องดังนั้น ก็ชวนกันออกมาเอาทวนแทงตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นก็หลบลงอยู่ในรถแล้วร้องเรียกให้ลิโป้ช่วย แลลิโป้นั้นก็ออกมาจึงตอบว่า ตัวเปนศัตรูราชสมบัติ เปนไฉนร้องให้กูช่วย แล้วลิโป้เอาทวนแทงตั๋งโต๊ะถูกที่ฅอตกรถตาย ลิซกนั้นก็ตัดสีสะตั๋งโต๊ะแล้วร้องประกาศว่า ทีนี้ศัตรูราชสมบัติตายแล้วแผ่นดินจะเปนสุข แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มีความยินดีนัก ลิโป้จึงร้องว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้เพราะฟังคำลิยู ผู้ใดจะอาสาไปจับตัวลิยูมาได้

ฝ่ายลิซกก็รับอาสาไปจับตัวลิยูกับบุตรภรรยาพรรคพวกพี่น้องมาสิ้น อ้องอุ้นจึงให้เอาบุตรภรรยาพรรคพวกไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้เอาศพตั๋งโต๊ะไปตระเวนรอบเมือง เอามาประจานไว้ที่ทางสามแพร่งให้ทหารอยู่รักษา แลผู้รักษานั้นจึงฟั่นชุดใส่ลงที่สะดือ แล้วเอาเพลิงจุดตามต่างตะเกียงประจานไว้ แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้น มีใจเจ็บแค้นชวนกันมาด่าว่าศพตั๋งโต๊ะ แล้วเอามือชี้ชกสีสะบ้างเอาเท้าถีบบ้าง จนศพนั้นแหลกละเอียดเปื่อยไป

ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้ลิโป้ลิซกห้องหูโก๋ สามนายคุมทหารห้าหมื่นไปฆ่าพรรคพวกตั๋งโต๊ะซึ่งอยู่ ณ เมืองใหม่เสียให้สิ้น เชิง แล้วให้ริบทรัพย์สิ่งของนั้นมา แลลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ซึ่งตั๋งโต๊ะให้อยู่รักษาเมืองใหม่ ครั้นรู้เนื้อความดังนั้น ก็พาทหารสามพันหนีไปอยู่เมืองเซียงไส

ฝ่ายลิโป้กับลิซกห้องหูโก๋ครั้นมาถึงเมืองใหม่ ลิโป้นั้นเข้าไปเอาตัวนางเตียวเสียนมาไว้ แล้วฆ่ามารดากับญาติพี่น้องพรรคพวกตั๋งโต๊ะเสียสิ้น แต่หญิงแปดร้อยนั้นส่งให้บิดามารดาพี่น้องรับไป แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินของตั๋งโต๊ะนั้นบันทุกเกวียนเปนอันมาก คุมเอาเข้าไปให้อ้องอุ้นในเมืองหลวง อ้องอุ้นจึงเอาทรัพย์สิ่งของทั้งนั้นแจกให้แก่ทหารทั้งปวง แล้วจึงว่าแก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า บัดนี้ศัตรูราชสมบัติก็ตายแล้ว แผ่นดินจะมีความสุขสืบไป เราจงชวนกันเล่นให้สบายเถิด แล้วก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวง

ในขณะนั้นมีทหารมาบอกอ้องอุ้นว่า มีขุนนางคนหนึ่งชื่อซัวหยงมาร้องไห้รักศพตั๋งโต๊ะอยู่ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารทั้งปวงไปจับตัวซัวหยงมาถามว่า ตัวเปนขุนนางมาร้องไห้รักตั๋งโต๊ะนั้น ตัวเข้าด้วยศัตรูราชสมบัติหรือ ซัวหยงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะได้เข้าด้วยผู้ผิดนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้ามาร้องให้รักตั๋งโต๊ะนั้น เพราะคิดถึงคุณตั๋งโต๊ะว่าเอาข้าพเจ้ามาตั้งเปนขุนนาง แลซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดทั้งนี้ ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ทำราชการสนองแผ่นดินสืบไป แลขุนนางทั้งปวงซึ่งได้เห็นใจซัวหยงสัตย์ซื่อ จึงชวนกันขอโทษไว้ ม้าหยิดจึงค่อยกระซิบบอกแก่อ้องอุ้นว่า ซัวหยงนี้เปนคนมีสติปัญญา ทำราชการสัตย์ซื่อ มีคนรักเปนอันมาก ถ้าท่านจะฆ่าเสียก็ตามโทษผิดนั้นควรอยู่ แต่ราษฎรทั้งปวงจะครหานินทาท่าน อ้องอุ้นจึงตอบว่าบ้านเมืองเปนจลาจลพึ่งสงบลงวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ แลซัวหยงนั้นมีสติปัญญาก็จริง แต่จะให้เปนขุนนางปรึกษาราชการด้วยเรานั้นไม่ได้ กฎหมายทั้งปวงจะฟั่นเฟือนไป ม้าหยิดได้ยินดังนั้นก็ถอยออกมาแล้วว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ธรรมดาแผ่นดินถ้าหาผู้มีสติปัญญามิได้ เมืองนั้นก็จะพลันมีอันตรายหายืดยาวไม่ อ้องอุ้นจึงให้เอาตัวซัวหยงไปจำคุกไว้ แล้วลอบสั่งให้ผู้คุมจำตรากตรำเสียให้ตาย ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าซัวหยงตายแล้ว ก็มีความสงสารเปนอันมาก

[๑] มีในเรื่องเลียดก๊ก

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6

 

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6

เนื้อหา

  • อ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋ว เกิดรบกับกองซุนจ้าน 
  • ตั๋งโต๊ะอ้างรับสั่งห้ามรบ
  • อ้วนสุดกับซุนเกี๋ยนไปรบเล่าเปียว
  • ซุนเกี๋ยนตาย ซุนเซ็กได้ครองเมืองกังตั๋ง 
ขณะ เมื่ออ้วนเสี้ยวยกทหารมาอยู่เมืองโห้ลายนั้นขาดสเบียง ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้นรู้ข่าวก็จัดแจงสเบียงให้ทหารคุมไปให้แก่อ้วน เสี้ยว แลห้องกีจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า คนทั้งปวงก็ปรากฎอยู่ว่าท่านเปนเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน แลท่านมาทำการทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งนี้ ซึ่งจะมานั่งคอยกินให้ผู้อื่นส่งสเบียงนั้นเห็นไม่ควร ถ้าเขามิส่งก็จะขัดสนอยู่ แลในเมืองกิจิ๋วนั้นทรัพย์สิ่งสินก็มั่งคั่งอาหารก็บริบูรณ์ ขอให้ยกทหารไปตีเอาเมืองกิจิ๋ว ถ้าได้แล้วท่านจงตั้งอยู่ในเมืองนั้น จะได้คิดราชการสืบไป อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า เราก็คิดอยู่แต่ยังหาทีที่จะทำมิได้ ห้องกีจึงว่าถ้าท่านคิดดังนั้นแล้ว ขอให้มีหนังสือลับไปถึงกองซุนจ้าน ให้ทหารเข้าตีเมืองกิจิ๋วด้านหนึ่ง ท่านจงยกเข้าตีกระหนาบด้านหนึ่ง ถ้าได้เมืองแล้วแบ่งทรัพย์สินแลเมืองให้กองซุนจ้านกึ่งหนึ่ง แลฮันฮกนั้นเปนคนหามีความคิดไม่ ถ้ารู้กิตติศัพท์ว่ากองซุนจ้านจะยกมาตี เห็นจะมีหนังสือมาถึงท่านให้ยกทหารไปช่วย ถ้าสมคิดเห็นเราจะได้เมืองกิจิ๋วโดยง่าย อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือลับไปให้กองซุนจ้านตามห้องกีว่า

ฝ่ายกองซุนจ้านรู้หนังสือนั้นก็มีความยินดี จึงบอกกำหนดซึ่งจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วไปถึงอ้วนเสี้ยว แล้วจัดแจงเตรียมทหารไว้พร้อม อ้วนเสี้ยวแจ้งแล้วก็ให้แต่งหนังสือไปถึงฮันฮกว่า บัดนี้กองซุนจ้านมีหนังสือมาปรึกษาเรา ว่าจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วจงได้ ฮันฮกแจ้งในหนังสืออ้วนเสี้ยวแล้วจึงปรึกษากับซุนซิมซินเป๋งว่า กองซุนจ้านจะยกมาตีเมืองเรานี้ จะคิดประการใด


ซุนซิมจึงว่า ซึ่งกองซุนจ้านจะตีเอาเมืองเรานั้น เห็นจะยกทหารมาเปนอันมาก แล้วเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็จะมาด้วย กำลังทหารเรานั้นน้อยเห็นจะสู้ไม่ได้ แล้วอ้วนเสี้ยวนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญา แล้วมีทหารเอกทหารเลวเปนอันมาก ขอให้มีหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมาอยู่รักษาเมืองจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกัน เห็นอ้วนเสี้ยวจะมีความเมตตาแก่ท่าน ซึ่งกองซุนจ้านจะยกมากระทำย่ำยีเมืองเรานั้นก็เกรงอ้วนเสี้ยวอยู่ ฮันฮกเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือจะให้กวนกีถือไปเชิญอ้วนเสี้ยวตามคำซุนซิม แลเก๋งบูจึงว่าแก่ฮันฮกว่า อ้วนเสี้ยวนั้นเปนคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะท่านให้ส่งสเบียง อุปมาเหมือนทารก ถ้ามารดามิให้นมกินแล้วทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมือง เหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ๆ ทั้งปวงก็จะมีอันตรายเปนมั่นคง ขอท่านดำริห์ดูจงควร ฮันฮกจึงตอบว่า ตัวเราเมื่อแรกจะได้เปนขุนนางก็เพราะแซ่อ้วนว่ากล่าวจึงได้มาเปนเจ้าเมือง เราเห็นว่าสติปัญญาอ้วนเสี้ยวดีกว่าเรา อนึ่งโบราณว่าไว้ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาก็ให้ผู้ความคิดน้อยคำนับผู้มีปัญญา แลท่านมาทักเราให้ผิดโบราณดังนี้เราไม่เห็นด้วย แล้วก็สั่งให้กวนกีถือหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมา เก๋งบูได้ยินดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ แล้วว่าเมืองกิจิ๋วจะสูญเสียครั้งนี้เปนมั่นคง เก๋งบูกับขุนนางสามสิบสองคนก็ลาออกจากราชการ แต่เก๋งบูก้วนซุนนั้นไปยืนแอบประตูเมืองคอยอ้วนเสี้ยวอยู่


ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นแจ้งในหนังสือฮันฮกนั้น แล้วก็จัดแจงทหารแล้วยกไปถึงเมืองกิจิ๋ว แลอ้วนเสี้ยวนั้นจะเข้าประตูเมือง เก๋งบูก้วนซุนชักกระบี่ออกจะฟันอ้วนเสี้ยว งันเหลียงบุนทิวเห็นดังนั้น จึงถอดกระบี่วิ่งเข้ารับ แล้วฟันเก๋งบูกับก้วนซุนตาย อ้วนเสี้ยวก็ยกทหารเข้าไปในเมือง ฮันฮกจึงออกมารับแล้วพาเข้าไปที่อยู่ อ้วนเสี้ยวจึงตั้งฮันฮกเปนบูจงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเปนนายทหารเอก แล้วให้ถอดขุนนางในเมืองเสีย จึงให้เอาเตียนห้องหนึ่ง โจสิวหนึ่ง เคาสิวหนึ่ง ห้องกีหนึ่ง ซึ่งเปนทหารของอ้วนเสี้ยวนั้นมาเปนขุนนาง ในขณะนั้นราชการในเมืองกิจิ๋วก็สิทธิ์ขาดอยู่ในอ้วนเสี้ยวสิ้น แลฮันฮกเห็นดังนั้นก็คิดสดุ้งใจว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวมาทำทั้งนี้ก็เพราะเราคิดผิด ซึ่งจะอยู่ในเมืองนี้กับอ้วนเสี้ยวสืบไปเมื่อหน้าเห็นจะเกิดอันตรายเปนมั่น คง ฮันฮกก็ทิ้งบุตรภรรยาเสีย หนีไปเมืองตันลิวแต่ตัวผู้เดียว


ฝ่ายกองซุนจ้านครั้นรู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้ว ก็ให้กองซุนอวดผู้น้องไปว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า จะปันเอาทรัพย์สิ่งสินแลเมืองกึ่งหนึ่ง ตามซึ่งให้หนังสือมาสัญญาไว้นั้น อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่าให้ไปเชิญกองซุนจ้านผู้ที่ท่านมาเถิด กองซุนอวดกลับไปถึงกลางทาง พอพบทัพสองข้างทางร้องว่า กูเปนทหารมหาอุปราช แล้วเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกกองซุนอวดตาย แลทหารกองซุนอวดซึ่งมาด้วยกองซุนอวดนั้น ก็หนีเอาเนื้อความทั้งนั้นไปบอกแก่กองซุนจ้าน ๆ ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วว่าอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้วแต่งเปนกลอุบายให้ทหารมาซุ่มคอยฆ่ากอง ซุนอวดผู้น้องเราเสีย แล้วแกล้งประกาศว่าเปนทหารตั๋งโต๊ะ แลอ้วนเสี้ยวทำทั้งนี้กูมีความแค้นนัก ถ้ากูแก้แค้นอ้วนเสี้ยวไม่ได้ก็เหมือนหนึ่งมิใช่ชาติทหาร แล้วกองซุนจ้านจัดแจงทหารสิ้นทั้งเมืองพร้อม ก็ยกไปรบด้วยอ้วนเสี้ยว


ฝ่ายอ้วนเสี้ยวรู้ข่าวดังนั้นก็ให้ตรวจตราทหารเสร็จ แล้วก็ยกออกจากเมืองไปตั้งรับอยู่ ณ ตำบลแม่น้ำพวนโห้ฟากตวันตก แลแม่น้ำนั้นมีสะพานศิลาอยู่ กองซุนจ้านเห็นกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมา จึงขี่ม้าขึ้นสะพานแล้วร้องว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตัวมึงไม่รักษาสัตย์มาล่อลวงกู แล้วซ้ำฆ่ากองซุนอวดผู้น้องกูเสีย อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงขี่ม้าขึ้นสะพานแล้วจึงตอบว่า ฮันฮกเปนคนโฉดหาความคิดมิได้ ยกเมืองกิจิ๋วให้แก่เรา แลท่านจะมาชุบมือเอาส่วนนั้นไม่ควร กองซุนจ้านจึงตอบว่า หัวเมืองทั้งปวงปรึกษากันเห็นว่ามึงสัตย์ซื่อ จึงตั้งให้เปนนายทัพผู้ใหญ่ บัดนี้กูเห็นใจมึงดังสัตว์เดียรัจฉาน ซึ่งอยู่ในบ้านเมืองนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวได้ยินก็โกรธ จึงถามทหารว่าใครจะอาสาออกไปจับกองซุนจ้านมาให้เราได้บ้าง บุนทิวก็รับอาสา รำทวนขับม้าข้ามสะพานไป กองซุนจ้านชักม้าถอยลงมายืนอยู่ที่แผ่นดิน ครั้นบุนทิวมาถึงก็เข้ารบกันได้เก้าเพลงสิบเพลง กองซุนจ้านกำลังน้อยก็ขับม้าหนีเข้าปนอยู่กับพวกทหาร บุนทิวจึงขับม้าไล่เข้าไป แลทหารทั้งปวงแตกกระจายไป แลทหารเอกกองซุนจ้านสี่คนขับม้าประดากันเข้ารบด้วยบุนทิว ๆ เอาทวนแทงถูกทหารตกม้าตายคนหนึ่ง ทหารสามคนก็ขับม้าหนี บุนทิวขับม้าไล่ตามแล้วผละเสีย จึงขับม้าตรงเข้าจะแทงเอากองซุนจ้าน ๆ ขับม้าหนีฝ่าเข้าป่าไปเปนหลายตำบล บุนทิวขับม้าตามแล้วร้องว่า เร่งลงจากม้าเราจะจับเอาเปนไป ชีวิตท่านจะรอดอยู่ ถ้าจะขืนควบม้าหนีไป เราจะเอาทวนแทงให้ตกม้าตาย กองซุนจ้านได้ยินดังนั้นก็ขับม้าหนี เกาทัณฑ์แลอาวุธกับหมวกที่ใส่นั้นก็พลัดตกไปสิ้น ครั้นมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ม้านั้นก็สดุดเอาก้อนศิลาล้มลง บุนทิวเงื้อทวนจะแทงกองซุนจ้าน ฝ่ายจูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนออกสกัดหน้าบุนทิวไว้ แลกองซุนจ้านนั้นก็หนีเข้าซ่อนอยู่ในเงื้อมเขาได้ จูล่งกับบุนทิวรบกันถึงหกสิบเพลงมิได้แพ้ชนะกัน พอเหล่าทหารกองซุนจ้านซึ่งแตกนั้น คุมกันไล่ตามมาทันเข้าล้อมบุนทิวไว้ บุนทิวเห็นจะเสียทีก็ขับม้าฝ่าออกมาได้ แล้วหนีกลับไป กองซุนจ้านจึงออกมาจากเงื้อมเขา เห็นทหารคนนั้นสูงประมาณหกศอก หน้าผากแลคิ้วใหญ่ตาโต จึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด มาช่วยเรานี้ขอบใจนัก จูล่งย่อตัวลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าชื่อจูล่งแซ่เตียว อยู่ ณ เมืองเซียงสัน แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเปนคนมีพยศหยาบช้ามิได้รักษาสัตย์ ข้าพเจ้าจึงหนีมาพึ่งอยู่ด้วยท่าน พอมาพบที่กลางทางนี้ กองซุนจ้านได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงขึ้นขี่ม้าตัวหนึ่งแล้วพาจูล่งกับทหารทั้งปวงยกกลับไป ณ ค่ายริมแม่น้ำ


ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นเห็นดังนั้น ก็ให้งันเหลียงบุนทิวคุมทหารเกาทัณฑ์นายละพัน ให้แยกเปนสองกองซุ่มอยู่ต้นสพาน ถ้าได้ยินเสียงประทัดสัญญาแล้วก็ให้ยิงระดมทั้งซ้ายขวา แล้วให้จ๊กยี่คุมทหารเกาทัณฑ์แปดร้อย กับทหารเลวหมื่นห้าพันเปนกองหน้าออกรบล่อ อ้วนเสี้ยวนั้นคุมทหารประมาณห้าหมื่นเปนกองหลวง ครั้นจัดแจงเสร็จก็ให้ทหารทั้งปวงสงบอยู่


ฝ่ายกองซุนจ้านให้ยำก๋งคุมทหารเปนกองหน้า แล้วให้จัดทหารเปนปีกซ้ายปีกขวา แลกองซุนจ้านนั้นยังไม่รู้จักน้ำใจจูล่ง จึงให้จูล่งคุมทหารเปนกองหลัง แล้วให้เอาธงเปนตัวอักษรปักทองว่าชวยกี้ ภาษาไทยว่าธงสำหรับแม่ทัพ แล้วก็ยกทหารขึ้นตั้งเปนกระบวรอยู่บนสะพานศิลานั้น จึงให้ทหารทั้งปวงตีฆ้องกลองม้าฬ่อ แล้วโห่ร้องแต่เช้าจนเที่ยง ทหารในกองทัพอ้วนเสี้ยวนั้นยังสงบอยู่ ยำก๋งซึ่งเปนกองหน้ากองซุนจ้านเห็นดังนั้น ก็ยกทหารรุกจะข้ามไป


ฝ่ายจ๊กยี่กองหน้าอ้วนเสี้ยวคุมทหารรบล่อถอยมาถึงต้นสะพาน เห็นได้ทีแล้วจึงจุดประทัดสัญญาขึ้น แลทหารเกาทัณฑ์แปดร้อยนั้นก็ยิงระดมเปนสามารถ ยำก๋งเห็นจะต้านทานมิได้ แลทหารทั้งปวงก็รวนจะถอยออกมา จ๊กยี่เห็นดังนั้นจึงขับม้ารำง้าวเข้าไล่รบด้วยยำก๋งได้ห้าเพลง ก็เอาง้าวฟันถูกยำก๋งตกม้าตาย ปีกซ้ายปีกขวากองซุนจ้านยกทหารจะเข้าช่วยรุมแก้กัน งันเหลียงบุนทิวคุมทหารซ้ายขวาซึ่งซุ่มอยู่ต้นสะพานนั้นก็ให้ทหารยิง เกาทัณฑ์กราดไว้ ทหารกองซุนจ้านเข้าช่วยมิได้ จ๊กยี่คุมทหารทั้งปวงไล่ฟันไปถึงหน้าม้ากองซุนจ้าน แล้วจึงเอากระบี่ฟันธงนั้นหักลง กองซุนจ้านเห็นจะทานมิได้ก็คุมทหารกลับหน้าลงจากสะพานหนีไป จ๊กยี่นั้นขับม้าคุมทหารไล่ฟันตลุมบอน ทหารกองซุนจ้านแตกกระจัดกระจายไป


ขณะนั้นจูล่งซึ่งเปนกองหลังเห็นดังนั้น จึงขับม้าเข้ารบด้วยจ๊กยี่ได้ห้าเพลง ก็เอาทวนแทงจ๊กยี่ตกม้าตาย แล้วจูล่งขับม้าเข้าไล่แทงอยู่ในกลางทหารจ๊กยี่ จูล่งขับม้าไปข้างขวาก็ขวาแตก ไปข้างซ้ายก็ซ้ายแตก หาผู้ใดจะต้านทานมิได้ กองซุนจ้านเห็นดังนั้นก็คุมทหารกลับเข้ามาช่วยจูล่งรบทหารจ๊กยี่ก็แตกไป


ขณะเมื่อจ๊กยี่ฟันธงสำหรับแม่ทัพหัก กองซุนจ้านแตกลงไปจากสะพานนั้น มีทหารคนหนึ่งมาบอกอ้วนเสี้ยวว่า ทัพกองซุนจ้านแตกแล้ว อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นมีความยินดีนัก จึงพาเตียนห้องกับทหารถือทวนประมาณสามร้อย ถือเกาทัณฑ์ห้าสิบ ออกมาแลดูนอกค่ายเห็นสมคำทหารมาบอก อ้วนเสี้ยวก็ตบมือหัวเราะแล้วว่า กองซุนจ้านนั้นเปนคนหาชำนาญศึกไม่ แต่เราคิดทำเพียงนี้ก็รบแตก อ้วนเสี้ยวก็มีใจประมาท


ฝ่ายจูล่งกับกองซุนจ้านรีบยกทหารข้ามสะพานไป แต่จูล่งนั้นขับม้าเข้าไล่แทงทหารอ้วนเสี้ยวตาย เปนหลายคน กองซุนจ้านก็รับยกทหารเข้าวกหลังอ้วนเสี้ยวไว้ แล้วยิงเกาทัณฑ์ระดมไป

เตียนห้องเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ครั้งนี้จะเสียทีแก่ศัตรู ท่านจงเข้าแอบอยู่ริมตลิ่งหนีให้พ้นภัย อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่าเปนชาติทหารจะกลัวตายใย แล้วร้องให้ทหารทั้งปวงเข้ารบพุ่งต้านทานไว้ เหล่าทหารทั้งปวงนั้นก็รบพุ่งป้องกันเปนสามารถ แลงันเหลียงเห็นกองซุนจ้านกับจูล่งเข้ารบอยู่ ก็คุมทหารตีกระหนาบหลังเข้าด้านหนึ่ง ทหารอ้วนเสี้ยวที่แต่งให้รบล่อซึ่งแตกไปนั้น ครั้นกลับมาเห็นก็คุมกันเข้าตีกระหนาบไว้อีกด้านหนึ่ง จูล่งรบอยู่ในทัพกระหนาบเห็นจะทานมิได้ ก็พากองซุนจ้านกับทหารรบฝ่าออกมาจะข้ามสะพานไป อ้วนเสี้ยวแลงันเหลียงก็คุมทหารไล่ไปถึงต้นสะพาน ได้ฆ่าฟันทหารกองซุนจ้านตกน้ำตายเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวกับงันเหลียงคุมทหารข้ามสะพานไล่กองซุนจ้านจูล่งไปทางประมาณห้า สิบเส้น

ขณะนั้นเล่าปี่รู้ข่าว จึงพากวนอูเตียวหุยกับทหารทั้งปวงยกมาจะช่วยกองซุนจ้าน พอเห็นอ้วนเสี้ยวไล่กองซุนจ้านมาถึงเนินเขา เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ขับม้ารบสกัดหน้าม้าอ้วนเสี้ยวไว้ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่กวนอูเตียวหุยขวางหน้าม้าเข้ารบดังนั้นก็ตกใจ หาสติมิได้ ง้าวซึ่งถืออยู่นั้นก็พลัดตกลงจากมือ แล้วขับม้าถอยหลังข้ามไป ณ ค่าย

ฝ่ายกองซุนจ้านครั้นเห็นเล่าปี่กับกวนอูเตียวหุยมาช่วย ก็มีความยินดี จึงพากันกลับมาถึงค่าย แล้วกองซุนจ้านจึงบอกแก่เล่าปี่ว่า ครั้งหนึ่งบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยวไล่เรามา หากว่าจูล่งออกช่วยเราจึงรอด ครั้งนี้อ้วนเสี้ยวไล่เรามาหากว่าท่านมาทันได้รบพุ่งป้องกันไว้ เราจึงได้รอดชีวิตเพราะท่าน แล้วเรียกจูล่งมาให้รู้จักกับเล่าปี่ไว้ เล่าปี่เห็นรูปร่างจูล่งนั้นสมเปนทหารก็มีความรักใคร่จูล่งเปนอันมาก แล้วกองซุนจ้านกับอ้วนเสี้ยวก็ให้ทหารตั้งมั่นประชิดกันอยู่คนละฟากน้ำ ประมาณเดือนเศษ

ขณะนั้นมีคนหนึ่งเอาข่าวขึ้นไปบอกลิยู ณ เมืองเตียงฮัน ตามซึ่งอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านตั้งรบกันอยู่นั้นทุกประการ ลิยูจึงเอาเนื้อความนั้นแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ๆ รู้ดังนั้นจึงว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านต่างมีกำลังรบกันอยู่ดังนี้เราจะคิดประการใด ลิยูจึงว่าอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านนั้นก็มีฝีมือรบพุ่งเข้มแข็ง ตั้งรบกันอยู่ตำบลแม่น้ำพวนโห้ ถ้าผู้ใดมีชัยชนะผู้นั้นก็จะกำเริบขึ้น นานไปก็จะเคืองใจท่าน ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปห้ามเสียทั้งสองฝ่ายให้เปนไมตรีกัน นานไปอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้าน ก็จะอยู่ในบังคับบัญชาท่าน ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้สองฉบับตามคำลิยูว่า แล้วให้เตียวกีกับม้าหยิดถือไปให้แก่อ้วนเสี้ยวกองซุนจ้าน

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นรู้ข่าวจึงออกมาคำนับหนังสือรับสั่ง แล้วรับเข้าไปในค่าย ครั้นดูแจ้งในหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็ทำตามรับสั่ง แลเตียวกีกับม้าหยิดก็พากันเอาหนังสือฉบับหนึ่งข้ามไปให้กองซุนจ้าน ณ ค่าย กองซุนจ้านเห็นหนังสือก็ฟังตามรับสั่ง แล้วกองซุนจ้านให้ทหารเอาข้อรับสั่งไปเจรจาแก่อ้วนเสี้ยว ๆ ก็ยอม แล้วเตียวกีกับม้าหยิดเอาเนื้อความลับขึ้นแจ้ง ณ เมืองเตียงฮัน อ้วนเสี้ยวก็ยกทหารกลับเข้าเมือง

ฝ่ายกองซุนจ้านจัดแจงทหารแล้ว พาเล่าปี่จูล่งเลิกทัพกลับไปเมือง ครั้นถึงเมืองเพงงวนก๋วน จึงให้เล่าปี่เข้าอยู่รักษาเมืองดังแต่ก่อน เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ลากองซุนจ้านจะเข้าไปในเมือง จูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเปนคนหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงมาอยู่ด้วยกองซุนจ้าน บัดนี้ก็เห็นว่ากองซุนจ้านนี้หาความคิดมิได้ ข้าพเจ้าจึงมีความลำบากใจ ครั้นมาเห็นท่านค่อยมีสติปัญญา คิดว่าจะทำราชการด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ มิรู้ที่จะทำประการใด เล่าปี่จึงตอบเอาใจจูล่งว่า ท่านกับเรารู้จักกันไว้ครั้งนี้ก็เปนคนสนิธกัน จงค่อยอยู่กับกองซุนจ้านก่อนเถิด ถ้าชีวิตมิตายสืบไปภายหน้า ท่านจะได้ทำราชการด้วยเราเปนมั่นคง จงจำคำนี้ไว้อย่าลืม แล้วเล่าปี่ยุดมือจูล่งเข้าแล้วก็มีใจเสร้าโศก จูล่งนั้นก็ร้องไห้รักเล่าปี่ แล้วเล่าปี่ลาจูล่งยกทหารเข้าไปเมืองเพงงวนก๋วน กองซุนจ้านก็พาจูล่งยกไปยังเมืองปักเป๋ง

ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นรู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวผู้พี่ได้เมืองกิจิ๋ว จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปขอม้าแก่อ้วนเสี้ยวพันหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมิได้ยอมให้ดังปราถนา อ้วนสุดโกรธพยาบาทอ้วนเสี้ยวผู้พี่ แล้วอ้วนสุดให้มีหนังสือไปขอสเบียงเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวมิได้ให้สเบียงมา อ้วนสุดโกรธมีใจพยาบาทเปนอันมาก แล้วอ้วนสุดก็แต่งหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยนซึ่งอยู่ ณ เมืองกังตั๋งว่า เล่าเปียวคุมทหารออกสกัดรบชิงเอาตราหยกนั้น ก็เพราะอ้วนเสี้ยวพี่เราให้หนังสือไป บัดนี้อ้วนเสี้ยวกับเล่าเปียวคิดกันจะไปตีเมืองกังตั๋งชิงเอาตราหยกให้จงได้ ซึ่งท่านจะนอนใจอยู่นั้นไม่ควร จงเร่งยกทหารไปตีเมืองเกงจิ๋ว เราจะช่วยแก้แค้นท่าน เราจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วซึ่งอ้วนเสี้ยวอยู่นั้น

ฝ่ายซุนเกี๋ยนแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงปรึกษาด้วยทหารทั้งปวงว่าผู้ใดจะเห็นประการใด เทียเภาจึงว่าซึ่งอ้วนสุดให้หนังสือมาทั้งนี้จะเชื่อฟังยังมิได้ ด้วยอ้วนสุดนั้นเปนคนหยาบช้า มักยุยงแต่จะให้ผู้อื่นผิดกัน แล้วอ้วนสุดก็เปนน้องอ้วนเสี้ยว ซึ่งจะยกไปรบเมืองกิจิ๋วนั้นข้าพเจ้าเห็นไม่จริง ซุนเกี๋ยนจึงตอบว่า ซึ่งเทียเภาว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ อันเล่าเปียวเปนศัตรูเรา ถึงมาทว่าอ้วนสุดจะไม่มีหนังสือมาถึงเรา ๆ ก็คิดอยู่ว่าจะยกทหารไปรบ แลการทั้งนี้ใช่จะเห็นแก่ผู้ช่วยนั้นหามิได้ แล้วให้อุยกายไปจัดแจงเรือรบสรัพไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ กับเรือใหญ่บันทุกม้าแลสเบียงอาหารให้พร้อมไว้จงมาก ถึงวันดีเมื่อใดจะได้ยกไปทำการสดวก

ฝ่ายเรือกองตระเวนเมืองเกงจิ๋วรู้กิตติศัพท์ดังนั้น ก็เอาเนื้อความทั้งปวงไปแจ้งแก่เล่าเปียว ๆ จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งนั้นว่า ซึ่งซุนเกี๋ยนจะยกทัพเรือมานั้นใครยังจะเห็นประการใดบ้าง เก๊งเหลียงจึงว่าซึ่งซุนเกี๋ยนจะยกทัพเรือข้ามทเลมานั้น เห็นจะไม่สู้กับเราซึ่งอยู่บกได้ ด้วยส่งสเบียงกันยาก ขอให้เกณฑ์ทัพหองจอเจ้าเมืองกังแฮซึ่งขึ้นแก่เรานั้นเปนทัพหน้า ท่านจงยกทหารเปนทัพหลวง เล่าเปียวเห็นชอบด้วย ก็ให้เกณฑ์ทัพหองจอไปตั้งอยู่ปากน้ำฮวนเสีย แล้วจัดแจงทหารในเมืองเกงจิ๋ว เกณฑ์ไว้ตามคำเก๊งเหลียงว่า

ฝ่ายซุนเกี๋ยนนั้นมีภรรยาสองคนเปนพี่น้องร่วมท้องกัน พี่นั้นชื่อนางงอฮูหยิน น้องชื่องอยี่ฮูหยิน แลนางผู้พี่นั้นมีบุตรชายสี่คน ชื่อซุนเซ็กหนึ่ง ชื่อซุนก๋วนหนึ่ง ซุนเสียงหนึ่ง ซุนของหนึ่ง นางผู้น้องนั้นมีบุตรชายชื่อซุนลองหนึ่ง บุตรหญิงชื่อซุนหยินหนึ่ง บุตรเลี้ยงนั้นชื่อกองเลหนึ่ง น้องซุนเกี๋ยนชื่อซุนเจ้งหนึ่ง ขณะเมื่อวันดีซุนเกี๋ยนลงเรือนั้น ซุนเจ้งผู้น้องพาบุตรซุนเกี๋ยนทั้งเจ็ดคนตามลงไปห้ามซุนเกี๋ยนว่า ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยราชสมบัติ ราชการบ้านเมืองก็เปนสิทธิ์อยู่กับตั๋งโต๊ะ ๆ ทำการหยาบช้า หัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจลแขงเมืองขึ้น อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน แลในเมืองกังตั๋งนี้พึ่งจะสงบลง ซึ่งท่านจะยกทัพไปรบแก่เล่าเปียวนั้น ขอท่านจงตรึกตรองดูก่อน ซุนเกี๋ยนจึงตอบว่า แต่ก่อนมาตัวเราผู้เดียวก็ยังคิดตั้งตัวมาได้ ครั้งนี้เราได้ทหารไว้เปนกำลังมากแลเล่าเปียวเปนศัตรูเรา ครั้นเราจะนิ่งเสียไม่ไปทำการแก้แค้น ก็ดูเหมือนเปนชายชาติทหารไม่มีฝีมือ

ฝ่ายซุนเซ็กจึงว่าซึ่งบิดามิฟังจะยกไปให้ได้ ข้าพเจ้าจะขอไปด้วย ซุนเกี๋ยนมีความรักรับซุนเซ็กลงเรือ แล้วยกทหารข้ามอ่าวทเลไปถึงปากน้ำเมืองฮวนเสียต่อกันกับเมืองกังแฮ

ฝ่ายหองจอเจ้าเมืองกังแฮแจ้งในหนังสือซึ่งเล่าเปียวให้มา จึงจัดแจงทหารพร้อม แล้วก็ยกมาตั้งอยู่ปากน้ำเมืองฮวนเสีย ครั้นเห็นซุนเกี๋ยนยกทัพเรือมา ก็ให้ทหารทั้งปวงยิงเกาทัณฑ์เปนอันมาก ซุนเกี๋ยนให้ทหารบังตัวลอยเรือล่อให้ยิงรบถึงสามวันสามคืน ทหารกองทัพเรือมิได้เปนอันตราย หองจอนั้นให้ยิงระดมไปจนสิ้นลูกเกาทัณฑ์

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นเกาทัณฑ์สงบลง จึงให้ทหารชักเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งติดเรือรบทั้งปวงนั้น นับได้ลูกเกาทัณฑ์ประมาณสิบห้าหมื่น

ขณะนั้นลมแปรเข้าฝั่ง ซุนเกี๋ยนจึงให้แจวเรือรบทั้งปวงเข้าไปถึงตลิ่ง แล้วเอาเกาทัณฑ์ระดมยิง ทหารหองจอสิ้นลูกเกาทัณฑ์แล้วเห็นจะต้านทานมิได้ ก็ยกถอยหนีเข้าเมืองฮวนเสีย แลเทียเภาอุยกายเห็นดังนั้น ก็คุมทหารเปนสองกองไล่ฟันเข้าไปจนถึงประตูเมืองฮวนเสีย ซุนเกี๋ยนกับฮันต๋งคุมทหารหนุนขึ้นไปเปนอันมาก ครั้นเห็นหองจอหนีเข้าในเมือง ก็ขับทหารไล่ตามเข้าไป หองจอจึงพาทหารหนีออกจากเมืองฮวนเสียไปเข้าเมืองเตงเซีย

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นดังนั้นจึงให้อุยกายกลับลงมารักษาเรือรบไว้ แล้วซุนเกี๋ยนก็รีบยกทหารตามหองจอไป

ฝ่ายหองจอเห็นซุนเกี๋ยนตามมาจะใกล้ถึงเชิงกำแพง ก็ยกทหารออกมาตั้งรับอยู่นอกประตูเมือง แลซุนเกี๋ยนกับซุนเซ็กผู้บุตรขี่ม้าตามกันขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหาร หองจอนั้นก็ขับม้าออกมายืนอยู่หน้าพลทั้งปวง แลทหารสองคนชื่อเตียเฮาชื่อตันเสง ตามออกมายืนอยู่ด้วย หองจอจึงร้องด่าซุนเกี๋ยนว่า มึงนี้อ้ายพวกโจรเมืองกังตั๋ง เปนไฉนจึงบังอาจรุกล่วงมาถึงแดนพระเจ้าฮั่นโกโจ มึงไม่กลัวตายหรือ แล้วใช้ให้เตียวเฮาขับม้าออกรบ ซุนเกี๋ยนให้ฮันต๋งออกรบด้วยเตียวเฮาได้สามสิบเพลง ตันเสงจึงขับม้าออกช่วยเตียวเฮา ซุนเซ็กเห็นดังนั้นจึงยิงด้วยเกาทัณฑ์ไปถูกหน้าผากตันเสงตกม้าตาย เตียวเฮาเห็นตันเสงตายก็สลดใจเสียทีฮันต๋งเอาง้าวฟันถูกเตียวเฮาตาย เทียเภาก็ขับม้าควบตรงเข้าไปจะจับหองจอ ๆ ตกใจถอดหมวกทิ้งเสีย แล้วโจนจากม้าหนีเข้าปลอมอยู่กับพวกทหาร ซุนเกี๋ยนก็คุมทหารทั้งปวงไล่ฟันทหารหองจอไปถึงตำบลฮั่นซุย หองจอหนีไปได้ ซุนเกี๋ยนจึงให้ทหารไปสั่งอุยกาย ให้คุมทหารเรือรบทั้งปวงขึ้นไปรับตำบลท่าฮั่นกั๋ง

ฝ่ายหองจอนั้นเสียทหารเปนอันมาก ก็รีบหนีไปถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงเอาเนื้อความไปบอกเล่าเปียว ๆ ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่เก๊งเหลียง ๆ จึงว่าซึ่งหองจอแตกมานั้น ฝ่ายทหารซุนเกี๋ยนก็มีใจกำเริบ ครั้นเราจะยกออกรบบัดนี้ก็เหมือนหนึ่งหักไฟหัวลม จำเราจะให้รักษาค่ายประตูหอรบไว้จงมั่นคงก่อน แล้วจึงให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาช่วย เห็นซุนเกี๋ยนจะไม่ทำสิ่งใดได้

ชัวมอจึงว่าซึ่งเก๊งเหลียงว่านั้นไม่ชอบ ด้วยทัพซุนเกี๋ยนยกมาจะใกล้ถึงกำแพงอยู่แล้ว ๆ จะให้ขึ้นรักษาหน้าที่อยู่ จะให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวช่วยนั้นเห็นไม่ทันที ข้าพเจ้าจะขออาสายกทหารออกไปตีทัพซุนเกี๋ยน เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ทหารให้หมื่นหนึ่ง ชัวมอก็คุมทหารไปถึงเขาฮีสัน แล้วจึงให้หยุดทัพตั้งมั่นไว้

ฝ่ายซุนเกี๋ยนมิได้รู้ว่าชัวมอมาตั้งอยู่ ก็ยกทหารรีบมาถึงเขาฮีสันข้างหนึ่ง ชัวมอรู้ก็ขี่ม้าถือง้าวขึ้นมายืนอยู่หน้าทหาร ซุนเกี๋ยนเห็นชัวมอมาตั้งอยู่ดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปจับชัวมอพี่ภรรยาเล่าเปียวมาให้เราได้

เทียเภาจึงรับอาสา แล้วขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยชัวมอได้สิบเพลง ชัวมอเห็นจะสู้มิได้ก็ขับม้าหนี ซุนเกี๋ยนคุมทหารไล่แทงฟันทหารชัวมอล้มตายเปนอันมาก แลชัวมอนั้นหนีเข้าในเมืองได้ จึงเอาเนื้อความแจ้งแก่เล่าเปียว เก๊งเหลียงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า เพราะท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจึงเสียทีแก่ข้าศึก ซึ่งชัวมอขันอาสาออกไปแล้วแตกเข้ามา ให้เสียทหารเปนอันมากนั้น ขอให้ตัดสีสะชัวมอเสียบไว้จึงจะควร เล่าเปียวได้ยินดังนั้นเพราะมีความรักนางชัวฮูหยินซึ่งเปนภรรยา ก็มีใจเมตตามิได้เอาโทษชัวมอ

ฝ่ายซุนเกี๋ยนจึงเกณฑ์ทหารทั้งปวงยกเข้าล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดธงชัยสำหรับทัพซุนเกี๋ยนหัก ฮันต๋งเห็นดังนั้นจึงว่าแก่ซุนเกี๋ยนว่า บัดนี้บังเกิดอัศจรรย์เปนลางในกองทัพเรา ธงชัยจึงหัก ครั้นจะตั้งล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้ฉนี้ เหตุใหญ่ก็จะมีแก่ท่านเปนมั่นคง ขอให้เลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง ภายหลังจึงจะค่อยคิดการสืบไป ซุนเกี๋ยนตอบว่าซึ่งเรายกมาทำการสงครามครั้งนี้ ก็มีชัยชนะเปนหลายครั้ง จวนจะได้เมืองเกงจิ๋วอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว ซึ่งท่านจะสงสัยว่าเกิดลมพัดมาธงชัยจึงหักไปนั้นไม่ชอบ แล้วก็เร่งให้ทหารทั้งปวงทำลายกำแพงเมืองเกงจิ๋วให้ได้แต่ในเวลาค่ำวันนี้ ครั้นเวลาค่ำเก๊งเหลียงเห็นดาวตกลงมา ก็ดูในตำราแจ้งแล้วจึงบอกแก่เล่าเปียวว่า ข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งเสร้าหมองตกลงมา ครั้นดูในตำราเห็นว่าจะมีอันตรายแก่ซุนเกี๋ยนเปนมั่นคง ขอให้เร่งแต่งหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาตีซุนเกี๋ยนเปนทัพกระหนาบ เล่าเปียวจึงว่าซึ่งจะให้ไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวเราก็เห็นชอบด้วย แต่บัดนี้ทัพซุนเกี๋ยนล้อมเมืองอยู่ จะหาผู้ใดเข้มแขงจะได้ถือหนังสือรบหักกองทัพซุนเกี๋ยนออกไปได้

ลีก๋งทหารเล่าเปียวคนหนึ่งรับอาสา เก๊งเหลียงจึงตอบว่าซึ่งท่านจะอาสานั้นเราขอบใจนัก แต่ท่านจงทำตามคำเรา เราจะเกณฑ์ทหารถือเกาทัณฑ์ให้ไปด้วยห้าร้อย ถ้าท่านรบหักออกไปได้แล้ว จงจัดทหารสองร้อยให้รีบไปซุ่มอยู่ท้ายเขาฮีสันร้อยหนึ่ง ร้อยหนึ่งให้ขึ้นไปซุ่มอยู่เนินเขา เก็บเอาก้อนศิลาเตรียมไว้จงมาก ถ้ากองทัพซุนเกี๋ยนตามรบ ท่านกับทหารสามร้อยนั้นให้สู้พลางหนีพลาง กว่าจะถึงเขาฮีสัน ทหารสองกองซึ่งซุ่มอยู่บนเนินเขาแลป่าท้ายเขานั้นได้ยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อน ศิลาแล้วเมื่อใด ท่านจึงจุดประทัดใหญ่ขึ้นสามนัด เราได้ยินเสียงประทัดแล้วจะยกทหารออกตามตีกระหนาบไป ถ้าข้าศึกมิได้ติดตาม ท่านจงรีบเอาหนังสือไปให้แก่อ้วนเสี้ยวจงได้ แลในเวลากลางคืนวันนี้ก็เปนเดือนมืด ท่านจงคุมทหารรีบออกไป ลีก๋งก็รับคำเก๊งเหลียงแล้ว ลาเล่าเปียวคุมทหารถือเกาทัณฑ์ห้าร้อยเปิดประตูฝ่ายทิศตวันออก รบหักออกไป แล้วให้ทหารสองร้อยนั้นไปซุ่มอยู่เขาฮีสันเปนสองกองตามคำเก๊งเหลียงสั่ง

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นทหารในเมืองยกหักออกไป จึงขึ้นม้าถือง้าวแล้วพาทหารซึ่งสนิธนั้นสามสิบม้ายกตามไป แลม้าซุนเกี๋ยนนั้นรีบไปทันม้าลีก๋งเข้าจึงร้องว่า มึงออกมาจากเมืองนี้จะหนีไปแห่งใด ลีก๋งได้ยินดังนั้นก็ชักม้ากลับหน้ามารบด้วยซุนเกี๋ยนได้ห้าเพลง แล้วขับม้าหนีไปทางที่ซุ่มทหารไว้สองกองนั้น ซุนเกี๋ยนก็ขับม้าตามไปถึงซอกเขา ครั้นไม่เห็นลีก๋งจึงชักม้ากลับหลังมาหาทหารสามสิบ พอได้ยินเสียงม้าฬ่อแลทหารบนเนินเขาก็ทิ้งก้อนศิลาลงมา ทหารซึ่งซุ่มอยู่ท้ายเขาก็ยิงเกาทัณฑ์ระดมไป แลซุนเกี๋ยนกับม้านั้นถูกเกาทัณฑ์แลก้อนศิลาโลหิตไหลลงโทรมกาย ทั้งม้าทั้งคนก็ถึงแก่ความตายในซอกเขา เมื่อซุนเกี๋ยนตายนั้นอายุได้สามสิบปี

ลีก๋งเห็นดังนั้น ก็ขับทหารทั้งปวงมาสกัดฆ่าทหารซุนเกี๋ยนเสียทั้งสามสิบคน แล้วให้จุดประทัดใหญ่สัญญาขึ้นสามนัด ฝ่ายเก๊งเหลียงได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็ให้เก๊งอวดหนึ่ง หองจอหนึ่ง ชัวมอหนึ่ง คุมทหารตีออกไปเปนสามด้าน แลทหารซุนเกี๋ยนมิทันรู้ก็แตกตื่นล้มตายเปนอันมาก

ฝ่ายอุยกายซึ่งอยู่รักษาเรือรบนั้น ครั้นได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึงก็คุมทหารขึ้นมาจะช่วยรบ พอมาพบหองจอเจ้าเมืองกังแฮก็เข้ารบกันได้หกเพลง อุยกายจับหองจอได้

ฝ่ายเทียเภาซุนเซ็กไปตามซุนเกี๋ยน พอมาพบลีก๋งกับเทียเภารบกันได้ห้าเพลง เทียเภาเอาทวนแทงถูกลีก๋งตกม้าตาย ในเวลากลางคืนนั้นทหารเล่าเปียวกับทหารซุนเกี๋ยนรบกันล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งลีก๋งคุมมานั้น ก็เอาศพซุนเกี๋ยนเข้าไปให้แก่เล่าเปียว ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารเล่าเปียวก็พากันกลับเข้าเมือง

ฝ่ายซุนเซ็กกับเทียเภาครั้นมิได้พบซุนเกี๋ยน แล้วก็พาทหารใหญ่น้อยซึ่งแตกตื่นนั้นไปตั้งอยู่ที่ตำบลฮั่นซุย ในขณะนั้นทหารเลวคนหนึ่งเอาเนื้อความมาบอกแก่ซุนเซ็กว่า ซุนเกี๋ยนผู้เปนบิดานั้นถูกเกาทัณฑ์ตายที่ซอกเขาฮีสัน ศพนั้นทหารเมืองเกงจิ๋วเอาเข้าไปให้แก่เล่าเปียวแล้ว

แลซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้รักบิดา ครั้นคลายโศกแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ศพบิดาเราอยู่ในเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเราจะละเสียมิรบเอาเมืองนี้ให้ได้ก็ดูเหมือนหามีกตัญญูต่อบิดาเราไม่ อุยกายจึงว่าข้าพเจ้าจับหองจอเจ้าเมืองกังแฮไว้ได้ จำจะแต่งคนเข้าไปว่าแก่เล่าเปียวให้ส่งศพบิดาท่านออกมา เราจะส่งหองจอไปให้แก่เล่าเปีย แลการซึ่งรบพุ่งกันนั้น ก็จะประนอมยอมเปนไมตรีกัน เราจึงจะยกกลับไปเมืองกังตั๋ง

ฮวนกายจึงว่าข้าพเจ้ากับเล่าเปียวได้รู้จักกันมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปว่าแก่เล่าเปียวตามคำอุยกาย ซุนเซ็กได้ฟังก็มีความยินดีนักจึงให้ฮวนกายไป แลฮวนกายจึงเข้าไปหาเล่าเปียว แล้วจึงบอกแก่เล่าเปียวว่า บัดนี้ซุนเซ็กจะไม่ทำการสงครามกับท่านสืบไป ขอเอาศพซุนเกี๋ยนซึ่งเปนบิดา ถ้าท่านยอมให้แล้วตัวหองจอซึ่งจับไว้ได้นั้นจะส่งเข้ามาให้ท่าน ซุนเซ็กก็จะเลิกทัพกลับไปเมือง เล่าเปียวจึงตอบว่าศพซุนเกี๋ยนซึ่งพวกทหารเอาเข้ามาให้เรานั้น เราให้ตกแต่งไว้ตามประเพณี ซึ่งซุนเซ็กให้มาว่านั้นเราก็จะยอม แต่สืบไปภายหน้าอย่าให้คิดล่วงเข้ามาทำอันตรายแก่เราเลย

เก๊งเหลียงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า ซึ่งท่านจะยอมให้ศพซุนเกี๋ยนไปนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แลซุนเกี๋ยนล่วงมาทำการครั้งนี้เพราะเปนคนใจหยาบช้าจึงถึงแก่ความตาย แลซุนเซ็กผู้บุตรนั้นก็ยังอ่อนความคิดอยู่ แลทหารทั้งปวงก็เห็นจะย่อท้อฝีมือทหารเรา ถ้าท่านฟัง ข้าพเจ้าจะคิดมิให้ทหารทั้งปวงเหลือกลับไปเมืองกังตั๋งได้แต่สักคนหนึ่งเลย ขอท่านให้จับฮวนกายฆ่าเสียเถิด แล้วยกทหารออกไปตี แลเมืองกังตั๋งนั้นก็จะได้เปนสิทธิแก่ท่าน ถ้าท่านมิฟังข้าพเจ้า แลจะให้ศพซุนเกี๋ยนไปนั้นเห็นจะมีอันตรายแก่ท่านเปนมั่นคง เล่าเปียวจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดดังนี้ก็จะมิเสียหองจอไปหรือ เก๊งเหลียงจึงว่า จะคิดการใหญ่เอาเมืองสิ จะเสียดายหองจอคนเดียวนี้ไม่ควร เล่าเปียวจึงตอบว่า หองจอกับเราได้รักใคร่ไว้ใจกันมาแต่ก่อน ครั้นเราจะทำดังนั้น ก็เหมือนหนึ่งแกล้งฆ่าหองจอเสีย ความซึ่งเราว่าไว้แต่ก่อนนั้นก็จะเสียวาจาไป แล้วเล่าเปียวจึงว่าแก่ฮวนกาย ให้เร่งกลับออกไปเถิด เวลาพรุ่งนี้ให้เอาตัวหองจอมาส่งให้เราที่ประตูเมือง เราจะส่งศพซุนเกี๋ยนไปให้ ฮวนกายก็เอาเนื้อความกลับไปบอกแก่ซุนเซ็ก ๆ ก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้ทหารทั้งปวงคุมเอาตัวหองจอไปส่งให้เล่าเปียวณประตู เมือง แล้วรับเอาศพซุนเกี๋ยนมาลงเรือยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จึงให้แต่งการศพไว้ตำบลขยกโอ๋ ในขณะนั้นซุนเซ็กได้เปนใหญ่ ชาวเมืองอยู่ในบังคับบัญชาทั้งสิ้น ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญากล้าหาญ ซุนเซ็กก็คำนับยำเยงเกลี้ยกล่อมเข้าไว้ด้วยเปนอันมาก

เนื้อเพลง