10 เรื่องน่ารู้ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2567
10 เรื่องน่ารู้ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระวิมาดาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์กรมพระสุทธาสินีนาฏปิยมหาราชปดิวรัดา จอมนางผู้ทรงเป็นปดิวรัดาในรัชกาลที่๕
เรื่องเล่าจากในวัง จอมนางผู้ทรงเป็นปดิวรัดาในรัชกาลที่๕
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา
๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๒ วันประสูติ
วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567
สมเด็จพระนางเรือล่ม อัครมเหสีในรัชกาลที่ ๕
“สมเด็จพระนางเรือล่ม” หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี
อัครมเหสี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สิ้นพระชนม์พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 ในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยเรือพระประเทียบล่มขณะกำลังเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอิน ถือเป็นกรณีสิ้นพระชนม์ของพระบรมวงศานุวงศ์ที่ต่างไปจากทุกพระองค์ที่สิ้นพระชนม์จากพระโรคใดพระโรคหนึ่ง แต่สมเด็จพระนางเรือล่มสิ้นพระชนม์จากการจมน้ำจากที่เรือพระประเทียบล่ม
พระประวัติ “พระนางเรือล่ม” พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลำดับที่ 50 พระมารดาคือ สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ปีวอก พ.ศ. 2403 ณ พระบรมมหาราชวัง
ทรงถวายองค์เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 5 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 17 พรรษา ด้วยมีพระสิริโฉมงดงาม พระสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น “พระอัครมเหสี” และยังเป็นที่โปรดปรานสนิทเสน่หายิ่งกว่าพระอัครมเหสีองค์อื่น ๆ
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระราชธิดา พระองค์แรกเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ ขณะเสด็จฯ มายัง พระราชวังบางปะอินพระองค์ก็ทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน
เหตุเศร้าสลด “สมเด็จพระนางเรือล่ม”
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เป็นพระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ทรงพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระราชบิดาว่า พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ ต่อมาพระองค์ได้เป็นอัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 (ไม่ทราบปีที่แน่นอน แต่ต้องก่อน พ.ศ. 2421) และได้ประสูติพระราชธิดาองค์แรกคือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2421
ขณะนั้น อาจกล่าวได้ว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ทรงเป็นที่โปรดปรานเสน่หาในพระราชสวามีเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความชื่นชมโสมนัสของรัชกาลที่ 5 ได้สิ้นสุดลงเมื่อเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิดกับเจ้านายทั้ง 2 พระองค์ อีก 2 ปีต่อมา
ก่อนการเสด็จพระราชวังบางปะอินใน พ.ศ. 2423 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงพระสุบิน (ฝัน) บอกเหตุในคืนก่อนวันสิ้นพระชนม์ว่า
“พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอได้เสด็จไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะทรงพระราชดำเนินข้ามสะพาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอบังเอิญพลาดพลัดตกลงไปในน้ำ พระองค์ได้ทรงคว้าพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็ลื่นหลุดพระหัตถ์ไปอีก ทรงตามไขว่คว้าจนพระองค์เองตกลงไปในน้ำด้วย ทรงหวั่นในพระทัยอยู่เหมือนกันว่าพระสุบินนี้จะเป็นลางร้าย แต่สุดท้ายก็ได้ตามเสด็จไปตามพระราชประสงค์”
การเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานจากกรุงเทพมหานครไปประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 บรรณาธิการหนังสือ “สมเด็จพระนางเรือล่ม” ที่เขียนโดย ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ได้อธิบายเหตุการณ์นี้ว่า
“เส้นทางเสด็จจะเสด็จทางเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาไปบางปะอิน โดยการเสด็จครั้งนี้ได้มีการจัดขบวนเรือเสด็จ โดยจัดเรือเก๋งที่ประทับพระมเหสี พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาพระพี่เลี้ยงที่ตามเสด็จครอบครัวละหนึ่งลำ โดยใช้เรือกลไฟลากจูงนำหน้า ซึ่งขบวนเสด็จนั้นก็จะเสด็จไปพร้อม ๆ กัน แบบเรียงหน้ากระดาน เริ่มด้วยเรือกลไฟราชสีห์ ลากจูงเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี เรือโสรวาลลากจูงเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี เรือปานมารุตลากจูงเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เรือยอร์ชอยู่ติดชายฝั่ง ลากจูงเรือพระประเทียบของสมเด็จฯ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร และถัดมาเป็นเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ตามลำดับ
ขบวนเรือพระประเทียบทั้งหมดออกจากท่าราชวรดิษฐ์มุ่งหน้าสู่พระราชวังบางปะอิน แต่ขณะนั้นเรือพระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มิได้เสด็จตามไปในทันที เพราะยังติดพระราชกรณียกิจอยู่ในพระบรมหาราชวัง ก่อนจะลงเรือพระที่นั่งโสภณภควดีตามเสด็จไป”
เมื่อขบวนเรือพระที่นั่งไปถึงบางตลาด จวนจะเข้าเกร็ดพบเรือราชสีห์ จมื่นทิพเสนากับปลัดวังซ้ายลงมากราบทูลว่า เรือพระที่นั่งสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งเรือปานมารุตจูงไปนั้นล่มที่บางพูด เนื่องจากเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ชนกับเรือโสรวาร พระองค์จึงรีบแล่นเรือพระที่นั่งไปที่บางพูด
เมื่อพระองค์เสด็จไปถึง พระยามหามนตรีทูลว่า “เรือราชสีห์ซึ่งจูงเรือพระองค์เจ้าสุขุมาลนั้นไปหน้าใกล้ฝั่งตะวันออก เรือโสรวาลซึ่งพระยามหามนตรีไปจูงเรือพระองค์เจ้าเสาวภาตามไปเป็นที่สองแนวเดียวกัน เรือยอร์ชสมเด็จกรมหลวงซึ่งจูงเรือกรมสมเด็จพระสุดารัตน์ราชประยูรไปทางฝั่งตะวันตกตรงแล่นกับเรือราชสีห์ แล้วเรือปานมารุตแล่นสวนขึ้นมาช่องกลางห่างเรือโสรวาล 10 ศอก พอเรือปานมารุตแล่นขึ้นไปใกล้เรือราชสีห์ ก็เบนหัวออก ศีรษะเรือไปโดนเรือโสรวาล น้ำเป็นละลอกปะทะกัน กดศีรษะเรือพระประเทียบจมคว่ำลง”
อุบัติเหตุครั้งร้ายแรงนี้เกิดจากความประมาทในการเดินเรือเป็นสาเหตุสำคัญ แต่กระนั้นยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือ ความเคร่งครัดในกฎมณเฑียรบาลที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งตระกูล กฎมณเฑียรบาลข้อนี้ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการช่วยเหลือ จนทำให้สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์พร้อมกับพระราชธิดาในที่สุด
อนุสรณ์ถึงการพลักพราก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประสบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ เหตุการณ์ครั้งนั้นกลับไม่ได้ผ่านพ้นไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ตามมายังคงเป็นอนุสรณ์ถึงการพลัดพราก รวมทั้งยังถูกสร้างสีสันผสมผสานกับศรัทธาของราษฎรสมัยหลัง
ความผูกพันที่รัชกาลที่ 5 ทรงมีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และพระราชธิดา นอกจากปรากฏผ่านการเตรียมงานพระศพอย่างสมพระเกียรติแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสิ่งของถวายเป็นพระราชกุศลอย่างการหล่อพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันคือการสร้างถาวรวัตถุ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงหลายแห่งที่ยังคงอยู่มาจนปัจจุบัน อาทิ โรงเรียนสุนันทาลัย อนุสาวรีย์ที่สวนสราญรมย์ อนุสาวรีย์ที่พระราชวังบางปะอิน อนุสาวรีย์ที่น้ำตกพลิ้ว จันทบุรี พระเจดีย์ที่บางพูด นนทบุรี
สถานที่เกิดเหตุนับเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจในหมู่ราษฎร โดยเฉพาะ วัดกู้ นนทบุรี ที่มีการกล่าวขานว่า เป็นสถานที่กู้เรือพระศพและเรือพระที่นั่ง ซึ่งทางวัดได้จัดแสดงเรือโบราณลำหนึ่งในศาลเป็นหลักฐาน (ปัจจุบันศาลหลังนี้ได้ถูกรื้อและบูรณะเป็นศาลหลังใหม่เรียบร้อยแล้ว) ขณะเดียวกันผู้รู้ในท้องถิ่น คือ พิศาล บุญผูก ได้ให้ข้อมูลว่า
“แท้จริงแล้วสถานที่เกิดเหตุอยู่ที่หน้าวัดเกาะพญาเจ่ง หรือวัดเกาะบางพูด เนื่องจากรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์ทรงระฆังภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสี่ทิศ ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง เพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ เจ้าฟ้าในพระครรภ์ และพระพี่เลี้ยงแก้ว”
คำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่สืบต่อมา และบันทึกพระราชกิจรายวันในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังระบุว่า เรือพระที่นั่งล่มลงบริเวณหน้าวัดเกาะพญาเจ่ง มีการอัญเชิญพระบรมศพและพลิกเรือให้หงายขึ้นในบริเวณนั้น รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์เป็นพระราชอนุเสาวรีย์ขึ้นยังตำแหน่งที่เกิดเหตุ มิได้กู้เรือขึ้นไว้บนฝั่งแต่อย่างใด เพราะทำเลวัดอยู่ห่างชายฝั่งมาก ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง
แต่จากเอกสาร ข้อเขียน และป้ายแสดงพระประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ปรากฏอยู่ในวัดกู้หลายแห่ง ทำให้มีแนวโน้มว่า มีการกู้ซากเรือขึ้นไว้บนบก รวมทั้งอัญเชิญพระศพขึ้นที่หน้าวัดกู้ แต่หากพิจารณาจากจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันแล้วจะพบว่า เรือพระประเทียบแค่เกยทรายจมลง สามารถกู้และนำกลับพระนครที่แห่งนั้นได้ทันที โดยไม่ต้องปล่อยให้เรือพระประเทียบล่องไปทางวัดกู้ที่อยู่เหนือขึ้นไป
เรื่องราวของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และรัชกาลที่ 5 สร้างความประทับใจแก่ราษฎร โดยเฉพาะเรื่องความรักและการพลัดพราก ปัจจุบันศาลสมเด็จพระนางเจ้าฯ หลังใหม่ของวัดกู้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของพระองค์ ผู้คนที่มาสักการะยังศาลแห่งนี้มักมาด้วยความศรัทธาในสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่สามารถดลบันดาลให้สมความปรารถนาตามแต่ต้องการ
ขณะเดียวกัน ได้มีเรื่องน่าพิศวงจากอาถรรพ์ของดวงพระวิญญาณตามมาด้วย เช่น ผู้ที่มาศาลส่วนใหญ่มักเล่าว่าตนเองฝันเห็นสตรีสูงศักดิ์ หรือ เด็กทารก และเมื่อมาศาลแล้วก็จะมีอาการเศร้าโศกเสียใจ เรื่องนี้ได้สร้างความประทับใจและความศรัทธามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการถวายของบูชาต่างๆ ณ อนุสาวรีย์ที่สวนสุนันทา โดยมักจะมีผู้นำดอกกุหลาบสีชมพูไปถวาย เพราะเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในความรัก การบูชาลักษณะดังกล่าวแสดงถึงความใกล้ชิดที่ราษฎรมีต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ มากขึ้น
เรื่องราวของ “สมเด็จพระนางเรือล่ม” ผู้ล่วงลับ มิได้ล่วงเลยตามกาลเวลา แต่ยังคงถูกบอกเล่าและปฏิบัติสักการะด้วยความเคารพบูชาตามแบบของแต่ละบุคคลจนถึงปัจจุบัน
พระบรมราโชวาท ในหลวงรัชกาลที่ ๙
๙ เรื่อง ที่ทรงพระราชทานแก่ประชาชนในวโรกาสต่างๆ
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
พระปฐมบรมราชโองการ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.249
"การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่ และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว แต่ละคนจึงต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการเสริมสร้างและสะสมความดี"
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ณ อาคาร สวนอัมพร วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2525
"เมื่อมีโอกาสและมีงานทำควรเต็มใจทำ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใด ย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่ มีความขยัน และซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น"
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2530
"การที่บุคคลจะพัฒนาได้ก็ด้วยปัจจัยประการเดียวคือการศึกษา การศึกษานั้นแบ่งเป็นสองส่วน คือการศึกษาด้านวิชาการส่วนหนึ่ง กับการอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นผู้มีจิตใจใฝ่ดีใฝ่เจริญ มีปรกติละอายชั่วกลัวบาป ส่วนหนึ่ง การพัฒนาบุคคลจะต้องพัฒนาให้ครบถ้วนทั้งสองส่วน เพื่อให้บุคคลได้มีความรู้ไว้ใช้ประกอบการ และมีความดีไว้เกื้อหนุนการประพฤติปฏิบัติทุกอย่าง ให้เป็นไปในทางที่ถูก ที่ควร และอำนวยผลเป็นประโยชน์ที่พึงประสงค์"
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ 24 มกราคม 2540
"การกีฬานั้น มีหลักสำคัญอยู่ที่ว่า จะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแรง ให้มีความสามารถในกีฬาของตน เพื่อพร้อมที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันและได้ชัยชนะมา ถึงเวลาเข้าแข่งขันก็จะต้องตั้งสติให้ดี เพื่อให้ปฏิบัติได้เต็มที่ตามที่ได้ฝึกฝนมา"
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักกีฬาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 5 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2512
"ธรรมชาติแวดล้อมของเรา ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ป่าไม้ แม่น้ำ ทะเล และอากาศ มิได้เป็นเพียงสิ่งสวยๆ งามๆ เท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของเรา และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของเราไว้ให้ดีนี้ ก็เท่ากับเป็นการปกปักรักษาอนาคตไว้ให้ลูกหลานของเราด้วย"
พระบรมราโชวาทในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2521
"ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง"
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502
"เศรษฐกิจพอเพียง จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้"
พระราชดำรัส พระราชทาน ณ วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2541
"การประหยัดอดออม เป็นรากฐานในการสร้างตัว สร้างฐานะของบุคคล ตลอดจนความเจริญมั่นคงของสังคม และชาติบ้านเมือง"
พระราชดำรัส ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช วันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2559
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567
มิตร ชัยบัญชา
มิตร ชัยบัญชา พระเอกอมตะตลอดกาล
วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2567
๘ ราชวงศ์ แห่งราชอาณาจักรไทย
รูปปั้น ๗ มหาราช |
๘ ราชวงศ์ แห่งราชอาณาจักรไทย
ราชวงศ์พระร่วงมีมหาราช ๑ พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งเป็นมหาราชพระองค์แรกของชาติไทย ทรงรวบรวมอาณาจักร์ไทยเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง และทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น จารึกเรื่องราวในยุคนั้นไว้ในหลักศิลา ทำให้สืบทอดศิลปะวัฒนธรรมและวิชาการมาจนถึงปัจจุบัน
ราชวงศ์แรกของกรุงศรีอยุธยาก็คือ “ราชวงศ์อู่ทอง” พระเจ้าอู่ทองเป็นปฐมกษัตริย์ พร้อมกับสถาปนาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใน พ.ศ. ๑๘๙๓ หลังกรุงสุโขทัย ๙๓ ปี แต่มีกษัตริย์เพียง ๓ พระองค์เท่านั้นในราชวงศ์นี้ และผู้ที่ทำให้ราชวงศ์อู่ทองสิ้นสุดลงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นญาติฝ่ายมเหสีของพระเจ้าอู่ทองนั่นเอง ทั้งนี้เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคต พระราเมศวร พระราชโอรสพระชนมายุ ๒๘ พรรษาขึ้นครองราชย์ แต่ประทับราชบัลลังก์ได้ไม่ถึงปี ขุนหลวงพะงั่ว พระอนุชาของพระมเหสีพระเจ้าอู่ทองซึ่งครองเมืองสุพรรณบุรี ก็ยกทัพมากรุงศรีอยุธยา พระราเมศวรทรงรู้ฝีพระหัตถ์ของพระมาตุลาดีจึงออกไปต้อนรับ อัญเชิญให้ขึ้นครองราชย์แต่โดยดี ส่วนพระองค์กลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม
ขุนหลวงพะงั่วขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงครองราชย์อยู่ ๑๘ ปี เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๓๑ สมเด็จพระเจ้าทองลัน ราชโอรสพระชนมายุ ๑๔ พรรษาขึ้นเป็นยุวกษัตริย์ แต่ครองราชย์ได้ ๗ วัน พระราเมศวรก็ยกพลจากเมืองลพบุรีมายึดราชบัลลังก์ สำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน ณ วัดโคกพระยา ขึ้นครองราชย์เป็นครั้งที่ ๒
พระราเมศวรครองราชย์ได้อีก ๗ ปี สวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๓๘ สมเด็จพระเจ้ารามราชา พระราชโอรสพระชนมายุ ๒๑ พรรษาสืบราชสมบัติต่อ จนถึง พ.ศ. ๑๙๕๒ ได้เกิดเรื่องทรงพิโรธเจ้าเสนาบดีรับสั่งให้จับ แต่เจ้าเสนาบดีหนีไปอยู่ฟากปทาคูจาม นอกเกาะกรุงศรีอยุธยาบริเวณวัดพุทไธศวรรย์ แล้วกราบทูลไปยังเจ้านครอินทร์ ผู้ครองเมืองสุพรรณบุรี ว่าจะยึดกรุงศรีอยุธยาถวาย เมื่อเจ้านครอินทร์เสด็จมา เจ้าเสนาบดีก็นำกำลังเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา จับสมเด็จพระรามราชาสำเร็จโทษ บ้างก็ว่าให้ไปอยู่ที่ปทาคูจาม แล้วอัญเชิญเจ้านครอินทร์ขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๖ ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระอินทราชา เป็นการกลับมาของราชวงศ์สุพรรณภูมิอีกครั้ง และปิดฉากราชวงศ์อู่ทอง
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งเริ่มจากขุนหลวงพะงั่ว เป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยกษัตริย์ถึง ๑๓ พระองค์ ครองราชย์รวมกันยาวนานที่สุดของกรุงศรีอยุธยาถึง ๑๗๘ ปี กษัตริย์ของราชวงศ์นี้ซึ่งมีบทบาทในประวัติอยู่มากก็เช่น พระเจ้าสามพระยา ราชโอรสของสมเด็จพระอินทราชา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชโอรสของเจ้าสามพระยา สมเด็จพระไชยราชาธิราชพระสวามีของนางพญาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าช้างเผือก และพระสวามีของพระสุริโยทัย จนสิ้นสุดที่สมเด็จพระมหินทราธิราช ซึ่งเสียกรุงครั้งแรกแก่พระเจ้าบุเรงนองใน พ.ศ.๒๑๑๒
ราชวงศ์สุโขทัย ต้นราชวงศ์นี้ก็คือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ซึ่งเดิมเป็นขุนนางปลายแถว คือ ขุนพิเรนทรเทพ มีบทบาทสำคัญในการกำจัด ขุนวรวงศาและเจ้าแม่อยู่หัวศรีสดาจันทร์ แล้วอัญเชิญพระเทียรราชาซึ่งทรงผนวชอยู่ ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งได้โปรดเกล้าฯให้ขุนพิเรนทรเทพขึ้นเป็น พระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ครองเมืองพิษณุโลก พร้อมพระราชทานพระราชธิดาให้เป็นมเหสี
หลังจากเสียกรุงครั้งที่ ๑ พระเจ้าบุเรงนองได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นราชวงศ์สุโขทัย เหตุที่ถือว่าเป็นราชวงศ์สุโขทัยก็เนื่องจากสืบสาวเชื้อสายแล้ว ปรากฏว่าสืบไปถึงราชวงศ์พระร่วง
กษัตริย์ในราชวงศ์นี้มี ๗ พระองค์ คือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ พระศรีเสาวภาคย์ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเชษฐาธิราช และพระอาทิตยวงศ์ ครองราชย์ติดต่อกัน ๖๑ ปี
ในราชวงศ์นี้ได้เกิดมหาราชพระองค์แรกของกรุงศรีอยุธยา คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีในรัชกาลทรงอุทิศพระชนมชีพเพื่อความมั่นคงให้ราชอาณาจักรไทย จนแทบจะไม่มีเวลาเป็นส่วนพระองค์เลย กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระองค์จึงเป็นที่มั่นใจของพ่อค้าวาณิชที่จะเข้ามาค้าขายว่าปลอดภัยและสงบสุข ในรัชสมัยของพระองค์ กรุงศรีอยุธยาจึงฟื้นกลับคืนสู่ความรุ่งเรืองอีกทั้ง มีผู้คนเข้ามาพึ่งพระบรมสมภารมากมาย
ราชวงศ์ปราสาททอง ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์นี้ก็คือ พระเจ้าปราสาททอง เป็นที่รู้กันว่าเป็นโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถกับสาวชาวบ้านบางปะอิน พระราชบิดาทรงรับไปเลี้ยงดูในกรุงศรีอยุธยา โดยมอบให้พระยาศรีธรรมมาธิราช เป็นผู้ดูแลในฐานะบิดาเลี้ยง แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าแท้ที่จริงแล้วเด็กชายผู้นี้เป็นใคร จึงเรียกกันว่า “พระองค์ไล” ครั้นพระองค์ไลเติบโตขึ้น ก็โปรดให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อายุ ๑๔ ได้เป็นมหาดเล็กหุ้มแพร พออายุ ๑๗ ได้เป็น จมื่นศรีสรรักษ์ ตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็ก
ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ขณะพระองค์ไลเป็นพระยามหาอำมาตย์ เหตุการณ์ก็สร้างวีรบุรุษขึ้น เมื่อพ่อค้าญี่ปุ่น ๕๐๐ คนเปิดตัวว่าเป็นซามูไร บุกวังหลวงเข้าจับกุมพระเจ้าแผ่นดินเนื่องจากไม่พอใจเรื่องการค้า พระยามหาอำมาตย์ได้ร่วมกับสหายชาวเปอร์เซียนำกำลังเข้าขัดขวาง ไล่ซามูไรญี่ปุ่นลงสำเภาหนีไป สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงตอบแทนความดีความชอบโปรดเกล้าฯพระยามหาอำมาตย์ขึ้นเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ คุมกำลังทหารโดยเด็ดขาด
เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต เจ้าพระยากลาโหมที่ชอบเล่นเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาแต่เด็กก็ยังไม่ผลีผลาม อัญเชิญพระเชษฐาธิราช พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าทรงธรรม พระชนมายุ ๑๕ พรรษาขึ้นครองราชย์ แต่ครองราชย์บัลลังก์ได้ ๑ ปี ๗ เดือน เจ้าพระยากลาโหมจัดงานศพมารดา มีขุนนางข้าราชการไปกันแน่นวัด จนท้องพระโรงไม่มีใครมาประชุม มีผู้เพ็ดทูลพระเชษฐาว่าเจ้าพระยากลาโหมคิดกบฏ พระเชษฐาหลงเชื่อสั่งทหารขึ้นป้อมล้อมวัง แล้วส่งคนไปเรียกเจ้าพระยากลาโหมมาเฝ้า เจ้าพระยากลาโหมเลยได้โอกาส ยกกำลังจากงานศพมาจับพระเชษฐาสำเร็จโทษ
แม้จะมีโอกาสอีกครั้ง แต่เจ้าพระยากลาโหมก็ยังไม่รีบร้อนอยู่ดี อัญเชิญพระอาทิตย์วงศ์ พระราชโอรสพระเจ้าทรงธรรมอีกองค์ พระชนมายุแค่ ๙ พรรษาขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ยังเล่นเหมือนเด็กทั่วไป เจ้าพนักงานต้องคอยนำเครื่องทรงและเครื่องเสวยตามเสด็จ เพียง ๖ เดือนขุนนางข้าราชการจึงร้องขอให้ถอดสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ออกจากราชสมบัติ อัญเชิญเจ้าพระยากลาโหมขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์สุโขทัย
ราชวงศ์ปราสาททองมีพระมหากษัตริย์ ๔ พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์เป็นเวลา ๒๕ ปี สมเด็จเจ้าฟ้าไชย พระราชโอรสพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ต่อได้เพียง ๙ เดือนก็ถูกพระนารายณ์ พระอนุชาต่างมารดา ร่วมกับพระศรีสุธรรมราชา พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองชิงราชสมบัติจับสำเร็จโทษ สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ขึ้นครองราชย์ได้เพียง ๒ เดือน ๒๐ วัน ก็ถูกพระนารายณ์ชิงราชสมบัติและสำเร็จโทษ พระนารายณ์ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์ ครองราชย์อยู่ ๓๒ ปี ได้รับการถวามพระราชสมัญญาว่า มหาราช พระองค์ที่ ๒ ของกรุงศรีอยุธยา
ในช่วงสมัยของราชวงศ์ปราสาททอง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งเด็ดขาด และดูจะโหดด้วย ในรัชสมัยของพระองค์บ้านเมืองจึงสงบราบคาบ แม้อริราชศัตรูก็เกรงขาม ไม่กล้าเข้ามาระราน ส่วนในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงดำเนินนโยบายล้ำหน้ากษัตริย์ในภาคพื้นตะวันออก ด้วยการส่งคณะทูตของโกษาปานไปถึงราชสำนักยุโรป ทรงคบฝรั่งเศสเพื่อคานอำนาจฮอลันดา แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ทหารฝรั่งเศสที่ส่งมาช่วยคุ้มครองได้รับคำสั่งลับให้ยึดกรุงธนบุรีและตะนาวศรีเป็นเมืองท่าให้ได้ ส่วนคณะบาทหลวงก็รับหน้าที่เปลี่ยนศาสนาพระเจ้ากรุงสยามให้เข้ารีต แต่พระองค์ก็ทรงนำชาติรอดปลอดภัยมาได้ด้วยพระอัจฉริยภาพ
ส่วนเรื่องการรบ แม้พระองค์จะมีพระวรกายเล็ก และไม่ห้าวหาญเหมือนพระราชบิดา แต่ในสงครามไทยพม่า ซึ่งพม่าเป็นฝ่ายรุกรานทุกครั้ง มีแค่ ๒ รัชกาลเท่านั้นที่กองทัพไทยบุกไปตีเมืองพม่าเป็นการตอบแทน ก็คือในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง เป็นราชวงศ์ที่ ๕ และราชวงศ์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา บ้านพลูหลวง เป็นหมู่บ้านหนึ่งในแขวงเมืองสุพรรณบุรี ปัจจุบันคือบ้านพลูหลวง ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เป็นถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระเพทราชา ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์นี้ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมคชบาล และมีพระขนิษฐาเป็นพระสนมของสมเด็จพระนารายณ์ คือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) มีกษัตริย์รวม ๖ พระองค์ ครองราชย์รวมกัน ๗๙ ปี คือ สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี หรือพระเจ้าเสือ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร และสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่เสียเมืองอย่างย่อยยับ
เมื่อพระเพทราชากับขุนหลวงสรศักดิ์ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งความจริงเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ ร่วมกันชิงราชสมบัติเมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวรหนัก กรุงศรีอยุธยาก็อ่อนแอลง นอกจากสองพ่อลูกจะโหดอำมหิตแล้ว ทายาทต่อๆมายังแย่งชิงราชสมบัติกันเอง บ้านเมืองแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่างก็อยากมีอำนาจโดยไม่ได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง นอกจากจะสิ้นราชวงศ์แล้วยังทำให้กรุงศรีอยุธยาย่อยยับจนไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้
แต่อย่างไรก็ดี พระอัจฉริยภาพของพระองค์ที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้ประเทศขยายพระราชอาณาจักรออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ก็เป็นที่ยอมรับต่อมาทุกรัชกาล และได้รับการถวายพระราชสมัญญามหาราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ราชวงศ์จักรี คือราชวงศ์ที่ปกครองประเทศไทยยาวนานที่สุดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๒๔๒ ปีแล้ว ที่สำคัญคือทุกรัชกาลไม่มีการแย่งชิงราชสมบัติเหมือนในสมัยอื่นๆ
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายราชธานีจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มาอยู่ฝั่งตะวันออกเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ สถาปนาขึ้นเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ บัดนี้กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ ได้กลายเป็นมหานครที่ติดอันดับความสวยงาม มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และสงบผาสุกแห่งหนึ่งของโลก
กษัตริย์ในราชวงศ์จักรีได้รับการถวายพระราชสมัญญามหาราชถึง ๔ พระองค์ คือ รัชกาลที่ ๑ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” รัชกาลที่ ๕ “สมเด็จพระปิยมหาราช” รัชกาลที่ ๙ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”
เนื้อเพลง
-
สุภาษิตพระร่วง ผู้แต่ง : สันนิษฐานกันว่าพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้พระราชนิพนธ์ ที่มา : ตำราประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ ฉบับหอสม...
-
ตรวจสอบสถานะ เช็กสิทธิลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 ผู้ที่ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 9-15 กันยายน 2565 / ประกาศผล 23 กันยายน 2565 ผู้ที่ลงท...
-
ปล่อยความคิดถึง ปลิวไปในอากาศ ล่องลอยหัวใจสะอาด ปล่อยไปแสนไกล กรุ่นกลิ่นบุหงา พัดมาด้วยรักจากใจ เพียงหวังให้ถึงใคร คนที่รอคนนั้น ส่ง...
-
จันทร์ กระจ่าง ฟ้า นภา ประดับ ด้วยดาว โลก สวย ราว เนรมิตร ประมวล เมืองแมน ลม โชย กลิ่น มาลา กระจาย ดินแดน เรียม นี้ แสน คะนึง ถึงน้อง...
-
งาม พิศยิ่งงามกินใจ หาใครยากเหมือน ร้อน เสน่ห์แรงจริงบังอร เร่าร้อนเหลือเกิน หลงไหลในตัวเจ้า หลงเอาไปฝันเพลิน ม่าย เธอเป็นแม่ม่ายรูปสวย ...
-
อันความลำเค็ญที่เป็นท่าน้ำ คิดดูก็กรรมสุดชอกช้ำจำใจทน ต้องรอสนองรับรองผู้คน ให้ข้ามพ้นทางธารา บ่ายเย็นค่ำเช้าเขามาพึ่งเรา ก็ยามเขารอนา...
-
รำพึงความหลังที่ยังคิดถึงเจ้า ดวงใจมีรอยร้าวหลายคราวพี่ผวา เคยรักเคยปองเพียรจ้องไขว่คว้า แม้กาลจะเนิ่นนานมา แต่สุดาฝังดวงมาลย์ นัยน์ตาคมซึ้...
-
แหงนมองเมฆฝนบนฟ้า ครึ้มดำคล้ำมา ฝนฟ้าก็มืดมัวมน หัวใจคนหนุ่ม มันกลุ้มจนเหลือจะทน เหมือนฝนฟ้าเบื้องบน พยับพะโยมเพราะลมเปลี่ยนผัน ...
-
หอมเอยดอกบัวยั่วอารมณ์ พลิ้วตามสายลมชื่นชมยามเจ้าขึ้นเคล้าลมเล่น พลิ้วก้านใบไสวดอกพราวแลขาวเด่น โน้มเอนชูช่อเบิกบาน ...
-
ฟังเสียงเยือกเย็นไม่เห็นอะไร ฟังเสียงแต่ไกลฟังคล้ายเสียงลม ทอดใจถอนอ่อนอารมณ์ ฟังแล้วตรอมตรมเมื่อยามสายลมคร่ำครวญ ลมเอ๋ยอย่าครวญจงหวนกลับ...