วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

พระบรมราโชวาท ในหลวงรัชกาลที่ ๙

พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส
ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 
ในหลวงรัชกาลที่ ๙


๙ เรื่อง ที่ทรงพระราชทานแก่ประชาชนในวโรกาสต่างๆ  

การปกครองแผ่นดิน
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
พระปฐมบรมราชโองการ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.249
การทำความดี
"การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่ และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว แต่ละคนจึงต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการเสริมสร้างและสะสมความดี"
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ณ อาคาร สวนอัมพร วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2525
การทำงาน
"เมื่อมีโอกาสและมีงานทำควรเต็มใจทำ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใด ย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่ มีความขยัน และซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น"
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2530
การศึกษา
"การที่บุคคลจะพัฒนาได้ก็ด้วยปัจจัยประการเดียวคือการศึกษา การศึกษานั้นแบ่งเป็นสองส่วน คือการศึกษาด้านวิชาการส่วนหนึ่ง กับการอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นผู้มีจิตใจใฝ่ดีใฝ่เจริญ มีปรกติละอายชั่วกลัวบาป ส่วนหนึ่ง การพัฒนาบุคคลจะต้องพัฒนาให้ครบถ้วนทั้งสองส่วน เพื่อให้บุคคลได้มีความรู้ไว้ใช้ประกอบการ และมีความดีไว้เกื้อหนุนการประพฤติปฏิบัติทุกอย่าง ให้เป็นไปในทางที่ถูก ที่ควร และอำนวยผลเป็นประโยชน์ที่พึงประสงค์"
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ 24 มกราคม 2540
การกีฬา
"การกีฬานั้น มีหลักสำคัญอยู่ที่ว่า จะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแรง ให้มีความสามารถในกีฬาของตน เพื่อพร้อมที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันและได้ชัยชนะมา ถึงเวลาเข้าแข่งขันก็จะต้องตั้งสติให้ดี เพื่อให้ปฏิบัติได้เต็มที่ตามที่ได้ฝึกฝนมา"
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักกีฬาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 5 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2512
การรักษาทรัพยากร
"ธรรมชาติแวดล้อมของเรา ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ป่าไม้ แม่น้ำ ทะเล และอากาศ มิได้เป็นเพียงสิ่งสวยๆ งามๆ เท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของเรา และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของเราไว้ให้ดีนี้ ก็เท่ากับเป็นการปกปักรักษาอนาคตไว้ให้ลูกหลานของเราด้วย"
พระบรมราโชวาทในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2521
การปลูกป่า
"ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง"
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502
เศรษฐกิจพอเพียง
"เศรษฐกิจพอเพียง จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้"
พระราชดำรัส พระราชทาน ณ วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2541
การอดออม
"การประหยัดอดออม เป็นรากฐานในการสร้างตัว สร้างฐานะของบุคคล ตลอดจนความเจริญมั่นคงของสังคม และชาติบ้านเมือง"
พระราชดำรัส ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช วันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2559


วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

มิตร ชัยบัญชา

          มิตร ชัยบัญชา พระเอกอมตะตลอดกาล



ประวัติ มิตร ชัยบัญชาชีวิตช่วงแรกและการศึกษา มิตร ชัยบัญชา เกิดที่อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรชายของพลฯ ชม ระวีแสง ตำรวจชั้นประทวน กับนางยี หรือ สงวน ระวีแสง สาวตลาดท่ายาง นางยีให้กำเนิดลูกน้อย ขณะที่สามีไม่ได้ดูแลใส่ใจเพราะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ มิตร ชัยบัญชา เดิมเรียกกันว่า "บุญทิ้ง" เพราะพ่อแม่แยกทางกัน เมื่อมิตร ชัยบัญชาอายุได้ 1 ขวบ นางยีก็เข้ามาเป็นแม่ค้าขายผักในกรุงเทพ โดยฝากลูกชายไว้กับนายรื่นและนางผาด ซึ่งเป็นปู่และย่าของมิตร ชัยบัญชา ที่หมู่บ้านไสค้าน
เมื่อนายรื่นและนางผาด เห็นว่าตนอายุมากขึ้นทุกวัน จวนจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าทุกที จึงฝากเลี้ยงไว้กับสามเณรแช่ม ระวีแสง ผู้เป็นอา ซึ่งบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดท่ากระเทียม ชีวิตในวัยเด็กของมิตร ต้องติดสอยห้อยตามสามเณรแช่มซึ่งต่อมาบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดสนามพราหมณ์ เป็นเด็กวัดที่อาศัยข้าวก้นบาตรกิน ในเพลง"ข้าวก้นบาตร" ที่แต่งโดย สมโภชน์ ล้ำพงษ์และ บำเทอง เชิดชูตระกูล มีเนื้อเพลงบางท่อนกล่าวถึงชีวิตของ มิตร ชัยบัญชาในช่วงนี้ มิตร ชัยบัญชา สมัยเรียนอยู่โรงเรียนฝึกการบินต่อมา ได้เข้าศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดไสค้าน และย้ายมาที่โรงเรียนประชาบาลวัดจันทร์ เมื่อมารดามีฐานะดีขึ้นจึงมาขอรับมิตรย้ายมาอยู่กรุงเทพ ที่บ้านย่านนางเลิ้ง เยื้องกับวัดแคนางเลิ้ง เมื่ออายุประมาณ 9 ปี เข้าเรียนที่โรงเรียนไทยประสาทวิทยา ถนนกรุงเกษม โดยเป็นบุตรบุญธรรมของน้ากับน้าเขย จากชื่อ บุญทิ้ง มาเป็น สุพิศ นิลศรีทอง (นามสกุลน้าเขย) และ สุพิศ พุ่มเหม (นามสกุลของนายเฉลิมพ่อเลี้ยง)
เมื่อโอนกลับมาเป็นบุตรบุญธรรมของแม่กับพ่อเลี้ยง หลังเรียนจบมัธยม ก่อนเข้าโรงเรียนจ่าอากาศ มิตรเป็นเด็กเรียนดี เก่งศิลปะ งานช่าง และ ภาษาอังกฤษ นอกจากการเรียนและทำงานรับจ้างสารพัดแล้วมิตรก็เลี้ยงปลากัด ช้อนลูกน้ำขาย รวมถึงนำจักรยานเก่ามาซ่อมให้เช่าหัดถีบ เพื่อหาเงินใช้เองโดยไม่ต้องพึ่งครอบครัว เนื่องจากแม่มีหลานหลายคนที่ต้องดูแล มิตร ชัยบัญชานอกจากนี้ยังชอบเล่นกีฬา และ หัดชกมวยไว้ป้องกันตัว ทั้งนี้เขาสามารถคว้าเหรียญทองมวยนักเรียน 2 ปี ในรุ่นเฟเธอร์เวท และ ไลท์เวท (135 ปอนด์) พ.ศ. 2492 และ พ.ศ. 2494 จากนั้น เขาได้ย้ายไปอยู่โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ จังหวัดเพชรบุรีอยู่ระยะหนึ่ง แล้วเรียนต่อระดับเตรียมอุดมที่ โรงเรียนพระนครวิทยาลัย และลาออกเพื่อมาสมัครสอบเข้าโรงเรียนจ่าอากาศ เพื่อรับราชการทหารอากาศ จังหวัดนครราชสีมา เพราะอยากเป็นนักบิน เริ่มการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2497 เป็นนักเรียนการบินรุ่นที่ ป.15 ของโรงเรียนการบินโคราช และ นักเรียนจ่าอากาศ เหล่าอากาศโยธิน รุ่นที่ 11 สำเร็จการศึกษา เดือนมีนาคม พ.ศ. 2499 ติดยศจ่าอากาศโท เมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 จนได้เป็นครูฝึกที่กองพันต่อสู้อากาศยาน กรมอากาศโยธิน กองทัพอากาศดอนเมือง จึงเปลี่ยนชื่อเป็นจ่าอากาศโทพิเชษฐ์ พุ่มเหม เมื่อ พ.ศ. 2499 จ่าโทสมจ้อยได้ส่งรูปและแนะนำมิตร ชัยบัญชา หรือ จ่าเชษฐ์ ในขณะนั้น ให้รู้จักกับ ก. แก้วประเสริฐ เพื่อให้เล่นหนังเพราะเห็นท่าทาง รูปร่างหน้าตาที่หล่อและสูงสง่าของมิตร ประกอบกับบุคลิกภาพที่สุภาพอ่อนโยน กระทั่งได้พบกับ ภราดร ศักดา นักเขียนนวนิยายชื่อดัง
ภราดรได้เสนอกับผู้สร้างหนังหลายราย จ่าสมจ้อยและจ่าเชษฐ์ก็ไปถ่ายรูปและส่งไปตามโรงพิมพ์ โดยกิ่ง แก้วประเสริฐเป็นผู้พลักดันพาไปพบผู้สร้างหนังรายต่างๆ ตามกองถ่าย เพราะเห็นความตั้งใจจริงของจ่าเชษฐ์ รวมถึงส่งภาพให้ผู้สร้าง และ ถ่ายภาพลงประกอบนวนิยายในนิตยสารด้วย จนกระทั่งได้รับการตอบรับให้เป็นพระเอกในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แต่ต้องทำใจปฏิเสธไปเพราะติดราชการสำคัญ ไม่สามารถไปพบผู้สร้างได้ หลังจากนั้นก็มักได้รับการปฏิเสธ ติจมูก ติโหนกแก้ม โดยเฉพาะเรื่องความสูง ที่จะหานางเอกมาเล่นด้วยลำบาก และจ่าเชษฐ์เองก็ไม่รับเล่นบทอื่นด้วย นอกจากพระเอก ต่อมาได้พบกับ สุรัตน์ พุกกะเวส จนกระทั่งนัดให้ กิ่ง แก้วประเสริฐ พาจ่าเชษฐ์ ไปพบทีมงานผู้สร้าง ชาติเสือ ซึ่งวางตัวเอกไว้แต่แรก หลายคนรวมทั้ง ชนะ ศรีอุบล แต่ ประทีป โกมลภิส ไม่ถูกใจเลยสักคน ต้องการดาราหน้าใหม่ ซึ่งเมื่อพบแล้วทั้งผู้สร้าง ผู้กำกับ ก็พอใจบุคลิก ลักษณะ ของจ่าเชษฐ์ จึงได้รับจ่าเชษฐ์เข้าสู่วงการหนังไทย และตั้งชื่อให้ใหม่ โดยเมื่อประทีปตั้งคำถามให้ตอบ ข้อ 1 "ในชีวิตสิ่งใดสำคัญที่สุด" มิตรตอบว่า "เพื่อนครับ" ประทีปบอกว่า "เพื่อน คือ มิตร เมื่อรักเพื่อนก็เก็บเพื่อนไว้กับตัว งั้นดีให้ใช้ชื่อใหม่ว่า 'มิตร' ก็แล้วกัน" (เป็นที่มาของชื่อ มิตร) ข้อ 2 "ในชีวิตเกิดมาภูมิใจสิ่งใดมากที่สุด" มิตรตอบอย่างไม่ลังเลว่า "ได้อัญเชิญธงชัยเฉลิมพลในพิธีสวนสนามวันปิยมหาราชครับ" เพราะมิตรได้อัญเชิญธงชัยเฉลิมพล ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุด และเขาได้ทำหน้าที่นี้ทุกปีตลอดการเป็นทหารของเขา (เป็นที่มาของนามสกุล "ชัยบัญชา")
ก้าวสู่วงการแสดง ภาพยนตร์ ชาติเสือ บทประพันธ์ของ เศก ดุสิต กำกับโดย ประทีป โกมลภิส เป็นเรื่องแรกที่มิตรได้ประกบกับนางเอกที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นถึง 6 คน เช่น เรวดี ศิริวิไล นัยนา ถนอมทรัพย์ ประภาศรี สาธรกิจ และ น้ำเงิน บุญหนัก เป็นภาพยนตร์ที่เริ่มถ่ายทำในปลาย พ.ศ. 2500 และเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2501 ภาพยนตร์ทำรายได้กว่าแปดแสนบาท ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากของสมัยนั้นทำให้ชื่อของ มิตร ชัยบัญชา เป็นที่รู้จักของประชาชน มิตร ชัยบัญชาในบท อินทรีแดง เรื่อง จ้าวนักเลงมิตรโด่งดังเป็นอย่างมาก จากบท "โรม ฤทธิไกร" หรือ "อินทรีแดง" ในภาพยนตร์เรื่อง จ้าวนักเลง (2502) ซึ่งเป็นบทที่มิตร ชัยบัญชา ต้องการแสดงเป็นอย่างมากหลังจากได้อ่านหนังสือ จนทีมผู้สร้าง ชาติเสือ ตัดสินใจไปพบ เศก ดุสิต พร้อม มิตร ชัยบัญชา เพื่อขอซื้อเรื่องมาทำเป็นภาพยนตร์ เศก ดุสิต พูดต่อมิตร ชัยบัญชาว่า "...คุณคือ อินทรีแดง ของผม..." ซึ่งภาพยนตร์ทำรายได้มากและมีภาพยนตร์ภาคต่อหลายเรื่อง ต่อมามีภาพยนตร์สร้างชื่อเสียงให้มิตรอีกหลายเรื่อง เช่น เหนือมนุษย์ แสงสูรย์ ค่าน้ำนม ร้ายก็รัก ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า หงษ์ฟ้า ทับสมิงคลา
ในปี พ.ศ. 2502 (ปีเดียวกับที่สร้างภาพยนตร์ จ้าวนักเลง) คู่ขวัญ มิตร-เพชรามิตร ชัยบัญชา มีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบทบาทการแสดงที่ประชาชนชื่นชอบ และจากวินัยที่ดีในการทำงาน รวมถึงนิสัย และอัธยาศัยต่อเพื่อนร่วมงาน มิตรเป็นพระเอกดาวรุ่งที่โด่งดังอยู่ เมื่อแสดงภาพยนตร์คู่กับเพชรา เชาวราษฎร์นางเอกใหม่ เรื่อง บันทึกรักพิมพ์ฉวี เป็นเรื่องแรกเมื่อ พ.ศ. 2504 ภาพยนตร์ออกฉาย พ.ศ. 2505 มิตรเริ่มก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระเอกอันดับ 1 ของประเทศ ที่เป็นที่รักของประชาชน ซึ่งต่อมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ได้แสดงภาพยนตร์คู่กับเพชรามากขึ้น และเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 จึงเป็นคู่ขวัญได้แสดงภาพยนตร์คู่กันมากที่สุดตลอดมา รับบทคู่รักในภาพยนตร์ ประมาณ 200 เรื่อง จนแฟนภาพยนตร์เรียกว่า มิตร-เพชรา (แฟนหนังบางส่วนเข้าใจผิดว่ามิตร นามสกุล เพชรา) มีแฟนภาพยนตร์จำนวนมากที่ชื่นชอบในตัวมิตร ถึงขนาดว่าถ้าไม่มีชื่อมิตรแสดงก็เดินทางกลับ ไม่ดูหนัง ทั้งที่เดินทางมาไกล แม้แฟนภาพยนตร์มักเข้าใจว่าเป็นคู่รัก แต่ก็เป็นเพียงในภาพยนตร์ ในความเป็นจริงแล้วทั้งคู่มีความสนิทสนมจริงใจเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน มิตรรักเพชราเหมือนน้องสาว คอยปกป้องและเป็นที่ปรึกษาแก้ปัญหาให้เพชรา แต่ก็มักโกรธกันอยู่บ่อย ๆ บางครั้งไม่พูดกันเป็นเดือน ทั้ง ๆ ที่แสดงหนังร่วมกันอยู่ โดยเพชรา เคยกล่าวว่า มิตรเป็นคนช่างน้อยใจ
ปลาย พ.ศ. 2504 มิตรประสบอุบัติเหตุ จากการเดินทางไปดูสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง ทวนสุริยะ ของ ปรีชา บุญยเกียรติ เป็นเหตุให้มิตร สะบ้าแตก หน้าแข้งหัก กระโหลกศีรษะกลางหน้าผากเจาะ และฟันหน้าบิ่น เกือบพิการ ถูกตัดขา แต่ในที่สุดก็ใส่สะบ้าเทียมและดามเหล็กยาวที่หน้าแข้ง ต้องฝึกเดินอยู่นานจึงหายเป็นปกติ แต่อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ปรีชา บุญยเกียรติ เสียชีวิต พ.ศ. 2505 มิตรร่วมกับเพื่อนในวงการภาพยนตร์ เช่น อนุชา รัตนมาล แดน กฤษดา ไพรัช สังวริบุตร จัดตั้ง วชิรนทร์ภาพยนตร์ สร้างภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ ยอดขวัญจิต และ ทับสมิงคลา (ภาคหนึ่งของอินทรีแดง) พ.ศ. 2506 มิตร ชัยบัญชา ก่อตั้ง ชัยบัญชาภาพยนตร์ ของตัวเอง สร้างภาพยนตร์เรื่อง เหยี่ยวดำ (ครุฑดำ) ซึ่งแม้ว่าชื่อเรื่องจะมีปัญหา แต่มิตรก็ฝ่าฟัน ลงทุนแก้ไข จนออกฉายได้ โดยไม่ขาดทุน ท่ามกลางความเห็นใจของประชาชนและผู้อยู่รอบข้าง มีการกล่าวกันว่า ถ้าไม่ใช่หนังของ มิตร ชัยบัญชา คงจะล่มขาดทุนไปแล้ว
ลาออกจากอาชีพทหารอากาศ เมื่อ พ.ศ. 2506 จำต้องลาออกจากอาชีพทหารอากาศ ขณะมียศพันจ่าอากาศโท เมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 เนื่องจากการสร้างภาพยนตร์เรื่อง ครุฑดำ โดย ชัยบัญชาภาพยนตร์ จากบทประพันธ์ของ เศก ดุสิต ที่เขาถูกกล่าวหาว่านำสัญลักษณ์ตราครุฑมาใช้อย่างไม่เหมาะสม ครุฑดำ จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเหยี่ยวดำ และผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพอากาศขณะนั้นเห็นควรให้เลือกทำเพียงอาชีพเดียว มิตร ชัยบัญชา กล่าวกับแฟนๆ ที่หน้าโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงขณะยืนแจกภาพถ่ายในเครื่องแบบทหารอากาศ ในวันที่ " เหยี่ยวดำ " เข้าฉาย เมื่อ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 ว่า ... ถึงแม้ว่าได้เลือกอาชีพการแสดงภาพยนตร์เพื่อการเลี้ยงชีพ แต่ทั้งร่างกายและจิตใจของผม คือ ทหาร ผมรักเครื่องแบบทหาร ชื่อเสียงความนิยมที่ประชาชนมอบให้ผมในฐานะนักแสดง ผมก็ถือว่าเป็นชื่อเสียงของกองทัพอากาศเช่นกัน การให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ทุกครั้ง ผมไม่เคยลืมที่จะกล่าวถึง การเป็นทหารอากาศ มากกว่าการให้สัมภาษณ์อย่างอื่น ถึงแม้ว่าการแสดงจะเป็นภาระจนทำให้ผมต้องตัดสินใจลาออก แต่จิตใจของผมและทั้งตัว คือ ทหารอากาศ
สู่การแสดงอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นเขาจึงได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่กับการแสดง ทำให้มีผลงานมากถึง 35-40 เรื่องต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนที่มากถึงครึ่งหนึ่ง หรือ มากกว่าครึ่งของจำนวนภาพยนตร์ที่ออกฉายทั้งปี กิ่งดาว ดารณี เคยให้สัมภาษณ์นิตยสาร ว่า มิตร ชัยบัญชา มีภาพยนตร์ต้องถ่ายเดือนละประมาณ 30 เรื่อง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องต่อมา ได้เพิ่มชื่อเสียงให้กับมิตร ชัยบัญชา ได้แก่ ใจเดียว, ใจเพชร, จำเลยรัก, เพลิงทรนง, อวสานอินทรีแดง, นางสาวโพระดก, เก้ามหากาฬ, ชายชาตรี, ร้อยป่า, สมิงบ้านไร่, หัวใจเถื่อน, สาวเครือฟ้า, ทับเทวา, สิงห์ล่าสิงห์, 5 พยัคฆ์ร้าย, ทาสผยอง, อินทรีมหากาฬ, เดือนร้าว, ดาวพระศุกร์, มือนาง, พนาสวรรค์, ลมหนาว, แสงเทียน, พระอภัยมณี, ปีศาจดำ, พระลอ, ทรชนคนสวย, 7 พระกาฬ, พยัคฆ์ร้ายใต้สมุทร, ชุมทางเขาชุมทอง, ไฟเสน่หา, ฟ้าเพียงดิน, เงิน เงิน เงิน, เพชรตัดเพชร ฯลฯ ในช่วงนั้นมิตรมีรายได้เข้าบัญชีธนาคารเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 แสนกว่าบาท ซึ่งเขาก็สละเวลา 1 วันในแต่ละปีเพื่อไปชำระภาษีอากรอย่างถูกต้อง ภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงินพ.ศ. 2507 และ 2508 ภาพยนตร์เรื่อง นางสาวโพระดก และ สาวเครือฟ้า ที่มิตร แสดงนำคู่กับ พิศมัย ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี
เมื่อ พ.ศ. 2509 สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยมีความคิดที่จะจัดงานมอบรางวัลให้กับดารา นักแสดง ที่มีคุณสมบัติที่ดีในการทำงาน เป็นที่รักของคนในอาชีพเดียวกัน เป็นที่รักของประชาชน มีความรับผิดชอบ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมงาน โดยมิตร ชัยบัญชา ได้รับพระราชทานรางวัล "ดาราทอง" สาขานักแสดงนำภาพยนตร์ ฝ่ายชาย และพิศมัย วิไลศักดิ์ ฝ่ายหญิง จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร เมื่อ 24 มีนาคม พ.ศ. 2510 จากคุณสมบัติ 4 ประการ คือ ศรัทธา หน้าที่ ไมตรี และ น้ำใจ] โดยก่อนหน้านั้น พ.ศ. 2508 มิตร แสดงภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน เป็นภาพยนตร์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 35 มม. ระบบซูเปอร์ซีเนสโคป สีอิสต์แมน ร่วมแสดงกับ เพชรา เชาวราษฎร์, ชรินทร์ นันทนาคร, สุมาลี ทองหล่อ, สุเทพ วงศ์กำแหง, อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา ทำรายได้มากเป็นประวัติการณ์] และมิตร-เพชรา ได้รับพระราชทานโล่ห์เกียรตินิยม ของสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิง จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานมอบรางวัลตุ๊กตาทอง ประจำ พ.ศ. 2508 เมื่อ วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 ในฐานะนักแสดงนำที่ทำรายได้สูงสุด จากภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน ต่อมา พ.ศ. 2509 ภาพยนตร์เรื่อง เพชรตัดเพชร สามารถทำรายได้สูงกว่า เงิน เงิน เงิน 13 มีนาคม พ.ศ. 2510 มิตร ชัยบัญชา ขอเปลี่ยนนามสกุลที่อำเภอดุสิต โดยขอจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลว่า "ชัยบัญชา" หลังจากอยู่วงการภาพยนตร์ร่วม 10 ปี โดยตามบัตรประชาชนใบใหม่ที่ออกให้เมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2512 หมดอายุ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2518 ใช้ชื่อและนามสกุลว่า พิเชษฐ์ ชัยบัญชา
มิตร ชัยบัญชาสู่บทบาทอื่นๆ พ.ศ. 2510 หลังจากที่มิตร ชัยบัญชา ประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว มีทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ พร้อม หลักฐานมั่นคง จึงคิดช่วยให้เพื่อนๆ ตั้งตัวได้ โดยตั้ง สหชัยภาพยนตร์ ขึ้น ให้สลับกันเป็นผู้อำนวยการสร้าง มิตร เป็นพระเอกให้โดยไม่คิดค่าแสดง หากมีปัญหาเรื่องเงินทุนก็ช่วยเหลือกัน และมีภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วงนี้จนถึง พ.ศ. 2513 ที่มิตร ร่วมทุนสร้างด้วย เช่น จอมโจรมเหศวร, สวรรค์เบี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่อดุลย์ ดุลยรัตน์ เป็นผู้กำกับการแสดง โดยมิตร แนะนำให้ผู้สร้างคือ วิเชียร สงวนไทย ติดต่ออดุลย์ และบอกว่าอดุลย์ จะเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือในอนาคต ผลงานเด่นๆ ในช่วงนี้มีหลายเรื่องที่ได้รับการกล่าวถึงเสมอ เช่น จุฬาตรีคูณ, แสนรัก, เหนือเกล้า, ไทรโศก, แสนสงสาร, อีแตน, สมบัติแม่น้ำแคว, จ้าวอินทรี, รอยพราน, สองฟากฟ้า, รักเอย, 7 พระกาฬ, ทรชนคนสวย, คนเหนือคน และผลงานที่แสดงถึงความสามารถของมิตรอีกจำนวนมาก แต่ไม่มีการจัดงานตุ๊กตาทองแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2509
ปลาย พ.ศ. 2511 มิตร ชัยบัญชาได้ผันตัวเองเข้าสู่การเมือง ขณะนั้นมิตร มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตก ปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้มิตรหวังว่าชื่อเสียงเหล่านี้จะสามารถชนะใจประชาชนเหมือนเช่นการแสดงภาพยนตร์ ทำให้มิตรตัดสินใจหยั่งเสียงตัวเองเป็นครั้งแรกด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ในนามกลุ่ม หนุ่ม เมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2511 หาเสียงในเขตบางรัก ยานนาวา สัมพันธวงศ์ ป้อมปราบศัตรูพ่าย แต่เขาก็ไม่ได้รับเลือก เขาไปพักผ่อนเข้าป่าไทรโยคที่ จังหวัดกาญจนบุรีกับรังสี ทัศนพยัคฆ์ ล้อต๊อก กิ่งดาว และเพื่อน แล้วออกมาทำงานต่อ ภาพข่าว มิตร ชัยบัญชา หาเสียงเลือกตั้งต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2512 มิตรได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อพิสูจน์ความนิยมในตัวเองอีกครั้ง ตามคำขอของเพื่อน แต่ไม่ใช่ระดับท้องถิ่นอีกต่อไป เพราะเขาได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระนคร กับ ปราโมทย์ คชสุนทร เพื่อหวังทำงานรับใช้ประชาชน และต้องการช่วยนักแสดง ให้การแสดงเป็นอาชีพที่มั่นคง มีสวัสดิการ ได้รับการดูแลเหมือนอาชีพเฉพาะทางอื่นๆ โดยขณะหาเสียงมิตรยังคงมีงานถ่ายภาพยนตร์อยู่มากหลายเรื่อง รวมทั้งต้องเคลียร์คิวหนังไปถ่ายต่างประเทศด้วย 2 เรื่อง เรื่องแรกไปถ่ายที่ญี่ปุ่น อีกเรื่องไปถ่ายที่ปีนัง โดยคู่แข่งขันกล่าวกับประชาชนว่า ถ้ามิตร ชัยบัญชา ได้รับเลือกตั้งก็จะไม่ได้มาแสดงภาพยนตร์ให้ดูอีก มิตรไม่ได้รับเลือกเป็นครั้งที่ 2 ด้วยคะแนนที่สูงพอสมควรแต่ขาดไปเพียง 500 คะแนน ได้เป็นที่ 16 จากความต้องการ 15 คน
การลงสมัครเลือกตั้งนี้เองทำให้เงินทองและทรัพย์สินของมิตรร่อยหรอลงไปหลายล้านบาท พร้อมกับบ้าน 1 หลังที่จำนองกับธนาคาร เขาเก็บความผิดหวังไว้เงียบๆ และอีกความเจ็บปวด คือ หญิงคนที่รักมากได้ตีห่างจากไป (เพราะเหตุผลว่าเขาผิดสัญญาที่ลงเล่นการเมืองเป็นครั้งที่ 2 และเลือกประชาชน มากกว่า เลือกเธอ) ทำให้มิตรเสียใจมาก เขาพยายามตั้งใจ อดทนสู้ใหม่ รับงานหนังอีกหลายเรื่อง เช่น 7 สิงห์คืนถิ่น, วิมานไฟ, จอมโจรมเหศวร, ทรชนเดนตาย, ฟ้าเพียงดิน, ไอ้หนึ่ง, ชาติลำชี, ขุนทาส, สมิงเจ้าท่า, แม่ย่านาง, ลมเหนือ, 2สิงห์จ้าวพยัคฆ์, กำแพงเงินตรา, วิญญาณดอกประดู่, สวรรค์เบี่ยง, ฝนเดือนหก ฯลฯ และปีเดียวกัน มิตรได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง รอยพราน ในนามชัยบัญชาภาพยนตร์ ด้วย พ.ศ. 2513 เขารวบรวมที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่ จำนองกับธนาคารเอเชีย 4 ล้าน 6 แสนบาท และจำนองบ้านพักทั้ง 3 หลังรวมทั้งขายที่ดินที่จังหวัดสระบุรีอีก 7 แสนบาท นำเงินทั้งหมดไปซื้อที่ดินตรงเชิงสะพานผ่านฟ้า เนื้อที่ 514 ตารางวา ราคา 7 ล้านบาท เพื่อลงทุนสร้างโรงภาพยนตร์ขนาดมาตรฐานเพื่อฉายหนังไทยโดยเฉพาะ มีร้านค้า และที่จอดรถ แบบทันสมัย โดยหวังช่วยเหลือผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทยให้ไม่ต้องรอโปรแกรมฉายต่อจากภาพยนตร์ต่างประเทศ การออกแบบเรียบร้อย และ ดำเนินการปรับพื้นที่แล้ว รวมทั้งมีโครงการสร้างภาพยนตร์ 2 เรื่อง เพื่อฉายรับโรงภาพยนตร์ใหม่ เป็นการวางอนาคตของมิตร ชัยบัญชา ผู้เป็นความหวังและที่พึ่งของเพื่อนที่ร่วมโครงการนี้
และเมื่อ พ.ศ. 2513 นี้มิตรรับงานแสดงภาพยนตร์ไว้ประมาณ 50 เรื่อง และยังมีการแสดงภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่ฮ่องกง ที่รับไว้ตั้งแต่ปีก่อน เรื่อง อัศวินดาบกายสิทธิ์ โดยได้แสดงร่วมกับ เถียนเหย่, กว่างหลิง และเรื่อง จอมดาบพิชัยยุทธ (ส่วนอีกเรื่องเมื่อมิตรเสียชีวิตก็ให้ไชยา สุริยัน แสดงแทนในดาบคู่สะท้านโลกันต์) ปีเดียวกัน มิตรแสดงภาพยนตร์ร่วมกับเพชราในภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ ที่มิตรมีส่วนร่วมในการคิดเรื่อง และช่วยงานจนภาพยนตร์เสร็จ แม้ว่าจะหมดบทของมิตรแล้ว โดยมิตรร้องเพลงลูกทุ่งในเรื่อง 2 เพลง จาก 14 เพลง ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างสูง ฉายในกรุงเทพได้นานถึง 6 เดือน ทำรายได้ 6 ล้านบาท และรายได้ทั่วประเทศมากกว่า 13 ล้านบาท ปลุกกระแส มิตร-เพชรา ให้โด่งดังมากขึ้นอีก และเกิดความนิยมเพลงลูกทุ่งในกรุงเทพเป็นปรากฏการณ์
การเสียชีวิต การถ่ายทำฉากสุดท้ายของเรื่อง อินทรีทองเมื่อ พ.ศ. 2513 มิตรมีโครงการภาพยนตร์ ที่แสดงนำและกำกับการแสดงเป็นเรื่องแรก ในเรื่อง อินทรีทอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชุด "อินทรีแดง" เรื่องที่ 6 ที่มิตรแสดงในบท โรม ฤทธิไกรหรือ อินทรีแดง ที่ต้องออกสืบหาอินทรีแดงตัวปลอม รับบทโดยครรชิต ขวัญประชา แสดงร่วมกับ เพชรา เชาวราษฎร์ รับบทวาสนา การถ่ายทำสำเร็จได้ด้วยดีจนถึงฉากสุดท้ายของเรื่อง ถ่ายทำที่หาดดงตาล พัทยาใต้ จังหวัดชลบุรี เมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2513 เวลา 9.00 น. ในเรื่องหลังจากอินทรีแดงปราบผู้ร้ายได้แล้ว จะหนีตำรวจออกจากรังของคนร้าย โดยโหนบันไดเชือกจากเฮลิคอปเตอร์ซึ่งมีวาสนาเป็นผู้ขับ กล้องจะเก็บภาพเฮลิคอปเตอร์พาอินทรีแดงบินลับหายไป เพื่อความสมจริง และความไม่พร้อมของเสื้อผ้าของนักแสดงแทน มิตรตกลงว่าจะแสดงฉากนี้ด้วยตัวเอง โดยกำหนดการถ่ายทำไว้อย่างละเอียด แต่ด้วยความผิดพลาดทางเทคนิคที่มิตรไม่อาจรู้ได้ เพราะกำลังแสดงอยู่ ปรากฏว่าด้วยแรงกระตุกของเครื่องขณะบินขึ้น โดยที่มิตรไม่ได้เหยียบบนบันได และต้องโหนตัวอยู่กับบันได เครื่องไม่ได้ลงจอดเมื่อผ่านหน้ากล้องแล้ว มิตร พยายามให้สัญญาณด้วยการตบเท้าเข้าหากัน
ในขณะที่นักบินมองไม่เห็นความผิดปกติและการให้สัญญาณจากพื้นล่าง ยังบินสูงขึ้นต่อไป และเกิดแรงเหวี่ยงในจังหวะที่เครื่องเลี้ยวกลับ ทำให้มิตรไม่สามารถโหนตัวต่อไปได้ ตกลงมาจากเฮลิคอปเตอร์กระแทกกับพื้น จากความสูง 300 ฟุต เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลศรีราชาด้วย เฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวภายใน 5 นาที แต่สายเกินไป จากผลการชันสูตรศพยืนยันว่า เขาเสียชีวิตทันที เพราะร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เชือกบาดข้อมือเป็นแผลลึก 2 ซ.ม. ยาว 8 ซ.ม. กระดูกขากรรไกรข้างขวาหัก กระดูกโหนกแก้มซ้ายขวาหัก มีเลือดออกทางหูขวา กระดูกซี่โครงขวาหัก 5 ซี่ กระดูกโคนขาขวาหัก กระดูกต้นคอหัก โดยเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 16.13 น. มิตร ชัยบัญชา9 ตุลาคม พ.ศ. 2513
หนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับพาดหัวข้อข่าวการตายของเขา ซึ่งกระจายข่าวไปถึงญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน หลังจากข่าวการตายของเขา ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาถูกเคลื่อนย้ายออกจากบ้านทั้ง 3 หลัง ไม่มีเสื้อผ้าเหลือแม้แต่ชุดเดียวที่จะสวมใส่ให้ใหม่ตอนรดน้ำศพ ศพของมิตร ชัยบัญชา ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดแคนางเลิ้ง หลังจากครบ 100 วัน พิธีพระราชทานเพลิงศพจัดเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2514 มีประชาชนหลั่งไหลเข้าไปร่วมงานจำนวนหลายหมื่นคน สำหรับการพระราชทานเพลิงศพย้ายจากวัดแคไปวัดเทพศิรินทร์ มีประชาชนหลั่งไหลไปร่วมงานกว่า 3 แสนคน จนกระทั่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวว่าเป็นงานศพของสามัญชนที่มีผู้ไปร่วมงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2567

๘ ราชวงศ์ แห่งราชอาณาจักรไทย

 


รูปปั้น ๗ มหาราช


๘ ราชวงศ์ แห่งราชอาณาจักรไทย

๑. ราชวงศ์พระร่วง
๒. ราชวงศ์อู่ทอง
๓  ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
๔. ราชวงศ์สุโขทัย
๕. ราชวงศ์ปราสาททอง
๖. ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
๗. ราชวงศ์ธนบุรี
๘. ราชวงศ์จักรี
 
ประเทศไทยเราถือกันว่า เริ่มขึ้นเมื่อ พ่อขุนอินทรทิตย์ ขึ้นครองราชย์พร้อมกับสถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานีใน พ.ศ. ๑๘๐๐ เป็นปฐมกษัตริย์ของ “ราชวงศ์พระร่วง” ก็มีกษัตริย์ปกครองต่อมารวม ๙ พระองค์ จนถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) ซึ่งสวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๘๑ ได้ถูกรวมเข้ากับกรุงศรีอยุธยาอย่าง โดยพระเจ้าสามพระยา กษัตริย์พระองค์ที่ ๗ ของกรุงศรีอยุธยา ทรงส่งพระราเมศวร พระราชโอรสขณะมีพระชนม์ ๗ พรรษา ประสูติจากเจ้าหญิงในราชวงศ์พระร่วง ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งกรุงสุโขทัย 
ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกซึ่งเป็นศูนย์การปกครองของอาณาจักรสุโขทัยในสมัยนั้น 

และเมื่อเจ้าสามพระยาสวรรคตในอีก ๑๐ ปีต่อมา พระราเมศวรก็ขึ้นครองราชย์บัลลังก์กรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์จึงครองราชบัลลังก์ทั้งกรุงศรีอยุธยาและกรุงสุโขทัย แต่เพื่อให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น พระองค์จึงประทับว่าราชการอยู่ที่เมืองพิษณุโลกตลอดรัชกาล ทรงครองราชย์ถึง ๔๐ ปี ยาวนานกว่ากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ ทำให้กรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน

ราชวงศ์พระร่วงมีมหาราช ๑ พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งเป็นมหาราชพระองค์แรกของชาติไทย ทรงรวบรวมอาณาจักร์ไทยเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง และทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น จารึกเรื่องราวในยุคนั้นไว้ในหลักศิลา ทำให้สืบทอดศิลปะวัฒนธรรมและวิชาการมาจนถึงปัจจุบัน

ราชวงศ์แรกของกรุงศรีอยุธยาก็คือ “ราชวงศ์อู่ทอง” พระเจ้าอู่ทองเป็นปฐมกษัตริย์ พร้อมกับสถาปนาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใน พ.ศ. ๑๘๙๓ หลังกรุงสุโขทัย ๙๓ ปี แต่มีกษัตริย์เพียง ๓ พระองค์เท่านั้นในราชวงศ์นี้ และผู้ที่ทำให้ราชวงศ์อู่ทองสิ้นสุดลงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นญาติฝ่ายมเหสีของพระเจ้าอู่ทองนั่นเอง ทั้งนี้เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคต พระราเมศวร พระราชโอรสพระชนมายุ ๒๘ พรรษาขึ้นครองราชย์ แต่ประทับราชบัลลังก์ได้ไม่ถึงปี ขุนหลวงพะงั่ว พระอนุชาของพระมเหสีพระเจ้าอู่ทองซึ่งครองเมืองสุพรรณบุรี ก็ยกทัพมากรุงศรีอยุธยา พระราเมศวรทรงรู้ฝีพระหัตถ์ของพระมาตุลาดีจึงออกไปต้อนรับ อัญเชิญให้ขึ้นครองราชย์แต่โดยดี ส่วนพระองค์กลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม

ขุนหลวงพะงั่วขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงครองราชย์อยู่ ๑๘ ปี เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๓๑ สมเด็จพระเจ้าทองลัน ราชโอรสพระชนมายุ ๑๔ พรรษาขึ้นเป็นยุวกษัตริย์ แต่ครองราชย์ได้ ๗ วัน พระราเมศวรก็ยกพลจากเมืองลพบุรีมายึดราชบัลลังก์ สำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน ณ วัดโคกพระยา ขึ้นครองราชย์เป็นครั้งที่ ๒

พระราเมศวรครองราชย์ได้อีก ๗ ปี สวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๓๘ สมเด็จพระเจ้ารามราชา พระราชโอรสพระชนมายุ ๒๑ พรรษาสืบราชสมบัติต่อ จนถึง พ.ศ. ๑๙๕๒ ได้เกิดเรื่องทรงพิโรธเจ้าเสนาบดีรับสั่งให้จับ แต่เจ้าเสนาบดีหนีไปอยู่ฟากปทาคูจาม นอกเกาะกรุงศรีอยุธยาบริเวณวัดพุทไธศวรรย์ แล้วกราบทูลไปยังเจ้านครอินทร์ ผู้ครองเมืองสุพรรณบุรี ว่าจะยึดกรุงศรีอยุธยาถวาย เมื่อเจ้านครอินทร์เสด็จมา เจ้าเสนาบดีก็นำกำลังเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา จับสมเด็จพระรามราชาสำเร็จโทษ บ้างก็ว่าให้ไปอยู่ที่ปทาคูจาม แล้วอัญเชิญเจ้านครอินทร์ขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๖ ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระอินทราชา เป็นการกลับมาของราชวงศ์สุพรรณภูมิอีกครั้ง และปิดฉากราชวงศ์อู่ทอง

ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งเริ่มจากขุนหลวงพะงั่ว เป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยกษัตริย์ถึง ๑๓ พระองค์ ครองราชย์รวมกันยาวนานที่สุดของกรุงศรีอยุธยาถึง ๑๗๘ ปี กษัตริย์ของราชวงศ์นี้ซึ่งมีบทบาทในประวัติอยู่มากก็เช่น พระเจ้าสามพระยา ราชโอรสของสมเด็จพระอินทราชา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชโอรสของเจ้าสามพระยา สมเด็จพระไชยราชาธิราชพระสวามีของนางพญาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าช้างเผือก และพระสวามีของพระสุริโยทัย จนสิ้นสุดที่สมเด็จพระมหินทราธิราช ซึ่งเสียกรุงครั้งแรกแก่พระเจ้าบุเรงนองใน พ.ศ.๒๑๑๒

ราชวงศ์สุโขทัย ต้นราชวงศ์นี้ก็คือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ซึ่งเดิมเป็นขุนนางปลายแถว คือ ขุนพิเรนทรเทพ มีบทบาทสำคัญในการกำจัด ขุนวรวงศาและเจ้าแม่อยู่หัวศรีสดาจันทร์ แล้วอัญเชิญพระเทียรราชาซึ่งทรงผนวชอยู่ ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งได้โปรดเกล้าฯให้ขุนพิเรนทรเทพขึ้นเป็น พระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ครองเมืองพิษณุโลก พร้อมพระราชทานพระราชธิดาให้เป็นมเหสี

หลังจากเสียกรุงครั้งที่ ๑ พระเจ้าบุเรงนองได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นราชวงศ์สุโขทัย เหตุที่ถือว่าเป็นราชวงศ์สุโขทัยก็เนื่องจากสืบสาวเชื้อสายแล้ว ปรากฏว่าสืบไปถึงราชวงศ์พระร่วง

กษัตริย์ในราชวงศ์นี้มี ๗ พระองค์ คือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ พระศรีเสาวภาคย์ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเชษฐาธิราช และพระอาทิตยวงศ์ ครองราชย์ติดต่อกัน ๖๑ ปี

ในราชวงศ์นี้ได้เกิดมหาราชพระองค์แรกของกรุงศรีอยุธยา คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีในรัชกาลทรงอุทิศพระชนมชีพเพื่อความมั่นคงให้ราชอาณาจักรไทย จนแทบจะไม่มีเวลาเป็นส่วนพระองค์เลย กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระองค์จึงเป็นที่มั่นใจของพ่อค้าวาณิชที่จะเข้ามาค้าขายว่าปลอดภัยและสงบสุข ในรัชสมัยของพระองค์ กรุงศรีอยุธยาจึงฟื้นกลับคืนสู่ความรุ่งเรืองอีกทั้ง มีผู้คนเข้ามาพึ่งพระบรมสมภารมากมาย

ราชวงศ์ปราสาททอง ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์นี้ก็คือ พระเจ้าปราสาททอง เป็นที่รู้กันว่าเป็นโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถกับสาวชาวบ้านบางปะอิน พระราชบิดาทรงรับไปเลี้ยงดูในกรุงศรีอยุธยา โดยมอบให้พระยาศรีธรรมมาธิราช เป็นผู้ดูแลในฐานะบิดาเลี้ยง แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าแท้ที่จริงแล้วเด็กชายผู้นี้เป็นใคร จึงเรียกกันว่า “พระองค์ไล” ครั้นพระองค์ไลเติบโตขึ้น ก็โปรดให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อายุ ๑๔ ได้เป็นมหาดเล็กหุ้มแพร พออายุ ๑๗ ได้เป็น จมื่นศรีสรรักษ์ ตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็ก

ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ขณะพระองค์ไลเป็นพระยามหาอำมาตย์ เหตุการณ์ก็สร้างวีรบุรุษขึ้น เมื่อพ่อค้าญี่ปุ่น ๕๐๐ คนเปิดตัวว่าเป็นซามูไร บุกวังหลวงเข้าจับกุมพระเจ้าแผ่นดินเนื่องจากไม่พอใจเรื่องการค้า พระยามหาอำมาตย์ได้ร่วมกับสหายชาวเปอร์เซียนำกำลังเข้าขัดขวาง ไล่ซามูไรญี่ปุ่นลงสำเภาหนีไป สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงตอบแทนความดีความชอบโปรดเกล้าฯพระยามหาอำมาตย์ขึ้นเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ คุมกำลังทหารโดยเด็ดขาด

เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต เจ้าพระยากลาโหมที่ชอบเล่นเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาแต่เด็กก็ยังไม่ผลีผลาม อัญเชิญพระเชษฐาธิราช พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าทรงธรรม พระชนมายุ ๑๕ พรรษาขึ้นครองราชย์ แต่ครองราชย์บัลลังก์ได้ ๑ ปี ๗ เดือน เจ้าพระยากลาโหมจัดงานศพมารดา มีขุนนางข้าราชการไปกันแน่นวัด จนท้องพระโรงไม่มีใครมาประชุม มีผู้เพ็ดทูลพระเชษฐาว่าเจ้าพระยากลาโหมคิดกบฏ พระเชษฐาหลงเชื่อสั่งทหารขึ้นป้อมล้อมวัง แล้วส่งคนไปเรียกเจ้าพระยากลาโหมมาเฝ้า เจ้าพระยากลาโหมเลยได้โอกาส ยกกำลังจากงานศพมาจับพระเชษฐาสำเร็จโทษ

แม้จะมีโอกาสอีกครั้ง แต่เจ้าพระยากลาโหมก็ยังไม่รีบร้อนอยู่ดี อัญเชิญพระอาทิตย์วงศ์ พระราชโอรสพระเจ้าทรงธรรมอีกองค์ พระชนมายุแค่ ๙ พรรษาขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ยังเล่นเหมือนเด็กทั่วไป เจ้าพนักงานต้องคอยนำเครื่องทรงและเครื่องเสวยตามเสด็จ เพียง ๖ เดือนขุนนางข้าราชการจึงร้องขอให้ถอดสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ออกจากราชสมบัติ อัญเชิญเจ้าพระยากลาโหมขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์สุโขทัย

ราชวงศ์ปราสาททองมีพระมหากษัตริย์ ๔ พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์เป็นเวลา ๒๕ ปี สมเด็จเจ้าฟ้าไชย พระราชโอรสพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ต่อได้เพียง ๙ เดือนก็ถูกพระนารายณ์ พระอนุชาต่างมารดา ร่วมกับพระศรีสุธรรมราชา พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองชิงราชสมบัติจับสำเร็จโทษ สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ขึ้นครองราชย์ได้เพียง ๒ เดือน ๒๐ วัน ก็ถูกพระนารายณ์ชิงราชสมบัติและสำเร็จโทษ พระนารายณ์ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์ ครองราชย์อยู่ ๓๒ ปี ได้รับการถวามพระราชสมัญญาว่า มหาราช พระองค์ที่ ๒ ของกรุงศรีอยุธยา

ในช่วงสมัยของราชวงศ์ปราสาททอง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งเด็ดขาด และดูจะโหดด้วย ในรัชสมัยของพระองค์บ้านเมืองจึงสงบราบคาบ แม้อริราชศัตรูก็เกรงขาม ไม่กล้าเข้ามาระราน ส่วนในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงดำเนินนโยบายล้ำหน้ากษัตริย์ในภาคพื้นตะวันออก ด้วยการส่งคณะทูตของโกษาปานไปถึงราชสำนักยุโรป ทรงคบฝรั่งเศสเพื่อคานอำนาจฮอลันดา แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ทหารฝรั่งเศสที่ส่งมาช่วยคุ้มครองได้รับคำสั่งลับให้ยึดกรุงธนบุรีและตะนาวศรีเป็นเมืองท่าให้ได้ ส่วนคณะบาทหลวงก็รับหน้าที่เปลี่ยนศาสนาพระเจ้ากรุงสยามให้เข้ารีต แต่พระองค์ก็ทรงนำชาติรอดปลอดภัยมาได้ด้วยพระอัจฉริยภาพ

ส่วนเรื่องการรบ แม้พระองค์จะมีพระวรกายเล็ก และไม่ห้าวหาญเหมือนพระราชบิดา แต่ในสงครามไทยพม่า ซึ่งพม่าเป็นฝ่ายรุกรานทุกครั้ง มีแค่ ๒ รัชกาลเท่านั้นที่กองทัพไทยบุกไปตีเมืองพม่าเป็นการตอบแทน ก็คือในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น

ราชวงศ์บ้านพลูหลวง เป็นราชวงศ์ที่ ๕ และราชวงศ์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา บ้านพลูหลวง เป็นหมู่บ้านหนึ่งในแขวงเมืองสุพรรณบุรี ปัจจุบันคือบ้านพลูหลวง ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เป็นถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระเพทราชา ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์นี้ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมคชบาล และมีพระขนิษฐาเป็นพระสนมของสมเด็จพระนารายณ์ คือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) มีกษัตริย์รวม ๖ พระองค์ ครองราชย์รวมกัน ๗๙ ปี คือ สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี หรือพระเจ้าเสือ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร และสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่เสียเมืองอย่างย่อยยับ

เมื่อพระเพทราชากับขุนหลวงสรศักดิ์ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งความจริงเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ ร่วมกันชิงราชสมบัติเมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวรหนัก กรุงศรีอยุธยาก็อ่อนแอลง นอกจากสองพ่อลูกจะโหดอำมหิตแล้ว ทายาทต่อๆมายังแย่งชิงราชสมบัติกันเอง บ้านเมืองแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่างก็อยากมีอำนาจโดยไม่ได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง นอกจากจะสิ้นราชวงศ์แล้วยังทำให้กรุงศรีอยุธยาย่อยยับจนไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้

ราชวงศ์ธนบุรี หลังจากที่พระเจ้าตากสินทรงกู้ชาติและสถาปนาเมืองหลวงใหม่ขึ้นในขณะที่ประชาชนต้องอดอยากถึงขั้นไม่มีข้าวจะกิน จึงเป็นพระราชภาระของพระองค์ที่ต้องกู้ทั้งชาติและความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีในรัชกาล พระองค์ต้องทำสงครามและแพ้ไม่ได้ ถ้าแพ้ก็หมายถึงการล่มสลายของชาติอีกครั้ง แรงกดดันเหล่านี้ทำให้ทรงเครียดหนัก ในปลายรัชกาลทรงมีพระอารมณ์แปรปรวนไปในทางเสียพระสติ ทำให้เกิดจลาจลขึ้นโดยพระยาสรรค์เป็นกบฏ บังคับให้พระองค์ทรงผนวช เมื่อมีผู้ส่งข่าวไปถึงสมเด็จเจ้าพระยากษัตริย์ศึกที่กำลังทำศึกอยู่กัมพูชา จึงได้รีบกลับมาปราบปรามการจลาจล และสืบสวนสาเหตุของความวุ่นวายแล้ว จึงสำเร็จโทษพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย เป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์ธนบุรี

แต่อย่างไรก็ดี พระอัจฉริยภาพของพระองค์ที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้ประเทศขยายพระราชอาณาจักรออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ก็เป็นที่ยอมรับต่อมาทุกรัชกาล และได้รับการถวายพระราชสมัญญามหาราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

ราชวงศ์จักรี คือราชวงศ์ที่ปกครองประเทศไทยยาวนานที่สุดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๒๔๒ ปีแล้ว ที่สำคัญคือทุกรัชกาลไม่มีการแย่งชิงราชสมบัติเหมือนในสมัยอื่นๆ

เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายราชธานีจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มาอยู่ฝั่งตะวันออกเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ สถาปนาขึ้นเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ บัดนี้กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ ได้กลายเป็นมหานครที่ติดอันดับความสวยงาม มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และสงบผาสุกแห่งหนึ่งของโลก

กษัตริย์ในราชวงศ์จักรีได้รับการถวายพระราชสมัญญามหาราชถึง ๔ พระองค์ คือ รัชกาลที่ ๑ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” รัชกาลที่ ๕ “สมเด็จพระปิยมหาราช” รัชกาลที่ ๙ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

 และเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคมพ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้อาลักษณ์อ่านประกาศพระบรมราชโองการ ถวายพระราชสมัญญาแด่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช” และที่อุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของมหาราชชาติไทย ก็มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของ “พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช” ประดิษฐ์สถานอยู่ด้วย

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2567

ตำนานนางสงกรานต์

ตำนานนางสงกรานต์

นางสงกรานต์ เป็นธิดาของท้าวกบิลพรหม หรือท้าวมหาสงกรานต์ และเป็นนางฟ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช (สวรรค์ชั้นที่ 1 ในทั้งหมด 6 ชั้น) ซึ่งมีหน้าที่ในการรับศรีษะของท้าวกบิลพรหมแห่รอบเขาพระสุเมรุในแต่ละรอบปี หรือในวันสงกรานต์ โดยมีเกณฑ์กำหนดที่ว่าวันสงกรานต์ คือวันที่ 13 เมษายน ตรงกับวันใดก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้นเป็นผู้แห่ นางสงกรานต์มีทั้งหมด 7 องค์ ได้แก่
1. นางสงกรานต์ทุงษเทวี
ทุงษเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์ ทัดดอกทับทิม มีปัทมราค (แก้วทับทิม) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคืออุทุมพร (มะเดื่อ) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือสังข์ เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์ครุฑ

2. นางสงกรานต์โคราดเทวี
โคราดเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันจันทร์ ทัดดอกปีป มีมุกดาหาร (ไข่มุก) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือเตละ (น้ำมัน) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จประทับเหนือพยัคฆ์ (เสือ)

3. นางสงกรานต์รากษสเทวี
รากษสเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร ทัดดอกบัวหลวง มีโมรา (หิน) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือโลหิต (เลือด) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายถือธนู เสด็จประทับเหนือวราหะ (หมู)

4. นางสงกรานต์มัณฑาเทวี
มัณฑาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพุธ ทัดดอกจำปา มีไพฑูรย์ (พลอยสีเหลืองแกมเขียว) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือนมและเนย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือเหล็กแหลม พระหัตถ์ว้ายถือไม้เท้า เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์คัสพะ (ลา)

5. นางสงกรานต์กิริณีเทวี
กิริณีเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดี ทัดดอกมณฑา (ยี่หุบ) มีมรกตเป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือถั่วและงา อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จไสยาสน์เหนือปฏษฎางค์ชสาร (ช้าง)

6. นางสงกรานต์กิมิทาเทวี
กิมิทาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันศุกร์ ดัดดอกจงกลนี มีบุษราคัมเป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือกล้วยและน้ำ อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือพิณ เสด็จประทับยืนเหนือมหิงสา (ควาย)

7. นางสงกรานต์มโหทรเทวี
มโหทรเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ ทัดดอกสามหาว (ผักตบชวา) มีนิลรัตน์เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือเนื้อทราย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล เสด็จประทับเหนือมยุราปักษา (นกยูง)

นางสงกรานต์ 2567 นามว่า “นางมโหธรเทวี" คำทำนาย

 

นางสงกรานต์ 2567 นามว่า “นางมโหธรเทวี
เป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์

คำทำนาย
นางสงกรานต์ 2567 นามว่า “นางมโหธรเทวี"

ตามการประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2567 จากฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ว่า ปีมะโรง (เทวดาผู้ชาย ธาตุทอง) ฉอศก จุลศักราช 1386 ทางจันทรคติ เป็น ปกติ มาสวาร ทางสุริยคติ เป็น อธิกสุรทิน วันที่ 13 เมษายน เป็น วันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 เวลา 22 นาฬิกา 24 นาที
มีนางสงกรานต์ ทรงนามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จไสยาสน์ลืมเนตรมาเหนือหลังมยุรา (นกยูง) เป็นพาหนะ ซึ่งเป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ โดยปีนี้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้แต่งตั้งนางสาวแอนโทเนีย โพซิ้ว รองนางงามจักรวาลอันดับ 1 ประจำปี 2023 เป็น “นางมโหธรเทวี” นางสงกรานต์ ประจำปีพุทธศักราช 2567

วันที่ 16 เมษายน เวลา 02 นาฬิกา 15 นาที 00 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่เป็น 1386 ปีนี้วันอังคารเป็นธงชัย วันพฤหัสบดี เป็นอธิบดี วันจันทร์เป็นอุบากศ์ วันเสาร์เป็นโลกาวินาศ

ปีนี้ อังคารเป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 300 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 30 ห่า ตกในมหาสมุทร 60 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 90 ห่า ตกในเขาจักรวาล 120 ห่า นาคให้น้ำ 7 ตัว
เกณฑ์ธัญญาหารชื่อ วิบัติ ข้าวกล้าในภูมินา จะเกิดกิมิชาติ จะได้ผลกึ่ง เสียงกึ่ง
เกณฑ์ธาราธุคุณ ตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2567

พระยางั่วนำถุม กษัตริย์องค์ที่ ๕ แห่งอาณาจักรสุโขทัย ราชวงศ์พระร่วง

 พระยางั่วนำถุม  เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 แห่งอาณาจักรสุโขทัยในราชวงศ์พระร่วง พระองค์ขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 1866 ถัดจากพระยาเลอไทย และทรงอยู่ในราชสมบัติไปจนสวรรคตใน พ.ศ. 1890 จากนั้น พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงสืบราชสมบัติต่อ

พระนาม

พระนาม "งั่วนำถุม" (เขียนแบบเก่าว่า "งววนำถํ") ปรากฏในจารึกปู่ขุนจิตขุนจอด (พ.ศ. 1935)

คำว่า "งั่ว" ในพระนาม แปลว่า "ห้า" และเป็นคำเรียกลูกคนที่ห้า จึงบ่งบอกว่า พระองค์เป็นพระโอรสพระองค์ที่ห้า

ส่วน "นำถุม" นั้นมาจากภาษาถิ่นย่อยในภาษล้านนาหรือมาจากภาษาไทใหญ่ ตรงกับคำว่า "น้ำท่วม" ในภาษาไทย

ประเสริฐ ณ นคร เห็นว่า พระนาม "นำถุม" แสดงว่า พระยางั่วนำถุมทรงเป็นเชื้อสายของพ่อขุนศรีนาวนำถุม อดีตพระมหากษัตริย์สุโขทัย เพราะมีประเพณีการตั้งชื่อบุตรหลานตามนามบรรพบุรุษ และข้อนี้ยังทำให้สันนิษฐานได้ว่า นางเสือง พระอัยยิกา (ย่า) ของพระยางั่วนำถุม เป็นพระธิดาของพ่อขุนศรีนาวนำถุม ส่วนเพ็ญสุภา สุขคตะ ระบุว่า พระนาม "นำถุม" ทำให้เห็นได้ว่า พระยางั่วนำถุมทรงเป็น "หลานปู่" ของพ่อขุนศรีนาวนำถุม

วีณา โรจนราธา เห็นว่า พระยางั่วนำถุมอาจทรงได้พระนาม "นำถุม" มาจากการประสูติในช่วงน้ำท่วม ดังมีตัวอย่างจากท้าวน้ำท่วม พระนัดดาของพญามังราย ที่ได้รับพระนามเช่นนั้นเพราะประสูติในช่วงน้ำท่วมเมือง หรือมิฉะนั้น พระยางั่วนำถุมก็อาจทรงได้พระนาม "นำถุม" มาจากการจมน้ำสวรรคต เพราะเอกสาร ชินกาลมาลีปกรณ์ เรียกพระมหากษัตริย์สุโขทัยพระองค์หนึ่งว่า "อุทกโชตถตะ" แปลว่า "พระร่วงจมน้ำ" และ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ระบุว่า มีพระมหากษัตริย์สุโขทัยเสด็จไปสรงแม่น้ำยมที่แก่งหลวง (ปัจจุบันอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย) แล้วถูกสายน้ำพัดพาไปไม่มีผู้ใดพบเห็นอีก วีณาเห็นว่า เอกสารทั้งสองนี้อาจหมายถึงพระยางั่วนำถุมก็ได้ แต่วีณายังไม่ให้ข้อยุติในเรื่องนี้ เพราะยังมีข้อขัดกันเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์และการสืบเชื้อสาย

พระชนมชีพ



ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวว่า พระยางั่วนำถุมเป็นพระโอรสพระองค์หนึ่งของพ่อขุนบานเมือง พระมหากษัตริย์สุโขทัย

จารึกปู่ขุนจิตขุนจอด ซึ่งพรรณนาลำดับพระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงนั้น ระบุพระยางั่วนำถุมไว้หลังจากพระยาเลอไทย และก่อนพระมหาธรรมราชาที่ 1 นักประวัติศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า พระยางั่วนำถุมทรงสืบราชสมบัติถัดจากพระยาเลอไทย และเมื่อสื้นพระยางั่วนำถุมแล้ว พระมหาธรรมราชาที่ 1 พระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงสืบราชสมบัติต่อ

เพ็ญสุภา สุขคตะ มองว่า การที่พระยางั่วนำถุมขึ้นครองราชย์ระหว่างพระยาเลอไทยกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 เป็นการที่เชื้อสายฝ่ายพ่อขุนศรีนาวนำถุมแทรกตัวขึ้นในระหว่างเชื้อสายของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และน่าจะเป็นการช่วงชิงราชสมบัติมาจากฝ่ายศรีอินทราทิตย์ โดยฝ่ายศรีนาวนำถุมน่าจะรอคอยโอกาสอยู่นานพอสมควรกว่าจะชิงราชสมบัติมาได้ นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์สายอนุรักษนิยมยังมักลบพระนามพระยางั่วนำถุมออกจากลำดับพระมหากษัตริย์สุโขทัย เพราะมองว่า พระยางั่วนำถุมทรงเป็นทรราชจากการได้ราชสมบัติมาในลักษณะดังกล่าว

ตามการคำนวณของประเสริฐ ณ นคร ปีที่พระยางั่วนำถุมทรงขึ้นครองราชย์ได้แก่ พ.ศ. 1866 เมื่อพระยางั่วนำถุมทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระยางั่วนำถุมทรงแต่งตั้งพระมหาธรรมราชาที่ 1 พระโอรสของพระยาเลอไทย พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย จารึกวัดป่ามะม่วง (พ.ศ. 1904) ระบุว่า พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงครองเมืองศรีสัชนาลัยมาได้ 22 ปี จึงเสด็จออกผนวชใน พ.ศ. 1905 ปีที่พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นพระมหาอุปราชจึงได้แก่ พ.ศ. 1883

จารึกวัดป่ามะม่วงกล่าวอีกว่า ใน พ.ศ. 1890 พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงนำกำลังจากเมืองศรีสัชนาลัยมายังเมืองสุโขทัย ระดมฟันประตูเข้าไปประหารศัตรูทั้งมวล จึงได้เสวยราชสมบัติในเมืองสุโขทัย ประเสริฐ ณ นคร เห็นว่า ข้อความนี้อาจมีความหมายว่า พระยางั่วนำถุมสวรรคตใน พ.ศ. 1890 และพระโอรสของพระยางั่วนำถุมจะขึ้นสืบราชสมบัติต่อ พระมหาธรรมราชาที่ 1 ซึ่งเป็นพระมหาอุปราช จึงทรงนำกำลังมายึดราชสมบัติและขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป

พระยาเลอไทย กษัตริย์องค์ที่ ๔ แห่งอาณาจักรสุโขทัย ราชวงศ์พระร่วง

 


วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2567

พระปรีชากลการ (สำอาง อมาตยกุล)

 




พระปรีชากลการ มีชื่อตัวว่า สำอาง อมาตยกุล (15 สิงหาคม พ.ศ. 2384 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2422) ขุนนางชาวไทย สมรสกับสตรีลูกครึ่งอังกฤษ คือ แฟนนี่ น็อกซ์ ท่านถูกกล่าวหาว่า "ฆ่าคนตายและทารุณกรรม แก่คนไทยที่เมืองกบินทร์บุรี" โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ ผู้เป็นพ่อตา ซึ่งเป็นกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย จึงได้ข่มขู่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และสมุหพระกลาโหม ว่าจะนำเรือรบอังกฤษมาข่มขู่ให้ปล่อยลูกเขยของตน แต่กลับไม่สำเร็จ และปิดท้ายด้วยการประหารพระปรีชากลการ

เรื่องราวของพระปรีชากลการถูกแต่งเป็นนิยายเรื่อง Fanny & Regent of Siam ("แฟนนี่และผู้สำเร็จราชการแห่งสยาม") ซึ่งรจนาโดยอาร์. เจ. มินนี ซึ่งผู้แต่งได้ออกตัวว่าหนังสือของเขามีความเป็นไปได้เพียงร้อยละ 75 แต่กระนั้นหนังสือเล่มดังกล่าวได้กลายเป็นหนังสืออิงประวัติศาสตร์ที่ขายดีในอังกฤษ ในไทยได้มีการแปลและตีพิมพ์หนังสือดังกล่าวใช้ชื่อว่า "ตัวจึงตาย เพราะได้เมียฝรั่ง"

ประวัติ

เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2384 เป็นบุตรคนที่สองของพระยากระสาปน์กิจโกศลกับคุณหญิงพลอย บุตรีพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน ไกรฤกษ์) บิดาได้นำขึ้นถวายตัวเป็นมหาดเล็กในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2401-2404 ท่านจบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมเมื่ออายุเพียง 20 ปี จากสกอตแลนด์ ประเทศอังกฤษ  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยากระสาปน์กิจโกศลตั้งโรงกษาปณ์ผลิตเงินเหรียญขึ้นแทนเงินพดด้วง ซึ่งมาแต่เดิม และได้มีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระปรีชากลการไปช่วยงานบิดาที่กรมกระษาปน์สิทธิการ

พระปรีชากลการเป็นผู้มีหัวคิดทันสมัย ชอบประดิษฐ์ ค้นคว้า ชอบคบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศคล้ายบิดา จึงเป็นที่โปรดปรานในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้เป็นเจ้ากรมกระษาปณ์สิทธิการแทนบิดาตามคาดหมาย พระปรีชากลการมีผลงานอย่างเช่น ประดิษฐ์ซุ้มจุดด้วยไฟแก๊สถวายในงานเฉลิมพระชนมพรรษา และเป็นนายงานสร้างตึกแถวบนถนนบำรุงเมือง

พ.ศ. 2414 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสุปรินเทนเด็นอินยีเนีย (Superintendent Engineer - หัวหน้าช่างเครื่อง) ควบคุมเรือพระที่นั่งบางกอก เสด็จประพาสต่างประเทศตั้งแต่ต้นรัชกาลนำเรือไป สิงคโปร์ ปีนัง มะละกา มะละแหม่ง ย่างกุ้ง กัลกัตตา อัครา มันดาริด และบอมเบย์ในอินเดีย จนเป็นข้าราชบริพารที่โปรดปรานในรัชกาลที่ 5 ถึง พ.ศ. 2416 ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย โปรดเกล้าฯ ให้ทำบ่อทองที่เมืองกบินทร์บุรี จนได้เป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. 2419

ชีวิตส่วนตัว

พระปรีชากลการเป็นบุตรของ พระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) กับคุณหญิงพลอย ไกรฤกษ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 8 คน  คือ 1. (ญ.) ไม่มีชื่อ ถึงแก่กรรมแต่วัยเยาว์ 2.พระปรีชากลการ (สำอาง) 3.นายสอาด ถึงแก่กรรมแต่วัยเยาว์ 4.พระยาเพชรพิชัย (เจิม) 5. โม๊ะ ถึงแก่กรรมแต่วัยเยาว์ 6. พระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน (แฉล้ม อมาตยกุล) 7.คุณหญิงทรามสงวน ภรรยาของ พระยาอภัยรณฤทธิ์ (จอมถวิล อมาตยกุล) 8.นายอาดูร ถึงแก่กรรมแต่วัยเยาว์ นอกจากนี้ มีพี่น้องต่างมารดา  คือ 1. นายหนู 2.นางสังวาลย์ 3.นายบาง 4.นายปริ่ม 5.ขุนประจักษ์ธนสาร (เผื่อน) 6.พระประกอบอัคนิกิจ (เหลอ) 7. นายหลา ถึงแก่กรรมแต่วัยเยาว์ 8. คุณหญิงปุย ภรรยาพระยาประชากรกิจวิจารณ์ (โอ อมาตยกุล) 9.พระภิกษุชิด อุปสมบทจนมรณภาพ 10.นายแจก 11. นายวงษ์

ท่านตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชิงสะพานพุทธ โดยในปัจจุบันเป็นจุดที่สะพานประปกเกล้าซึ่งเป็นสะพานคู่กับสะพานพุทธตัดผ่าน โดยบ้านของท่านเป็นบ้านแบบตะวันตกที่หรูหราในยุคนั้น หลังจากท่านเสียชีวิตลง ทางการได้ใช้บ้านของท่านเป็นที่ทำการไปรษณีย์หรือที่เรียกว่าไปรสะนียาคาร จนถูกทุบทิ้งเมื่อปีพ.ศ. 2525 อย่างไรก็ตาม บ้านของท่านถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์กิจการไปรษณีย์ไทย 

บ้านของพระปรีชากลการตั้งอยู่เชิงสะพานพุทธ

พระปรีชากลการเป็นคนกว้างขวางในสังคม ท่านสมรสกับแฟนนี่ น็อกซ์ ลูกสาวโทมัส ยอร์ช น็อกซ์ กงสุลใหญ่อังกฤษ เนื่องจากมีพื้นฐานทางสังคม ครอบครัว และการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ความรักของหนุ่มสาวทั้งคู่จึงเกิดขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อม ในวงสังคมชั้นสูง โดยเริ่มรู้จักกันเมื่อทั้งสองฝ่ายซึ่งนิยมกีฬาขี่ม้า ได้ขี่ม้าเล่นเพื่อออกกำลังกายในเวลาเช้า ฝายชายอยู่ในกลุ่มข้าราชบริพารที่โปรดปรานขี่ม้าตามเสด็จรัชกาลที่ 5 ส่วนฝ่ายหญิงก็ขี่ม้าเล่นกับนายน็อกซ์ผู้เป็นบิดา แม้ว่า ฝ่ายชายจะมีภรรยาและบุตรชายหญิงอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสรู้จักกัน ครั้งแรกจึงอยู่ในฐานะมิตรสหาย แต่ต่อมาเมื่อภรรยาพระปรีชาฯ ถึงแก่กรรม การรู้จักกันฉันเพื่อนทำให้มีโอกาสได้เข้าไปแสดงความเห็นอกเห็นใจ และสานความสัมพันธ์ต่อจนกลายเป็นความรักในที่สุด การสมรสของทั้งสองคนเกิดขึ้นท่ามกลางการสบประมาทของขุนนางชั้นผู้ใหญ่หัวโบราณและเป็นชาตินิยมสุดโต่ง และมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนชื่อ จำรัส อมาตยกุล หรือ เฮนรี สเปนเซอร์ (อังกฤษ: Henry Spencer)

ก่อนหน้านี้ พระปรีชากลการมีภรรยาจำนวน 2 คน และมีบุตรรวม 3 คน หลังจากที่เขาได้สมรสกับแฟนนี่แล้ว ก็มีภรรยาอีก 4 คน และมีบุตรธิดารวมกันอีก 6 คน คือ 

  1. พลับ ธิดาพระครูมหิธร มีบุตรหนึ่งคน
    1. ประเสริฐ (ช.) ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์
  2. ลม้าย ธิดาพระอินทราธิบาล (สุ่น) กับแจ่ม มีบุตรสองคน
    1. คุณหญิงตระกูล (ญ.) สมรสกับพระยาภูบาลบันเทิง (ประยูร อมาตยกุล)
    2. อรุณ (ช.) รับราชการเป็น พระยาพิศาลสารเกษตร สมรสกับคุณหญิงเยาวเรศ อมาตยกุล ไม่มีบุตร
  3. แฟนนี่ น็อกซ์ มีบุตรหนึ่งคน
    1. จำรัส หรือ เฮนรี สเปนเซอร์ (ช.) ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 21 ปี
  4. เหลี่ยม มีบุตรสามคน
    1. มังกรหรือกอน (ช.) รับราชการเป็น พระยาวินิจวิทยาการ สมรสกับคุณหญิงจอน และม.ล.ผาด เสนีย์วงศ์
    2. สำเนียง (ช.) ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์
    3. อบ (ญ.) หม่อมในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววะวงศ์วโรปการ
  5. สิน มีบุตรหนึ่งคน
    1. ใย (ช.) สมรสกับแขและบุญมี
  6. จีน มีบุตรหนึ่งคน
    1. คุณหญิงประจักษ์ (ญ.) สมรสกับพระยาคินิสันทนานุการ (สนอม ทรรทรานนท์)
  7. หลี มีบุตรหนึ่งคน
    1. ส่าน (ช.) ถึงแก่กรรมก่อนมีภรรยา

ข้อหาและการประหาร

เรือรบ Foxhound

แต่ต่อมาพระปรีชากลการถูกกล่าวหาในข้อหาว่า "ฆ่าคนตายและทารุณกรรม แก่คนไทยที่เมืองกบินทร์บุรี" จึงถูกจับมาล่ามโซ่ตรวนไว้ที่กรมทิมดาบ มร. น็อกซ์ ผู้เป็นพ่อตา ซึ่งเป็นกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย จึงเข้ามาขู่กับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และสมุหพระกลาโหม ให้ปล่อยลูกเขยของตนเสีย มิฉะนั้นจะจับผู้สำเร็จราชการไปขังไว้ในเรือรบอังกฤษและให้ปืนเรืออังกฤษระดมยิงพระนคร ทั้งยังจะฟ้องรัฐบาลอังกฤษในเรื่องนี้ด้วย" ด้วย มร. น็อกซ์ รู้ดีว่าสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์อยู่เบื้องหลังคดีนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งถูกกดดันด้วยเหตุผลทางการเมือง จึงใช้เป็นข้ออ้างในการเร่งรัดคดีให้สิ้นสุดเร็วที่สุด ส่วน มร.น็อกซ์ ก็ทำตามคำขู่ที่กล่าวไว้คือ นำเรือรบที่ชื่อ Foxhound เข้ามาในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2422 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรึกษาหารือกับขุนนางผู้ใหญ่ ในที่สุดเห็นพ้องว่า จะจัดส่งทูตออกไปชี้แจงข้อเท็จจริงต่อรัฐบาลอังกฤษ ในระหว่างที่เหตุการณ์เริ่มบานปลาย สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ก็ได้ทูลแนะนำว่าให้เอาเรื่องการเมืองและการละเมิดอำนาจแผ่นดินเป็นประเด็นหลัก ส่วนเรื่องทุจริตเป็นประเด็นรอง และยังกราบบังคมทูลให้ทรงใช้มาตรการเด็ดขาดโดยเร็ว

เป็นที่น่าสังเกตว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้เร่งรัดให้มีการประหารชีวิต แม้ว่าการสอบสวนจะยังไม่เสร็จสิ้นลง  ทั้งคณะผู้ตัดสินไม่ยอมให้พระปรีชากลการประกันตัวออกมาสู้คดี รวมทั้งไม่ให้เบิกความพยานฝ่ายจำเลย ความขัดแย้งระหว่างตระกูลบุนนาคและอมาตยกุลที่มีมาแต่ก่อน จึงอาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนี้  สำหรับความขัดแย้งระหว่าง 2 ตระกูล มี 4 ประเด็นหลัก คือ

  1. ความขัดแย้งในการทักท้วงการซ่อมแซมวัดพระเชตุพน เมื่อครั้งพระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ผู้เป็นบิดา เริ่มรับราชการในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วยความที่ท่านมีความสนใจในด้านวิชาช่าง ค่อนข้างเป็นคนหัวก้าวหน้า และมีนิสัยตรงไปตรงมา ท่านได้ทักท้วงการซ่อมแซมอุโบสถวัดพระเชตุพน ซึ่งอยู่ในความดูแลของพระยาศรีพิพัฒน์โกษาธิบดี (ทัศ บุนนาค) ว่า การดำเนินการดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องและอาจพังถล่มลงมาได้ แต่พระยาศรีพิพัฒน์โกษาธิบดี (ทัศ บุนนาค) นั้นไม่เชื่อ การก่อสร้างจึงดำเนินต่อไป จนในที่สุดกำแพงได้ถล่มทับคนงานที่ก่อสร้างอยู่ในขณะนั้น รัชกาลที่ 3 ได้ยกย่องพระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ว่า เป็นผู้มีความสามารถมากกว่าผู้ใหญ่บางคน จึงทำให้ตระกูลบุนนาคเสียหน้า และเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างตระกูลบุนนาคและอมาตยกุล
  2. ประเด็นทางการเมือง ด้วยการเมืองในขณะนั้นแบ่งออกเป็นฝ่ายต่าง ๆ ฝ่าย 1 คือ วังหลวงหรือรัชกาลที่ 5 ฝ่าย 1 คือ วังหน้า กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ และฝ่าย 1 คือ สมเด็จเจ้าพระยาฯ โดยในขณะนั้นรัชกาลที่ 5 เพิ่งเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติและยังทรงพระเยาว์ อำนาจทางการเมืองจึงอยู่ในมือของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ในฐานะผู้สำเร็จราชการ ในขณะนั้น วังหลวงมีเพียงพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการรุ่นหนุ่ม ที่มีหัวคิดทันสมัย ซึ่งทรงโปรดใช้สอย โดยหนึ่งในจำนวนนั้นมีพระปรีชากลการรวมอยู่ด้วย เมื่อแต่ละฝ่ายต่างก็พยายามชิงอำนาจซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง มร. น็อกซ์ได้บันทึกไว้อย่างน่าสนใจว่า " เห็นว่าความเรื่องพระปรีชานี้ ได้ชำระโดยเร่งร้อน เห็นบางคนจะมีในเกาวเมนไทย นี่ยังไม่ทันเห็นความผิดของพระปรีชาแม้แต่น้อย .." 
  3. การพิจารณาคดีพระยาอาหารบริรักษ์(นุช) ซึ่งเป็นญาติสนิทของสมเด็จเจ้าพระยาฯ โดยคดีนี้ พระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) และพระยาเจริญราชไมตรี และหลวงพิจารณ์จักรกิจหรือในเวลาต่อมาคือพระยาเพชรพิชัย น้องชายของพระปรีชากลการ ทั้ง 3 ท่านซึ่งเป็นคนในตระกูลอมาตยกุลได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นตุลาการชำระคดีความการทุจริต จนในที่สุดก็ได้ตัดสินโทษพระยาอาหารบริรักษ์(นุช) ซึ่งประกอบด้วย ประหารชีวิต เฆี่ยน และริบราชบาตร ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้ทำให้ความขัดแย้งระหว่างตระกูลทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยอิทธิพลของสมเด็จเจ้าพระยาฯ ที่มีสูงมากในเวลานั้น ทำให้โทษประหารของพระยาอาหารบริรักษ์(นุช) เหลือจำคุกตลอดชีวิต
  4. การสมรสกับแฟนนี่ นอกซ์ ด้วยความที่ แฟนนี่ นอกซ์ เป็นลูกสาวของมร. น็อกซ์ กงสุลอังกฤษซึ่งมีอิทธิพลมาก เนื่องจากอินเดียและพม่า ได้เสียเอกราชแก่อังกฤษ จึงทำให้ผู้มีอำนาจของสยามต้องการได้นางไปเป็นภรรยา ซึ่งก็อยู่ในความคาดหวังของสมเด็จเจ้าพระยาฯ ที่จะให้แต่งงานกับลูกชายคนหนึ่งของท่านด้วยเช่นกัน ความรักของแฟนนี่และพระปรีชากลการจึงดำเนินไป ท่ามกลางความขัดแย้งแตกแยกของกลุ่มอำนาจ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักพระทัยถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากลายพระราชหัตถเลขา ที่ทรงพระราชทานถึงสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเล่าถึงเรื่องความคิดอ่านของนายน็อกซ์และสมเด็จเจ้าพระยาฯ ไว้ว่า

“..มีผู้ที่ควรจะเชื่อได้ ทราบความมาว่าเขากะสมเด็จเจ้าพระยาฯ เป็นแน่ว่าหม่อมฉันคงจะตายในเร็วๆ นี้เป็นแน่ ด้วยผอมนัก วังหน้าคงได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ถ้าวังหน้าได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว เหมือนกับลูกเขาๆ สงสารจะต้องอุปถัมภ์ช่วยว่าการงานทุกอย่าง ลูกเขานั้นคนใหญ่ที่ไปเรียนหนังสือเมืองนอกคนเดียวเขาจะให้เป็นฝรั่ง แต่ลูกนอกนั้นตามแต่ภรรยาเขาจะให้มีผัวไทยก็ตาม สมเด็จเจ้าพระยาฯ พลอยเห็นจริงด้วย ได้บอกมอบฝากบ้านเมืองถ้าสิ้นท่านแล้ว วังหน้าจะเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้เขาช่วยทะนุบำรุงบ้านเมือง และฝากบุตรหลานของท่านด้วยเถิด การเป็นดังนี้สมกับคำที่สมเด็จเจ้าพระยาฯ พูดอยู่เสมอว่า หม่อมฉันคงตายในปีนี้ๆ หลายปีมาแล้วว่า วังหน้าคงมาเป็นเจ้า คำนี้ท่านพูดอยู่ดังๆ กับบุตรหลานนั้นก็ให้มา ฝากตัวอยู่ที่กงสุลอังกฤษจริง เป็นการสมกับที่คำพูด แต่คำที่ฝ่ายภรรยามิสเตอร์น็อกซ์กงสุลพูดนั้นว่า ถ้าวังหน้าเป็นเจ้าแล้ว ลูกสาวจะเป็นสมเด็จพระนาง ผัวจะเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ถ้ามีหลานจะให้เป็นเจ้าแผ่นดินต่อไปด้วย…”

ก่อนที่จะเกิดการสมรสนั้น เมื่อครั้งมีงานพระราชพิธีฉลองพระราชวังบางปะอินพ.ศ. 2421 พระปรีชากลการได้พาแฟนนี่นั่งเรือส่วนตัวไปในงานฉลองและค้างแรมด้วยกันบนเรือ แม้จะมีบ่าวไพร่อยู่บนเรือด้วยกันหลายคนและทั้งคู่ก็มิได้อยู่ร่วมห้องกันก็ตาม การประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นความเสียหายร้ายแรง เพราะฝ่ายหนึ่งคือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกฝ่ายหนึ่งคือลูกสาวกงสุลใหญ่ ซึ่งถือเป็นการหยามเกียรติ นำความเสื่อมเสียมาสู่ประเทศชาติ และยิ่งเมื่อพระปรีชากลการได้พาแฟนนี่กลับกรุงเทพฯ ในขณะที่งานฉลองพระราชวังบางปะอินยังไม่เสร็จสิ้นโดยมิได้กราบบังคมทูลลาหรือกราบทูลให้ทรงทราบ

ครั้นกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว เหตุการณ์ต่างๆได้บีบคั้นให้ทั้งสองต้องเข้าสู่พิธีสมรส โดยมิได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตามขนบประเพณีแห่งราชสำนัก ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาการหมิ่นเกียรติยศกงสุลในการที่พาธิดาสาวไปค้างแรมทำให้เกิดความเสียหายและข้อครหา ซึ่งเป็นการทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหนุ่มสาวทั้งคู่ เพราะนอกจากจะผิดประเพณีอันจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับกงสุลของประเทศที่มีอำนาจเช่นอังกฤษแล้ว ยังเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฐานที่เป็นข้าราชการในพระองค์ แต่ทำการต่างๆ ตามอำเภอใจ มิได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งงานที่คู่สมรสเป็นลูกครึ่งต่างชาติ มีบิดาที่สามารถให้ผลได้ผลเสียแก่บ้านเมือง จึงถือเป็นการละเมิดอำนาจแผ่นดินอย่างร้ายแรงอย่างไม่เคยมีผู้ใดประพฤติ ปฏิบัติเยี่ยงนี้มาก่อนดังปรากฏในลายพระราชหัตถเลขาทรงปรึกษา เรื่องนื้กับเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ และเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ความว่า

“..ด้วยฉันได้ทราบการจากเจ้าคุณสมเด็จเจ้าพระยาฯ เรื่องซึ่งจะแต่งงานกันเป็นการตกลงกันแล้วทุกอย่างนั้น การอย่างนี้ไม่เคยมีมาแต่ก่อน ขอให้ท่านเสนาบดีตริตรองปรึกษาในการเรื่องนี้ให้เห็นการดีร้ายได้เสียต่อไปข้างหน้า อย่างไรจะรักษาเกียรติยศและอำนาจ แผ่นดินไว้อย่าให้เสื่อมทรามได้ ถ้าขอให้ปรึกษาให้เห็นพร้อมกันแล้วให้เรียนปรึกษาสมเด็จเจ้าพระยาฯ เมื่อเห็นพร้อมกันประการใด ขอให้บอกให้ฉันทราบด้วย…”

เมื่อทั้งสองแต่งงานกันแล้ว ก็ได้พากันไปอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งพระปรีชากลการมีหน้าที่ควบคุมการขุดทองส่งเมืองหลวง ทิ้งปัญหาไว้ข้างหลัง ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายจะได้รับผลกระทบของปัญหาแตกต่างกัน สำหรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไม่พอพระทัยในการที่ ข้าราชการที่ทรงให้ความไว้วางพระราชหฤทัยไปแต่งงานกับสตรีซึ่งอยู่คนละกลุ่มอำนาจ มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มอำนาจที่คิดปองร้ายต่อพระองค์ และแผ่นดินไทย ถึงขั้นมีแผนจะแบ่งแผ่นดินไทยออกเป็นสองส่วน เพื่อให้วังหลวงและวังหน้าปกครององค์ละส่วน ซึ่งโดยอำนาจและสิทธิหน้าที่ในฐานะประมุขของชาติ ทรงต้องพยายามแก้ปัญหานี้อย่างนุ่มนวลและแนบเนียน อีกทั้งพระองค์ยังถูกกดดันจากสมเด็จเจ้าพระยาฯ ที่จะให้เกิดการประหารขึ้นอีกด้วย

ในส่วนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินก็ย่อมจะต้องไม่พอใจในการแต่งงานของหนุ่มสาวคู่นี้เช่นกัน เพราะนอกจากจะไม่เป็นไปตามความประสงค์ ที่จะให้แฟนนี่แต่งงานกับบุตรชายคนหนึ่งของท่าน เพื่อผูกพันสายสัมพันธ์ระหว่างสกุลบุนนาค วังหน้า และกงสุลอังกฤษให้แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งขึ้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น นอกจากจะไม่เป็นไปดังประสงค์แล้ว แฟนนี่ยังไปแต่งงานกับพระปรีชากลการที่อยู่คนละกลุ่มอำนาจ

แม้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะคืนอำนาจการบริหารแผ่นดินให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้ว แต่วาสนาบารมีของท่านก็ยังเต็มเปี่ยมในฐานะผู้ใหญ่ของแผ่นดิน สมเด็จเจ้าพระยาฯ จึงกราบบังคมทูลแนะนำเรื่องการลงโทษพระปรีชากลการ โดยอ้างเรื่องการเสื่อมเสียพระเกียรติยศเป็นสำคัญ ความว่า

“…ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าจะนิ่งเฉยเสียมิได้ จะเสียพระเกียรติยศ และอาญาแผ่นดินจะเสื่อมทรามไป ถ้าจะเอาความปลายขั้นว่า เป็นเหตุที่ทำบ่อทองของหลวงเบิกเงินไปใช้ก็มาก เดี๋ยวก็ไปเป็นเขยขุนนางต่างประเทศแล้วจะต้องชำระบาญชีเลิกถอนผลัดเปลี่ยนเสียดังนี้…”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรู้เท่าทันการเมืองเกมนี้เป็นอย่างดี ดังที่ทรงมิพระราชหัตถเลขาตอบสมเด็จเจ้าพระยาฯ ความว่า

“…ตัวฉันเป็นเจ้าแผ่นดิน ก็คิดตั้งใจจะรักษาอำนาจแลเกียรติยศแผ่นดินให้ดำรงคงที่ยืนยาวสืบไป เพราะอำนาจแลเกียรติยศแผ่นดินเป็นเครื่องประคองรักษาความยุติธรรมทั้งปวงให้ยั่งยืนอยู่ได้ ผู้ใดทำลายล้างเกียรติยศและอำนาจอาญาแผ่นดิน ซึ่งฉันจะประคับประคองทำนุบำรุงก็เหมือนหนึ่งไม่รักแผ่นดิน การสิ่งใดซึ่งจะจัดไปเพื่อจะรักษาอำนาจและเกียรติยศแผ่นดินให้ยั่งยืนมั่นคงได้แล้ว ฉันมิได้คิดขัดขวางอยากให้การนั้นสำเร็จทุกอย่าง ขออย่าให้เจ้าคุณมีความระแวงสงสัยในตัวฉันประการใดประการหนึ่ง ด้วยฉันไม่ได้รักสิ่งไรมากกว่าแผ่นดิน…” แม้จะได้รับการยืนยันจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวดังนี้แล้ว สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ยังไม่วายที่จะตอกย้ำต่อไปว่า “..ธรรมดาเป็นผู้ครอบครอง ถ้าเห็นว่าการสิ่งใดจะเป็นเสี้ยนหนามขึ้นในอาณาก็ต้องรักษาอย่าให้กำเริบลุยลายได้..”

จากพระราชหัตถเลขาและหนังสือโต้ตอบระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็พอจะเห็นได้ถึงความยุ่งยากในพระทัยในการสั่งจับกุมดำเนินคดีกับพระปรีชากลการ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2421

ในระหว่างการดำเนินคดีนั้น พระปรีชากลการได้ถูกคุมขังจำตรวนอยู่ที่หลังทิมดาบ กระทรวงวัง และยังคิดแต่เพียงว่าโทษลงอาญาโบย 30 ที ที่ได้รับจากพระราชโองการนั้น เกิดจากความกริ้วของพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อข้าราชสำนักที่ทรงโปรด และเข้าใจว่าโทษโบยนั้นสาสมกับความผิดของตน และคงจะทำให้ทรงคลายพระพิโรธลงได้ ดังจดหมายที่พระปรีชาฯ เขียนถึงแฟนนี่ผู้เป็นภรรยาว่า

“… ด้วยตัวฉันเป็นคนไทย ในหลวงกริ้วลงพระราชอาญาเฆี่ยน แล้วก็จะค่อยคลายกริ้วลงทุกที อย่าให้แม่แฟนวุ่นวายไป ธรรมเนียมไทยกับธรรมเนียมฝรั่งไม่เหมือนกัน จะเอาเหมือนธรรมเนียมฝรั่งไม่ได้ จะพาฉันมีความผิด ฉันเห็นใจแล้วว่าแม่แฟนรักฉันมาก ถ้าอ้อนวอนในหลวงฤๅสมเด็จเจ้าพระยาฯ เห็นจะได้ออกเร็ว…”

แต่ทั้งพระปรีชาฯและแฟนนี่หารู้ไม่ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ได้ถูกกระพือโหมให้กลายเป็นความขัดแย้งระดับชาติไปแล้ว ทั้งนี้เพราะมร. น็อกซ์ ซึ่งมีความประสงค์จะช่วยเหลือพระปรีขากลการ ซึ่งมิได้ทำความผิด มร. น็อกซ์ได้พยายามเจรจากับสมเด็จเจ้าพระยาฯ และขอเข้าเฝ้ากราบทูลขอพระราชทานอภัยต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่ไม่เป็นผล เพราะคดีนี้มิใช่ความผิดธรรมดาแต่กลายเป็นเรื่องการประลองกำลังระหว่างขั้วอำนาจทั้งสอง มร. น็อกซ์ซึ่งหมดหนทางที่จะช่วยจึงขู่จะนำเรือปืนอังกฤษเข้ามาปิดปากอ่าวไทย ซึ่งเท่ากับเป็นการก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศ การขู่เช่นนี้แทนที่จะได้ผลดีกลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องรีบแกัไขเหตุการณ์โดยด่วน ด้วยการส่งคณะทูตพิเศษมีพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เป็นหัวหน้านำเรื่องราวความเป็นจริงไปชี้แจงให้รัฐบาลอังกฤษเข้าใจ

เรื่องการพิจารณาคดีก็ยังคงดำเนินต่อไป ได้มีการขยายผลกว้างขวางอันเนื่องมาแต่ได้มีราษฎรร้องเรียนกล่าวโทษพระปรีชากลการเพิ่มขึ้นอีกหลายประการ มีทั้งการแสวงหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง การกดขี่ทารุณทำร้ายราษฎรและอื่นๆ อีกถึง 27 เรื่อง ข้อหาที่พระปรีชาฯ ได้รับคือ

1.เบิกเงินมาหลายหมื่นชั่ง แต่ได้ทองถวายเพียงไม่กี่ลิ่ม

2.ท่าการทารุณเลขหัวเมืองที่เกณฑ์ให้ตัดฟันตอในน้ำซึ่งกีดขวางทางเดินเรือบรรทุกทอง โดยใช้ง่ามถ่อค้ำคอคนที่ดำลงไปตัดตอจนขาดใจตาย และทำการทารุณกรรมแก่ราษฎรอย่างร้ายแรงหลายประการ

3.แล่นเรือตัดหน้าฉานขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน

4.แต่งงานกับคนต่างประเทศโดยไม่ขอพระบรมราชานุญาต ในส่วนสมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้สรุปความผิดของพระปรีชากลการ ไว้ว่า

“..การหลวงที่ไม่ได้อยู่ช่วย ทูลลาก็ไม่ทูล…ดูถูกในหลวงมาก พระปรีชามิได้คำนับผู้ใหญ่ในตระกูลฝ่ายหญิงและฝ่ายไทย มิได้กราบทูลในหลวง เป็นการหมิ่นประมาท…”

คดีพระปรีชากลการเป็นคดีที่ทุกคนจับตามองอย่างจดจ่อถึงผลการตัดสิน เพราะรู้อยู่ว่ามิใช่คดีความผิดธรรมดา เรื่องนี้มร. น็อกซ์ ได้รายงานไปยัง ลอร์ด ซอลส์เบอรี่ รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษในขณะนั้นว่า

“… พระปรีชาฯ เป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่ 5 มาก อาจจะโปรดมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นรัชกาลที่ 5 ทรงลงโทษพระปรีชากลการด้วยความฝืนพระทัย เนื่องจากทรงทราบว่าการกระทำของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เป็นการทำลายข้าราชบริพารฝ่ายพระองค์…”

เมื่อพิจารณาถึงคดีความต่าง ๆ ที่พระปรีชากลการได้รับนั้น คำให้การของพยานฝ่ายโจทก์เองก็มีความขัดแย้งกัน จนไม่อาจสรุปได้ว่า พระปรีชากลการมีความผิด การเร่งเร้าให้ประหารชีวิตแม้ว่าการสอบสวนคดียังไม่สิ้นสุดนั้น จึงเชื่อได้ว่าสาเหตุของการประหารที่แท้จริงนั้น เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง 2 ตระกูลเป็นสำคัญ

จดหมายเหตุโหรของจมื่นก่งศิลป์ บันทึกเรื่องการประหารชีวิต พระปรีชากลการไว้ว่า

“…วันเสาร์ขึ้น 9 ค่ำ เดือนอ้าย จ.ศ.1241 วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2422 เพลา 11 ทุ่ม เอานายสำอางลงเรือไฟไปเมือง ประจิม วันจันทร์ขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย (วันที่ 28 พฤศจิกายน) ถึง เมืองประจิม เพลาเช้า 4 โมง เพลาบ่าย 4 โมง สำเร็จโทษนายสำอาง…”

ในตอนท้ายสุดของชีวิตนั่นเองที่พระปรีชากลการได้แสดงถึง ความเข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ดังที่รองอำมาตย์โทหลวงบำรุงรัฐนิกร ได้บันทึกไว้เป็นความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ ก่อนประหารชีวิตพระปรีชากลการ ความว่า

“…พระปรีชาฯ เอาผ้าขึ้นเช็ดหน้า แล้วทิ้งลงดิน พูดออกมา อย่างน่าสงสารว่า โบสถ์สร้างขึ้นยังไม่ทันแล้ว เพราะได้เมียฝรั่ง ตัวจึงตาย…”

จากคำพูดนี้ แสดงให้เห็นว่าพระปรีชากลการทราบสาเหตุของการประหารเป็นอย่างดีว่า เกิดจากการแต่งงานกับแฟนนี่น็อกซ์ การต้องรับโทษทัณฑ์ไม่ได้เกิดจากการแต่งงานกับชาวต่างประเทศโดยไม่ได้ขออนุญาตเท่านั้น แต่ตัวท่านทราบดีว่าได้ทำให้ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาฯ ไม่อาจเกี่ยวดองกับอังกฤษผ่านการแต่งงานได้อีกต่อไป ดังนั้น จึงทำให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งมีอำนาจสูงมากไม่พอใจ ขณะที่รัชกาลที่ 5 ที่ยังทรงพระชมน์ไม่มากนัก ไม่อาจคัดค้านได้ พระปรีชากลการจึงถูกประหาร

ส่วนมร. น็อกซ์ถูกเรียกตัวกลับอังกฤษ และได้พาครอบครัวเดินทางออกจากสยาม เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน แต่แฟนนี่ได้พาบุตรชายที่เกิดจากพระปรีชากลการ คือ สเปนเซอร์ หรือ จำรัส และบุตรชายหญิงของพระปรีชากลการ ซึ่งเกิดจากคุณลม้ายภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วคือ ตระกูลและอรุณ เดินทางไปด้วย เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อตระกูลและอรุณ เติบโตขึ้นจึงได้เดินทางกลับสู่สยาม และเข้ารับราชการเป็นล่ามในพระราชสำนักฝ่ายใน ส่วนจำรัสเสียชีวิตในวัยหนุ่มอายุเพียง 21 ปี

หลังจากพระปรีชากลการเสียชีวิตลง ประชาชนชาวจังหวัดจังหวัดปราจีนบุรีได้พร้อมใจกันสร้างศาลเจ้าพ่อสำอางเพื่อแสดงความรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของอุโบสถในวัดหลวงปรีชากูล โดยวัดนี้พระปรีชากลการได้ริเริ่มสร้างขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปศาลได้ชำรุดทรุดโทรมลง ชาวเมืองจึงได้สร้างศาลใหม่ขึ้นบริเวณด้านหน้าของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี นอกจากนี้ จังหวัดปราจีนบุรียังได้จัดแสดงละครประกอบแสงสีเสียง ซึ่งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 โดยได้รับเกียรติจากนายอำเภอ และคลังจังหวัด รับบทเป็นพระปรีชากลการ และภรรยา ตามลำดับ 

เนื้อเพลง